กู้หว่านเยว่ทำได้เพียงหันกลับมากำชับหลี่เฉินอัน “เจ้าก็อยู่ห่างพวกเขาหน่อย อย่าเปิดเผยตัวตนเด็ดขาด”“ข้ารู้แล้ว” หลี่เฉินอันกล่าวด้วยแววตาหม่นหมองไม่ว่าจะเกลียดชังเพียงใด ก็ต้องอดทนไปจนถึงเจดีย์หนิงกู่รอบตัวของสวีหลานเต็มไปด้วยนักฆ่าและองครักษ์ หากพวกเขาเจอกัน ชีวิตของเขาก็คงจบสิ้น“ไปหาที่พักก่อนเถอะ”ซุนอู่เจรจากับนักพรตอยู่ในอารามเต๋าพักใหญ่ จนได้ห้องนอนรวมหนึ่งห้องกลุ่มคนทยอยกันเข้าไปจับจองเตียงภายในห้อง แต่เรื่องที่ทำให้กู้หว่านเยว่ต้องตกตะลึงก็คือการที่พวกเขาเจอกับนักโทษอีกกลุ่มหนึ่งที่นี่พวกเขาอยู่ห้องนอนรวมถัดจากห้องของพวกนาง“ฮ่องเต้น้อยชอบเนรเทศคนจริง ๆ สินะ”กู้หว่านเยว่กลับไม่ได้ประหลาดใจ ทันทีที่เดินทางมาถึงเจดีย์หนิงกู่ กลุ่มนักโทษจากทั่วสารทิศต่างค่อย ๆ มารวมตัวกันที่นี่“พวกเขาน่าเวทนายิ่งนัก....”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าวกระซิบเสียงเบานักโทษที่อยู่ในห้องนอนรวมถัดจากพวกนางต่างมีร่างกายซูบผอม ไร้เรี่ยวแรงเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณเทียบกับพวกเขาแล้ว นับว่าพวกเขาโชคดีกว่ามาก“อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น” ซูจิ่งสิงกล่าวเตือนด้วยสีหน้าเย็นชาเห็นได้ชัดว่าระหว่างทางนักโทษกล
นางมักจะรู้สึกว่าซูหรานหร่านไม่มีวันหนีไปเช่นนี้อย่างแน่นอน แต่เรื่องเป็นมาอย่างไรนั้นนางเองก็ไม่รู้เมื่อเห็นนักการออกตามหานาง กู้หว่านเยว่จึงให้ซูจิ่นเอ๋อร์เก็บไส้กรอกนั้นไว้“ทำไมที่นี่ถึงได้เสียงดังเช่นนี้?”หวังปี้เดินเข้ามา และเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้กู้หว่านเยว่คิดว่าเขาคงจะรู้จักซูหรานหร่าน จึงไม่ได้ปิดบังอะไร“ซูหรานหร่านหายตัวไป”“หายตัวไป? อยู่ดี ๆ ทำไมนางถึงหายตัวไปล่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าว “ก็บ้านสกุลซูบอกว่านางหนีไปแล้ว”หวังปี้แปลกใจ ดูจากท่าทีที่อ่อนโยนและเข้มแข็งของแม่นางซูแล้วไม่เหมือนกับคนที่คิดหนีเลยสักนิด หรือว่าจะมีการเข้าใจผิด?“จริงสิ ยาแก้ปวดของท่านอ๋องหมดแล้ว แม่นางกู้พอจะมีเวลาไปดูให้หน่อยได้หรือไม่”ยาแก้พิษยังไม่ได้รับการวิจัยออกมา ดังนั้นหลายวันมานี้ หนานหยางอ๋องจึงยังคงคอยตามพวกเขากู้หว่านเยว่ลุกขึ้นไปหยิบกล่องยา “มาแล้ว”“ข้าจะไปกับท่าน”ซูจิ่งสิงได้ยินดังนั้นก็รีบเก็บธนูแขนเสื้อที่ใช้เวลาในการวิจัยมาหนึ่งวันเต็ม เขาขยี้ตาที่แดงก่ำเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นและตามพวกนางออกไปหนานหยางอ๋องพักอยู่โรงเตี๊ยมด้านหน้า หวังปี้ถือโคมไฟเดินนำทางอยู่ด้านห
กู้หว่านเยว่พยายามอดกลั้นอาการคลื่นไส้ ก่อนจะหาวิธีทำให้ทั้งสองแม่ลูกหมดสติ นางกล่าวกับหวังปี้ว่า“ตามคนเหล่านี้ แล้วส่งตัวให้กับท่านอ๋องอาวุโส”นักโทษสามคนนี้สมควรตาย“แม่นางซูทำอย่างไรดี?” หวังปี้มองดูซูหรานหร่านที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกังวลทางฝั่งของซูจิ่งสิงได้นำตัวทั้งสามคนมามัดไว้ด้วยกัน เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาก็จนปัญญาเช่นกัน“ข้าต้องจัดการกับครอบครัวนี้” ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่มีวันได้ออกไปลักพาตัวหญิงสาวคนอื่นอีก“ดูท่าทางคงต้องขอร้องพี่ใหญ่หวังเสียแล้ว”กู้หว่านเยว่เขย่ากล่องยาในมือหวังปี้พยักหน้า เขาไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร เวลานี้เขามัวแต่กลัวว่าคนเหล่านั้นจะทำลายความบริสุทธิ์ของซูหรานหร่านแต่แล้วเขาก็ฉุกคิดได้ ตอนที่เขาเร่ร่อนอยู่ด้านนอก เขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดมากเขาโน้มตัวลงและทำการแบกคนเหล่านั้น“พาตัวนางไปไว้ในเรือนรับแขกก่อน หากพานางกลับไปยังเตียงนอนรวมคงได้กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านอย่างแน่นอน”เห็นได้ชัดว่าซูหรานหร่านอยู่ในอาการตื่นตระหนก หากนางกลับไปมีหวังคงถูกคนในสกุลซูด่ากราด สู้ให้นางพักอยู่ด้านนอกก่อน“ได้ เช่นนั้นข้าจะพาน
หนานหยางอ๋องยังไม่ทันได้สติ “เหลาหลี่ เสี่ยวอู่เป็นอะไร?”ท่านแม่ทัพหลี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“หลายวันมานี้ ข้าเห็นพ่อหนุ่มคนนี้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ก็เลยจับตาดูเขาอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งข้าเห็นเขาเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอก และยังแอบปล่อยนกพิราบส่งข่าวออกไปหนึ่งตัว ไม่รู้ว่าส่งจดหมายรายงานนายท่านคนไหน!”ใบหน้าของเสี่ยวอู่ปูดบวม ไม่กล้าสบตากับหนานหยางอ๋อง จึงได้แต่ก้มหน้าอย่างหดหู่ใจหนานหยางอ๋องได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลบางอย่าง สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมลง“เสี่ยวอู่ เจ้าจะทำอะไร?”เสี่ยวอู่ไม่กล้าเอ่ย ในใจของเขาทราบดีว่าตัวเองจบสิ้นแล้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ท่านแม่ทัพหลี่ยกเท้าเตะเขาอย่างไม่สบอารมณ์“เจ้ามันคนขี้ขลาด กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ? เจ้าเองก็รู้ว่าข้าคือคนช่วยชีวิตเจ้า เจ้าไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ? โชคดีที่ข้าสกัดกั้นเส้นทางการบินของนกพิราบส่งข่าวเอาไว้ได้ ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป!”ท่านแม่ทัพหลี่หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา บนปีกของนกตัวนั้นเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เท้าของมันถูกมัดด้วยกระดาษม้วนหนึ่ง“หยิบมาให้ข้า”หนานหยางอ๋องยื่นมือออกไปรับกระดาษแผ่นนั้นมาคลี่อ่านไม่นานตัวของเขาก็สั่นเท
พิษที่กินเข้าไปเป็นพิษร้ายแรงถึงขั้นคร่าชีวิต“เสี่ยวอู่ตายแล้ว เบาะแสสำคัญก็จบสิ้น”ท่านแม่ทัพหลี่พึมพำเบา ๆ แต่ทุกคนรู้แก่ใจดี คนที่วางยาพิษ มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นฮ่องเต้น้อยถึงอย่างไรนอกจากเขาแล้ว จะยังมีใครที่กล้าลงมือในราชวงศ์เช่นนี้กู้หว่านเยว่มองหนานหยางอ๋องด้วยความเป็นห่วง “ท่านอ๋อง ต่อไปท่านจะทำอย่างไร?”กู้หว่านเยว่คิดว่าอีกฝ่ายจะต้องวางแผนเอาไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็อาจจะมีจุดจบแบบเดียวกับซูจิ่งสิงหนานหยางอ๋องกลับจมอยู่ในความคิดก่อนจะรีบส่ายหน้า“เรื่องนี้ ยังตัดสินว่าเป็นฝีมือของใครไม่ได้ ไว้ข้ากลับไป ข้าจะจัดการกับเรื่องนี้เอง”หากเป็นฝีมือของฮ่องเต้จริง ๆ .... หนานหยางอ๋องคงเจ็บปวดไม่น้อยดั่งคำกล่าวที่ว่า ฮ่องเต้สั่งให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตายหนานหยางอ๋องคือขุนนางอาวุโส และมีความจงรักภักดีมากแทนที่จะบอกว่าเขาจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ สู้บอกว่าเขาจงรักภักดีต่อแผ่นดินต้าฉีดีกว่า“ตราบใดที่ประชาชนของลั่วอันอยู่กันอย่างสงบสุข ข้าจะยอมกล้ำกลืนฝืนทนลืมสิ้นความแค้น”หนานหยางอ๋องกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม กู้หว่านเยว่อดมองอีกฝ่ายไม่ได้คนคนนี้ใส่ใจประชาชนอย่างมากเ
“อย่ากังวล พวกเขาไม่เป็นอะไร”กู้หว่านเยว่ไม่มีทางพูดหรอกว่าคนเหล่านั้นถูกทุบตี ในสายตาของนาง กลุ่มคนสกุลซูนั่นไม่มีค่าอะไร ซูหรานหร่านไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขาอีกต่อไปหลายคนเดินกลับไปด้วยกัน สุดท้ายก็พบซุนอู่ที่ออกมาตามหาคนพอดี“เกิดอะไรขึ้น?” ซุนอู่เดินขึ้นหน้ามาด้วยสีหน้าเย็นชาซูหรานหร่านตกใจกับความดุดันของซุนอู่ รีบบอกว่า “ท่านนักการซุน ข้าไม่ได้หนี ข้า...”“ถ้าเจ้าไม่ได้หนีเหตุใดกลางดึกถึงไม่เห็นแม้เงา?!”“พี่ใหญ่ซุน ใจเย็นก่อน”กู้หว่านเยว่ดึงเขาไปทางด้านหนึ่ง แล้วอธิบายความเป็นมาเป็นไปภายในภูเขาจำลองโดยละเอียดซุนอู่ฟังจบก็ขนหัวลุกไปเลย “เจ้าพูดจริงหรือ?”“เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ยังโกหกได้อีกหรือ? คนคนนั้นได้ถูกส่งมอบให้หนานหยางอ๋องไปจัดการแล้ว”ซุนอู่รู้เช่นกันว่ากู้หว่านเยว่จิตใจสูงส่ง ไม่อาจโกหกเพื่อช่วยซูหรานหร่านให้พ้นผิด เขาสั่นสะท้านขึ้นมาทันที“บ้าบอชะมัด โหดเหี้ยมกันทั้งกลุ่ม!”กู้หว่านเยว่ช่วยอธิบาย “โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร ซูหรานหร่านก็ไม่ได้ตั้งใจ เรื่องราวครั้งนี้อย่าตำหนินางอีกเลย”ซุนอู่พยักหน้า แสร้งทำเป็นโกรธพร้อมกับเอ่ยปากเตือนสองสามประโยค“ในเมื่อแ
ซูหัวหยางบ่นพึมพำกลับไป นางจินต้องการดูแลซูหรานหร่าน แต่กลับถูกซูหัวหยางดุด่าเป็นชุด จึงปาดน้ำตาจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ส่วนซู่เช่อก็ถอนหายใจพลางเหลือบมองซูหรานหร่าน ก่อนออกไปเช่นกันท่าทีเย็นชาของคนในครอบครัว ทำให้ซูหรานหร่านรู้สึกใจหายจริง ๆ“ขุนพลหวัง ขอบคุณท่านที่พูดแทนข้าเมื่อครู่”“ไม่เป็นไร สมควรแล้ว ข้าเป็นคนเถรตรง เจ้าไม่หาว่าข้ายุ่มย่ามก็ดีแล้ว”หวังปี้มองหญิงสาวบอบบางตรงหน้า ความสงสารผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจซูหรานหร่านปาดน้ำตา พลางหันไปฉีกยิ้มให้กู้หว่านเยว่ ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเวลาร้องไห้เสียอีก“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ากลับก่อนล่ะ”พูดจบ ก็เดินไปที่ข้างเตียงของตัวเอง หยิบเสื้อนวมขึ้นมาเย็บเงียบ ๆเมื่อเห็นซูจิ่นเอ๋อร์แอบสะกิดข้างตัวซูหรานหร่าน กู้หว่านเยว่ก็ไม่ได้เข้าไปปลอบใจ พลางหันไปพูดกับหวังปี้“นักโทษเนรเทศข้างบ้านกลุ่มนั้น รบกวนท่านช่วยไปเคาะเรียกสักหน่อย”“เรื่องเล็กน้อย”หวังปี้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจทางด้านนี้หลังจากกู้หว่านเยว่เข้ามาในเรือน ก็หาสถานที่สำหรับปรุงยาถอนพิษ ใช้เวลาไปหลายชั่วยามจนในที่สุดก็ปรุงยาออกมาได้สำเร็จก่อนอื่นก็เข้าไปในมิติ โยนเข้าไปในหอแ
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเหาะหนี ประตูเรือนก็เปิดออกในทันใด คนชุดดำสองคนลากหลี่เฉินอันที่ถูกมัดแขนไพล่หลังออกมาเมื่อเห็นหลี่เฉินอันถูกปิดปาก พยายามดิ้นรนไม่หยุด กู้หว่านเยว่ก็กุมขมับ“อย่าเพิ่งไปช่วยเขา ให้เขาได้รับบทเรียนเสียบ้าง”“อืม”ซูจิ่งสิงก็พยักหน้าเช่นกัน เด็กหนุ่มผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้ กล้าที่จะบุกเดี่ยวไปแก้แค้น“จะจัดการเขายังไงดี?” คนชุดดำคนหนึ่งในเรือนถามด้วยเสียงแหบพร่า“ฮูหยินใหญ่นับถือพุทธ อย่าฆ่าคนในวัด”“หลังเขามีทะเลสาบน้ำแข็งอยู่ โยนลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งเถอะ”อีกคนกล่าวขึ้น ทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน ก่อนจะเหาะไปทางหลังเขาเมื่อมาถึงทะเลสาบน้ำแข็ง คนชุดดำคนหนึ่งก็มัดหลี่เฉินอันไว้กับก้อนหิน จากนั้นก็ผลักเขาลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งพร้อมกับก้อนหิน“จุ๊ ๆ คราวที่แล้วปล่อยเด็กอย่างเจ้าให้หนีไป ยังจะกลับมาติดกับดักเอง รนหาที่ตายจริง ๆ”คนชุดดำทอดถอนใจออกมาอีกหลายคำ ดวงตาของหลี่เฉินโกรธแค้น ดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็ถูกน้ำหนักของหินดึงลงไปใต้น้ำเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรอด คนชุดดำทั้งสองก็หันหลังเดินจากไปทันทีที่หันไป ก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างหลังพว
“เหตุใดถึงมีคราบเลือดเช่นนั้น?”“ยังคงเป็นของโจวเซ่อผู้นั้น” กู้หว่านเยว่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนในวันนี้ให้ซูจิ่งสิงฟังอย่างละเอียด“ท่านไม่ได้เห็นท่าทางร้องไห้ฟูมฟายของโจวเซ่อ ตอนนั้นเขาดูไม่เหมือนกับบุรุษเลยสักนิด แล้วพี่หญิงซ่งก็ดันหลงกลเขาเสียด้วย หากเปลี่ยนเป็นข้านะ ข้าเหวี่ยงหมัดชกเขาลอยละลิ่วออกไปแล้วเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่กำหมัดแน่น ครั้งนี้ซูจิ่งสิงไม่กล่าวแทนเขาอีก“อยู่ ๆ ก็กรีดข้อมือของตัวเอง อารมณ์อ่อนไหวเอาเสียจริง ๆ ?”“นั่นนะสิ”กู้หว่านเยว่มองไปทางรูปปั้นหินสิงโต แล้วตะโกนเรียกทหารเฝ้าประตูไปตักน้ำมาทำความสะอากรูปปั้นหินสิงโตทันทีมิเช่นนั้นนางคงรู้สึกสะอิดสะเอียดยามได้เห็นคราบเลือดของโจวเซ่อผู้นั้นตลอดเวลาแน่ทหารเฝ้าประตูรับคำสั่ง ไม่เพียงแต่ตักน้ำเข้ามา ยังถือผลของสบู่ก้อนติดมือมาด้วยหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ทำความสะอาดรูปปั้นหินสิงโต ขัด ๆ ถู ๆ อยู่หลายครั้งจนกระทั่งสะอาด“ด้านหน้าเป็นหน้าบ้านของซุนมู่เจี้ยง”รถม้าถูกจอดไว้ในตรอกแคบ ๆ ตรอกหนึ่ง ซูจิ่งสิงชี้ไปยังบ้านที่อยู่สุดซอยหลังหนึ่ง“ฝีมือของมู่เจี้ยงไม่ธรรมดา เพียงแต่นิสัยค่อนข้างประหลาด”“นิสัย
“เฮ้อ ขอให้พี่หญิงซ่งอย่าได้หลงกลเขาเชียวนะ รีบ ๆ ตาสว่างเสียทีเถอะ”ซูจื่อชิงส่ายหน้า ในตอนนั้นเองเขาบังเอิญเจอกับเมี่ยชิงหว่านพอดี ครั้นเห็นสีหน้าของทั้งสองดูแย่ลง จึงอดแปลกใจไม่ได้“เกิดอะไรขึ้น ทำไมสีหน้าของทั้งสองคนถึงได้ดูไม่จืดเช่นนั้น?”“ไม่มีอะไร ก็แค่คุยเรื่องเคร่งเครียดนิดหน่อย ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”ซูจื่อชิงไม่อยากพูดเรื่องไม่ดีลับหลังผู้อื่น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของซ่งเสวี่ย เห็นด้วยตาตัวเองก็แล้วไป พูดลับหลังไปดูไม่ดีนักโชคดีที่เมี่ยชิงหว่านเป็นคนที่ไม่ชอบถามจุกจิก ไม่ถามมาก แค่คลี่ยิ้มและกล่าวว่า“ไปกันเถอะ หลายวันมานี้ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่ในร้านดอกท้อ ขายของออกไปก็ไม่น้อย ข้าเลี้ยงข้าวเจ้าเอง”ตัวตลกสองคนนี้พูดคุยอย่างสนุกสนานแล้วก็จากไปทางด้านนี้ ครั้นโจวเซ่อเห็นกู้หว่านเยว่และซูจื่อชิงจากไปแล้ว จึงกล่าวกับซ่งเสวี่ยว่า“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าหิวมาก เจ้าช่วยไปหาของกินในครัวมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยกล่าวด้วยความลำบากใจ “ไม่ดีหรอกกระมั้งเจ้าคะ แม้ว่าข้าและหว่านเยว่จะสนิทกัน แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นจวนของนาง ไหนเลยจะกล้าถือวิสาสะเข้าไปหยิบของ
ซ่งเสวี่ยทอดถอนใจหนึ่งเสียง “เช่นนั้นก็ดี”นางอดหันไปมองโจวเซ่อไม่ได้ “ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีก มีอะไรก็คุยกันดี ๆ เล่นของมีคมเช่นนี้ทำคนอื่นตกอกตกใจหมด หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ จะมาเสียใจก็ไม่ทันการณ์แล้ว”ซ่งเสวี่ยมักจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดหลังจากแต่งงานกับคุณชายตระกูลโจวแล้ว นางและสามีให้ความเคารพซึ่งกันและ ไม่เคยแม้แต่จะทะเลาะกัน นับประสาอะไรกับการเล่นของมีคม? การกระทำในวันนี้ของโจวเซ่อทำให้นางหวาดกลัวบางทีทั้งสองคนอาจจะไม่เหมาะสมกันก็ได้?“ขอโทษนะ ข้าผิดเอง”โจวเซ่อขอโทษทั้งน้ำตา “ข้าแค่กลัวว่าจะเสียเจ้าไป แค่ข้าคิดว่าข้าจะต้องเสียเจ้าไป ข้าก็ทนไม่ได้แล้ว หากเจ้าไม่มองหน้าข้าอีก ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ารักเจ้ามากจริง ๆ รักเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิด ข้าอยากดูแลเจ้าและลูกของเจ้าไปตลอดชีวิต ข้าชอบนานนาน ข้าเห็นนางเปรียบเสมือนบุตรสาวของข้าคนหนึ่ง”“ท่าน....”“เจ้าดูสินี่คืออะไร?”โจวโซ่อล้วงหยิบไม้แกะสลักชิ้นหนึ่งออกมา ซึ่งนั้นทำให้ซ่งเสวี่ยตกใจไม้แกะสลักชิ้นนี้มีลักษณะคล้ายกับสามีที่เสียไปแล้วของซ่งเสวี่ย “คราวที่แล้วนานนานเห็นภาพวาดของสามีที่เสียไป
โจวเซ่อส่ายหน้า “ไม่นะ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าขาดเจ้าไม่ได้ หากเจ้าไม่ให้อภัยข้า ข้ายอมเลือดแห้งตายเสียตอนนี้ดีกว่า บอกข้าเถอะ เจ้าจะให้อภัยข้าได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยตะลึงงันทั้งตัวความจริงแล้วตอนนี้นางยังโกรธอยู่ แต่ครั้นเห็นท่าทางอยากตายของโจวเซ่อ จริง ๆ นางตกใจเพราะเขา จึงรีบพยักหน้า“ข้าให้อภัยท่านแล้ว ท่านคืนกริชให้ข้าเถอะ อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย”ครั้นได้ยินซ่งเสวี่ยกล่าวเช่นนี้ โจวเซ่อก็ปล่อยกริชเล่มนั้น ก่อนจะมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนดั่งน้ำที่หลั่งริน“เจ้าให้อภัยข้าแล้วก็ดี เสวี่ยเอ๋อร์ข้าเสียเจ้าไปไม่ได้จริง ๆ อ๊าก....ข้าเจ็บข้อมือยิ่งนัก”ท่าทีของโจวเซ่อเปลี่ยนไป ซ่งเสวี่ยรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าประคบข้อมือของเข้าไว้ แล้วมองไปทางกู้หว่านเยว่อย่างร้อนใจ“หว่านเยว่ เจ้าช่วยเขาได้หรือไม่ ข้าเห็นบาดแผลบนข้อมือของเขาหนักหนามาก”กู้หว่านเยว่มองไปทางโจวเซ่อแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า“ชิงเหลียน เจ้าให้คนพาตัวคุณชายโจวเข้าไป”ชิงเหลียนรีบหาคนเข้ามาพร้อมกับเปลหามและยกโจวเซ่อวางบนนั้น“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าจับมือข้าไว้ได้หรือไม่? ข้าไม่อยากแยกจากเจ้า”โจวเซ่อกล่าวถามอย่างกังวล ซ่งเสวี่ยมองกู้
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นาน จู่ ๆ ซูจื่อชิงก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เกิดอะไรขึ้นโวยวายเสียงดังเชียว”กู้หว่านเยว่ตำหนิหนึ่งเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ นางเพิ่งจะเขียนเทียบเชิญเสร็จ ไม่ระวังถูกหมึกสีดำเปรอะเปื้อน“ตอนข้ากลับเข้ามา ข้าเห็นคุณชายโจวนั่งอยู่ใต้รูปปั้นสิงโตหินหน้าบ้านของเรา ไม่รู้ว่าทำอะไร ข้าจึงเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าเห็นเขาชักกริชเล่มหนึ่งออกมา แล้วกรีดข้อมือของตัวเอง เลือดสาดกระจายเต็มพื้นไปหมด”“ว่าอย่างไรนะ?!”กู้หว่านเยว่ตื่นตกใจ “คุณชายโจวไหน?”ซูจื่อชิงมองไปทางซ่งเสวี่ย “คุณชายโจวไหนเล่า ใช่โจวเซ่อคู่หมั้นของพี่หญิงซ่งใช่หรือไม่?”คราวนี้ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจยิ่งกว่า รีบโยนพู่กัน แล้วยกชายกระโปรงวิ่งออกไปข้างนอกทันที“พวกเราก็ตามไปดูกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่พริบตาเดียวทำไมคนผู้นี้ถึงได้กรีดข้อมือฆ่าตัวตายเสียได้?“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคงจะไม่รู้ว่าตอนที่เขากรีดข้อมือของตัวเองน่ากลัวเพียงใด ข้าคิดว่าข้าจำผิดคนแล้วเสียอีก”ซูจื่อชิงเดินตามหลังของนางพลางทำเสียงจิ
ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจกับความคิดของนาง“ตั้งแต่โบราณกาลมา ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีสำนักศึกษาไหนที่รับนักศึกษาเป็นสตรีมาก่อน”แม้แต่นาง ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปเรียนในสำนักศึกษาทำได้เพียงเรียนแบบตัวต่อตัวที่บ้าน เชิญอาจารย์มาสอนลูกหลานในตระกูลแทนหรือเพราะภูมิหลังของนางนั้นดูโดดเด่น ทั้งยังเป็นหลานสาวของตระกูลซ่ง สตรีทั่วไปไหนเลยจะมีโอกาสได้อ่านออกเขียนได้ แค่รู้เพียงไม่กี่คำและทำบัญชีได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วกู้หว่านเยว่ไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด นางคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “สตรีอย่างเราด้อยกว่าบุรุษอย่างนั้นหรือ? อย่างลายมือของเจ้าก็ดีกว่า ใต้หล้านี้เกรงว่าคงจะมีสตรีที่เทียบเท่าบุรุษไม่มากนัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้วที่แสดงให้เห็นว่าสตรีอย่างเราก็มีคุณค่า ไม่ได้ด้อยกว่าบุรุษเท่าไหร่นัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงจะเข้าเรียนบ้างไม่ได้ล่ะ? พี่หญิงพูดเองมิใช่หรือว่าใต้หล้าไม่มีสำนักศึกษาแห่งไหนที่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียน? ดังนั้นสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้จึงเป็นที่แรกที่ไม่เพียงแต่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียนแล้ว ยังไม่สนใจภูมิหลังของนักศึกษาอีกด้วย”กู้หว่านเยว่มีจิตใจสูงส่ง ความเชื่อมั่นทางแววตาล้วนแต่สร้างความศ
“จบเรื่องของสกุลเผยแล้ว ภายภาคหน้า เจ้าเองก็สามารถวางใจได้แล้ว”กู้หว่านเยว่ตบหลังเมี่ยชิงหว่าน สามารถมองออกว่า นางได้รับความสะเทือนใจไม่น้อย“อืม”เมี่ยชิงหว่านพยักหน้าเบาๆ สกุลเผยสำหรับนางก็คือฝันร้าย บัดนี้ได้เห็นทุกคนที่เคยรังแกนางได้รับการลงโทษตามสมควรแล้ว ปมภายในใจนางเองก็นับว่าคลายออกอย่างสมบูรณ์“ภายภาคหน้าข้าไม่มีวันโง่เขลาเหมือนในอดีตอีกแล้ว เชื่อใจคนอื่นอย่างง่ายดาย”เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วมุ่น ครั้งนี้นางกลัวแล้วจริงๆคนสุภาพอ่อนโยนมีความรักลึกซึ้งอย่างเผยเสวียนเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง ส่วนคนเรียกนางว่าลูกสาวอย่างนั้นอย่างนี้เฉกเช่นเผยฮูหยิน ก็คือคนหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่ง“ต้องโทษข้าก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตอยู่ภายในป่ามาโดยตลอด ได้ติดต่อคนอื่นน้อยมาก จึงไม่รู้จักความชั่วร้ายในใจคน”กู้หว่านเยว่ลูบศีรษะนาง “นี่ไม่โทษเจ้า จะโทษก็โทษเพียงวิธีการต่ำช้าของพวกเขา ความคิดของเจ้าบริสุทธิ์นัก นี่คือข้อได้เปรียบของเจ้า”หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจบริสุทธิ์ ไฉนเลยในต้นฉบับ จะยอมตายเพื่อซูจื่อชิง?“อย่างไรเสีย ภายภาคหน้ามีข้าปกป้องเจ้า คนชั่วเหล่านั้นมอบให้ข้าเถอะ”ซูจื่อชิงจับมือเมี่ยชิงหว่านข
ไม่ตัดรากถอนโคน ก็อาจเกิดหายนะอีกครั้ง“ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น ท่านแม่ข้าเองก็ด้วย”เผยเสียรีบพูดต่อ “หลายปีมานี้พวกเราสองคนอยู่อย่างลำบากที่สกุลเผย ท่านแม่ข้าถูกเดรัจฉานคนนั้นทำร้ายพรากความบริสุทธิ์ไป ก็ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของนางอีก ชนิดที่ว่าเผยฮูหยินยังทิ้งท่านแม่ข้าไว้ภายในเรือน ไม่ใส่ใจไยดีท่านแม่ข้าคลอดข้าออกมาเพียงลำพัง อีกทั้งยังเลี้ยงข้าจนเติบโตอย่างยากลำบากเพียงคนเดียว หลายปีมานี้สกุลเผยไม่เคยปกป้องคุ้มครองพวกเรา คุณชายคุณหนูของสกุลเผยเหล่านั้นก็ด่าว่าทุบตีพวกเรา”เผยเสียยิ้มเย็น “พูดอย่างไม่เกรงใจหนึ่งประโยค ข้าไม่แก้แค้นพวกเขาก็นับว่าดีแล้ว ไฉนเลยจะช่วยล้างแค้นแทนพวกเขา”แววตานางเฉยเมย ภายในก้นบึ้งของสายตายังมีความแค้นอี๋เหนียงทางด้านหลังหดเกร็งตัว รูปร่างผอมบาง สติก็ไม่ค่อยดีกู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “หากเจ้าไม่ได้ทำเรื่องชั่วกับสกุลเผย ข้าสามารถรับปากเงื่อนไขของเจ้าได้”เผยเสียรีบพูด “ข้าสาบาน ข้าและท่านแม่สำรวมตนมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำเรื่องชั่ว”“ดี เจ้าพูดเถอะ”กู้หว่านเยว่มองคนเหล่านี้แวบหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงคนปากมาก เรียกเผยเสียไปพูดที่ฝั่ง
ทั้งสองคนเหินบินเข้าจวนเผย ไม่ต้องพูดเชียว สกุลเผยสมเป็นตระกูลชนชั้นสูงนับร้อยปีของเจดีย์หนิงกู่ ตกแต่งได้อย่างหรูหรางดงามกู้หว่านเยว่เดินเข้าไป เก็บเครื่องเรือนไม้หวงฮวา ฉากกั้น ภาพอักษรงดงามบางส่วนตามใจ ลงท้ายถึงขั้นพบอย่างแปลกใจ ภายในห้องหนังสือของสกุลเผยมีหนังสือไม่น้อย มากเสียจนเต็มผนังห้องหนึ่งด้าน“สกุลเผยสมเป็นตระกูลเก่าแก่นับร้อยปี มีมรดกทางปัญญาติดตัวอยู่บ้าง มีหนังสือเหล่านี้กลับไม่ใช่เรื่องแปลก”ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ“สำนักศึกษาถงซันของเจ้าต้องการหนังสือมิใช่หรือ เก็บหนังสือเหล่านี้ไปทั้งหมดเลยเถอะ”“ขอบคุณท่านพี่”กู้หว่านเยว่ต้องการหนังสือเหล่านี้จริง นี่ก็ไม่เกรงใจเขาแล้ว โบกมือเก็บหนังสือทั้งหมดเข้ามิติทั้งคู่ค้นหาทั้งภายในภายนอกห้องหนังสือหนึ่งรอบน่าเสียดายเหลือเกิน หาจดหมายลับหรือเบาะแสอะไรไม่พบ“แม้แต่เผยเสวียนเองก็ไม่รู้ คนบงการอยู่เบื้องหลังเขาเป็นใคร รู้เพียงเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ ต้องการหาตัวออกมา น่ากลัวว่ายากเสียยิ่งกว่ายาก”ความหวังสุดท้าย ก็อยู่บนตัวคนสกุลเผยเหล่านั้นทั้งสองคนย้อนกลับมาที่เรือนส่วนหน้าอีกครั้งขณะเดียวกัน ฉู่เฟิงเพิ่งสอบสวนมาหนึ่ง