บังเอิญนายท่านผู้เฒ่าหลินเองก็อยากสนทนากับซูจิ่งสิงพอดีอย่างไรเสียกู้หว่านเยว่ก็คือหลานสาวสุดที่รักของพวกเขา ส่วนซูจิ่งสิงเป็นหลานเขยของพวกเขา เป็นคนที่กู้หว่านเยว่ต้องพึ่งพาอาศัยทั้งชีวิตนายท่านผู้เฒ่าหลินมาที่เตียงเตา เพ่งพิศซูจิ่งสิงซูจิ่งสิงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ทำความเคารพเขาในฐานะผู้น้อยทีหนึ่งจากนั้นสุขุมหนักแน่นดุจภูเขาไท่ซาน ตั้งแต่เริ่มจนจบยิ้มน้อยๆ อย่างมีมารยาท ปล่อยให้นายท่านผู้เฒ่าหลินสำรวจตนเองอย่างอิสระอันที่จริง นายท่านผู้เฒ่าหลินไม่ค่อยพอใจซูจิ่งสิงอยู่ภายในใจหลานสาวเพิ่งแต่งงานเข้าไปก็ต้องเดือดร้อนถูกเนรเทศไปด้วยกัน ยังกลายเป็นคนพิการอีก มีครอบครัวญาติที่ใดจะชมชอบแต่สบมองสีหน้าสุขุมหนักแน่นของซูจิ่งสิง นายท่านผู้เฒ่าหลินเองจะไม่ยอมรับคงไม่ได้ ว่าเด็กคนนี้มีรัศมีไม่ธรรมดาเขาเป็นฝ่ายนั่งลงพูดคุยกับซูจิ่งสิงก่อนกู้หว่านเยว่มองอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าซูจิ่งสิงพูดอะไรกับท่านตามองเห็นท่านตาเผยสีหน้าใคร่ครวญหนักใจเป็นอย่างแรก ต่อมาค่อยๆ เผยสีหน้าเลื่อมใสในที่สุดทั้งสองสนทนากันราวสิบกว่านาที ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนแม้กู้หว่านเยว่แปลกใจ แต่กลัวทำให้แผน
“ครอบครัวพวกเขาอยู่อย่างถ่อมตน ไม่เคยมีปัญหากับผู้อื่น ที่เหลือก็มีเพียงศัตรูทางการค้าแล้วส่วนที่สามารถทำเรื่องฆ่าล้างตระกูลพรรค์นี้ได้ จะต้องหาคนชั่วเสียยิ่งกว่าชั่วในยุทธภพ คนเช่นนี้จ้างวานยากนักดังนั้น ข้าจึงถามว่าช่วงนี้มีโจรนักฆ่าหนีมายังฉูโจวหรือไม่”กู้หว่านเยว่ฟังการวิเคราะห์โดยละเอียดของซูจิ่งสิงแล้ว สายตาชื่นชมอย่างอดไม่ได้สมองของชายคนนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้วกระมัง เวลาสั้นๆ ถึงขั้นวิเคราะห์ออกมาได้มากเพียงนี้“ถ้าอย่างนั้นท่านตาสามารถสืบหาคนอยู่เบื้องหลังได้หรือไม่?”“ย่อมได้ เจ้าวางใจ คนมีความคิดลึกซึ้งเพียงนี้มีไม่กี่คน ท่านตาของเจ้าตั้งข้อสันนิษฐานดูสักหน่อยก็เดาออกแล้ว”ซูจิ่งสิงพูดจบ ครู่ต่อมาลูบผมนางเป็นการปลอบนี่เป็นเพราะเรื่องของสกุลหลินทั้งคู่จึงคืนดีกันชั่วคราว ลูบผมแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องอึดอัดใจต่อกัน ถัดมาหันมองอีกฝ่ายสายตาสอดประสานกัน พลันเกิดความรู้สึกประหม่า เบือนหน้าหนีเร็วรี่กู้หว่านเยว่รีบลุกขึ้น พูดอย่างประหม่า “เอ่อ ขอบคุณท่าน...”แววตาซูจิ่งสิงหม่นลง “ครอบครัวของเจ้าก็คือครอบครัวของข้า ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”อะไรเรียกว่าครอบครัวของ
ทางฝั่งนี้กู้หว่านเยว่กินมื้อเย็นอิ่มดีแล้ว ก็นั่งบนเตียงเตาแสร้งหลับตาพักผ่อน เพียงนึกคิดก็เข้าสู่มิติวิเศษตรวจดูหอการค้าแล้วทำให้นางดีใจก็คือ เก้าอี้ไม้หลีฮวาถูกขายไปแล้ว!ยิ่งไปกว่านั้นเพราะนางตั้งราคาอย่างไม่ตั้งใจเพียงหมื่นเดียว ถูกมากเกินไป ผู้ซื้อไม่เพียงไม่ต่อรองราคา ยังเขียนข้อเสนอแนะหนึ่งพันตัวอักษรให้นาง เป็นการแนะนำในหน้าแรกของการค้นหาเรียกความสนใจจากนักสะสมซื้อของสะสมเป็นจำนวนมาก นักสะสมเหล่านี้ต่างทิ้งข้อความไว้ที่หน้าแรกของนาง ถามว่านางยังมีของโบราณขายอีกหรือไม่คราวนี้ ผู้ติดตามของกู้หว่านเยว่ก็เพิ่มขึ้นหลายสิบคนแล้วทันใดนั้นกู้หว่านเยว่กระตือรือร้นขึ้นมาแล้ว ยามนางปล้นก็มิได้ใส่ใจดูสิ่งของที่ได้มาในท้องพระคลังหลวงหรือคลังส่วนตัว นำของใส่ลงไปในมิติวิเศษทั้งหมดอันที่จริงบางอย่างก็ไม่ได้ใช้ แสดงออกมาก็แสดงไม่หมดมิสู้นำของที่ไม่ได้ใช้ทั้งหมดวางลงบนหน้าจอขายสินค้า ให้ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นเงินจากนั้นใช้เงินเหล่านี้ ไปซื้อของภายในหอการค้าเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงสามารถขายสินค้าที่ปล้นมาเหล่านี้ออกไป ยังสามารถซื้อสินค้าในยุคปัจจุบันเข้ามาได้อีกด้วยยิ่งไปกว่านั้น หอกา
ก่อนนี้กู้หว่านเยว่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเงินในกระเป๋ามาจากที่ใด บัดนี้มีสกุลหลินบังหน้า นางจับจ่ายขึ้นมาก็ไม่ต้องปิดบังเลยแม้แต่น้อยเสื้อผ้าเครื่องนอน เสบียงอาหาร ยังซื้อเสื้อฟางกันฝนเตรียมไว้ใช้ในยามจำเป็นขณะเตรียมของสำหรับครอบครัวตนเอง นางเองก็ไม่ลืมพวกสกุลเหยียนและสกุลเซิ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ซื้อให้พวกเขาอีกเล็กน้อยแค่เพียงเล็กน้อย รับรองว่าพวกเขาไม่มีวันหิวตายก็พอ มากไปนางกู้หว่านเยว่มิใช่พระแม่ ไม่สามารถมอบให้ได้กระนั้นสิ่งนี้ทำให้กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด ต้องให้พวกเขาพยายามหามาด้วยตนเองถึงจะใช้ได้หาปลาให้คนกินมิสู้สอนคนจับปลา พึ่งพานางไปตลอดมิใช่หนทางแก้ปัญหาทว่านี่คือความคิดเกิดขึ้นชั่วขณะของกู้หว่านเยว่ ส่วนต้องทำเยี่ยงไร ยังต้องให้นางคิดดีๆทางฝั่งนี้ จางเอ้อร์และพวกนักการศาลาว่าการเห็นกำลังการซื้อของกู้หว่านเยว่แล้ว แต่ละคนล้วนตกตะลึงอ้าปากค้างดูท่าแล้วสกุลหลินมอบเงินให้ไม่น้อย หาไม่แล้วคงไม่จับจ่ายตามสะดวกได้มากเพียงนี้“พี่ใหญ่จาง ข้าอยากไปดูสกุลหลินสักหน่อย” กู้หว่านเยว่ซื้อของเรียบร้อยแล้วก็วางบนลาเทียมเกวียน หันหน้าปรึกษาจางเอ้อร์“ท่านอยากไปดูบ้าน
“อยู่ต่อหน้านักการแห่งศาลาว่าการก็กล้าตีคน เจ้าเสียสติไปแล้วกระมัง?”จางเอ้อร์และนักการแห่งศาลาว่าการอีกสองคนยืนขนาบข้างกายกู้หว่านเยว่ ช่วยสนับสนุนนางแม้ไม่รู้เพราะเหตุใดกู้หว่านเยว่ต้องช่วยออกหน้าแทนคนไม่รู้จัก แต่คนเหล่านี้ล้วนเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่โดยไม่มีเงื่อนไขยิ่งไปกว่านั้นคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าของร้าน พวกเขาเองก็ได้ยินแล้ว เจ้าของร้านคนนี้เป็นพวกรังแกคนอ่อนแอกว่าคนหนึ่ง“บัณฑิตคนนี้ไม่อยากขายตำรับให้เจ้า เจ้าก็แย่งเขา? ไฉนเลยจะปล่อยให้เจ้าทำเช่นนี้ได้?”“เข้าใจผิดๆ ก็คือพวกเดียวกันไม่รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันดุจน้ำหลากลงวัดมังกร พวกใต้เท้าอย่าถือสาเลย” เจ้าของร้านเองก็คิดไม่ถึง ตนเองตีคนจนคุ้นชินแล้ว วันนี้ถึงขั้นยังมีนักการแห่งศาลาว่าการขวัญกล้ามาดูแล รีบเอ่ย “เป็นเจ้าคนนี้พูดว่าต้องการขายตำรับอาหารให้ข้า ผลปรากฏว่านึกเสียใจภายหลังแล้ว ท่านว่านี่เขามิใช่กำลังหลอกคนหรือ?”เว่ยเฉิงเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก เปล่งเสียงหนัก “ตำรับนี้ข้าขายหนึ่งร้อยตำลึง เจ้ากลับให้เพียงสิบตำลึง ไม่ให้เจ้าก็แย่งไป ข้าว่าเจ้าไม่ใช่เจ้าของร้าน เป็นโจรต่างหาก!”“เจ้า!” ใบหน้าเจ้าของร้านแดงก่ำ ให้ตายเ
ทว่าน่าเสียดายหญิงเช่นนี้ สุดท้ายกลับถูกผู้คุมนักโทษขืนใจจนพุ่งชนกำแพงตายหากนางจำไม่ผิด ตำรับอาหารเลิศรสในมือเว่ยเฉิงนี้ สุดท้ายถูกพระเอกหวายหนานอ๋องนำไปขายหวายหนานอ๋องเองก็กลายเป็นผู้ค้นพบพรสวรรค์ของเว่ยเฉิง สำหรับเขาก็คือผู้มีบุญคุณต่อกันกู้หว่านเยว่ครุ่นคิด หากตำรับอาหารนี้ถูกสกุลหลินซื้อไปถ้าอย่างนั้นใช่หรือไม่ว่าบุญคุณที่หวายหนานอ๋องมีต่อเว่ยเฉิง ก็ไม่มีเฉกเดียวกัน ส่วนจุดจบของเว่ยเฉิงเองก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้?ระหว่างครุ่นคิด เรือนสกุลหลินอยู่ข้างหน้าแล้วนายท่านผู้เฒ่าหลินกำลังคิดจะไปหากู้หว่านเยว่อยู่พอดี ครั้นมองเห็นนางสีหน้าก็ยังมีความกลัวติดอยู่“ต้องขอบคุณความฝันนั้นของเจ้า เมื่อคืนพวกเราจับพวกโจรชั่วได้แถวเรือนจริงๆ หลังมอบคนให้ทางการแล้ว ก็ทรมานให้เผยตัวคนลงแรงอยู่เบื้องหลังออกมาหากมิใช่พวกเจ้าเตือนได้ทันเวลา อีกสองวันพวกเขาก็จะลงมือแล้ว เมื่อนั้นก็สายไปแล้วล่ะ”นายท่านผู้เฒ่าหลินพูดไป เหงื่อเย็นผุดออกจากแผ่นหลังเรื่องนี้พูดง่าย แต่เกิดขึ้นจริง พวกเขาทั้งครอบครัวยี่สิบกว่าคน ล้วนต้องตายไม่มีใครรอด!บัดนี้เขารู้สึกโชคดีเหลือเกิน เมื่อวานฟังคำเตือนของกู้ห
คลำอยู่พักหนึ่ง หยิบชุดสีดำทั้งสองชิ้นออกมาจากข้างล่างสุดเพียงซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงมองเห็นเสื้อผ้าตัวยาว ก็รู้ว่าไม่ใช่ของพวกเขาเห็นกู้หว่านเยว่ถือเสื้อผ้าเดินไปหาซูจิ่งสิง ทั้งสองคนเข้าใจในทันใด ที่แท้ก็ซื้อให้พี่ใหญ่นี่เองเผยอากัปกิริยาซุบซิบนินทา ส่งยิ้มให้กัน แอบดูที่ด้านข้างซูจิ่งสิงเองก็คิดไม่ถึงกู้หว่านเยว่จะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เขา เห็นนางเดินเข้าใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนความประหม่าครู่ถัดมาเบือนหน้า แต่กลับถูกกู้หว่านเยว่ดึงกลับมาเบาๆ“อย่าขยับ ให้ข้าเทียบดูว่าเสื้อผ้าสองชุดนี้พอดีตัวท่านหรือไม่”ซูจิ่งสิงอยู่นิ่งๆ ไม่กล้าขยับอีก ก็แค่ร่างกายกลับแข็งทื่อเป็นเส้นตรงตามการเคลื่อนไหวของนางกู้หว่านเยว่ยกมุมปากอย่างอดไม่ได้ชายคนนี้ปกติดูแล้วสุขุมเยือกเย็น แต่ทุกครั้งตนเองเข้าใกล้เขา เขาก็สะเทิ้นอายคล้ายแม่นางคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้นน่ารักยิ่งนักทันใดนั้นนางเกิดนึกสนุกขึ้นมา แตะโดนตัวเขาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ“ความยาวพอดีแล้ว แต่แขนเสื้อยังต้องวัดอีกหน่อย ส่วนเอวให้ข้าดูหน่อยว่าแน่นหรือไม่...”ลมหายใจชายบนเตียงเตาว้าวุ่นแล้ว กลีบปากบางเม้มแน่น แม้แต่หน้าผากก
มีเพียงครอบครัวสกุลซูหนึ่งกลุ่มต้องทุกข์ทรมานจับจ้องทุกคนกำลังแจกจ่ายของกิน มีเพียงพวกเขาแม้ขนเส้นเดียวก็ไม่มี สายตาริษยาของแต่ละคนแดงก่ำ ไม่กล้าขยับขึ้นไปหาเรื่อง ทำได้เพียงสบถด่าทุกคนรออยู่ภายในโรงเตี๊ยม จนกระทั่งซุนอู่ไปรายงานศาลาว่าการประจำเมืองเรียบร้อยดีแล้ว ถึงเดินทางออกจากเมืองฉูโจวทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือ พวกเขาถึงขั้นพบเว่ยเฉิงอีกครั้งที่หน้าประตูเมือง“แม่นางกู้ นับว่ารอจนได้พบเจ้าแล้ว”หลังเว่ยเฉิงมองเห็นกู้หว่านเยว่ รีบถลันขึ้นมาต้อนรับ ที่แท้เขาก็ได้รู้ฐานะของกู้หว่านเยว่ผ่านปากของสกุลหลิน จึงมารอนางที่หน้าประตูเมือง“ขอบคุณแม่นางกู้ สกุลหลินรับตำรับอาหารของข้าไว้แล้ว ให้เงินข้ามากถึงห้าร้อยตำลึง”สกุลหลินเห็นแก่ฐานะของกู้หว่านเยว่ ใจกว้างต่อเขามาก ไม่เพียงมอบเงินให้ห้าร้อยตำลึงซื้อตำรับอาหารเลิศรส มิหนำซ้ำยังมอบเงินปันผลให้เขาอีกปีละห้าร้อยตำลึงสิ่งนี้สำหรับคนที่อยู่ท่ามกลางความลำบากเช่นเว่ยเฉิง ก็คือสมบัติก้อนโตอย่างไม่ต้องสงสัยเขาขอบคุณกู้หว่านเยว่อีกครั้ง “บุญคุณของแม่นางกู้ ข้าน้อยจำไว้แล้ว ภายภาคหน้ามีโอกาสจะต้องตอบแทนเป็นแน่”กู้หว่านเยว่ยิ้มน้อย
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง
“ท่านอาเทพธิดา” เว่ยเสียวฉู่ก้มหน้ามองกู้หว่านเยว่ด้วยความชื่นชอบ ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานหยดย้อยหลังจากให้กำเนิดบุตรชาย กู้หว่านเยว่ไม่อาจต้านทานเด็กสาวที่มีหน้าตาน่ารักได้อีก กระทั่งโน้มตัวลงไปบีบแก้มของนาง“สวัสดี เว่ยเสียวฉู่”“ท่านอาเทพธิดา ท้องละเจ้าคะ?” เว่ยเสียวฉู่ชี้ไปที่ท้องของนางด้วยความอยากรู้ กู้หว่านเยว่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “เด็กในท้องคลอดออกมาแล้ว เป็นน้องชายตัวน้อย”นัยน์ตาของเว่ยเสียวฉู่เปล่งประกายระยิบ นางไม่มีเพื่อนเล่นเลยตั้งแต่ที่มาถึงเจดีย์หนิงกู่“ข้าขอไปเล่นกับน้องชายได้หรือไม่เจ้าคะ?”“เสี่ยวฉู่” เจียงหรงอุ้มเด็กน้อยพลางกล่าว “ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ พระชายา นางยังเด็กยังไม่รู้ความ”สำหรับนางแล้ว องค์ชายน้อยจากราชวงศ์ไม่ใช่ใครที่จะเล่นกับเขาได้นะ?กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ข้าชอบเด็กอย่างเสี่ยวฉู่ หากมีเวลาว่าง ไว้ข้าจะพานางไปเล่นในจวน” เด็กคนนี้ดูมีความจริงใจ หลังเติบโตไปเด็กคนนี้จะได้เป็นท่านแม่ทัพหญิงที่องอาจผึ่งผาย กู้หว่านเยว่จึงชอบมาก“ขอบพระทัยพระชายาเจ้าค่ะ”เจียงหรงคลี่ยิ้ม นางเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ากู้หว่านเยว่ไม่ชอบให้ท
“ข้าคิดดีแล้ว ในเมื่อเจ้าอยากอยู่เจดีย์หนิงกู่ ข้าก็จะอยู่ที่นี่กับเจ้า ถึงตอนนั้นข้าคงหางานเขียนและวาดรูปมาเลี้ยงเจ้า”“ท่านพี่วั่ง” ดวงตาของเจียงอวิ๋นจิ่นแดงก่ำ ซาบซึ้งใจยิ่งนักครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินแผนการของทั้งสองคนแล้ว ตัดสินใจว่าจะอยู่เจดีย์หนิงกู่ จึงกล่าวออกไปตรง ๆ ว่า“เทียบกับเรื่องงานเขียนและวาดภาพ ไม่สู้เจ้ามาเป็นผู้อำนวยการให้กับสำนักศึกษาถงซันดีกว่า”“ผู้อำนวยการ?” เฉินจื่อวั่งยังไม่ได้สติชิงเหลียนจึงคลี่ยิ้มและอธิบายว่า “สำนักถงซันเป็นสำนักที่ฮูหยินของเราสร้างขึ้น ตอนนี้กำลังขาดบุคลากรอย่างผู้อำนวยการหนึ่งคนและอาจารย์สอนอีกจำนวนหนึ่ง”กู้หว่านเยว่หยิบแผนที่ใบหนึ่งออกมา “นี่คือที่อยู่ของสำนักศึกษาถงซัน ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการสร้าง หากเจ้ามีเวลาแวะไปเยี่ยมชมได้”เฉินจื่อวั่งรับแผนที่มาอย่างตะลึงงัน และเงียบไปชั่วครึ่งยามชิงเหลียนกล่าวถามด้วยใบหน้าดุดัน “ทำไม เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ? ในตอนที่เจ้าอ้อนวอนให้ฮูหยินของเราช่วยแม่นางเจียง ไม่ใช่บอกว่าจะทำตามคำสั่งของฮูหยินหรอกหรือ!”เฉินจื่อวั่งไม่เห็นด้วยที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังตกใจอย่างมาก“ข้า ข้าเป็นผู้อำนว
“ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่ทนไม่ได้ที่อยู่ ๆ ก็มีคนคุกเข่าโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้ “ขอรับ”เจียงอวิ๋นจิ่นเชื่อฟังคำสั่งของกู้หว่านเยว่มาก บอกให้นางลุกขึ้น นางก็ลุกขึ้นอย่างว่าง่ายทันทีดวงตาที่งดงามคู่นั้นเอ่อล้นด้วยหยดน้ำตา “พระชายา ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนท่านอย่างไร”นางกินยาแกล้งตาย หลับไปสามวันเต็ม เพิ่งจะฟื้นเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว และได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในสามวันนี้จากเฉินจื่อวั่ง“วินาทีที่นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังเจดีย์หนิงกู่ ข้าคิดว่าชีวิตที่เหลือหลังจากนี้จบสิ้นเสียแล้ว”เจียงอวิ๋นจิ่นเตรียมยาพิษเอาไว้เรียบร้อยแล้วเหตุผลที่ไม่ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายระหว่างทางเป็นเพราะนางกังวลว่าข่าวการตายของนางจะแพร่กระจายไปถึงเมืองหลวงแล้วสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของนาง“สาเหตุที่อวิ๋นจิ่นยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ ทั้งหมดเป็นความกรุณาธิคุณของพระชายาที่ทรงช่วยเหลือไว้”“ร่างกายเจ้าอ่อนแอนัก นั่งลงเถิด”ไม่รู้เป็นเพราะเจียงอวิ๋นจิ่นโดนทำร้ายมาตั้งแต่วัยเยาว์หรือไม่ ร่างกายถึงได้อ่อนแอมากเช่นนี้ กู้หว่านเยว่จับชีพจรให้นางแล้วพบว่านางมีสภาวะอ่อนแอขั้นรุนแรงมิน่าล่ะท่าทางการเดินที่ไร้
ครั้นกลับถึงบ้านช่วงค่ำ ในขณะที่กู้หว่านเยว่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้นนางก็ได้พูดคุยกับซูจิ่งสิง“ท่านพี่ ข้าตั้งใจจะสร้างสำนักศึกที่แตกต่างจากที่อื่นสักแห่งเจ้าค่ะ สำนักศึกษาของต้าฉีในสมัยก่อนมีเพียงบุรุษเท่านั้นที่เข้าเรียนได้ สำนักศึกษาเจดีย์หนิงกู่ของเราแห่งนี้ ข้าอยากให้สตรีมีโอกาสเข้าไปเรียนด้วยเจ้าค่ะ”ซูจิ่งสิงพยักหน้า สนับสนุนความคิดนี้ของนาง “บุรุษและสตรีใต้หล้านี้ไม่มีแบ่งแยก สติปัญญาก็ไม่แตกต่างกัน ในเมื่อบุรุษเรียนหนังสือได้ สตรีก็ย่อมเรียนได้เช่นกัน”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มหวานหยดย้อย สายตาที่เปล่งประกายคู่นั้นจ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างเขินอาย“ทำไมมองข้าเช่นนี้ หน้าข้ามีสิ่งใดติดอยู่อย่างนั้นหรือ?”“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกว่าสามีของข้าช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก”ไม่ว่าเมื่อไหร่ พวกเขาสองคนสามารถคุยเรื่องแบบนี้ได้ โดยไม่มีช่องว่างระหว่างวัยคนหนึ่งมาจากยุคโบราณ อีกคนมาจากยุคปัจจุบัน ความคิดค่อนข้างมีอิทธิพลมากแต่บางครั้งนางก็พบว่าความคิดของซูจิ่งสิงก็ทันยุคทันสมัยมากเช่นกันซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าคือภรรยาของข้า ต่อให้บางความคิดข้าจะไม่เข้าใจ ข้าก็เต็มใจสนับสน