ร่างกายร้อนผ่าวอยู่บ้างกู้หว่านเยว่ลืมตาขึ้นมา พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงแกะสลักขนาดใหญ่ มีกลิ่นอายโบราณหลังหนึ่ง ข้างเตียงมีชายสวมชุดแต่งงานนั่งอยู่หนึ่งคนนี่คงฝันไปใช่ไหม แต่เหตุใดเหมือนจริงถึงเพียงนี้?นางเบือนหน้ามองฝ่ายชายฝ่ายชายผิวพรรณขาวดุจหยก ใบหน้าหล่อเหลางดงาม มองแวบเดียวก็ทำให้คนจมดิ่งสู่ภวังค์อย่างยากจะหักห้ามใจ เพียงแต่สีหน้าของเขาเย็นชาเกินไป สุ้มเสียงเองก็ไร้อารมณ์เสียนี่กระไร“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากแต่งกับข้า พระบรมราชโองการยากจะฝ่าฝืน หากเจ้าไม่ยินยอม...”“ข้ายินยอม ข้ายินยอม!”ชายหนุ่มรูปงามหาใครเทียบได้เช่นนี้ นางครองโสดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยได้พบพานมาก่อน ไฉนเลยจะไม่ยินยอมกันเล่า!กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของฝ่ายชาย ยื่นมือออกไปเกี่ยวเข็มขัดโผเข้าหาอ้อมอกของเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง อ้า หอมยิ่งนัก กลิ่นหอมเย็นของชายหนุ่มรูปงามเห็นได้ชัดว่านี่คือครั้งแรกของฝ่ายชาย ทีแรกยังคิดปฏิเสธ แต่กลับไม่อาจต้านทานเสียงที่ดังออดอ้อนออเซาะขึ้นมาของนางได้ สติค่อยๆ เลือนรางไป ทว่า ครู่เดียวก็ทำเอากู้หว่านเยว่วิญญาณหลุดลอยทั้งสองเกี
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง เจิ้นเป่ยอ๋องซูจิ่งสิงคิดก่อกบฏ หลักฐานชัดเจน!”“นับแต่นี้ไปปลดออกจากตำแหน่ง เป็นสามัญชน ยึดทรัพย์เนรเทศไปยังหนิงกู่ถ่า ผู้ใดกล้าฝ่าฝืน ฆ่าได้ไม่ละเว้น!”ฮูหยินผู้เฒ่าทุบอกกระทืบเท้า “สกุลซูของข้าซื่อสัตย์ภักดี ไฉนเลยจะก่อกบฏได้?”หัวหน้าหน่วยยึดทรัพย์เจียงเต๋อจื้อสบถเสียงเย็น “ฝ่าบาทมีพระกระแสรับสั่งออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เจ้ากำลังกล่าวหาว่าฝ่าบาท ทรงวินิจฉัยผิดพลาดงั้นหรือ?”ทุกคนไม่กล้าโวยวายอีก กอดกันร่ำไห้โอดครวญทหารหลวงหลั่งไหลเข้ามา ถีบเปิดประตูเรือน ทุบทำลายข้าวของทั่วทุกสารทิศคล้ายโจรก็มิปาน ไม่ว่าที่ผ่านมาเจ้ามีตำแหน่งสูงส่งเยี่ยงไร หากถูกลงโทษยึดทรัพย์ นั่นก็คือคนต่ำต้อยมองภาพวุ่นวายภายในจวนอ๋อง ฮูหยินผู้เฒ่าคิดห้าม แต่กลับถูกเจียงเต๋อจื้อผลักล้มลงกับพื้น กระดูกของหญิงชราเกือบหักถัดมา เจียงเต๋อจื้อหรี่ตามองทางญาติฝ่ายหญิงของจวนอ๋อง“เพื่อป้องกันมิให้พวกเจ้านำทรัพย์สินส่วนตัวออกไป ญาติฝ่ายหญิงทั้งหมดต้องเปลื้องผ้าตั้งแต่ใต้สะดือลงมาเพื่อตรวจสอบหนึ่งรอบ!”“ไม่ได้!”สีหน้าเหล่าญาติฝ่ายหญิงทั้งโกรธทั้งอายฮูหยินผู้เฒ่าก่นด่าออกมา “เจียงเต๋อจื
“กบฏ ไม่ตายดี!”“สมรู้ร่วมคิดกับทูเจวี๋ย คลอดลูกชายไม่สมประกอบ!”ซูจิ่งสิงนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนกระดานเกวียน รับก้อนหิน มูลแพะและผักเน่าที่โยนเข้ามาทุกทิศทาง...ยามรบชนะกลับมา เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ปกป้องแคว้น ราษฎรล้วนโห่ร้องแสดงความยินดีบัดนี้เขาถูกใส่ร้ายข้อหากบฏ ไม่เพียงไม่มีคนขอความเป็นธรรมแทนเขา ทุกคนยังร้องตะโกนใส่ กลายเป็นคนบาปที่ทุกคนตราหน้าหันมองไปที่คนอื่น ๆ ของสกุลซู แต่ละคนเกือบซุกหน้าลงบนบ่าแล้วฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง “เวรกรรม สกุลซูของข้าตกต่ำถึงขั้นนี้เชียวหรือ...”นายท่านบ้านรองซูหัวหลินอดตำหนิไม่ได้ “ล้วนต้องตำหนิจิ่งสิง อยู่ดีๆ ก็คิดไม่ตก ไปสมรู้ร่วมคิดกับกบฏขายบ้านเมือง ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ทั้งครอบครัวล้วนต้องเดือนร้อนเพราะเขา ข้าเป็นคนรักศักดิ์ศรีที่สุด ถูกราษฎรกลุ่มนี้สบถด่า หน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมาแล้ว ภายภาคหน้าจะใช้ชีวิตเยี่ยงไร!”นับตั้งแต่ยึดทรัพย์จนถึงตอนนี้ เริ่มแรกทุกคนยังงุนงง จนถึงตอนนี้แต่ละคนก็เกิดความคิดขึ้นมาแล้ว มีทั้งคนเชื่อว่าซูจิ่งสิงมิได้ก่อกบฏ และมีคนที่ไม่เชื่อ นายท่านรองเป็นคนแรกที่มิอาจอดกลั้นบ้านอื่นสบตากันแวบ
เสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นภายในสมอง ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจแทบแย่“เจ้าเป็นใคร?”“สวัสดีเจ้านาย ข้าเป็นผู้ดูแลระบบมิติ รับผิดชอบตอบปัญหาที่ท่านสงสัยโดยเฉพาะ”มิติคือพลังวิเศษที่นางมีตั้งแต่ชาติก่อน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ดูแลระบบอันใด“ก่อนนี้เจ้านายอยู่ในขั้นเริ่มต้น จึงไม่ได้เปิดใช้งานฟังก์ชันของระบบ แต่อิงตามการกักตุนสินค้าเต็มพื้นที่ของท่านในวันนี้ มิติได้เปิดใช้งานผู้ดูแลระบบและอาคารทางการแพทย์ให้ท่านแล้ว”กู้หว่านเยว่หลับตาลง เพียงนึกคิดก็เข้าสู่มิติได้แล้ว ดังคาด ภายในพื้นที่กักตุนสินค้า นอกจากสิ่งของที่นางเก็บมา ก็มีอาคารทางการแพทย์เครื่องมือล้ำสมัยหลังหนึ่งทว่า เหตุใดเป็นอาคารทางการแพทย์เล่า?“ซูจิ่งสิงต้องการอาคารทางการแพทย์ เจ้าก็เปิดการใช้งานอาคารทางการแพทย์ ตกลงเจ้าของร่างคือข้าหรือซูจิ่งสิงกันแน่?”กู้หว่านเยว่ไม่สบอารมณ์อย่างมากในใจ“...” ผู้ดูแลระบบแกล้งตายไปแล้วกู้หว่านเยว่ทำเพียงสำรวจการเปลี่ยนแปลงภายในมิติ นอกจากอาคารทางการแพทย์ นางยังพบหน้าจอคล้ายศูนย์ควบคุมทำนองนั้นเพิ่มขึ้นมาในระบบอย่างหนึ่ง ข้างบนเขียนการเปิดใช้งานอาคารใหม่หลากหลายแบบอ
มีนางเป็นตัวอย่าง ทุกคนล้มเลิกความคิดแล้ว แต่ละคนกัดฟันเดินไปข้างหน้าเดินออกมาอีกราวห้าลี้ กู้หว่านเยว่เห็นนางหยางเหนื่อยจนคล้ายลาแก่ ต้องการขยับขึ้นไปช่วย แต่กลับถูกนางปฏิเสธ “หว่านเยว่ เจ้า เจ้าเหนื่อย ข้าเข็น...”“ใช่แล้วพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเพิ่งแต่งเข้ามาก็ต้องถูกเนรเทศไปกับพวกเรา จะยังให้ท่านลำบากอีกได้เยี่ยงไร” ซูจื่อชิงรู้ความ เรียกซูจิ่นเอ๋อร์น้องสาวมาช่วยเข็นด้วยกันใครรู้ซูจิ่นเอ๋อร์ตัวเล็กแต่อารมณ์ร้าย ใบหน้าเปี่ยมอารมณ์ไม่พอใจ “ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว เข็นไม่ไหว ก็ควรให้กู้หว่านเยว่เข็น ใครให้นางเป็นดาวหายนะทำให้พวกเราต้องถูกเนรเทศกันเล่า”“น้องหญิง เจ้าพูดส่งเดชอันใด เรื่องนี้ตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้”ซูจื่อชิงโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เหตุใดน้องหญิงคิดเห็นเฉกเดียวกันกับบ้านเหล่านั้นได้เล่า?สีหน้าซูจิ่นเอ๋อร์กลับเปลี่ยนไปแล้ว รู้สึกเกลียดกู้หว่านเยว่เพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งส่วนอยู่ภายในใจกู้หว่านเยว่คร้านจะตามใจอารมณ์ของคุณหนูใหญ่ “เจ้าเองก็รู้ว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเอ็นดูเจ้าที่สุด บัดนี้เขาหมดสติยังไม่ฟื้น ปรากฏว่าแม้แต่เข็นเกวียนของเขาสักเล็กน้อยเจ้าก็ไม่ยินดี ช่างเอ็นดูอย่างเสียเปล่า
ซูจิ่งสิงไม่รู้ว่าตนตื่นตั้งแต่เมื่อไร“ดีเหลือเกิน พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว”ซูจื่อชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกพี่ใหญ่ตื่นแล้ว ในที่สุดเรื่องพี่สะใภ้ใหญ่ก็มีกำลังหนุนแล้ว“พยุงข้าหน่อย” ซูจิ่งสิงยื่นมือออกมาอย่างอ่อนแรง พอนั่งพิงหัวเตียงได้แล้ว เขาก็มองดูกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่คนเดียวด้วยสายตารู้สึกผิด“ขอโทษนะ”ไม่เพียงแต่ทำให้นางเดือดร้อน แต่ยังทำให้นางถูกตระกูลซูหยามเหยียดกู้หว่านเยว่สบตาเขา ตกตะลึงไปเล็กน้อยแล้วรีบร้อนพูดว่า “ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ไม่สนใจวาจาของพวกคนขยะแต่นางไม่คิดว่า ซูจิ่งสิงจะปกป้องนางทว่ากลับเป็นคนอื่นๆ ในห้องที่อดกลั้นไว้ไม่ไหว และไม่สนว่าบาดแผลของซูจิ่งสิงเป็นอย่างไร กระโจนเข้ามาถามว่า“จิ่งสิง เจ้าขอโทษนางมันหมายความว่าอย่างไร? เจ้าคิดว่าพวกเราเหล่าผู้เฒ่าทำผิดหรือ?”หากไม่หย่าภรรยา หรืออยากเห็นนางทำลายตระกูลหรือ?!“รีบหย่ากับนางเสีย ขอเพียงเจ้าหย่ากับนาง พวกเรายังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน”“...”ครอบครัวเดียวกัน?ฮะๆ... ช่างเป็นครอบครัวเดียวกันที่แสนประเสริฐยามเขายังเป็นเจิ้นเป่ยอ๋อง ไม่เ
เมื่อซูจิ่นเอ๋อกลับมา น้ำตาบนใบหน้าของนางก็เริ่มแห้ง มุมปากยังขดเม้มอย่างไม่ชอบใจอยู่เมื่อเดินผ่านกู้หว่านเยว่ นางจงใจแค่นเสียงตะคอก ก่นด่าไปหลายคำ“ดาวไม้กวาด[footnoteRef:1] บ่างช่างยุ สุนัขจิ้งจอก!” [1: หรือดาวหาง คติชนจีนบอกว่าดาวหางจะกวาดล้างผู้คน หากพบเห็น จะเกิดสงครามหรือภัยธรรมชาติ ส่วนความหมายของสมัยใหม่คือ เป็นคำสาปแช่งบุคคลที่จะนำภัยพิบัติหรือโชคร้ายมาสู่ตน มักใช้กับผู้หญิงเป็นหลัก] สุนัขจิ้งจอกนางยอมรับ แต่อีกสองคำนั้นนางไม่ยอมรับกู้หว่านเยว่เหลือบมองหญิงสาว ได้กลิ่นซาลาเปาเนื้อบนตัวของนางโชยมา พลันพูดเสียงดังว่า “ซูจิ่นเอ๋อ เหตุใดปากเจ้าจึงมันเยิ้มเช่นนั้น? เศษเนื้อเองก็ติดอยู่ที่ปาก เจ้าแอบไปกินซาลาเปาเนื้อลับหลังพวกเราหรือ?”“ไม่ ไม่ใช่เสียหน่อย!”ซูจินเอ๋อรู้สึกผิด รีบเช็ดมุมปากทันที สายตามองไปที่ซูจิ่งสิงและคนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว ก่อนจะได้ยินกู่หว่านเยว่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา“เจ้าหลอกข้า?”ใบหน้าของซูจิ่นเอ๋อเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ นางกัดฟันแล้วพูดว่า“เจ้าบ่างช่างยุ รอก่อนเถอะ เจ้าจะได้มีความสุขเช่นนี้อีกไม่กี่วันแล้ว!”พี่หญิงซือซือรับปากกับนางแล้ว
“นั่นน่ะสิ หัวหน้าใกล้จะหมดลมแล้ว นางยังพิรี้พิไรอยู่อีก”“รู้วิชาแพทย์อันใดกัน? ข้าว่านางเสแสร้งเสียมากกว่า” ชายคางแหลมคนหนึ่งกะพริบตาเล็กน้อย หยิบแส้ออกมา ตั้งใจฟาดไปที่กู้หว่านเยว่ทว่าจางเอ้อคว้าแส้ไว้ได้อย่างรวดเร็ว“เหล่าหลี ให้นางดูก่อนเถิด”เขารู้สึกว่ากู้หว่านเยว่ทำได้“นางยังเยาว์ถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นอิสตรี จะรู้วิชาแพทย์ได้อย่างไร?” เหล่าหลี่ยังคงไม่ปล่อยมือกู้หว่านเยว่เลือกเซรุ่มที่ต้องการมาจากหอแห่งโอสถแล้ว เมื่อได้ยินคำเมื่อครู่ จึงมองไปหาและแดกดันว่า“เจ้ารีบห้ามข้าเช่นนี้ หรือว่าไม่อยากให้ข้ารักษาหัวหน้าของพวกเจ้าให้หายหรือ?”“เจ้า เจ้าเหลวไหล ข้าเปล่าเสียหน่อย!”เหล่าหลี่ที่ถูกคำพูดแทงก็โกรธมากเขาอายุมากกว่าซุนอู่ มีคุณสมบัติสูงกว่าซุนอู่ การคุ้มกันครั้งนี้ควรเป็นเขาที่เป็นหัวหน้า แต่เบื้องบนกลับมอบหมายงานนี้ไปให้ซุนอู่แทน...กู้หว่านเยว่มองเขาอย่างหยอกล้อ ไม่สนใจที่จะโต้เถียงกับเขา ก่อนจะหยิบเข็มฉีดยาที่บรรจุเซรุ่มออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังแล้วปักลงไปที่แขนของซุนอู่โดยไม่ลังเลการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เป็นวิธีล้างพิษที่มีประสิทธิภาพที่สุดจางเอ้อไม่เคยเห็
“ตกลง” หลิ่วเพียวเพียวรีบพยักหน้า เรียนรู้อย่างอดทนในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน คนสกุลหลี่ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“เจี่ยอวิ๋น ทำไมพวกเจ้าถึงรีบร้อนจะย้ายออกไปนัก?”ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แตกต่างจากตอนที่สงสัยว่าเจี่ยฮูหยินขโมยรังนกไปในวันนั้นราวกับเป็นคนละคน“ก็ใช่น่ะสิ ทำไมน้องชายถึงไม่พักที่สกุลหลี่ของเราอีกสักสองวันเล่า”คุณชายหลี่ก็เสริมขึ้นมาด้วยแม้ว่าทั้งสองจะกำลังคุยกับเจี่ยอวิ๋น แต่สายตากลับมองไปทางกู้หว่านเยว่อยู่บ่อยครั้ง“นี่ นี่คือญาติผู้น้องของภรรยาของท่านกระมัง?”“บังอาจนัก”ชิงเหลียนชักมีดออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา“เห็นพระชายาแต่ไม่ทำความเคารพ มัวมองอะไรอยู่?”สองแม่ลูกสกุลหลี่ตกใจกลัวจนทนไม่ไหวทั้งสองเพิ่งเข้ามา ในใจยังมีเจตนาชั่วร้ายอยู่หากรู้ว่าหลิ่วเพียวเพียวและพระชายาเป็นญาติพี่น้องกัน พวกเขาคงทำแบบผักชีโรยหน้าไปแล้วบัดนี้เป็นเรื่องเป็นราว น่าอึดอัดยิ่งนักทั้งสองรีบคุกเข่าลง หลี่ฮูหยินกล่าวว่า “พระชายาโปรดอภัยด้วย ข้าคิดว่าท่านและภรรยาของเจี่ยอวิ๋นเป็นญาติพี่น้อกัน พวกเราก็ถือว่าเป็นญาติพี่น้องกันด้วย จึงไม่ได้คิดอะไรมาก”“ใช่แ
นางมองไปทางกู้หว่านเยว่ด้วยแววตาคาดหวัง “พระชายา ข้าจะหายหรือไม่?”“ไม่ต้องกังวล หายสิ”กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างอ่อนโยนหลิวหว่านอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อารมณ์เสียไปพักหนึ่ง นางไม่ได้กินอะไรเลย ไม่นานก็งัวเงียผล็อยหลับไป“ข้าจะต้องไปทวงความยุติธรรมกับสกุลฟ่านให้ได้”หลิวชวี่ปิดประตูอย่างระมัดระวัง พอออกมาได้ก็ด่าเปิงทันทีนี่คือการกลั่นแกล้งอย่างแท้จริง“อย่าให้คุณหนูหลิวได้ยินคำพูดไม่ดีอีก”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือนสติประโยคหนึ่ง ด้วยความใจร้อนที่จะปกป้องน้องสาวของหลิวชวี่ ต้องทำให้สกุลฟ่านทนไม่ไหวแน่นอน“พระชายาโปรดวางใจ ข้าน้อยรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”หลิวชวี่รีบพยักหน้าเวลานี้ ชิงเหลียนเข้ามาบอกว่า “ฮูหยิน สกุลเจี่ยกลับมาที่เมืองเหยาแล้ว ทางด้านคุณหนูญาติผู้พี่ยังคงหาที่พักอยู่”หลิ่วเพียวเพียวร่างกายอุ้ยอ้าย ไม่เหมาะที่จะกลับไปเมืองเหยาอีก“พระชายา ท่านมีญาติที่กำลังมองหาที่พักอยู่หรือ?”หลิวชวี่กำลังจะออกไป เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ย้อนกลับมาอีกกู้หว่านเยว่พยักหน้า “ญาติผู้พี่ของข้าเอง”“ถ้าพระชายาไม่รังเกียจ ก็พักที่จวนของข้าน้อยแล้วกันในจวนกว้างขวาง มีห้องรับรองแขกม
เมื่อก่อนนางเป็นคนชอบกิน เห็นของอร่อยก็อดใจไม่ไหวเหมือนกับที่กู้หว่านเยว่คิดไว้ หลังจากกินเสร็จแล้ว ในใจของนางก็เริ่มรู้สึกผิด จึงได้แต่พยายามเอานิ้วล้วงคอเพื่อให้อาเจียนอาหารออกมาหลังจากอาเจียนออกมาหนึ่งครั้ง สองครั้ง ก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยสบายต่อมา แม้ว่านางจะรู้สึกหิว แต่พอเห็นอาหารเหล่านั้นก็มีความรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาเองโดยธรรมชาติ“น้องเล็ก เจ้าช่างโง่เขลาจริง ๆ ”หลิวชวี่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่เบื้องหลัง จึงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธในทันที“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกพี่ใหญ่เล่า?”ที่ผ่านมาเขายังคิดว่าหลิวหว่านอี้ป่วย ไม่คิดว่าจะเป็นโรคทางใจหากรู้ว่าเจ้าเด็กสกุลฟ่านนั่นกล้าทำเช่นนี้ เขาก็คงจะง้างหมัดขึ้นมาทุบตีพวกเขาให้ตายไปแล้ว“เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ ข้าไม่กล้าบอกพี่ใหญ่”หลิวหว่านอี้ก้มหน้าลง รู้สึกเศร้าใจ“อีกอย่างพอผอมลง ข้าก็รู้สึกดีใจพวกเขาว่าข้าอ้วนเกินไป ตั้งฉายาให้ข้าว่าหมูอ้วนยังบอกอีกว่าคนที่อ้วนอย่างข้า หากในอนาคตได้เป็นเจ้าสาวคงไม่สวยแน่ ๆ ”น้ำตาของหลิวหว่านอี้ไหลรินลงมาเป็นหยด ๆ หลิวชวี่โกรธจนแทบจะพ่นไฟออกมา น้องสาวถูก
นานวันเข้า ไม่เพียงแต่จะทำลายกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นโรคเบื่ออาหารได้ด้วยกู้หว่านเยว่นำการวิเคราะห์ของตนเองมาอธิบายให้หลิวหว่านอี้และหลิวชวี่ฟัง“โรคเบื่ออาหาร?”หลิวชวี่แสดงสีหน้าสับสน“ไม่เคยได้ยินโรคแบบนี้มาก่อน”ซูจิ่งสิงก็รู้สึกแปลกใหม่เช่นกัน แต่เขาได้ยินเรื่องแปลกใหม่จากปากภรรยามาไม่น้อย จึงไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจเหมือนกับทั้งสองคนกู้หว่านเยว่ยิ้ม “โรคนี้พบได้ไม่น้อย เพียงแต่ว่า น้อยคนนักที่จะคิดไปถึงเรื่องนี้”“พระชายา เช่นนั้นท่านคิดว่าควรจะรักษาอย่างไรเล่า?”หลิวชวี่รีบเอ่ยถามแม้ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินโรคแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ หมอทั้งหลายไม่สามารถบอกได้เลยว่าน้องเล็กป่วยเป็นโรคอะไร ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุใด ๆ เลย ตอนนี้อย่างน้อยกู้หว่านเยว่ก็ยังสามารถบอกอาการของโรคได้เมื่อมีอาการของโรค ก็ต้องมีวิธีรักษาอย่างแน่นอนได้ลองรักษา ก็ดีกว่าไม่ได้ลองอะไรเลย“โรคนี้จะว่ารักษายากก็ไม่ยาก แต่จะว่ารักษาให้หายก็ไม่ง่ายเช่นนั้น”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด โรคนี้ยังต้องถามให้ชัดเจนว่าเกิดขึ้นจากอะไร“คุณหนูหลิว ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า เมื่อปีก่อนเห
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”อิงเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกยังดีที่ท่านแม่ทัพมาแล้วมิฉะนั้น หากคุณหนูเกิดอาการกำเริบขึ้นมา นางก็ไม่รู้จะรับมืออย่างไรจริง ๆ นางคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานห้องก็ถูกเก็บกวาดจนสะอาดแล้วหลิวชวี่จึงออกไปข้างนอก เชิญกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเข้ามา“พระชายา ต้องขออภัยจริง ๆ น้องเล็กเพิ่งจะอาการกำเริบ”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า“ไม่เป็นไร”แค่ฟังหลิวชวี่บรรยายในห้องหนังสือ ก็รู้ว่าโรคของหลิวหว่านอี้มีอารมณ์แปรปรวนเวลานี้ หลิวหว่านอี้กลับไปนอนอยู่บนเตียงแล้วนางจะอารมณ์พลุ่งพล่านมากในเวลาที่อาการกำเริบ โดยปกติแล้วก็จะนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ทานอาหาร ไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นมานั่งนาน ๆ กู้หว่านเยว่เดินไปที่ข้างเตียง ตกใจกับสภาพของหลิวหว่านอี้เป็นอย่างมากเมื่อครู่ตอนที่อยู่นอกประตู ได้ยินเสียงพูดของนางก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นตัวจริงก็พบว่า คนผอมจนกลายเป็นหนังหุ้มกระดูกแล้วทั้ง ๆ ที่อายุเพียงสิบห้าปี เป็นวัยที่สดใสงดงามราวกับดอกไม้ แต่กลับซูบผอมเหมือนคนอายุสามสิบปี“คารวะท่านอ๋อง พระชายา”หลิวหว่านอี้กล่าวอย่างอ่อนแรง คิดจะลุกขึ้นทำความเคาร
เมื่อปรึกษาหารือกับซูจิ่งสิงเสร็จสิ้น กู้หว่านเยว่ก็เงยหน้าขึ้นมองหลิวชวี่ เปิดเผยตัวตนอย่างตรงไปตรงมา“ท่านแม่ทัพหลิว ข้าคือผู้อาวุโสแห่งหุบเขาราชาโอสถ ข้ากับหมอเฒ่าเป็นสหายกัน และมีความรู้ด้านการแพทย์เช่นกัน น้องสาวของท่านป่วยเป็นโรคอะไร พาข้าไปดูก่อนก็ได้”หลิวชวี่ได้ยินมานานแล้วว่ากู้หว่านเยว่เก่งกาจ ไม่คิดว่านางจะมีความรู้ทางการแพทย์ด้วย“ท่านเป็นผู้อาวุโสแห่งหุบเขาราชาโอสถหรือ?”เขาไม่อยากจะเชื่อ กู้หว่านเยว่อายุเท่าไรกันเชียว เป็นผู้อาวุโสแห่งหุบเขาราชาโอสถแล้วหรือ?“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่กุมขมับอายุน้อยเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องดีไปเสียทุกอย่างไม่มีความน่าเชื่อถือเลย!“ข้าน้อยตาไม่ถึง มองไม่ออกแม้แต่น้อย พระชายาโปรดอย่าถือสา”หลิวชวี่ลูบศีรษะ เรื่องนี้น่าอับอายมิใช่หรือ?เจ้าหุบเขาแห่งหุบเขาราชาโอสถตัวจริงอยู่ตรงหน้า เขากลับมองไม่ออก ยังอุตส่าห์ขอร้องให้คนไปยังเจดีย์หนิงกู่เพื่อแนะนำในเมื่อกู้หว่านเยว่บอกว่า นางมีความรู้ทางการแพทย์ หลิวชวี่ก็ไม่เรื่องมาก รีบเชิญนางไปยังเรือนด้านหลัง “น้องเล็กของข้าป่วยเป็นโรคประหลาดมาตั้งแต่ปีที่แล้วแม้ว่าท้องจะหิว แต่เมื่อเห็นอาหา
“ฝ่าบาท อย่าทรงคิดมากเกินไป เรื่องนี้ยังมีทางแก้ไขพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีที่อยู่ข้าง ๆ ก้าวออกมาเสนอความคิดเห็น“เพียงแค่ซูจิ่งสิงตาย...”เพียงแค่ซูจิ่งสิงตาย เจดีย์หนิงกู่ก็จะแตกพ่ายไปเองมู่หรงถิงจะไม่รู้หลักการนี้ได้อย่างไร แต่ชีวิตของซูจิ่งสิงนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เขาไม่มีทางทำอะไรได้เลย“การจะฆ่าเขาไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าล้มเหลวมาหลายครั้งแล้ว”อีกทั้งตอนนี้รอบกายซูจิ่งสิงก็มีคนมากมายต่อให้ตนจะส่งมือสังหารไป ก็คงไม่สามารถเข้าใกล้ตัวได้“ฝ่าบาท กระหม่อมมีความคิดโง่ ๆ อย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่าพระองค์จะยินดีรับฟังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ในเมื่อมีความคิดเห็น ก็รีบพูดมา”มู่หรงถิงเร่งเร้าอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้เขาเหมือนคนป่วยหนักที่รักษาไม่ถูกจุดขุนนางบู๊บุ๋นทั้งราชสำนักต่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พูดอะไรไม่ออก เขาสามารถมองออกว่าจิตใจของคนบางคน ได้ค่อย ๆ เอนเอียงไปทางซูจิ่งสิงแล้ว“ฝ่าบาท คนของพวกเรายากที่จะเข้าใกล้เจิ้นเป่ยอ๋อง แต่สิ่งที่เจิ้นเป่ยอ๋องอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้คืออะไร...”สายตาของขันทีมีความหมายแฝง มู่หรงถิงก็เข้าใจในทันที“เจ้าหมายถึงเรื่องของอดีตรัชทายาท?”“ฝ่าบาท ในวังไม่ได้มีผู้
“รู้หรือยัง? ท่านแม่ทัพของพวกเรายอมจำนนเสียแล้ว”“ยังไม่ได้สู้รบก็ยอมจำนนแล้ว รอให้กองทัพใหญ่ของเจดีย์หนิงกู่เข้ามาแล้ว คงไม่ฆ่าล้างเมืองหรอกกระมัง?”“เหลวไหล กองทัพของเจดีย์หนิงกู่ไม่มีทางฆ่าล้างเมือง ได้ยินมาว่าตอนที่พวกเขาเข้าเมืองเหยาและเมืองซุ่ยโจว ยังแจกจ่ายยาและอาหารให้ชาวบ้านด้วย”“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือ เช่นนั้น ที่ท่านแม่ทัพยอมจำนนก็เพื่อประชาชนอย่างเราสินะ”ประตูเมืองเพิ่งเปิดออก เรื่องที่หลิวชวี่ยอมจำนนโดยไม่สู้รบ ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองจางโจวแล้วเวลานี้ร้านน้ำชา โรงเตี๊ยม และร้านสุราต่าง ๆ ในเมืองจางโจวล้วนกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้“เดิมทียังคิดว่าเกิดสงคราม ก็จะขายทรัพย์สินในบ้านทั้งหมด พาครอบครัวหนีเอาชีวิตรอด”“คิดไม่ถึงว่าจะไม่ต้องหนีแล้ว”ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็ดีใจก็เป็นเพราะเจดีย์หนิงกู่ได้สร้างชื่อเสียงที่ดีในช่วงก่อนหน้านี้ไม่มีเหตุการณ์ฆ่าล้างเมือง เผา ฆ่าปล้นสะดมเกิดขึ้นตรงกันข้าม หลังจากเข้าเมืองแล้ว ยังแสดงความเมตตาต่อชาวบ้านอย่างกว้างขวางยิ่งไปกว่านั้น การที่ซูจิ่งสิงยกทัพ ก็ไม่ใช่การรุกรานชนเผ่าอื่น ดังนั้น ชาวบ้านจึงยอมรับได้มากประกอบกั
“ในที่สุดก็มีที่ให้พักผ่อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะราบรื่นถึงเพียงนี้ ยังนึกว่าพวกเราจะต้องออกจากเมืองจางโจวกลางดึก แล้วกลับไปยังค่ายใหญ่เสียอีก”แผนเดิมของกู้หว่านเยว่ หลิวชวี่จะต้องไม่ยอมจำนนง่าย ๆ อย่างแน่นอนไม่ว่าจะจับตัวหรือบุกโจมตี ก็ต้องกลับไปปรึกษากับหนานหยางอ๋องและคนอื่น ๆ เพื่อหาหนทางที่เป็นไปได้ผลปรากฏว่า หลิวชวี่เปิดฉากด้วยการมอบตราบัญชาการแล้วแบบเขานี่เรียกว่ายอมจำนนที่ไหนกัน?นี่มันคือการเฝ้ารอให้พวกเขามายึดเมืองจางโจวไปชัด ๆ “น้องหญิง เหนื่อยหรือไม่?”ซูจิ่งสิงเดินไปหากู้หว่านเยว่ นั่งลงข้างเตียง จากนั้นยื่นนิ้วเรียวยาวออกไป นวดขมับทั้งสองข้างให้นางเบา ๆ จะว่าไปแล้ว ก็นับว่าสบายมากจริง ๆ กู้หว่านเยว่หรี่ตาลงอย่างมีความสุข แล้วเหลือบมองซูจิ่งสิงภายใต้แสงเทียน ชายหนุ่มหล่อเหลาจนไม่อาจละสายตาไปนางขยับเข้าไปใกล้ซูจิ่งสิง“ท่านพี่ ข้าพบว่าท่านมีเสน่ห์จริง ๆ ” เสน่ห์เฉพาะตัว!ซูจิ่งสิงยิ้มเล็กน้อย จ้องมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาเป็นประกาย“เทียบไม่ได้กับเจ้าแม้เพียงเศษเสี้ยว”บุรุษผู้นี้ก็รู้จักประจบประแจงแล้ว กู้หว่านเยว่ค่อนข้างพึงพอใจสองสามีภรรยาพูดคุย