โจวหุยเดินเข้ามาอย่างดีใจ แม้แต่กู้หว่านเยว่ก็นึกไม่ถึงว่าจะพบเขาที่นี่“คุณชายโจว ทำไมถึงเป็นท่านล่ะ?”กู้หว่านเยว่มองสำรวจเขาหนึ่งรอบ“ทำไมท่านถึงอยู่ในสภาพอนาถเช่นนี้?”โจวหุยรีบตอบ “ข้าอยู่เมืองอู้ตูต่อไปไม่ได้แล้ว จึงอยากออกมาเดินเล่น หากได้พบท่านคงดีมาก นึกไม่ถึงว่าสวรรค์จะได้ยินคำอธิษฐานของข้า ทำให้ข้าได้พบกับท่านจริงๆ”เขาดีใจมาก ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจไม่น้อย“ท่านจะตามข้าไปหรือ?”นางไม่เคยคิดจะรับโจวหุยไปอยู่ด้วย“ขอแม่นางกู้โปรดอย่ารังเกียจกันเลย ข้าไม่มีที่ไปแล้ว แค่อยากมีที่อยู่อาศัยเท่านั้น”เขาดูออกว่ากู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนทั่วไป ไม่อย่างนั้นคงไม่เสี่ยงชีวิตออกตามหาองค์หญิงใหญ่“มีตะเกียบเพิ่มขึ้นหนึ่งคู่คงไม่เป็นไร”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดสักครู่ แล้วหันมองโจวหุย“เพียงแต่ท่าน...”ใช่ว่านางยินดีจะรับทุกคนไปอยู่ด้วย จำเป็นต้องมีความสามารถจึงจะเข้าตานาง“ข้าเคยเรียนหนังสือ ข้ารู้หนังสือ แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงจวี่เหรินใช่สิ บรรพบุรุษของข้าเป็นช่างหล่อโลหะ ข้ารู้จักวิชาหล่อโลหะ”“ท่านหล่อโลหะได้หรือ?”จู่ๆ กู้หว่านเยว่นึกถึงนักรบสวรรค์กองนั้นที่อยู่ในมิติของนาง พ
“ไม่เป็นไร”กู้หว่านเยว่เคยชินแล้ว บนรถม้าของนางยังมีอาหารไม่น้อยโจวหุยได้ยินดังนั้น จึงหาที่โล่งหนึ่งแห่งก่อนฟ้ามืดกู้หว่านเยว่กระโดดลงจากรถม้า เห็นโจวหุยกำลังหากิ่งไม้ไปทั่ว เพื่อนำกลับมาก่อกองไฟอีกทั้งยังไปตักน้ำสะอาดกลับมาบางส่วน แล้วยื่นให้กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่พยักหน้า แม้ก่อนหน้านี้โจวหุยจะเป็นคนคลั่งรัก แต่ก็เป็นคนขยันขันแข็ง“บนรถม้ามีอาหารแห้งบางส่วน เจ้าไปนำอาหารแห้งลงมาเถอะ”กู้หว่านเยว่สั่งการ โจวหุยพยักหน้าพร้อมกระโดดขึ้นรถม้า จากนั้นนำอาหารแห้งที่อยู่ด้านหลังลงมากู้หว่านเยว่ยื่นอาหารแห้งให้โจวหุยสองแผ่น พลันได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”เสียงนั้นคล้ายกับเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง กู้หว่านเยว่ชะงักไปสักครู่ เมื่อหันหลังจึงเห็นใบหน้าคุ้นเคยเป็นไปตามคาด โจวหุยที่อยู่ข้างกายนิ้วมือสั่นเทา“นาง ซ่งซีซี ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่?”หญิงสาวที่วิ่งไปด้วยพลางร้องตะโกนให้ช่วยไปด้วยกลางป่าเขา คือซ่งซีซีเห็นได้ชัดว่าซ่งซีซีเองก็นึกไม่ถึง ว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ารถม้าคือโจวหุย แรกเริ่มนางสะดุ้งก่อน ต่อมาเมื่อนึกถึงงูพิษที่ไล่ตามด้านหลัง จึงรู้สึกขา
“ท่าน ท่านเข้าใจผิดแล้ว”ขณะนี้ซ่งซีซีจะยอมรับได้อย่างไร?ที่นี่มีคนน้อย นอกจากหญิงสาวที่ไม่รู้ชื่อแซ่คนนี้ ก็มีเพียงนางกับโจวหุยนางกลัวโจวหุยจะแก้แค้น“ท่านพี่ วันนั้นเกิดไฟไหม้ ข้าไม่ได้เป็นคนวางเพลิง”“เช่นนั้นเจ้าไม่เห็นข้าในกองเพลิง แล้วสั่งให้คนไปค้นหาข้า หมายความว่าอย่างไร?”โจวหุยกำหมัดแน่น หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เขาก็ไม่ต้องถูกบีบให้ออกจากเมืองอู้ตู“ข้า ข้าเป็นห่วงเบาะแสของท่าน อยากจะตามหาท่านให้พบ”สายตาซ่งซีซีละอายใจ โจวหุยขี้เกียจพูดกับนางแม้แต่คำเดียว“รีบพูดมา เจ้าปรากฏตัวที่นี่มีแผนการใดกันแน่?”เขาถูกเล่นงานจนกลัวแล้ว กังวลว่าซ่งซีซีจะมีแผนการใดซุกซ่อนอยู่อีก“ข้าจะมีแผนการใดได้ ข้าเป็นห่วงท่าน...”ซ่งซีซียืนยันคำเดิม ขอเพียงนางไม่ยอมรับ ท่านพี่ก็คงนึกไม่ถึงโจวหุยไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางตามคาด ซ่งซีซีสามารถลงมือกับเขาอย่างอำมหิตได้แต่เขาเป็นมนุษย์ เขาไม่อาจทำใจลงมือสังหารซ่งซีซีอย่างมากแค่ไม่สนใจนางโจวหุยเดินไปเติมฟืนข้างกองไฟ ซ่งซีซีก็ไม่กล้าเข้าไปตอแยเขา จึงนั่งกอดเข่าอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่กู้หว่านเยว่ไม่สนใจทั้งสองคน นำมีดสั้นเล่ม
องค์หญิงใหญ่รู้ว่านางเป็นวิชาแพทย์ จึงยิ้มพร้อมพยักหน้าแม่นมนางโจวรีบกล่าว “พระชายาวางใจได้ บ่าวจะดูแลองค์หญิงให้ดีเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก ยกรถม้าให้นายบ่าวทั้งสองคน นางนั่งอยู่บนไม้กระดานด้านนอก“ช้าก่อน”ซ่งซีซีเห็นทั้งสองคนเตรียมจากไป จึงรีบตามไป“พวกเจ้าจะไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ พาข้าไปด้วย”บ่าวที่ติดตามนางออกมา หนีไปตั้งแต่ครึ่งทางแล้วตอนนี้เหลือนางเพียงคนเดียวต้องระหกระเหินอยู่กลางป่า นางไม่มีทางเอาตัวรอด“พาเจ้าไปด้วย?”กู้หว่านเยว่หันมาเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ“เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ?”คนอย่างซ่งซีซี ที่ไม่ฆ่า เพราะนางไม่อยากแปดเปื้อนมือตัวเอง“ท่านพี่ ท่านไม่สนใจข้าไม่ได้นะ”ซ่งซีซีหันมองโจวหุยอย่างร้อนรนโจวหุยถูกนางทำร้ายจนเจ็บช้ำน้ำใจ เรื่องใดไม่ควรเกินสาม เขาเคยถูกซ่งซีซีหลอกสองครั้ง จะไม่ตกหลุมพรางนางอีก“หลีกไป!”โจวหุยตะโกนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดึงบังเหียนขึ้นบังคับม้าจากไป“ท่านพี่!”ซ่งซีซีตามอยู่ด้านหลังเพียงสองก้าวก็ล้มลงบนพื้นนางมองแผ่นหลังของโจวหุยอย่างเหลือเชื่อ“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงเปลี่ยนเป็นใจร้ายเช่นนี้?”ตั้งแต่เด็กจนโตโจวหุ
“พวกเจ้ารีบออกเดินทางเถอะ ต่อให้ข้าแก่ข้าก็ยังไหว”องค์หญิงใหญ่อัธยาศัยดีมาก นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม“ท่านแม่ ข้าจะนั่งรถม้าไปกับท่าน”มู่หรงฉางเล่อซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดขององค์หญิงใหญ่ ไม่อยากแยกจากนางกู้หว่านเยว่ขยี้จมูกเล็กน้อย มู่หรงฉางเล่อผู้นี้ช่างเป็นลูกแหง่ยิ่งนักแต่ก็พอเข้าใจได้ราชบุตรเขยในฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ตอนที่มู่หรงฉางเล่อยังวัยเยาว์มาก นางได้รับการเลี้ยงดูจากองค์หญิงใหญ่แทบจะเพียงผู้เดียวจนเติบใหญ่ เป็นเรื่องปกติที่นางจะตามติดองค์หญิงใหญ่“พวกท่านสองคนขึ้นไปพักบนรถม้าเถอะ เราจะนำทางอยู่ด้านหน้าเอง”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงขี่ม้าตัวเดียวกัน คอยนำทางอยู่ข้างหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลนักในที่สุดทุกคนก็เดินทางมาถึงเมืองอวี้ก่อนยามโพล้เพล้เนื่องจากครั้งนี้กู้หว่านเยว่จากไปอย่างลับ ๆ ดังนั้นคนในจวนกู้จึงแทบจะไม่รู้ว่านางออกจากเมืองอวี้ไปแล้ว คิดว่านางยังขังตัวเองอยู่ในหุบเขาราชาโอสถ ซูจิ่งสิงเองก็ไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ออกไป เพราะเขาเองก็ตั้งใจจะพากู้หว่านเยว่กลับจวนอย่างเงียบ ๆ ปรากฏว่าทันทีที่พวกเขามาถึงหน้าประตูจวนกู้ ก็เห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว“กู้หว่าน
กู้หว่านเยว่ชอบนิสัยนี้ของมู่หรงฉางเล่อมากเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้าไปแล้ว นางก็หันกลับมามองกู้หว่านหรู“ปล่อยนางก่อน”กู้หว่านเยว่สั่งชิงเหลียนและหงเจาสั้น ๆ เมื่อทั้งสองคนได้ยินก็รีบปล่อยตัวกู้หว่านหรู แล้วยืนปกป้องผู้เป็นนายอยู่ข้าง ๆ “กู้หว่านเยว่ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องกลับไปกับข้า”กู้หว่านหรูตะโกนเสียงดังโดยไม่สนใจใคร ทำให้กู้หว่านเยว่ยิ้มเยาะ“ทำไมข้าต้องกลับไป?”“เจ้ายังกล้าถามข้าว่าทำไม หากไม่ใช่เพราะเจ้า ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าคงไม่เดือดร้อนถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทก็คงไม่ทรงกริ้วพวกเขา จวนโหวเคยรุ่งเรืองมากเมื่อครั้งอดีต แต่เพราะเจ้า ครอบครัวของเราจึงได้ตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้”กู้หว่านหรูกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว สตรีผู้นี้ยังกล้าถามนางอีกว่าทำไมต้องกลับไป นางไม่มีน้ำใจเลยอย่างนั้นหรือ?“ครอบครัว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “พวกเจ้าคือครอบครัว แต่ข้าไม่ใช่สินะ”นางกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เจ้าคงจะลืมไปแล้วใช่หรือไม่ ในตอนที่ถูกเนรเทศช่วงแรก จวนโหวกลัวว่าจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง พวกเขาจึงตัดความสัมพันธ์กับข้าไปแล้ว”แม้ว่าจะไม่มีหนังสือตัดสายเลือด แต่คนที่นี่เ
“กรี๊ด!”นางล้มลงไปบนพื้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะจ้องมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาเกลียดชังอย่างที่สุด“เจ้าไร้ความปรานีต่อตระกูลมารดา ต่อไปเจ้าจะไร้ที่พึ่ง!”กู้หว่านหรูสาปแช่งอย่างโหดร้าย“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าท่านอ๋องจะรักเจ้าไปตลอดชีวิต? ต่อไปเจ้าจะถูกทอดทิ้ง ข้าจะรอดูวันที่เจ้าไร้ที่พึ่ง” ชิงเหลียนและหงเจามีสีหน้าเปลี่ยนไป คำสาปแช่งที่โหดร้ายเช่นนี้ ทำให้ฮูหยินและนายท่านรับไม่ได้“ปิดปากนางเสีย”มุมปากของซูจิ่งสิงกระตุก ตั้งใจจะหาเรื่องเขาสินะ?กว่าเขาจะทำลายกำแพงจนภรรยาเชื่อใจเขาได้ไม่ได้เรื่องง่าย“น้องหญิง อย่าไปเชื่อคำพูดของนาง ข้าไม่มีวันรังแกเจ้า”จะว่าไปแล้ว ตระกูลของพวกเขาต่างก็เป็นคนที่มีคุณธรรมหากเขารังแกนาง คงถูกไล่ออกจากบ้านแล้ว“ข้าไม่อ่อนไหวเพราะคำพูดของนางหรอก”กู้หว่านเยว่ยิ้มตาหยีพลางมองซูจิ่งสิง นางไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้นจวนจงฉินโหวเดิมทีไม่ได้ต้อนรับนางอยู่แล้ว เหตุใดนางจะต้องประจบประแจง ยอมโง่กอดความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ด้วยเล่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางมีตระกูลมารดาใหม่ไปแล้ว“จับนางโยนออกไปจากเจดีย์หนิงกู่”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่งกับฉู่เฟิงด้วยสีหน้าไร้ความร
หลังจากที่เข้ามาในห้อง ในที่สุดซูจิ่งสิงก็ต้านทานความคิดตัวเองไม่ไหว คว้ากู้หว่านเยว่เข้ามาไว้ในอ้อมกอด“น้องหญิง”เขาดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะซุกหน้าลงไปตรงซอกคอของนาง สูดดมกลิ่นหอมของดอกแพร์ที่แผ่ขยายออกมาจากตัวของนาง และกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยความคิดที่ไม่อาจต้านทานได้ “เจ้าก็รู้ว่าข้าคิดถึงเจ้ามากเพียงใด”กู้หว่านเยว่หน้าแดงระเรื่อ นางคิดถึงเขามาก จึงไม่ผลักเขาออกไปแล้วเอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าเองก็คิดถึงท่าน”“ไม่มีตอนไหนที่ไม่คิดถึง”นางกล่าวเสียงเบา ระบายความรู้สึกภายในใจอย่างอ่อนโยน“ระหว่างทางกลับมา ยามมองท้องฟ้าก็เห็นแต่เจ้า มองก้อนเมฆก็เห็นแต่เจ้า มองกองไฟก็คิดถึงแต่เจ้า ลืมตาก็เห็นเป็นหน้าเจ้า หลับตาก็เฝ้าพรรณนาถึงเจ้า....”ซูจิ่งสิงทนไม่ไหวอีกต่อไปริมฝีปากของภรรยาช่างน่าดึงดูดยิ่งนัก เขาโน้มหน้าลงมา ประทับรอยจูบบนปากของนาง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นตวัดเปิดปากของนาง ลิ้นของนางตวัดประสานกับลิ้นของเขา ทั้งสองคนใช้ลิ้นสอดประสานกันและกัน จนของเหลวผสมผสาน กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน“ท่านพี่...” กู้หว่านเยว่ตระหนักได้ว่าเขาต้องการอะไรจากสายตา
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา
“หลี่กวงถิงต้องการควบคุมข่าวลือในกองทัพ แต่ก็ต้องดูว่านายทหารเหล่านั้นจะเชื่อเขาหรือไม่”ในกระโจมฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตัน กู้หว่านเยว่กำลังแกว่งเอกสารราชการในมือเล่น ใบหน้าเผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว “เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่ผิด ทันทีที่หลี่กวงถิงได้ยินข่าวนี้ ก็เรียกประชุมทั้งกองทัพทันทีและบอกว่าข่าวนี้ เป็นเท็จ”“เขามีวิธี และเราก็มีวิธีเช่นกัน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเก็บไพ่ใบสำคัญนี้ไว้ตลอดโดยเปล่าประโยชน์ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลี่กวงถิงปกปิดเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ“ถึงเวลาที่โจวเหล่าต้องออกหน้าแล้ว”นางเอ่ยเบา ๆหลี่กวงถิงเรียกประชุมทั้งกองทัพ พยายามปลอบขวัญทหารทว่าเขาเพิ่งพูดจบในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีข่าวส่งมาถึงบอกว่าโจวเหล่าออกหน้าด้วยตัวเอง เขียนเอกสารฉบับหนึ่งด้วยมือ“โจวเหล่าได้ยอมรับสถานะบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้ว”ใบหน้าของรองแม่ทัพอมทุกข์“โจวเหล่าเคยเป็นอาจารย์ของอดีตรัชทายาท เขายังเป็นนักปราชญ์แห่งยุคอีกด้วย มีลูกศิษย์ในมือนับไม่ถ้วน เขาเชี่ยวชาญในการชี้นำการพัฒนาคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนบัดนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ยังมีใครที่ไม่เชื่ออีก?”
กู้หว่านเยว่ซื้อโล่และชุดเกราะมาอย่างละสองหมื่นชุดนอกจากธนูและหน้าไม้แล้ว กู้หว่านเยว่ยังซื้อลูกปืนใหญ่มาอีกชุดหนึ่งลูกปืนใหญ่เหล่านี้ถือเป็นของสำรอง จะไม่นำออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์พิเศษพลังทำลายล้างของลูกปืนใหญ่นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งนำออกมาใช้หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ดูยอดเงินคงเหลือในบัตรอืม แทบจะไม่ขยับเลยการมีเงินใช้ไม่หมดนี่มันรู้สึกดีจริง ๆ !นอกจากสิ่งเหล่านี้ นางยังซื้อผงห้ามเลือดและยาจินชวงมาจำนวนมาก ล้วนมีประโยชน์สำหรับใช้พันแผลให้ทหารหลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้เข้าไปไว้ในคลังเก็บของในเมืองผิงโจวเมืองผิงโจวมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะสูญหายหลังจากนำของเข้าไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว ค่อยให้ทหารขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดไปยังค่ายเวลาผ่านไปรวดเร็วสิบวันต่อมา กองทัพของฮ่องเต้เดินทางมาถึงแม่น้ำมู่ตันหลี่กวงถิงมองไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำมู่ตัน ก็รู้สึกมึนงงมิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เจียงเต๋อจื้อนำกองทัพห้าหมื่นนายมา ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
นางสั่งให้คนสร้างคลังเก็บของขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำมู่ตันในเมืองผิงโจวเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนเอาไว้ใช้เก็บเสบียงอาหารยังมีคลังเก็บของอีกหลายแห่งที่ยังใช้ไม่หมดกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะใช้กักตุนอาวุธทั้งหมดสามวันต่อมา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำกองทัพใหญ่มาถึงแม่น้ำมู่ตันกองทัพใหญ่ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกางเต็นท์อย่างเป็นระเบียบ ตามแบบแปลนที่กู้หว่านเยว่มอบให้เต็นท์เล็ก ๆ ถูกกางขึ้นริมแม่น้ำควันไฟค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหล่าทหารไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนดูเหมือนมาพักผ่อนจะทำอย่างไรได้ ก็เบี้ยหวัดทหารเยอะมากเกินไป!คนอื่นเวลาเดินทัพก็กินแต่อาหารแห้ง ซาลาเปากับหมั่นโถว แต่พวกเขากินกับข้าวสามอย่าง พร้อมน้ำแกงหนึ่งอย่างทุกมื้อ แถมยังมีทั้งเนื้อและผักอีกต่างหาก!แบบนี้จะเรียกว่าออกรบได้อย่างไร?เหมือนกับเทศกาลตรุษจีนชัด ๆ !เมื่อเห็นเหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดีใจ ทั้งสองคนปรึกษาแผนการในค่ายทหารซูจิ่งสิงไม่เป็นสองรองใครในเรื่องการรบอยู่แล้ว แต่เขาพบว่ากู้หว่านเยว่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทหารเช่นกันความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขา
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช
นางแสดงสีหน้าสงบนิ่ง แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา แต่คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นกลับเฉียบคม ทำให้อวิ๋นมู่ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี“ข้าไม่ได้คิดกับพี่สะใภ้ของท่านอย่างที่ท่านคิด”จิตใจของอวิ๋นมู่บริสุทธิ์มาก เขาเพียงต้องการปกป้องอยู่ข้างกายกู้หว่านเยว่ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่เคยคิดฝันไกลเลยแน่นอนว่า หากซูจิ่งสิงทำไม่ดีกับกู้หว่านเยว่ เช่นนั้นเขาก็จะลงมือพอถูกมู่หรงฉางเล่อรั้งเอาไว้ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็เดินห่างออกไปไกลแล้ว ร่างของทั้งสองคนหายลับไปในถนนยาวอวิ๋นมู่จึงตัดสินใจไม่ตามพวกเขาไป เขาพิงกายลงนั่งริมขอบเรือ พลางมองไปยังผืนน้ำในทะเลสาบ“คุณชายอวิ๋น หรือว่า จะลองมองคนข้าง ๆ บ้างก็ได้”มู่หรงฉางเล่อกะพริบตาคู่สวยที่ดูราวกับดวงตาจิ้งจอก“อย่างเช่น มองข้า”“ท่าน...”อวิ๋นมู่ตกตะลึง ใบหูแดงก่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็วเวลานี้เขาพบว่า มู่หรงฉางเล่ออยู่ใกล้เขามาก ลมหายใจของนางเป่ารดใบหน้าของเขาเขารีบลุกขึ้น อยากจะจากไป“ตอนนี้ยังไปไม่ได้นะ”มู่หรงฉางเล่อดึงชายเสื้อของเขาไว้ราวกับรู้ล่วงหน้า พลางทำเสียงออดอ้อน“คำสัญญาที่ท่านรับปากไว้กับข้ายังไม่ได้เสร็จสิ้น ต้องอยู่เป็
“ไม่คิดจะอยู่รอดูเรื่องสนุกที่นี่หน่อยหรือ?”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นซูจิ่งสิงส่ายหน้า เขาไม่สนใจคนทั้งสองคนนี้“ตราบใดที่ข้าได้อยู่กับน้องหญิงอย่างมีความสุขก็พอแล้ว”“ใช่”กู้หว่านเยว่ยิ้มหวานบนเรือสำราญ มู่หรงฉางเล่อกำลังพูดคุยกับอวิ๋นมู่อวิ๋นมู่ดูเหมือนจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับนิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายของนาง จึงแสดงสีหน้าประหม่าเล็กน้อย“ท่านหญิงฉางเล่อ เรื่องที่ข้ารับปากท่าน ข้าทำเสร็จแล้ว ท่านจะให้ข้ากลับได้หรือยัง?”อวิ๋นมู่ส่ายหน้าอย่างจนใจตลอดทางมู่หรงฉางเล่อพูดมากเหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี“นี่จะกลับแล้วหรือ? คุณชายอวิ๋นรับปากข้าแล้วมิใช่หรือว่าจะอยู่เที่ยวเล่นเป็นเพื่อนข้าจนกว่าข้าจะพอใจ”มู่หรงฉางเล่อโบกพัดในมือไปมา ดวงตาที่หรี่ลงดูราวกับจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง“นี่เป็นสิ่งที่ท่านติดค้างข้า คุณชายอวิ๋น อย่าได้กลับคำเชียว”อวิ๋นมู่แสดงสีหน้าจนใจวันนั้นที่ร้านขายเสื้อผ้า ตอนแรกเขากำลังเลือกผ้าอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าของร้านถึงต้องยกน้ำชามาให้เขาเขาตั้งใจจะวางน้ำชาลง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอหันหลังกลับ ดันไปชนมู่หรงฉางเล่อเข้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ชายกระโ
หลี่กวงถิงเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เรื่องที่สกุลซูถูกยึดทรัพย์ในตอนนั้น เขาก็หลบเลี่ยง ไม่ยอมออกหน้ากลับส่งเจียงเต๋อจื้อคนโง่เขลาเบาปัญญาออกไปภายนอกคือให้โอกาสแก่เจียงเต๋อจื้อ แต่ที่จริงแล้ว ในใจเขากลัวว่าซูจิ่งสิงจะฟื้นคืนอำนาจ แล้วกลับมาแก้แค้นในภายหลังแต่ถึงแม้เขาจะไม่ได้ออกหน้า แต่สุดท้ายก็มีส่วนร่วมอยู่ดี“เมื่อกษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้”หลี่กวงถิงถอนหายใจยาวระยะทางที่กองทัพจะเดินทางไปยังเจดีย์หนิงกู่ ต้องใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนนี้ เขาต้องรีบส่งคนไปสืบดูสถานการณ์ทางการทหารของเจดีย์หนิงกู่หลี่กวงถิงหยิบกระดาษสีเหลืองขึ้นมา มือที่เหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้เขียนข้อความลงบนกระดาษสีเหลือง แล้วส่งให้รองแม่ทัพ“นำไปให้สายลับ”“ขอรับ” รองแม่ทัพซ่งรีบออกไปทันทีถึงแม้โอกาสชนะจะน้อย แต่ก็ต้องดิ้นรนบ้างมิใช่หรือ?ทางด้านกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว ก็เรียกหลี่เฉินอันเข้ามาไม่ได้เจอกันนาน หลี่เฉินอันก็สูงขึ้น และแข็งแรงขึ้นมาก“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์หญิง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ เขาจึงคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม
“เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะบอกอะไรเจ้าสักหนึ่งประโยค ถึงแม้เจ้าจะเป็นบ่าวของข้า แต่ข้าก็มองเจ้าเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ หากเจ้าชอบใครจริง ๆ เจ้าก็จงพยายามไขว่คว้าเอาเอง ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าวันนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าฉางเล่อมีใจให้กับอวิ๋นมู่ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าด้อยไปกว่านางเลยแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”กู้หว่านเยว่พูดเพียงเท่านี้แววตาของชิงเหลียนมีความสับสนอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้า“ขอบคุณฮูหยิน บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ทันใดนั้น ซูจิ่งสิงก็รีบร้อนเข้ามาจากข้างนอก“น้องหญิง ทางเมืองหลวงมีข่าวแพร่สะพัดมาแล้ว”กู้หว่านเยว่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีเรื่องใหญ่มาแล้ว!นางโบกมือให้ชิงเหลียนออกไป แล้วหันไปมองซูจิ่งสิง“เกิดอะไรขึ้น?”“นี่คือจดหมายของนกพิราบสื่อสารจากเมืองหลวง”ซูจิ่งสิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาแค่หยิบจดหมายที่อยู่ในมือมอบให้กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รีบเปิดออก แล้วก็หัวเราะเยาะในทันที“ฮ่องเต้ชั่วลงมือเร็วจริง ๆ ”ในจดหมายกล่าวถึง ฮ่องเต้มอบหมายกองทัพให้กับหลี่กวงถิง เสนาบดีฝ่ายขวา สั่งให้เขาเป็น