พวกเขาบ้านใหญ่ทำงานเป็นวัวเป็นม้ามาตลอดทาง ท่านย่ากลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย“ตะโกนอะไรกัน? ท่านแม่โกรธ จะทุบตีก็เป็นเรื่องธรรมดา”ซูหัวหยางสีหน้าบูดบึ้ง ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะดุเขาอย่างไร เขาก็ยังก้มลงแบกคนๆ นี้ไว้บนหลัง ติดตามคาราวานขนาดใหญ่ไปส่วนศพของซูหัวหลิน ถูกทิ้งไว้ในศาลเจ้าอย่างเร่งรีบหลังจากออกจากศาลเจ้าแล้ว ซุนอู่ก็ถามว่า“แม่นางน้อยกู้ พวกเราจะไปไหนกันหรือ?”กู้หว่านเยว่เห็นภูมิประเทศล่วงหน้าแล้ว จึงพูดอย่างเด็ดขาดว่า “เดินไปตามไหล่เขาทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ แม้ว่าเขื่อนจะพัง แต่น้ำก็จะไม่ท่วมมาถึงเรา”พืชพรรณโดยรอบมีความเขียวชอุ่ม ความเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มบนภูเขาน้อยมากเมื่อนึกถึงความตายอันน่าสลดใจของซูหัวหลิน กู้หว่านเยว่ก็พูดอย่างกังวลว่า“ทุกคนเดินตามข้าเอาไว้ อย่ายืนตะโกนเสียงดังในที่โล่ง เดินไปตามใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่อยู่ให้ห่างจากต้นที่สูงใหญ่ ป้องกันฟ้าผ่า”บนท้องฟ้า หยาดฝนเทลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆท้องฟ้าดูเหมือนจะมีหลุมดำปรากฏออกมา หยาดฝนตกหนักนับไม่ถ้วนรินรด ไม่เพียงแต่มีฟ้าร้องและพายุโหมเท่านั้น แต่ยังมีลมแรงอีกด้วยทุกคนฝ่าลมแรง เดินบนเส้นทางที่เต็มไปด้ว
หลิวซื่อที่กลับมามีสติอีกครั้ง ก็มองไปรอบๆ “เจ้าสาม เมี่ยวเมี่ยว เมี่ยวเมี่ยวข้าเล่า?”“เมี่ยวเมี่ยวไม่ได้อยู่บนหลังข้าอยู่ตลอดหรือ?”จากนั้นซูหัวจวิ้นก็ตอบสนอง เขาดึงตะกร้าไม้ไผ่ที่ด้านหลังออก ก่อนจะเห็นว่ามันว่างเปล่า ไหนเลยจะมีร่างของเมี่ยวเมี่ยวอยู่?ทันใดนั้น เขาก็จำได้ว่าตอนที่เขาล้มลงในน้ำท่วม บางที เขาอาจจะโยนเด็กออกไปตอนนั้นก็ได้“อาจจะถูกน้ำท่วมพัดเอาไปแล้ว ไม่ได้ เรื่องนี้เจ้าโทษข้าไม่ได้ เจ้าว่าทำไมเจ้าเด็กโง่นั่นถึงไม่วิ่งตามมาเล่า?...”ซูหัวจวิ้นกะพริบตา ในใจรู้สึกผิดอย่างยิ่งนางหลิ่วเป็นบ้าไปแล้ว แม้ว่าตระกูลมักจะไม่พอใจนางที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายให้ได้ ทั้งยังคลอดบุตรีไม่เอาอ่าวออกมาถึงสองคน แต่นางก็ไม่เคยรังเกียจบุตรีของตนเองเมื่อเห็นว่าลูกสาวถูกซูหัวจวิ้นทำให้ตาย นางจึงเกาหัวอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำรื้นน้ำตา จากนั้นก็พุ่งไปข่วนเกาซูหัวจวิ้นทันที“เจ้าสามซู เจ้าที่เป็นพ่อเดรัชฉาน เพื่อเอาชีวิตรอดถึงกับทิ้งลูกของตัวเอง เมี่ยวเมี่ยวอายุเพียงห้าหนาว น้ำท่วมเช่นนั้น นางจะวิ่งตามมาได้อย่างไร? เจ้าชดใช้เมี่ยวเมี่ยวให้ข้า ชดใช้เมี่ยวเมี่ยวให้ข้า…”ด้วยเสียง “ซืด” เ
ฟืนที่เปียกชื้นจุดไฟยากจิตสำนึกของกู้หว่านเยว่เข้ามาในมิติ เปิดห้องสินค้า ซื้อน้ำมันตุง[footnoteRef:1]มาหนึ่งขวด แล้วเทลงบนฟืน [1: น้ำมันไม้จีนเป็นน้ำมันอบแห้งที่ได้จากการกดเมล็ดจากถั่วของต้นไม้ตุง] “ฟุ่บ” เปลวไฟลุกโชนขึ้นทันทีดวงตาของซูจิ่นเอ๋อร์เบิกกว้าง “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเก่งมากเลย!”นางหยางพูดอย่างตื่นเต้น “เยี่ยมเลย มีไฟแล้ว!"ซูจิ่งสิงมองดูขวดน้ำมันตุง ดวงตาวาววับ เขารู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับ “ความลับ” ของกู่หว่านเยว่กู้หว่านเยว่คร้านจะสนใจสายตาที่จ้องมองมาของเขา อย่างไรเสีย ปิดบังคนอื่นได้แต่ปิดบังเขาไม่ได้ “ให้ข้าช่วยประคองท่านเข้ามาสักหน่อย? ตากผ้าพวกนี้ไว้ให้แห้งก่อน”ซูจิ่งสิงพยักหน้าเมื่อเขาลุกขึ้น ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่า ช่วงขามีความรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาฉายความประหลาดใจในทันทีแต่ความรู้สึกนั้นคงอยู่เพียงชั่วครู่ และหายไปในพริบตาเขายังคงสงบ ยอมให้กู้หว่านเยว่ประคองพาเขาไปที่กองไฟ“ขอบคุณ”“ไม่ต้องเกรงใจ”กู้หว่านเยว่โบกมือแล้วหยิบน้ำมันตุงไปหานักการตามแบบเดียวกัน จุดไฟในกระโจมของแต่ละคนให้สว่าง“แม่นางน้อยกู้ ท่านเก่งกาจเหลือเกิน นี่คืออะไรหรือ? แ
“ข้าว่านะนางหนูน้อย สายตาย่ำแย่เหลือเกินแล้ว เห็ดนี่ข้าเป็นคนพบก่อน เจ้าจะแย่งเอาทั้งหมดไปได้อย่างไร?”ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งเท้าสะโพกด้วยความโกรธนางขุดหาผักป่าตามพุ่มไม้ใกล้ๆ อยู่นานแล้ว และในที่สุดก็พบเห็ดสดดอกใหญ่สองสามดอกทันทีนั้น พอนางหยิบตะกร้าขึ้นมา หลี่ซือซือก็คว้าเอาทั้งหมดไปหลี่ซือซือสีหน้าได้ใจ “เห็ดนี้ไม่มีชื่อของท่านเขียนไว้เสียหน่อย ใครเก็บมันได้ก่อนก็เป็นของคนนั้น ใครใช้ให้แขนขาท่านชักช้าเล่า?”“เจ้า คำพูดคำจาร้ายกาจเหลือเกินแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งโกรธจนพยุงตัวเองไม่อยู่คิดจะโต้เถียงกับหลี่ชิซือ แต่เพียงเพราะเห็ดสองสามต้น นางไม่มีหน้าขนาดนั้นจริงๆเมื่อกู้หว่านเยว่ออกมาจากกระโจม ก็เห็นหลี่ซือซือเดินผ่านนางไป ในมือถือตะกร้าเห็ดด้วยสีหน้าเยาะเย้ยเดิมทีอยากออกหน้าแทนฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง แต่เมื่อเหลือบมองเห็ดในตะกร้าของนาง ดวงตาก็ต้องเบิกกว้างทันทีแม่ตัวดี หลี่ซือซือคนนี้กล้ากินมันลงไปจริงๆ“เห็ดชนิดนี้มีสีสันสวยงาม แต่มองเพียงแวบแรกก็รู้ว่ามีพิษ เจ้ายังคิดจะขโมยมันอีกหรือ?”กู้หว่านเยว่ใช่ว่าจะมีใจเตือนหลี่ซือซือ แต่แค่ตกใจเกินไป เพียงเรื่องแค่นี้ก็ไม่มีความรู้
ในเมื่อนางอยากเล่น ซูจิ่งสิงก็จะเล่นกับนางหลังจากเก็บนกพิราบได้สิบตัว และนกอื่นๆ อีกห้าตัว กู้หว่านเยว่ก็พาพวกมันออกไปเมื่อถึงเวลา เดินกลับมาพร้อมกับตะกร้าในเมื่ออย่างมีความสุขทันทีที่กลับมา นางก็อดไม่ได้ที่จะขดตาเสี้ยว ส่งจูบหวานๆ ให้ซูจิ่งสิงไปหนึ่งครั้ง“ท่านพี่ ท่านยิงนกพิราบได้เยอะเลยเจ้าค่ะ เก่งเกาจเหลือเกิน! เยี่ยมมากเจ้าค่ะ!”นกพิราบทั้งหมดที่นางซื้อและปล่อยออกมาจากเวทีซื้อขาย ถูกซูจิ่งสิงโจมตีจนเกลี้ยง ไม่เหลือเลยสักตัวเดียวผู้ชายคนนี้เจ๋งมากเลย!ซูจิ่งสิงเป็นภาระมาตลอดทาง แต่ทันใดนั้นก็ได้รับการชื่นชมและเป็นที่ต้องการ ทั้งยังถูกกู้หว่านเยว่ส่งจูบมาให้อีก ทำให้หูของเขาแดงแจ๋ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ที่แท้ ได้รับคำชมจากนี้ รู้สึกดีเช่นนี้เอง“รอให้ขาของข้าดีขึ้น ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องลำบากอีก”เขามั่นใจไว้อย่างเงียบๆรู้สึกได้ว่า วันที่ว่านั้นอีกไม่นานเกินรอเมื่อเห็นพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่เดินถือนกพิราบกลับมาหลายตัว ซูจิ่นเอ๋อร์และซู่จื่อชิงก็รีบวิ่งไปพร้อมกับผักป่าต่างคนต่างก็อ้าปากค้าง พวกเขารีบก่อฟืนจุดไฟอย่างมีความสุขคนอื่นๆ ได้แต่มองดูนกพิราบตัวอ้วนในตะกร้าด้วย
ยามนี้ จิตใจของกู้หว่านเยว่กลับมาอยู่ที่นกพิราบย่างอีกครั้งอย่าละเลยอาหารโอชะและบุรุษองอาจ แต่ให้ทิ้งปัญหาทั้งหมดที่มีเอาไว้ก่อนซูจิ่งสิงหยิบนกพิราบย่างออกจากมือของนางอย่างระมัดระวัง “ข้าเอง เจ้าพักผ่อนเถอะ”“ท่านทำได้หรือ?” กู้หว่านเยว่สงสัยซูจิ่งสิงสีหน้ามืดมน เขาถูกดูถูกหรือ?“ได้หรือไม่ ลองแล้วก็รู้เอง”โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ เขาหยิบไม้เสียบนกพิราบย่างที่วางอยู่บนตะแกรงมา แล้วเริ่มย่างมันทันทีกู้หว่านเยว่มองดูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางหยิบผงยี่หร่าออกมาจากกระเป๋า แล้วโรยลงบนนกพิราบย่าง ร่วมมือกับเขาหลังจากนั้นไม่นาน นกพิราบย่างรสเผ็ดร้อนสีเหลืองกรอบก็ถูกยกขึ้นมาจากเตา อยู่ภายใต้มือของสองท่านพี่ภรรยาแล้ว“กลิ่นหอมมากเลย!” กู้หว่านเยว่อุทานขึ้นมาผงยี่หร่านี้ ได้มาจากร้านอาหารเลิศรส มีกลิ่นหอม รสชาติเผ็ดร้อนจนน้ำลายสอซูจิ่งสิงฉีกชิ้นเนื้อออกแล้วส่งเข้าปากนาง “เจ้ากินก่อน ระวังร้อน”ในแววตามีสิ่งที่เขาไม่สังเกตเห็นได้ ทอประกายขึ้นมาหยางซื่อ ซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงแอบมองจากด้านข้าง ยิ้มจนเห็นคิ้วไม่เห็นตาขณะกินเนื้อที่จ่อเข้าปาก กู้หว่านเยว่ก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาอย่างหาได
กู้หว่านเยว่ระงับความตื่นเต้นเอาไว้สุดกำลัง อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากจากนี้ไป นางจะมีอิสระทางการเงิน ซื้อของในเวทีซื้อขายได้ตามต้องการ!ด้วยอารมณ์ตื่นเต้นนี้ นางกลับไปที่เวทีซื้อขาย ค้นหาสมุนไพรที่จำเป็นตามเทียบยาหลังจากนั้นไม่นาน สมุนไพรทั้งหมดก็ถูกกว้านซื้อไปทันทีที่นางกดปุ่มชำระเงิน สมุนไพรก็ปรากฏขึ้นในตะกร้าของนางโดยอัตโนมัติกู้หว่านเยว่ซื้อกระต่ายเนื้ออีกห้าตัวและไก่ฟ้าห้าตัว ท้ายสุด จึงถือของใหญ่เล็กกลับมาเต็มไม้เต็มมือเมื่อเห็นนางกลับมาพร้อมของมากมาย ทุกคนต่างก็ตกใจ“แม่นางน้อยกู้ ท่านไปเอาไก่ฟ้ากับกระต่ายมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน?”กู้หว่านเยว่โกหกตาไม่กะพริบ “ข้าโชคดีน่ะเจ้าค่ะ ตอนที่เก็บสมุนไพร เจอรังกระต่ายกับรังไก่ฟ้าพอดี เลยเก็บมันมาพร้อมกันเลยทีเดียว”แล้วยื่นไก่ฟ้าและกระต่ายเนื้อให้พวกเขา“เหมือนเดิม พวกท่านจัดการกับไก่ฟ้าและกระต่าย อีกประเดี๋ยวจะแบ่งให้พวกท่านหนึ่งตัว”การแสดงออกของทุกคนเปลี่ยนจากอิจฉาเป็นตื่นเต้น แม่นางน้อยกู้ใจดีกับพวกเขามาก แบ่งอาหารให้พวกเขาทุกครั้งหลังจากได้ยิน หลายคนก็เลิกเสแสร้ง รีบหยิบกระต่ายและไก่ฟ้าขึ้นมาจากนั้นก็ตามหาแหล่งน
“ครอบครัวฮูหยินตระกูลซูเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเขาถึงน้ำลายฟูมปากกันหมดเลย?”คนอื่นๆ ต่างหวาดกลัว รวมตัวกันมาดูความสนุก แต่ไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไปเพราะกลัวจะติดโรค“แม่นางน้อยกู้ พวกเขาไม่ใช่ว่าติดโรคเข้าแล้วกระมัง?”ซุนอู่เอ่ยถามคำถามที่ทุกคนกังวลในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังแอบตัดสินใจในใจว่า หากตระกูลซูเก่าป่วยติดโรคจริงๆ พวกเขาจะต้องถูกโยนลงไปในป่าภูเขาลึกไม่อาจให้มาทำร้ายทั้งกลุ่มเนรเทศได้“หลีกทาง ให้ข้าดูหน่อย”กู้หว่านเยว่รับรู้ถึงความเคร่งเครียดของเรื่องนี้ สีหน้านางจริงจังขึ้นมาทันที เดินไปตรวจสอบสถานการณ์ของตระกูลซูเก่าแต่เพียงมองแวบเดียว นางก็แน่ใจได้ในทันที ว่าตระกูลซูเก่าไม่ได้ทรมานจากโรคระบาด แต่เป็นเพราะอาหารเป็นพิษ“ทุกท่านไม่ต้องกลัวไป พวกเขาไม่ได้ติดโรคหรอก พวกเขาแค่กินเห็ดพิษ และตอนนี้พิษก็เริ่มออกฤทธิ์แล้ว”ข้าบอกพวกเขาไปแล้วว่าเห็ดมีพิษ แต่ถ้าพวกเขาก็ยังไม่เชื่อ รู้เพียงว่าตนต้องได้เห็ดเหล่านั้นไปกินแต่ไม่เป็นไรหรอก การลงโทษมาแล้วกู้หว่านเยว่ไร้ความสงสารแต่คนพวกนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวตายจับจิต เพราะคิดว่าตัวเองติดโรคระบาด แต่เมื่อได้ยินกู้หว่านเยว่บอกว่าเป็
“เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะบอกอะไรเจ้าสักหนึ่งประโยค ถึงแม้เจ้าจะเป็นบ่าวของข้า แต่ข้าก็มองเจ้าเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ หากเจ้าชอบใครจริง ๆ เจ้าก็จงพยายามไขว่คว้าเอาเอง ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าวันนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าฉางเล่อมีใจให้กับอวิ๋นมู่ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าด้อยไปกว่านางเลยแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”กู้หว่านเยว่พูดเพียงเท่านี้แววตาของชิงเหลียนมีความสับสนอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้า“ขอบคุณฮูหยิน บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ทันใดนั้น ซูจิ่งสิงก็รีบร้อนเข้ามาจากข้างนอก“น้องหญิง ทางเมืองหลวงมีข่าวแพร่สะพัดมาแล้ว”กู้หว่านเยว่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีเรื่องใหญ่มาแล้ว!นางโบกมือให้ชิงเหลียนออกไป แล้วหันไปมองซูจิ่งสิง“เกิดอะไรขึ้น?”“นี่คือจดหมายของนกพิราบสื่อสารจากเมืองหลวง”ซูจิ่งสิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาแค่หยิบจดหมายที่อยู่ในมือมอบให้กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รีบเปิดออก แล้วก็หัวเราะเยาะในทันที“ฮ่องเต้ชั่วลงมือเร็วจริง ๆ ”ในจดหมายกล่าวถึง ฮ่องเต้มอบหมายกองทัพให้กับหลี่กวงถิง เสนาบดีฝ่ายขวา สั่งให้เขาเป็น
กู้หว่านเยว่เหลือบมองบัญชี พบว่ากิจการของร้านสาขานี้ดีกว่าร้านหลักมากจริง ๆ ซึ่งเป็นเพราะเจียงอวิ๋นจิ่นบริหารจัดการได้ดี“ร้านนี้มอบให้เจ้าเป็นคนดูแล ข้าไม่ได้ไว้ใจผิดคน”กู้หว่านเยว่พลิกดูบัญชีไปพลาง พยักหน้าพร้อมกับยิ้มไปพลาง“รอช่วงปลายปี จะแบ่งปันผลกำไรให้เจ้าอีก”เจียงอวิ๋นจิ่นเบิกตากว้าง“จะรับได้อย่างไร ท่านทำให้ข้ามีงานทำก็ดีมากแล้ว ข้าจะรับเงินจากพระชายาเพิ่มได้อย่างไร?”“รับไปเถอะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มพลางปิดบัญชี“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรจะได้อยู่แล้ว”น้ำเสียงของนางจริงจัง เจียงอวิ๋นจิ่นพอจะรู้จักนิสัยของนางอยู่บ้าง หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าอย่างว่าง่าย“เช่นนั้นอวิ๋นจิ่นขอบคุณพระชายาเจ้าค่ะ”หลังจากตรวจดูร้านค้าเสร็จ ทางด้านมู่หรงฉางเล่อก็วิ่งกลับมาด้วยความรีบร้อน“ดูเหมือนเจ้าจะได้อะไรดี ๆ มาเยอะนะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัย ส่วนมู่หรงฉางเล่อก็ไม่ได้เขินอาย นางโบกพัดที่อยู่ในมือไปมา“พี่สะใภ้ท่านดูสิ นี่คืออะไร?คุณชายอวิ๋นทำให้ข้าไม่พอใจ จึงชดเชยด้วยการมอบพัดเล่มนี้ให้กับข้าและยังรับปากข้าว่า มะรืนนี้จะไปล่องเรือที่ทะเลสาบกับข้า”เด็กคนนี้นี่ ถ้
“คุณชายอวิ๋นไม่มีใจให้นาง นางคงจะคิดไม่ตก จึงเกิดความคิดที่จะออกบวชเจ้าค่ะ”ชิงเหลียนก้มหน้าลง แท้จริงแล้ว นางก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบอวิ๋นมู่ แต่นางและหลี่ชิวเตี๋ยนั้นแตกต่างกัน นางรู้ดีว่าตัวเองอยู่ในสถานะใดนางและคุณชายอวิ๋นไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้นในใจจึงไม่เคยมีความคิดเพ้อฝันใด ๆ “เจ้าหมายความว่าหลี่ชิวเตี๋ยอยากจะออกบวชอย่างนั้นหรือ?”กู้หว่านเยว่ได้ฟังเรื่องราวอันน่าประหลาดใจอย่างแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่สกุลหลี่จะรีบร้อนหาคู่ให้หลี่ชิวเตี๋ยขนาดนั้นพวกเขามีลูกสาวแค่คนเดียว หากออกบวชจริง ๆ แล้วจะทำอย่างไร “คุณหนูหลี่เคยผิดหวังในความรักกับทังต๋ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังคงยึดติดกับความรักได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้”ชิงเหลียนถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยคกู้หว่านเยว่ไม่ได้พูดอะไร บางอย่าง ต่อให้พบเจออุปสรรคมาแล้วก็ใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณหนูหลี่ติดธุระสองสามวันนี้ พวกเราก็ไม่ต้องรอที่นี่แล้ว บัญชีก็ดูเสร็จแล้ว เราไปที่ร้านอื่นกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป เมื่อมาถึงร้านสาขา เจียงอวิ๋นจิ่นกำลังยุ่งอยู่กับการทำงานภายในร้านอย่างสนุกสนาน“พระ
“ตกลง ข้าจะมาเอาวันหลัง”อวิ๋นมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แบบนี้ เขาก็จะมีโอกาสได้พบกับกู้หว่านเยว่อีกครั้ง“ข้ายังต้องไปที่ร้านดอกท้อ ขอตัวก่อนแล้ว”กู้หว่านเยว่ดึงมู่หรงฉางเล่อออกไป ขณะที่กำลังจะออกจากประตู สายตาของมู่หรงฉางเล่อยังคงจับจ้องอยู่ที่อวิ๋นมู่“พี่สะใภ้ คนนี้ใครหรือ?”“อวิ๋นมู่ คุณชายน้อยของตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นต้าฉี”กู้หว่านเยว่อธิบายพลางเหลือบมองมู่หรงฉางเล่อที่หน้าแดงก่ำ ก็เข้าใจในทันที“นี่เจ้าชอบเขาแล้วหรือ?”“ใช่แล้ว”มู่หรงฉางเล่อยอมรับอย่างเปิดเผย พลางดึงมือของกู้หว่านเยว่พร้อมกับลองหยั่งเชิง“คุณชายอวิ๋นผู้นี้ อายุเท่าไรแล้ว ในเรือนมีภรรยาหรืออนุภรรยาหรือไม่?”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงกับความตรงไปตรงมาของนาง ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกชอบใจในนิสัยพูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ของนาง“ยี่สิบกว่า ยังไม่มีภรรยาหรืออนุภรรยา”ดวงตาของมู่หรงฉางเล่อเป็นประกายมากขึ้น “ไม่มีภรรยาหรืออนุภรรยาก็ดีแล้ว”เมื่อเห็นว่าอวิ๋นมู่ยังคงเลือกผ้าอยู่ในร้าน มู่หรงฉางเล่อก็เขย่าแขนของกู้หว่านเยว่“พี่สะใภ้ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ข้ายังต้องซื้อผ้าอีกชุดให้ยายโจว
กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ว่าร้านขายเสื้อผ้าและร้านดอกท้ออยู่ทางเดียวกัน ถึงตอนนั้นก็ถือโอกาสไปดูกิจการของร้านดอกท้อด้วยเลย“เยี่ยมไปเลย เราไปกันเถอะ”มู่หรงฉางเล่อจูงมือของกู้หว่านเยว่ออกไปข้างนอกอย่างเบิกบานใจหลังจากที่ทั้งสองคนขึ้นรถม้าแล้ว ไม่นานก็มาถึงร้านเสื้อผ้ามู่หรงฉางเล่อกระตือรือร้นมาก หลังจากที่รถม้าจอดสนิทก็กระโดดลงจากรถม้าทันที จากนั้นก็จูงมือของกู้หว่านเยว่เข้าไปข้างใน“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะซื้อเสื้อผ้าอะไรเจ้าคะ?”“ข้าขอดูก่อน” กู้หว่านเยว่กวาดตามองแวบหนึ่ง เสื้อผ้าของนางยังมีอีกมาก ไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้าแต่อย่างใด“แม่นางอยากดูเสื้อผ้าใช่หรือไม่เจ้าคะ เชิญตามข้ามาดูเนื้อผ้าทางนี้เจ้าค่ะ”เจ้าของร้านออกมาต้อนรับมู่หรงฉางเล่อรีบตามเจ้าของร้านไปอีกด้าน เพื่อเลือกเนื้อผ้าก่อนองค์หญิงใหญ่อายุมากแล้ว เนื้อผ้าที่มู่หรงฉางเล่อเลือกนั้นล้วนเป็นสีที่ค่อนข้างเข้ม ยกตัวอย่างเช่นสีเขียวเข้มหลังจากเลือกเสร็จแล้ว ก็บอกขนาดและน้ำหนักขององค์หญิงใหญ่กับเจ้าของร้าน ลูกน้องในร้านช่วยจด“ใช้เวลาตัดเสื้อผ้านานแค่ไหนเจ้าคะ?”มู่หรงฉางเล่อกล่าวถาม“เร็วสุดก็ประมาณสามถึงห้าวัน ช้าส
เฟิ่งอู๋ชีกล่าวเสริมอีกว่า“เงื่อนไขนี้ไม่ได้หนักหนานักมากหรอก อยู่ภายในขอบเขตความสามารถของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้ากัน ทั้งสองคนไม่ได้ตอบตกลงในทันทีกู้หว่านเยว่เริ่มสนใจ“แล้วเจ้าจะขัดขวางพี่หญิงใหญ่ของเจ้าอย่างไร?”“ข้าและพี่หญิงใหญ่ไม่ถูกกันมานานแล้ว”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววสังหารอย่างเห็นได้ชัด“พระชายาไม่เคยได้ยินเรื่องของพี่น้องสายเลือดเดียวกันทั้งเก้า วันหนึ่งองค์ชายเก้าเกิดช่วงชิงบัลลังก์ องค์ชายแปดจึงต้องตายหรือ?”หัวใจของกู้หว่านเยว่เต้นระงม เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายในทันทีในเมื่อเฟิ่งอู๋ชีกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว กู้หว่านเยว่ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป“ได้ ข้ารับปากเจ้า”การร่วมมือของทั้งสามคนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเฟิ่งอู๋ชีกระตุกยิ้ม“ที่นี่คือจวนอ๋องใช่หรือไม่? หลับไปตั้งหลายวัน บัดนี้ข้าชักจะหิวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ในเมื่อเราร่วมมือกันแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าคงไม่มีทางเอาเปรียบหุ้นส่วนอย่างข้าหรอกนะ ยกเหล้าเลิศรสและอาหารอร่อย ๆ มาให้ข้าสักหน่อยเถิด”“ได้”กู้หว่านเยว่ตอบตกลงอย่างสบายอารมณ์เดิมทีนางก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเฟิ่งอู๋ชี
กู้หว่านเยว่และซูจิงสิงต่างสบตากัน นัยน์ตาของทั้งสองคนฉายแววประหลาดใจ“ไม่ใช่ความคิดของเจ้า จะเป็นไปได้อย่างไร? หนานเจียงไม่ได้วางแผนโจมตีเจดีย์หนิงกู่เพราะการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ถูกทำลายหรอกหรือ?”“ไม่ใช่แน่นอน”เฟื่งอู๋ชีส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม“หนานเจียงไม่เคยแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองอื่น มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น”“แล้วเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร?”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวถาม นางต้องรู้เหตุผลที่แท้จริง ถึงจะหาทางแก้ไขได้“พี่หญิงใหญ่ของข้าเอง”เฟิ่งอู๋ชีมองทั้งสองคน “เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือการตัดสินใจของพี่หญิงใหญ่ ความจริงแล้วไม่ว่าท่านหญิงฉางเล่อผู้นั้นจะหนีไปได้หรือไม่ หนานเจียงก็ตัดสินใจจะช่วยฮ่องเต้กดดันพวกเจ้าอยู่แล้ว”เฟิ่งอู๋ชีตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น หาพื้นที่ที่สบายที่สุดให้ตัวเอง“เรื่องนี้เป็นแผนการของพี่หญิงใหญ่ นางเป็นแก้วตาดวงใจของท่านพ่อ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของนางได้”กู้หว่านเยว่แปลกใจ “เจ้าไม่ใช่องค์ชายหนานเจียงหรอกหรือ?”เท่าที่กู้หว่านเยว่รู้มา เฟิ่งอู๋ชีน่าจะเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวของหนานเจียง ทุกคนให้ความสำคัญต่อ
ที่แท้กู้หว่านเยว่ก็จำเรื่องที่เขาพูดได้ “เจ้าเก็บเรื่องที่ข้าพูดไว้ในใจมาตลอด”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววตาเย้ายวน จ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่“เพราะเจ้าตกหลุมรักข้าระหว่างทางแล้วใช่หรือไม่?”น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี แต่การแต่งกายเป็นสตรีของบุรุษผู้นี้กลับทำให้กู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”กู้หว่านเยว่เกาศีรษะอย่างจนปัญญา ขอร้องล่ะ สามีของนางยืนอยู่ด้านหลัง“ถ้าไม่ลองดู จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าใจผิดหรือไม่?”เฟิ่งอู๋ชีกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ในเมื่อเจ้ารู้สถานะของข้าแล้ว สนใจอยากเป็นราชินีแห่งหนานเจียงหรือไม่ล่ะ?”เขาจ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่ โดยมีความคิดที่ไม่ดีปรากฏขึ้นในใจหากกู้หว่านเยว่ตอบตกลงเขาจริง ๆ บางทีเขาอาจจะยอมยกตำแหน่งราชินีแห่งหนานเจียงให้นางจริง ๆ ก็ได้ “ในหอเจิ้นไห่พวกเราเคยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันแล้ว เจ้าลองคิดไตร่ตรองดูเอาเถิด”เฟิ่งอู๋ชีมองนางด้วยความคาดหวัง เดิมทีเขาก็แค่อยากพูดโน้มน้าวไปตามสถานการณ์ แต่บัดนี้เขากลับคิดจริงจึงขึ้นมา“ข้ามีสามีแล้ว”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าปฏิเสธโด
ไม่นานนัก เฟิ่งอู๋ชีก็ตื่นจากการหลับใหลภาพที่ดึงดูดสายตาของเขาเป็นอันดับแรกคือกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าความทรงจำของเฟิ่งอู๋ชียังอยู่ในหอเจิ้นไห่ หลังจากที่เห็นกู้หว่านเยว่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ก็รีบถอยหลังอย่างรวดเร็วเขาจำได้ว่ากู้หว่านเยว่หยิบของที่เหมือนกันชิ้นหนึ่งออกมา แล้วแตะบนตัวของเขา พริบตาเดียวเขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัว จากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ภาพตรงหน้าดับวูบและล้มลงไปบนพื้นเฟิ่งอู๋ชียังคงหวาดกลัวกับ “อาวุธ” ชนิดนั้นครั้นกู้หว่านเยว่เห็นดังนั้นก็คลี่ยิ้ม“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”“ที่นี่คือที่ไหน?”เฟิ่งอู๋ชีมองไปรอบ ๆ พบว่าสถานที่ตรงหน้าเป็นสถานที่ที่แปลกตาโดยสิ้นเชิง อีกทั้งกู้หว่านเยว่ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว“ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว?”เขากุมขมับของตัวเอง รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นในใจ“ประมาณสี่ถึงห้าวัน” กู้หว่านเยว่ตอบกลับ ก่อนจะโน้มตัวลงมามองเขาด้วยรอยยิ้มเฟิ่งอู๋ชีเพิ่งจะได้สติกลับมา เขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะสลบไปนั้นเขาได้เจอกับเต่าทะเล ดังนั้นจึงรีบกล่าวถามทันที“สี่ถึงห้าวัน แสดงว่าตอนนี้ข้าก็ออกจากหอเจิ้นไห่แล้วน