บังเอิญนายท่านผู้เฒ่าหลินเองก็อยากสนทนากับซูจิ่งสิงพอดีอย่างไรเสียกู้หว่านเยว่ก็คือหลานสาวสุดที่รักของพวกเขา ส่วนซูจิ่งสิงเป็นหลานเขยของพวกเขา เป็นคนที่กู้หว่านเยว่ต้องพึ่งพาอาศัยทั้งชีวิตนายท่านผู้เฒ่าหลินมาที่เตียงเตา เพ่งพิศซูจิ่งสิงซูจิ่งสิงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ทำความเคารพเขาในฐานะผู้น้อยทีหนึ่งจากนั้นสุขุมหนักแน่นดุจภูเขาไท่ซาน ตั้งแต่เริ่มจนจบยิ้มน้อยๆ อย่างมีมารยาท ปล่อยให้นายท่านผู้เฒ่าหลินสำรวจตนเองอย่างอิสระอันที่จริง นายท่านผู้เฒ่าหลินไม่ค่อยพอใจซูจิ่งสิงอยู่ภายในใจหลานสาวเพิ่งแต่งงานเข้าไปก็ต้องเดือดร้อนถูกเนรเทศไปด้วยกัน ยังกลายเป็นคนพิการอีก มีครอบครัวญาติที่ใดจะชมชอบแต่สบมองสีหน้าสุขุมหนักแน่นของซูจิ่งสิง นายท่านผู้เฒ่าหลินเองจะไม่ยอมรับคงไม่ได้ ว่าเด็กคนนี้มีรัศมีไม่ธรรมดาเขาเป็นฝ่ายนั่งลงพูดคุยกับซูจิ่งสิงก่อนกู้หว่านเยว่มองอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าซูจิ่งสิงพูดอะไรกับท่านตามองเห็นท่านตาเผยสีหน้าใคร่ครวญหนักใจเป็นอย่างแรก ต่อมาค่อยๆ เผยสีหน้าเลื่อมใสในที่สุดทั้งสองสนทนากันราวสิบกว่านาที ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนแม้กู้หว่านเยว่แปลกใจ แต่กลัวทำให้แผน
“ครอบครัวพวกเขาอยู่อย่างถ่อมตน ไม่เคยมีปัญหากับผู้อื่น ที่เหลือก็มีเพียงศัตรูทางการค้าแล้วส่วนที่สามารถทำเรื่องฆ่าล้างตระกูลพรรค์นี้ได้ จะต้องหาคนชั่วเสียยิ่งกว่าชั่วในยุทธภพ คนเช่นนี้จ้างวานยากนักดังนั้น ข้าจึงถามว่าช่วงนี้มีโจรนักฆ่าหนีมายังฉูโจวหรือไม่”กู้หว่านเยว่ฟังการวิเคราะห์โดยละเอียดของซูจิ่งสิงแล้ว สายตาชื่นชมอย่างอดไม่ได้สมองของชายคนนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้วกระมัง เวลาสั้นๆ ถึงขั้นวิเคราะห์ออกมาได้มากเพียงนี้“ถ้าอย่างนั้นท่านตาสามารถสืบหาคนอยู่เบื้องหลังได้หรือไม่?”“ย่อมได้ เจ้าวางใจ คนมีความคิดลึกซึ้งเพียงนี้มีไม่กี่คน ท่านตาของเจ้าตั้งข้อสันนิษฐานดูสักหน่อยก็เดาออกแล้ว”ซูจิ่งสิงพูดจบ ครู่ต่อมาลูบผมนางเป็นการปลอบนี่เป็นเพราะเรื่องของสกุลหลินทั้งคู่จึงคืนดีกันชั่วคราว ลูบผมแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องอึดอัดใจต่อกัน ถัดมาหันมองอีกฝ่ายสายตาสอดประสานกัน พลันเกิดความรู้สึกประหม่า เบือนหน้าหนีเร็วรี่กู้หว่านเยว่รีบลุกขึ้น พูดอย่างประหม่า “เอ่อ ขอบคุณท่าน...”แววตาซูจิ่งสิงหม่นลง “ครอบครัวของเจ้าก็คือครอบครัวของข้า ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”อะไรเรียกว่าครอบครัวของ
ทางฝั่งนี้กู้หว่านเยว่กินมื้อเย็นอิ่มดีแล้ว ก็นั่งบนเตียงเตาแสร้งหลับตาพักผ่อน เพียงนึกคิดก็เข้าสู่มิติวิเศษตรวจดูหอการค้าแล้วทำให้นางดีใจก็คือ เก้าอี้ไม้หลีฮวาถูกขายไปแล้ว!ยิ่งไปกว่านั้นเพราะนางตั้งราคาอย่างไม่ตั้งใจเพียงหมื่นเดียว ถูกมากเกินไป ผู้ซื้อไม่เพียงไม่ต่อรองราคา ยังเขียนข้อเสนอแนะหนึ่งพันตัวอักษรให้นาง เป็นการแนะนำในหน้าแรกของการค้นหาเรียกความสนใจจากนักสะสมซื้อของสะสมเป็นจำนวนมาก นักสะสมเหล่านี้ต่างทิ้งข้อความไว้ที่หน้าแรกของนาง ถามว่านางยังมีของโบราณขายอีกหรือไม่คราวนี้ ผู้ติดตามของกู้หว่านเยว่ก็เพิ่มขึ้นหลายสิบคนแล้วทันใดนั้นกู้หว่านเยว่กระตือรือร้นขึ้นมาแล้ว ยามนางปล้นก็มิได้ใส่ใจดูสิ่งของที่ได้มาในท้องพระคลังหลวงหรือคลังส่วนตัว นำของใส่ลงไปในมิติวิเศษทั้งหมดอันที่จริงบางอย่างก็ไม่ได้ใช้ แสดงออกมาก็แสดงไม่หมดมิสู้นำของที่ไม่ได้ใช้ทั้งหมดวางลงบนหน้าจอขายสินค้า ให้ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นเงินจากนั้นใช้เงินเหล่านี้ ไปซื้อของภายในหอการค้าเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงสามารถขายสินค้าที่ปล้นมาเหล่านี้ออกไป ยังสามารถซื้อสินค้าในยุคปัจจุบันเข้ามาได้อีกด้วยยิ่งไปกว่านั้น หอกา
ก่อนนี้กู้หว่านเยว่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเงินในกระเป๋ามาจากที่ใด บัดนี้มีสกุลหลินบังหน้า นางจับจ่ายขึ้นมาก็ไม่ต้องปิดบังเลยแม้แต่น้อยเสื้อผ้าเครื่องนอน เสบียงอาหาร ยังซื้อเสื้อฟางกันฝนเตรียมไว้ใช้ในยามจำเป็นขณะเตรียมของสำหรับครอบครัวตนเอง นางเองก็ไม่ลืมพวกสกุลเหยียนและสกุลเซิ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ซื้อให้พวกเขาอีกเล็กน้อยแค่เพียงเล็กน้อย รับรองว่าพวกเขาไม่มีวันหิวตายก็พอ มากไปนางกู้หว่านเยว่มิใช่พระแม่ ไม่สามารถมอบให้ได้กระนั้นสิ่งนี้ทำให้กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด ต้องให้พวกเขาพยายามหามาด้วยตนเองถึงจะใช้ได้หาปลาให้คนกินมิสู้สอนคนจับปลา พึ่งพานางไปตลอดมิใช่หนทางแก้ปัญหาทว่านี่คือความคิดเกิดขึ้นชั่วขณะของกู้หว่านเยว่ ส่วนต้องทำเยี่ยงไร ยังต้องให้นางคิดดีๆทางฝั่งนี้ จางเอ้อร์และพวกนักการศาลาว่าการเห็นกำลังการซื้อของกู้หว่านเยว่แล้ว แต่ละคนล้วนตกตะลึงอ้าปากค้างดูท่าแล้วสกุลหลินมอบเงินให้ไม่น้อย หาไม่แล้วคงไม่จับจ่ายตามสะดวกได้มากเพียงนี้“พี่ใหญ่จาง ข้าอยากไปดูสกุลหลินสักหน่อย” กู้หว่านเยว่ซื้อของเรียบร้อยแล้วก็วางบนลาเทียมเกวียน หันหน้าปรึกษาจางเอ้อร์“ท่านอยากไปดูบ้าน
“อยู่ต่อหน้านักการแห่งศาลาว่าการก็กล้าตีคน เจ้าเสียสติไปแล้วกระมัง?”จางเอ้อร์และนักการแห่งศาลาว่าการอีกสองคนยืนขนาบข้างกายกู้หว่านเยว่ ช่วยสนับสนุนนางแม้ไม่รู้เพราะเหตุใดกู้หว่านเยว่ต้องช่วยออกหน้าแทนคนไม่รู้จัก แต่คนเหล่านี้ล้วนเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่โดยไม่มีเงื่อนไขยิ่งไปกว่านั้นคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าของร้าน พวกเขาเองก็ได้ยินแล้ว เจ้าของร้านคนนี้เป็นพวกรังแกคนอ่อนแอกว่าคนหนึ่ง“บัณฑิตคนนี้ไม่อยากขายตำรับให้เจ้า เจ้าก็แย่งเขา? ไฉนเลยจะปล่อยให้เจ้าทำเช่นนี้ได้?”“เข้าใจผิดๆ ก็คือพวกเดียวกันไม่รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันดุจน้ำหลากลงวัดมังกร พวกใต้เท้าอย่าถือสาเลย” เจ้าของร้านเองก็คิดไม่ถึง ตนเองตีคนจนคุ้นชินแล้ว วันนี้ถึงขั้นยังมีนักการแห่งศาลาว่าการขวัญกล้ามาดูแล รีบเอ่ย “เป็นเจ้าคนนี้พูดว่าต้องการขายตำรับอาหารให้ข้า ผลปรากฏว่านึกเสียใจภายหลังแล้ว ท่านว่านี่เขามิใช่กำลังหลอกคนหรือ?”เว่ยเฉิงเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก เปล่งเสียงหนัก “ตำรับนี้ข้าขายหนึ่งร้อยตำลึง เจ้ากลับให้เพียงสิบตำลึง ไม่ให้เจ้าก็แย่งไป ข้าว่าเจ้าไม่ใช่เจ้าของร้าน เป็นโจรต่างหาก!”“เจ้า!” ใบหน้าเจ้าของร้านแดงก่ำ ให้ตายเ
ทว่าน่าเสียดายหญิงเช่นนี้ สุดท้ายกลับถูกผู้คุมนักโทษขืนใจจนพุ่งชนกำแพงตายหากนางจำไม่ผิด ตำรับอาหารเลิศรสในมือเว่ยเฉิงนี้ สุดท้ายถูกพระเอกหวายหนานอ๋องนำไปขายหวายหนานอ๋องเองก็กลายเป็นผู้ค้นพบพรสวรรค์ของเว่ยเฉิง สำหรับเขาก็คือผู้มีบุญคุณต่อกันกู้หว่านเยว่ครุ่นคิด หากตำรับอาหารนี้ถูกสกุลหลินซื้อไปถ้าอย่างนั้นใช่หรือไม่ว่าบุญคุณที่หวายหนานอ๋องมีต่อเว่ยเฉิง ก็ไม่มีเฉกเดียวกัน ส่วนจุดจบของเว่ยเฉิงเองก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้?ระหว่างครุ่นคิด เรือนสกุลหลินอยู่ข้างหน้าแล้วนายท่านผู้เฒ่าหลินกำลังคิดจะไปหากู้หว่านเยว่อยู่พอดี ครั้นมองเห็นนางสีหน้าก็ยังมีความกลัวติดอยู่“ต้องขอบคุณความฝันนั้นของเจ้า เมื่อคืนพวกเราจับพวกโจรชั่วได้แถวเรือนจริงๆ หลังมอบคนให้ทางการแล้ว ก็ทรมานให้เผยตัวคนลงแรงอยู่เบื้องหลังออกมาหากมิใช่พวกเจ้าเตือนได้ทันเวลา อีกสองวันพวกเขาก็จะลงมือแล้ว เมื่อนั้นก็สายไปแล้วล่ะ”นายท่านผู้เฒ่าหลินพูดไป เหงื่อเย็นผุดออกจากแผ่นหลังเรื่องนี้พูดง่าย แต่เกิดขึ้นจริง พวกเขาทั้งครอบครัวยี่สิบกว่าคน ล้วนต้องตายไม่มีใครรอด!บัดนี้เขารู้สึกโชคดีเหลือเกิน เมื่อวานฟังคำเตือนของกู้ห
คลำอยู่พักหนึ่ง หยิบชุดสีดำทั้งสองชิ้นออกมาจากข้างล่างสุดเพียงซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงมองเห็นเสื้อผ้าตัวยาว ก็รู้ว่าไม่ใช่ของพวกเขาเห็นกู้หว่านเยว่ถือเสื้อผ้าเดินไปหาซูจิ่งสิง ทั้งสองคนเข้าใจในทันใด ที่แท้ก็ซื้อให้พี่ใหญ่นี่เองเผยอากัปกิริยาซุบซิบนินทา ส่งยิ้มให้กัน แอบดูที่ด้านข้างซูจิ่งสิงเองก็คิดไม่ถึงกู้หว่านเยว่จะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เขา เห็นนางเดินเข้าใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนความประหม่าครู่ถัดมาเบือนหน้า แต่กลับถูกกู้หว่านเยว่ดึงกลับมาเบาๆ“อย่าขยับ ให้ข้าเทียบดูว่าเสื้อผ้าสองชุดนี้พอดีตัวท่านหรือไม่”ซูจิ่งสิงอยู่นิ่งๆ ไม่กล้าขยับอีก ก็แค่ร่างกายกลับแข็งทื่อเป็นเส้นตรงตามการเคลื่อนไหวของนางกู้หว่านเยว่ยกมุมปากอย่างอดไม่ได้ชายคนนี้ปกติดูแล้วสุขุมเยือกเย็น แต่ทุกครั้งตนเองเข้าใกล้เขา เขาก็สะเทิ้นอายคล้ายแม่นางคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้นน่ารักยิ่งนักทันใดนั้นนางเกิดนึกสนุกขึ้นมา แตะโดนตัวเขาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ“ความยาวพอดีแล้ว แต่แขนเสื้อยังต้องวัดอีกหน่อย ส่วนเอวให้ข้าดูหน่อยว่าแน่นหรือไม่...”ลมหายใจชายบนเตียงเตาว้าวุ่นแล้ว กลีบปากบางเม้มแน่น แม้แต่หน้าผากก
มีเพียงครอบครัวสกุลซูหนึ่งกลุ่มต้องทุกข์ทรมานจับจ้องทุกคนกำลังแจกจ่ายของกิน มีเพียงพวกเขาแม้ขนเส้นเดียวก็ไม่มี สายตาริษยาของแต่ละคนแดงก่ำ ไม่กล้าขยับขึ้นไปหาเรื่อง ทำได้เพียงสบถด่าทุกคนรออยู่ภายในโรงเตี๊ยม จนกระทั่งซุนอู่ไปรายงานศาลาว่าการประจำเมืองเรียบร้อยดีแล้ว ถึงเดินทางออกจากเมืองฉูโจวทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือ พวกเขาถึงขั้นพบเว่ยเฉิงอีกครั้งที่หน้าประตูเมือง“แม่นางกู้ นับว่ารอจนได้พบเจ้าแล้ว”หลังเว่ยเฉิงมองเห็นกู้หว่านเยว่ รีบถลันขึ้นมาต้อนรับ ที่แท้เขาก็ได้รู้ฐานะของกู้หว่านเยว่ผ่านปากของสกุลหลิน จึงมารอนางที่หน้าประตูเมือง“ขอบคุณแม่นางกู้ สกุลหลินรับตำรับอาหารของข้าไว้แล้ว ให้เงินข้ามากถึงห้าร้อยตำลึง”สกุลหลินเห็นแก่ฐานะของกู้หว่านเยว่ ใจกว้างต่อเขามาก ไม่เพียงมอบเงินให้ห้าร้อยตำลึงซื้อตำรับอาหารเลิศรส มิหนำซ้ำยังมอบเงินปันผลให้เขาอีกปีละห้าร้อยตำลึงสิ่งนี้สำหรับคนที่อยู่ท่ามกลางความลำบากเช่นเว่ยเฉิง ก็คือสมบัติก้อนโตอย่างไม่ต้องสงสัยเขาขอบคุณกู้หว่านเยว่อีกครั้ง “บุญคุณของแม่นางกู้ ข้าน้อยจำไว้แล้ว ภายภาคหน้ามีโอกาสจะต้องตอบแทนเป็นแน่”กู้หว่านเยว่ยิ้มน้อย
หากซูหัวจวิ้นกล้าหาเรื่องนาง นางก็คันไม้คันมือพอดี จะได้ระบายออกสักหน่อยซูจิ่นเอ๋อร์ยังคงเป็นห่วง ตั้งแต่หลี่ซือซือตายไป ท่านอาสี่เหมือนกลายเป็นบ้าไปแล้วคนบ้าคนหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรได้บ้าง?“พี่สะใภ้ใหญ่ อย่างไรท่านก็ต้องระวังตัว มีเรื่องใดก็ตะโกนได้เลย ข้าจะเข้าไปตีเขาให้ตาย!”“ข้าไม่เป็นไร เจ้าดูแลตัวเองกับท่านแม่ให้ดีก็พอ ข้าจะพาพี่ใหญ่เจ้าไปอาบน้ำ”ระหว่างพูดคุยกัน กู้หว่านเยว่แบกซูจิ่งสิงขึ้นหลัง แล้วพาเดินไปทางห้องครัวพอไปถึงห้องครัว ซูจิ่งสิงรีบลงมาบนพื้นอย่างว่องไว พร้อมสีหน้าเขินอาย“ข้าอาบเองได้”“อ่อ”กู้หว่านเยว่เองก็ไม่คิดจะช่วยเขาอาบ“ข้าจะเข้าไปอาบในมิติ ท่านอาบอยู่ข้างนอก อาบไปด้วยช่วยข้าดูต้นทางไปด้วยนะ”มิติหรือ? มันคือสิ่งใด?ซูจิ่งสิงกำลังสงสัย แล้วเห็นกู้หว่านเยว่ลงกลอนประตูห้องครัรว จากนั้นร่างกายสั่นไหว หายไปกลางอากาศ“กู้หว่านเยว่!”เมื่อหญิงสาวหายไปกะทันหัน ทำให้เขาปวดใจ กระทั่งกลัวว่านางจะไม่กลับมาอีกแล้วกู้หว่านเยว่เพิ่งเข้าไปในมิติ พลันได้ยินเสียงซูจิ่งสิงเรียกชื่อนางเสียงต่ำอยู่ข้างนอก“เรียกข้าทำไม?” นางรีบปรากฏตัวอย่างรวดเ
“ไม่หรอก พวกเราหนีออกมาได้แล้ว ใครก็อย่าคิดจะจับตัวพวกเรากลับไปอีก”ฟู่เยียนหรานขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น“อีกเดี๋ยวข้าจะไปสืบดูฐานะของพวกเขา ไม่น่าจะมาเพราะพวกเรา”“พี่หญิง ข้าก็ยังกลัว...” ฟู่ซานก้มหน้าลง“กลัวอะไรกัน เจ้าลืมไปแล้วหรือตอนข้าเกิดมามวลวิหคน้อมคารวะ นั่นคือการกำเนิดของผู้มีบุญญาธิการ ข้าเชื่อว่าต้องทำได้ แค่ขาดโอกาสเท่านั้น”……กู้หว่านเยว่ที่อยู่ด้านนอกได้ยินดังนั้น แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นยิ้มนี่ไม่ใช่นางเอกหรือ?ผู้ที่มีปรากฏการณ์จากฟ้ายามตกฟาก คือฟู่เยียนหรานที่เป็นคู่ของมู่หรงอวี้ ฮองเฮาในอนาคตของต้าฉี!นึกไม่ถึงว่าจะได้พบนางที่หมู่บ้านไร้ชื่อแห่งนี้ ฟู่เยียนหรานผู้นี้โหดเหี้ยมไม่น้อย นางคือลูกที่เกิดจากอนุภรรยาของหนานหยางอ๋อง ถูกแม่ใหญ่จับคู่ให้แต่งงานกับรองแม่ทัพคนหนึ่งของบิดานางเห็นรองแม่ทัพผู้นั้นเป็นคนหยาบกระด้าง ในวันแต่งงานจึงพาน้องชายหนีออกมา ระหว่างทางถูกมู่หรงอวี้ช่วยไว้ทั้งสองตกหลุมรักกันอย่างดุเดือด หลังจากฟู่เยียนหรานกลับไปจึงวางยาพิษหนานหยางอ๋องจนตาย แล้วมอบอำนาจทหารให้มู่หรงอวี้วางยาพิษบิดาจนตาย เรื่องเช่นนี้คนทั่วไปทำไม่ได้พอนึก
“เร็ว รีบเดินเร็วเข้า!”กู้หว่านเยว่รีบหันไปเอ่ยกับพวกของเหยียนฮูหยิน “เหยียนฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง พวกท่านนำเด็กมาไว้ในรถของข้าเถอะ พวกเราต้องเร่งเดินทาง”กู้หว่านเยว่นำผ้าห่มทิ้ง เพื่อให้พวกเด็กน้อยมีที่ว่าง หลายตระกูลตื้นตันอย่างมาก จึงรีบอุ้มเด็กขึ้นไปทันทีคนทั้งขบวนฝ่าลมพายุฝนกระหน่ำ เดินทางต่อเนื่อง ในที่สุดหลังผ่านไปสองชั่วยามมองเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืด “เป็นหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้าน!”หลังถูกฝนกรดเล่นงานมาทั้งคืน ขณะนี้บนตัวทุกคนเปื้อนของเหลวเหนียวข้น สภาพมอมแมม น่าอนาถยิ่งกว่าขอทาน“มีคนอยู่หรือเปล่า?”ซุนอู่รีบพาคนไปเคาะประตูของครอบครัวหนึ่งทันที คนที่เปิดประตูคือชาวนาเฒ่าคนหนึ่ง“ผู้อาวุโส ให้พวกเราพักค้างคืนที่บ้านพวกท่านสักคืนได้หรือไม่?”“ฝนตกแรงขนาดนี้ พวกเจ้ารีบเข้ามาเถอะ”ชาวนาเฒ่ารีบพยักหน้า แล้วปล่อยทุกคนเข้าไปภายในเรือนที่เรียบง่าย สภาพแวดล้อมแย่ยิ่งกว่าห้องรวมของโรงเตี๊ยมเสียอีก ทว่าขณะนี้มีที่ให้พักพิง ทุกคนก็พอใจมากแล้วในขณะที่ทุกคนเตรียมจะกรูกันเข้าไป ภายในกลับมีเสียงหนึ่งที่ไม่สบอารมณ์ดังขึ้นทันที“ไหนว่าคืนนี้จะให้พวกเราค้างแรมที่บ้านหลังนี้
กู้หว่านเยว่ได้ให้มิตินำแผนที่ของภูเขาในระแวกนี้ออกมาตั้งแต่แรกแล้ว รู้ว่าเดินต่อไปข้างหน้าอีกสองชั่วยาม จะมีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง“หากท่านเชื่อข้า ให้ทุกคนเดินตามข้าไป”“เดินตามเจ้าหรือ?”ซุนอู่ลังเลกู้หว่านเยว่เก่งมาก แต่ก็ไม่ใช่เรดาร์ค้นหาเส้นทางจางเอ้อร์ที่อยู่ข้างกันเอ่ยขึ้น “หัวหน้า ข้าว่าฝนนี่ประหลาดยิ่งนัก หากตากนานไปไม่รู้จะมีโรคใดหรือไม่ ถ้าอย่างไรฟังข้อเสนอแนะจากแม่นางกู้น้อยเถอะ”เขาสำทับ“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราก็ฟังแม่นางน้อยกู้มาตลอด ไม่เคยมีสิ่งใดผิดพลาดเลย”“ก็ใช่”ประสบการณ์ของหัวหน้านักว่าการอย่างเขายังไม่เท่ากู้หว่านเยว่“เช่นนั้นก็ได้ เจ้านำทางอยู่ข้างหน้า พวกเราจะตามเจ้าไป”ระหว่างที่พูด ซุนอู่ให้นักการไปปลุกทุกคนให้ตื่น เพื่อให้พวกเขาเร่งออกเดินทางคนอื่น ๆ เองก็รู้สึกถึงความผิดปกติของสายฝน ไม่ต้องให้นักการไปปลุก พวกเขาก็เดินทางอย่างรวดเร็วแต่กลับลำบากคนสกุลซูนางหลิวต้องพาคนบาดเจ็บไปด้วย ทำให้เดินไม่ไหวเมื่อเห็นรถเทียมลาของกู้หว่านเยว่ นางจึงขอร้องเสียงอ่อน“หว่านเยว่ เจ้าดูสิว่าพอจะให้ท่านอาสี่ของเจ้าขึ้นไปนอนบนรถม้าได้หรือไม่?”ต่อสู้ก
ซูหัวจวิ้นชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า“หลี่ซือซือ หลี่ซือซือนางมาหาข้าแล้ว”แม้หลี่ซือซือจะสมควรได้รับโทษ แต่เมื่อได้ยินซูหัวจวิ้นกล่าวเช่นนี้ อีกทั้งรอบด้านมืดสนิท จึงทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกซู่ รีบหันมองรอบด้านทันทีซุนอู่เองก็รู้สึกว่าลมเย็นพัดมาเป็นระลอก จึงหยิบแส้เดินไปตรงหน้าซูหัวจวิ้น พร้อมหวดแส้ใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์“หากกล้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะหวดเจ้าให้ตาย!”“โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย ข้าเปล่าพูดเหลวไหลนะ หลี่ซือซือมาแล้วจริง ๆ นางโกรธข้าที่ไม่ควรเรียกนางมา โกรธข้าที่ไม่ได้ปกป้องนาง...ยังมีท่านแม่ นางโกรธท่านด้วย!”ซูหัวจวิ้นชี้ไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าซูกะทันหัน ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซูกรีดร้องเสียงดัง“ว๊าย ว๊าย ว๊าย เจ้าสี่ เจ้าจะตายแล้วหรือไร พูดบ้าอะไรของเจ้า?”ซูจิ่นเอ๋อร์ตัวสั่นงก ๆ แล้วขดตัวอยู่ในอ้อมกอดนางหยาง “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านว่า หลี่ซือซือนาง...”กู้หว่านเยว่เหลือบมองนาง ไม่ตอบกลับย้อนถาม “เจ้าทำเรื่องผิดศีลธรรมหรือ?”“เปล่าเจ้าค่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ครุ่นคิด นอกจากแรกเริ่มที่นางโง่เขลา นอกนั้นไม่น่าจะเคยทำเรื่องผิดศีลธรรรม“หากไม่ได้ทำเรื่องผิดศีลธรรม เจ้าจะกลัวอะไร”เกรงว่าคำพูดของซูหัวจวิ
นักการในศาลาว่าการหลายคนไปตามเสียงร้องตกใจของฮูหยินผู้เฒ่าซู“เอะอะโวยวายอะไรกัน? รีบหุบปากเดี๋ยวนี้”“นาง...ซือซือ นางตายแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าซูชี้ไปที่หลี่ซือซือบนพื้น สีหน้าหวาดกลัวมากจะว่าไปหลี่ซือซือก็น่าสงสารมาก ก่อนตายอยากกินให้อิ่มสักมื้อ แต่กลับถูกต่อว่าไปหนึ่งยกใบหน้าชราของฮูหยินผู้เฒ่าซูกระตุก“นางคงไม่มาหาข้าตอนกลางดึกหรอกนะ?”“ไม่หรอกเจ้าค่ะ นางจะกล้าได้อย่างไร ท่านเป็นท่านยายของนางนะ” นางหลิวเบะปาก ไม่สงสารหลี่ซือซือสักนิดนางแพศยาที่ให้ท่าสามีนาง ตายไปได้ก็ดีฮูหยินผู้เฒ่าซูกลับแอบคิดว่า เพราะเป็นท่านยายยังไม่สนใจว่านางจะเป็นตายอย่างไร จึงเป็นห่วงว่านางจะมาหากลางดึกสองวันมานี้ ทุกครั้งที่หลี่ซือซือขอให้นางป้อนน้ำให้กิน นางมักปฏิเสธอย่างรังเกียจนักการสองคนก้มตัวลง เมื่อแน่ใจว่าหลี่ซือซือหมดลมหายใจแล้วจริง ๆ จึงหันไปรายงานซุนอู่“ให้คนสกุลซูจัดการกันเอง”ซุนอู่สีหน้าเรียบเฉย หลี่ซือซือทำเรื่องชั่วมากมาย ตายไปได้ก็ดีคนสกุลซูย่อมไม่มีใครจัดการเรื่องนี้ อย่าว่าแต่ซูหัวจวิ้นที่สนิทกับนางมากที่สุดซึ่งจะกำลังร่อแร่ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าซูยังรู้สึกอัปมงคล จนต้องย้าย
โชคดีที่กู้หว่านเยว่ฉลาด เพียงไม่นาน ก็รู้แล้วว่าควรควบคุมรถเทียมลาอย่างไรทุกคนหิวโซกันหมด เมื่อยามนี้มีเสบียงอาหาร ย่อมต้องรีบกินให้อิ่มหนำจึงถางที่ขึ้นมาแห่งหนึ่ง จากนั้นซุนอู่สั่งให้ขบวนหยุดพัก แล้วพักกินอาหารกันที่นั่นกู้หว่านเยว่นำอาหารสุกที่เสียง่ายออกมาทั้งหมด แล้วแบ่งให้ครอบครัวอื่น ๆ สิ่งตอบแทนคือช่วยพวกนางทำความสะอาด และเย็บเสื้อผ้ากับรองเท้าถุงเท้าถือเป็นการให้ความช่วยเหลือทางอ้อม หลายครอบครัวนั้นย่อมไม่ปฏิเสธ กระทั่งสตรีในหลายครอบครัวเป็นฝ่ายช่วยพวกนางเก็บฟืนก่อไฟชั่วขณะนั้น ภายในขบวนมีควันโขมง กลิ่นหอมของอาหารอบอวลไปทั่วทุกคนที่หิวโซถืออาหารกินเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อยกู้หว่านเยว่นำเป็นย่างออกมาสองตัว ใช้มีดเล็กหั่นเป็นชิ้น จากนั้นแบ่งให้ซูจิ่นเอ๋อร์และนางหยางทุกคนไม่มีตะเกียบ จึงหยิบอาหารกินด้วยมือเปล่า ยัดเนื้อชิ้นใหญ่เข้าปาก ดูแล้วช่างสะใจ“ท่านแม่ ไม่ต้องกินอย่างประหยัด บนรถลาของพวกเรายังมีอีก”กู้หว่านเยว่เป็นห่วงว่านางหยางจะเก็บอาหารไว้ให้พวกนาง ไม่ยอมกิน จึงเอ่ยเตือนนางหยางหัวเราะ จากนั้นพยักหน้า ทว่าก็ยังฉีกน่องเป็ดที่ใหญ่ที่สุดออกมา เพื่อเก็บไว้ใ
“อืม อย่างนั้นก็ได้” กู้หว่านเยว่ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดต่อ ยามมู่อวิ๋นหวานขึ้นมา นางไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรในไม่ช้า พวกนางเดินทางไปได้ไม่นาน คนของสกุลอวิ๋นก็ตามมาชายที่เป็นผู้นำกวาดตามองท่ามกลางฝูงชนหนึ่งรอบ จากนั้นสายตาเพ่งไปที่อวิ๋นมู่ จากนั้นรีบขี่ม้าเข้าไปหาเขาดึงบังเหียนลงจากม้า จากนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าอวิ๋นมู่“คุณชายน้อย ในที่สุดก็หาท่านพบจนได้ เหตุใดองครักษ์มู่ชิงจึงบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น? ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่ขอรับ?”“กลับไปค่อยว่ากัน”เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นมู่ไม่อยากพูดมาก“ขอรับ”อาฝูเองก็สังเกตเห็นผู้คนรอบข้างมากมาย จึงรีบสั่งให้คนเข้าไปรับตัวมู่ชิงลงจากหลังของอวิ๋นมู่“คุณชาย พวกเราไปกันตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ?”อวิ๋นมู่รู้สึกลังเล แล้วหันมองกู้หว่านเยว่ที่อยู่ไม่ไกลครั้งหนึ่งเรื่องของบ่อน้ำมันก๊าดเขาจำเป็นต้องจัดการด้วยตัวเอง เขาคงไม่สามารถร่วมเดินทางไปกับขบวนเนรเทศได้แล้วอวิ๋นมู่เดินไปตรงหน้ากู้หว่านเยว่ จากนั้นเอ่ยลาอีกฝ่ายอยู่สองสามคำ พร้อมมอบเสบียงให้ แล้วหันหลังขึ้นรถม้าจากไปแม้ครั้งนี้ต้องจากกัน ทว่า ช้าเร็วพวกเขาต้องได้พบกันอีกแน่นอน“อวิ๋นมู่ชอบเจ้า”ก
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านหรูโมโหถลันขึ้นมาจะทำร้ายนาง กลับถูกซูจิ่งสิงเตะกระเด็นออกไป“เด็กๆ โยนพวกเขาออกไป”เขาไม่รักหยกถนอมบุปผาองครักษ์เข้ามาอย่างว่องไว จับคนทั้งสามไว้ หามออกไปภายนอก ผู้อาวุโสสูงสุดอายุมากแล้ว ยังถูกหามไว้บนบ่า หน้าตาศักดิ์ศรีล้วนหมดไปจนสิ้นสองสามคนร้องตะโกนด่าทออย่างอดไม่ได้“กู้หว่านเยว่ เจ้าไม่สามารถทำกับพวกเราเช่นนี้ได้ พวกเราดีชั่วอย่างไรก็เป็นบ้านมารดาของเจ้า”“อย่าคิดว่าตอนนี้ท่านอ๋องปกป้องเจ้า สตรีไม่มีบ้านมารดา รอเจ้าถูกรังเกียจ เจ้าก็ไม่นับเป็นอะไรอีก!”สีหน้าซูจิ่งสิงดำทึบทึม ถึงขั้นทำเช่นนี้ต่อหน้าเขา?“โยนออกไป โยนออกไปยิ่งไกลยิ่งดี”เขาออกคำสั่ง องครักษ์ลงมือว่องไวมากยิ่งขึ้นซูจิ่งสิงกลัวคำพูดของพวกเขาจะเข้ามาอยู่ภายในใจกู้หว่านเยว่ หันหลังกลับไปรับปากอย่างน้อยใจ“น้องหญิง เจ้าวางใจ ชาตินี้ข้าไม่มีวันรังเกียจเจ้า”“ใช่แล้ว” นางหยางรีบจับมือกู้หว่านเยว่ ผินมองซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง“หว่านเยว่ หากเขาทำไม่ดีต่อเจ้า พวกเราทั้งครอบครัวไม่มีวันปล่อยเขาไป”“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะยืนอยู่ฝั่งท่านแน่”ซูจื่อชิงเองก็รีบพูด ซูจิ้งมีสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม