องครักษ์เงากระอักเลือดออกมา จากนั้นแสยะยิ้ม“อยากจะง้างปากข้า ไม่มีทาง!”ดวงตาของซูจิ่งสิงฉายแววเยือกเย็น แม้แต่กู้หว่านเยว่ก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ทันใดนั้นก็ตะโกนเสียงดัง“อะไรนะ เจ้าพูดอีกครั้งสิ มู่หรงอวี้สั่งให้เจ้ามาฆ่าพวกเรางั้นหรือ?”“เจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าไม่ได้พูด!” องครักษ์เงารู้สึกมึนงง เหตุใดผู้หญิงคนนี้ถึงไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้!แต่แล้วกู้หว่านเยว่ก็พูดเสียงดังอีกว่า “สวรรค์ ที่แท้ก็เป็นมู่หรงอวี้จริงๆ พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเขา เหตุใดเขาถึงส่งพวกเจ้ามาตามฆ่าเรา?”องครักษ์เงาร้อนใจแล้ว “ข้าไม่ได้พูด!”กู้หว่านเยว่ตะโกนขึ้นอีกครั้ง จงใจหันไปพูดกับองครักษ์“อะไรนะ เจ้าบอกว่ามู่หรงอวี้ไม่อยากให้เรานำเมล็ดโพธิ์กลับไป ไม่อยากให้ช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าโจว ถึงได้ส่งพวกเจ้ามาฆ่างั้นหรือ?”นางพูดเสียงดังเช่นนี้ แน่นอนว่าองครักษ์ล้วนได้ยินทุกคนต่างรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาทันที“ข้าก็ว่าเหตุใดถึงถูกตามไล่ฆ่า หวายหนานอ๋องผู้นี้ช่างชั่วร้ายจริงๆ!”“นั่นสิ ฮูหยินผู้เฒ่าของเราไปทำอะไรให้เขา เขาถึงได้อยากจะเอาชีวิตฮูหยินผู้เฒ่า!”“ไม่ได้ พอกลับไปต้องบอกเรื่องนี้กับโจวเหล่า..
เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกลับมา ทุกคนก็รีบวิ่งเข้าไปหา“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว ได้ยินว่าพวกท่านไปหาซื้อยาที่จวนหลงฉวนแล้ว?”กู้หว่านเยว่เหลือบมองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความเป็นห่วง นางเหนื่อยเกินไปจริง ๆ จึงหาวแล้วเดินเข้าไปในห้อง“ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร รอให้ข้านอนตื่นก่อนแล้วค่อยพูด ตอนนี้ข้าต้องการนอน”ขณะพูด กู้หว่านเยว่ก็เอื้อมไปปิดประตู ทิ้งให้คนอื่น ๆ มองหน้ากันซูจิ่นเอ๋อร์มองแผ่นหลังที่เย็นชาของกู้หว่านเยว่ก็แทบจะร้องไห้แล้ว“ทั้งหมดเป็นความผิดของปากเสีย ๆ ของข้า วันนั้นข้าต้องพูดจาเหลวไหลแน่ ๆ ทำให้พี่สะใภ้ต้องมาเดือดร้อน ข้ามันตัวปัญหาจริง ๆ !”นางได้ยินมาว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจวคนนั้นป่วยหนักใกล้ตายแล้ว ไม่มีใครรักษาได้ ตอนนี้พี่สะใภ้กำลังถูกบีบบังคับอย่างหนักเชียวนะ!ซูจื่อชิงกลอกตามองนาง“ตอนนี้จะมานั่งเสียใจก็ไม่มีประโยชน์ ปากไม่เคยมีหูรูด ถ้าสำนึกผิดจริงก็ไปที่ห้องครัวแล้วต้มน้ำแกงบำรุงให้พี่สะใภ้สิ”พูดจบก็ก้มหน้าลง แล้วดึงซูจิ่นเอ๋อร์ไปที่ครัวเล็กด้วยกันกู้หว่านเยว่หลับไปนานถึงสามชั่วยามเต็ม ๆ เมื่อตื่นขึ้นมา เ
ถึงแม้ซูจิ่งสิงจะไม่เข้าใจวิชาแพทย์ แต่เขาก็พยักหน้าอย่างจริงจัง“เช่นนั้นเริ่มกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ฆ่าเชื้อโรคที่มือทั้งสองข้าง จากนั้นตัดเสื้อคลุมของฮูหยินผู้เฒ่าโจวออก เหลือไว้เพียงเสื้อชั้นในบาง ๆ จากนั้นป้อนยาถอนพิษให้กับฮูหยินผู้เฒ่าโจว แล้วหยิบเข็มเงินออกมาช่วยนำทางพิษเมื่อนางเข้าสู่โหมดทำงาน ทั้งคนก็จะดูจริงจังและเคร่งขรึมมาก น้ำเสียงก็จะเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างและเย็นชาซูจิ่งสิงมองดูอยู่ข้าง ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจถ้าไม่ได้เห็นกับตา เขาคงไม่กล้าเชื่อว่ามือของกู้หว่านเยว่ที่กำลังฝังเข็มนั้นจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้ความประหลาดใจ ความชื่นชม อารมณ์ต่าง ๆ ผุดขึ้นในดวงตาของซูจิ่งสิงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว กู้หว่านเยว่ปักเข็มเงินลงบนจุดต่าง ๆ บนร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าโจวทีละเล่ม แล้วก็ดึงออกทีละเล่ม จนในที่สุดก็มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือการนำพิษที่หลงเหลืออยู่ออกจากหัวใจ พร้อมกับใช้เมล็ดโพธิ์เพื่อปกป้องหัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าโจวเหงื่อเย็นเริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากของกู้หว่านเยว่แต่แล้ว ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นที่ด้านนอกป
“ทหาร นำตัวซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ไปขังเดี๋ยวนี้!”มู่หรงอวี้ตะโกนเสียงดังฉีกหน้าโดยไม่สนใจใคร“ช้าก่อน!”โจวเหล่ากลับเร่งฝีเท้าเปิดม่านเดินเข้ามา “แม่นางกู้เป็นผู้มีพระคุณของข้า หวายหนานอ๋องท่านจะทำอะไร?”“ผู้มีพระคุณ?”มู่หรงอวี้ทวีความโกรธ จ้องมองกู้หว่านเยว่อย่างไม่ลดละนางช่วยชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าโจวได้จริง ๆ หรือ?เดิมทีเรื่องนี้จะต้องเป็นคุณงามความดีของเขา แต่กลับถูกกู้หว่านเยว่แย่งไปต่อหน้าต่อตา!“ข้าไม่สนว่าพวกเขาจะเป็นผู้มีพระคุณหรือไม่ แต่เมื่อครู่พวกเขาอวดดีกับข้า ทั้งยังตบหน้าข้า ข้าต้องลงโทษพวกเขา!”มู่หรงอวี้กล่าวพลางเผยรอยนิ้วมือที่ประทับอยู่บนแก้มด้านขวาเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว รอยฝ่ามือนั้นไม่เพียงแต่จะไม่จางหาย แต่ดูเหมือนมันกลับตีตราอยู่บนหน้าของเขา และบวมเป่งคล้ายกับหมั่นโถวทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายมู่หรงอวี้ได้รับความอับอายเช่นนี้ก็ย่อมจะไม่สบอารมณ์โจวเหล่านึกถึงตอนที่มู่หรงอวี้พรวดถลันเข้าไปเมื่อครู่ เขารู้สึกว่าที่กู้หว่านเยว่ลงมือนั้นเบาเกินไป หากการรักษาถูกขัดจังหวะ ฮูหยินไม่ฟื้น ผลลัพธ์ที่ตามมาเขาแทบไม่อยากจะคิดเลย!“หวายหนานอ๋อง
เมื่อคิดได้ มู่หรงอวี้ก็เริ่มนั่งไม่ติด การลอบสังหารล้มเหลวอยู่บ่อยครั้ง เป็นการบ่งบอกว่าสายลับของเขาไร้ความสามารถ“แม่นางน้อยกู้ ข้าต้องขอบคุณเจ้าอีกครั้ง คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะตกอยู่ในอันตรายเพียงเพื่อปกป้องลูกผู่ถี”โจวเหล่ายกมือคารวะกู้หว่านเยว่มีความคิดที่จะดึงซูจิ่งสิงออกมา“เรื่องปกป้องลูกผู่ถีกลับมา ข้าไม่กล้าแย่งความดีความชอบหรอก สายลับเหล่านั้นคือผลงานของสามีข้า”เมื่อครู่กู้หว่านเยว่ดึงดูดความสนใจของโจวเหล่า แต่เวลานี้เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของซูจิ่งสิง เขาถึงกับตกใจกับหน้าตาของอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือน เหมือนกันมาก“เจ้า....”แม้จะคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่โจวเหล่าก็อดนึกถึงเฟยเฟยไม่ได้เวลานี้ซูจิ่งสิงยกมือคารวะพลางกล่าว “โจวเหล่า เราไปคุยกันเป็นการส่วนตัวดีหรือไหม?”รอมาเนิ่นนาน เขาไม่มีวันปล่อยโอกาสที่จะได้ปรับความเข้าใจกับโจวเหล่าไปอย่างแน่นอนแม้ว่าชิวหมิงจื้อจะบอกเรื่องฐานะของเขา แต่คำกล่าวของอีกฝ่ายจะเป็นความจริงหรือไม่นั้นต้องผ่านการยืนยันจากโจวเหล่าก่อน“ได้ ๆ ไปห้องหนังสือของข้าก็แล้วกัน”ระหว่างที่พวกเขาสบตากัน โจวเหล่าตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างโจวเ
“จัดการเรียบร้อยแล้ว” ซูจิ่งสิงพ่นลมหายใจออกมา จากนั้นก็เดินมาข้างกายของกู้หว่านเยว่ คว้ามือของนาง ส่งสัญญาณให้อดทนรอดูสถานการณ์ไปก่อนกู้หว่านเยว่ไม่ได้ร้อนใจแม้แต่น้อย นางคาดเดาผลลัพธ์ไว้ก่อนแล้วจากคำกล่าวของชิวหมิงจื้อ และปมที่น่าสงสัยในหนังสือ บ่งบอกได้ว่าซูจิ่งสิงจะต้องเป็นเด็กกำพร้าขององค์รัชทายาทองค์ก่อนอย่างแน่นอนแต่บุตรชายคนที่สามของสกุลซูเป็นบิดาบุญธรรมของซูจิ่งสิง ยามนั้นเพื่อปกป้องลูกกำพร้าขององค์รัชทายาทองค์ก่อน เขาประกาศต่อหน้าสาธารณะว่าซูจิ่งสิงเป็นบุตรชายของตน และปล่อยให้เขาได้เติบโตอย่างสงบสุข“จิ่งสิง เจ้ามีแผนอะไรต่อไป?”โจวเหล่าเดินตามออกมา ตั้งแต่ที่รู้ฐานะของซูจิ่งสิง สายตาก็ดูเป็นมิตรมากขึ้น“ผู้น้อยตั้งใจจะไปพักฟื้นตัวที่เจดีย์หนิงกู่”“ดี หลังจากที่เจ้าถึงเจดีย์หนิงกู่แล้วก็อย่าลืมส่งคนมาบอกข้าก็แล้วกัน แม้ว่าข้าจะไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก แต่ลูกศิษย์จำนวนมากที่อยู่ภายใต้การปกครองของข้าก็ล้วนแต่เป็นขุนนางในราชสำลัก ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย”นี่สินะคือความจงรักภักดีกู้หว่านเยว่กระตุกยิ้มมุมปากอยู่ด้านข้างหากมู่หรงอวี้รู้ว่าโจวเหล่าที่เขาบากบั่นจะชวนมา
“ชิ พูดมาก!” แม้ว่าคำกล่าวของกู้หว่านเยว่จะฟังดูจองหอง แต่ในใจกลับอ่อนหวานมากแต่ซูจิ่งสิงกลับคิดว่าหากเขาและกู้หว่านเยว่มีลูกด้วยกันก็คงจะดี ในวันข้างหน้าหลังจากที่เขายกแผ่นดินของต้าฉีให้ลูกดูแลแล้ว เขาจะพาภรรยาไปใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีไร้ข้อผูกมัดถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ยังไกลตัวมาก ไม่นานก็ถูกเขาสะบัดทิ้งออกจากหัวอย่างรวดเร็วทั้งสองคนปรึกษาหารือกันระหว่างเดินทางกลับ ก่อนอื่นพวกเขาต้องปกปิดภูมิหลังเอาไว้เป็นความลับ ห้ามบอกซูจื่อชิงเด็ดขาด หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็นในขณะที่หลายตระกูลภายในห้องกำลังรออย่างใจจดใจจ่อนั้น“เป็นอย่างไรบ้าง พี่สะใภ้ใหญ่ ช่วยผู้เฒ่าโจวได้หรือไม่?”กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ฟื้น แต่ก็ไม่เป็นไรอะไรแล้ว”หลายคนพากันถอนหายใจอย่างโล่งอกซูจิ่นเอ๋อร์เป็นกังวลอยู่หลายวัน เมื่อเห็นเหตุการณ์ผ่านพ้น นางก็ตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง“เหอะ ข้ารู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่มีทักษะการแพทย์ที่สูงส่ง ช่วยคนให้รอดพ้นจากความตาย ชุบชีวิตคนใกล้ตายได้ โลกใบนี้ไม่มีใครรักษาเก่งเท่านางอีกแล้ว!”กู้หว่านเยว่กลอกตามองนาง “หยุดพล่ามไปเลย ไม่รู้ว่าใครกันที่แค้นเคืองเพราะเข
หลังสิ้นสุดเสียงร้องด้วยความตกใจของนางหลิว ทุกคนก็ทยอยกันหันกลับไปมองเวลานี้ทุกคนเห็นฮูหยินผู้เฒ่าซูนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ก็พากันตื่นตระหนกไม่ได้ หรือว่านางจะสิ้นใจแล้ว?“นี่ ตายแล้วจริง ๆ หรือ?”นักการเดินเข้าไป จากนั้นก็ใช้แส้สะกิดสองครั้งโชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าซูยังไม่ตาย เมื่อได้ยินนางส่งเสียงร้อง “ไอหยา” ออกมา ซูหัวหยางก็รีบเดินรุดหน้าเข้าไปทันที“ท่านแม่ ท่านแม่ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”“เจ้าหวังให้ข้าตายหรือไร? ข้าหนาวจนจะแข็งตายอยู่แล้ว....” ฮูหยินผู้เฒ่าซูยกแขนที่สั่นระริกขึ้นมา จึงได้เห็นว่าแขนทั้งสองข้างของนางถูกแช่แข็งจนมีลักษณ์คล้ายกับเปลือกไม้ไปแล้ว“ท่านแม่ ทุกคนก็หนาวกันทั้งนั้น ไม่มีเสื้อผ้ามากพอ ท่านอดทนหน่อยนะ....”ทันใดนั้นซูหัวหยางก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันไปกล่าวกับนางจินและซูหรานหร่าน“พวกเจ้าสองคนรีบถอดเสื้อผ้าออก เอามาให้ท่านแม่ของข้าใส่คลายความหนาว”“ว่าอย่างไรนะ?” ซูหรานหร่านเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พวกเขาทุกคนสวมเสื้อผ้าทั้งหมดสามชั้น “ยกเสื้อตัวนอกให้ท่านย่า แล้วข้ากับท่านแม่จะทำอย่างไร?”“เจ้ามันคนอกตัญญู ท่านย่าของเจ้าเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่มาอย่