นางเลียนแบบน้ำเสียงของผู้มีอำนาจ ท่าทางดูคล้ายจะจริงจัง“เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะทำให้ตระกูลเกาเถียน กลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองอูถ่าน”เงื่อนไขนี้เย้ายวนใจมาก แต่แม่ทัพเกาเถียนกลับไม่ยอมไม่ว่าจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อน“องค์หญิงเก้า ท่านไม่ต้องพูดให้มากความ ต่อให้ท่านฆ่าข้า ข้าก็ไม่มีทางยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านผลประโยชน์อันใด? ข้าเกาเถียนก็ไม่เคยสนใจ”หากเขาเป็นคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์จริง ๆ ก็คงไม่ช่วยเหลือกษัตริย์ทูเจวี๋ย ขณะที่ถูกเหยลวี่เจิงยึดอำนาจ ทั้งที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากตระกูลเหยลวี่พูดให้ถูกก็คือ สิ่งที่เขาจงรักภักดีไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง แต่เป็นบัลลังก์นั้นต่างหากท่าทางของแม่ทัพเกาเถียนที่ไม่ยอมไม่ว่าจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อน ทำให้เสี่ยวถ่านรู้สึกปวดหัวมาก นางจึงหันไปมองกู้หว่านเยว่ด้วยสีหน้าขอความช่วยเหลือ“ท่านอาจารย์ ทำอย่างไรดี?”กู้หว่านเยว่กลับรู้สึกชื่นชมแม่ทัพเกาเถียน แม่ทัพแบบเขาหาได้ยากยิ่ง พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นผู้มีความจงรักภักดี จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยภายนอก“พาเขาออกไปก่อนเถิด”คนเช่นนี้ กู้หว่านเยว่จะไม่ฆ่าเขาหากใช้ให้เป็นประโยชน์ แม่ทัพเกาเถียนจะเป็นขุ
เมื่อเห็นแม่ทัพเกาเถียนถูกพาตัวไปแล้ว สายตาของกู้หว่านเยว่ก็จับจ้องไปที่แม่ทัพน้อยสองคนที่เหลืออยู่“ยะ อย่าฆ่าพวกเรา”ทั้งสองคนรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยพวกเขาถูกซูจิ่งสิงมัดเอาไว้แน่น ตอนนี้ไม่สามารถขยับได้“วางใจเถอะ ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า”กู้หว่านเยว่เดินไปตรงหน้าของทั้งสองคน จากการสังเกตเมื่อครู่ นางคิดว่าสองคนนี้ไม่น่าจะหัวแข็งเท่าแม่ทัพเกาเถียนเพียงแค่ข่มขู่และล่อใจด้วยผลประโยชน์เล็กน้อย พวกเขาก็น่าจะยอมสวามิภักดิ์เมื่อได้ยินกู้หว่านเยว่พูดว่าจะไม่ฆ่าพวกเขาสองคน ทั้งคู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่ข้าก็ไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์ คำพูดที่ข้ากล่าวกับแม่ทัพเกาเถียนเมื่อครู่ พวกเจ้าก็ได้ยินแล้ว”กู้หว่านเยว่เอ่ยเตือนทั้งสองคนสบตากัน ต่างก็พอจะเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่“พวกเรา...”ทั้งสองคนแสดงสีหน้าลังเล การทรยศเจ้านายเดิมเพื่อไปเข้าข้างเจ้านายใหม่ ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ง่าย ๆ กู้หว่านเยว่ก็ไม่รีบร้อน กล่าวเตือนด้วยความหวังดี“พวกเจ้าสองคนต้องคิดให้ดี ๆ ที่จริงแล้วมีพวกเจ้าช่วยหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน กษัตริย์ทูเจวี๋ยอยู่ในมือของพวกเราแล้ว แต่หากพว
“เจ้า!”“อย่าขยับ”เสี่ยวถ่านกล่าวเตือน ทำให้สายตาของกษัตริย์ทูเจวี๋ยมืดมนลง“ลูกอกตัญญู เจ้าเอามีดจ่อคอข้าเช่นนี้ เจ้าอยากจะฆ่าข้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?“หากเจ้ากล้า ก็ลงมือฆ่าเลยสิ!”เสี่ยวถ่านหันกลับมา “ข้าจะไม่ฆ่าท่าน ตราบใดที่ท่านสงบเสงี่ยมเจียมตัว ท่านก็จะเป็นเสด็จพ่อของข้าตลอดไป”นางคิดไว้แล้วว่า หลังจากที่นางขึ้นครองบัลลังก์แล้ว จะยกย่องกษัตริย์ทูเจวี๋ยเป็นพระราชบิดา เมื่อถึงเวลานั้นก็ยังคงให้เขาอยู่ในวัง รับรองว่าเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องใด ๆ “ข้าไม่ต้องการ!”กษัตริย์ทูเจวี๋ยหน้าแดงก่ำเสี่ยวถ่านขี้เกียจจะโต้เถียงกับเขา จึงหยิบเชือกป่านขึ้นมามัดกษัตริย์ทูเจวี๋ยไว้ จากนั้นก็หยิบผ้ามายัดเข้าไปในปากของเขา โลกจึงสงบสุขอย่างทันที“ท่านอาจารย์ ต่อไปพวกเราควรทำอย่างไรดี?”“เหยลวี่เจิงตายแล้วมิใช่หรือ สิ่งแรกที่เราต้องทำคือรวบรวมกำลังพลของตระกูลเหยลวี่จากนั้น ก็ปราบปรามตระกูลอื่น ๆ ”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเดินมาที่ด้านข้าง ปรึกษากันโดยดูแผนที่ของพระราชวัง ทั้งสองคนไม่ได้หลบเลี่ยงเสี่ยวถ่าน แต่กลับดึงนางเข้ามาร่วมรับฟังด้วย“หากเจ้ามีความคิดเห็นใด
กู้หว่านเยว่หัวเราะออกมาทันที“เป็นอย่างไรบ้าง แม่ทัพเกาเถียน คนผู้นี้หน้าตาเหมือนเจ้าหรือไม่?”นางยิ้มจนตาหยี ส่วนเกาเถียนหยวนนั้นโกรธจนแทบคลั่ง“อื้อ ๆ ๆ !”“เกือบลืมไปแล้วว่าปากของเจ้ายังถูกอุดไว้อยู่ พูดออกมาไม่ได้”กู้หว่านเยว่เพิ่งรู้สึกตัว จึงดึงผ้าที่ยัดปากเขาออกในที่สุดเกาเถียนหยวนก็สามารถพูดได้ เขาจ้องมองซูจิ่งสิงด้วยความตกตะลึง แล้วเอ่ยขึ้น“จะ เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงหน้าตาเหมือนข้าราวกับแกะ?”ไม่แปลกที่เขาจะตกใจ แม้แต่พี่น้องร่วมสายเลือดของเขาก็ยังหน้าตาไม่เหมือนกันขนาดนี้คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงได้เหมือนเขาราวกับแกะสลักออกมาจากพิมพ์เดียวกันเกาเถียนหยวนรู้สึกหวาดกลัว กู้หว่านเยว่หัวเราะเสียงดังลั่นซูจิ่งสิงส่ายหัวอย่างจนใจ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเอ็นดู“น้องหญิง อย่าหัวเราะมากนัก ระวังจะสำลัก”ทันทีที่เขากล่าวออกมา เกาเถียนหยวนก็จำเขาได้ทันที นี่มิใช่บุรุษที่วรยุทธ์สูงส่งผู้นั้นที่อยู่ในท้องพระโรงเมื่อครู่นี้หรอกหรือ?”ไม่สิ เมื่อครู่เขาไม่ได้หน้าตาแบบนี้ตอนนี้เหตุใดจู่ ๆ ถึงเปลี่ยนหน้าตาไปได้?“วิชาแปลงโฉม?”ทันใดนั้น เกาเถียนหยวนก็นึก
“พะ พวกเจ้า...พวกเจ้าจงใจ”เกาเถียนหยวนโมโหจนแทบแย่ เขาไม่คิดจะยอมสวามิภักดิ์ต่อองค์หญิงเก้าแต่หากกู้หว่านเยว่ใช้คำสั่งของเขาไประดมพลตระกูลเกาเถียน เช่นนั้นก็เท่ากับว่าตระกูลเกาเถียนได้ลงเรือลำเดียวกันกับพวกเขาแล้ว ต่อไปหากอยากจะออกจากเรือก็คงยากแล้ว ต้องรู้ว่า หากตระกูลเกาเถียนเป็นกำลังหลักในการต่อสู้ในเมืองอูถ่านครั้งนี้ ตระกูลอื่น ๆ ที่ถูกกดขี่จะต้องผูกใจเจ็บกับตระกูลเกาเถียนอย่างแน่นอนถึงจะไม่ถึงขั้นผูกใจเจ็บ แต่ก็ต้องหวาดระแวงอย่างแน่นอนดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลเกาเถียนจึงต้องการให้ราชวงศ์คุ้มครองเพราะฉะนั้น ตระกูลเกาเถียนต้องกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองอูถ่าน ไม่เช่นนั้นก็จะถูกตระกูลอื่น ๆ ร่วมมือกันกำจัด“ข้ายังไม่ได้ตกลงว่าจะช่วยพวกเจ้า พวกเจ้าจะเอาตราบัญชาการของข้าไปโดยพลการได้อย่างไร?”เกาเถียนหยวนรีบร้อนอธิบายเหตุผลข้อสุดท้ายกับพวกเขา“รีบเอาตราบัญชาการคืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”“ไม่มีทาง”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงเป็นแถว ทำให้เกาเถียนหยวนโมโหจนกัดฟันกรอด“แม่ทัพเกาเถียน ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตระกูลเกาเถียนของเจ้า”
เมื่อเห็นว่าผูกคอตายไม่ได้ พระสนมลี่จึงพุ่งชนเสาเมื่อกู้หว่านเยว่มาถึงก็เห็นฉากนี้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พระสนมลี่จะตาย หากนางตายไป ก็จะสร้างปัญหาไม่น้อย เป็นไปได้มากว่ากษัตริย์ทูเจวี๋ยจะไม่ยอมร่วมมือกับพวกเขาอีกในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น กู้หว่านเยว่ก็พุ่งตัวเข้าไปคว้าคอเสื้อของพระสนมลี่ไว้ แล้วใช้ผ้าแพรสีขาวในมือของนางมัดมือทั้งสองข้างของนางไว้พระสนมลี่ดิ้นรน “องค์หญิงเก้า เหตุใดท่านถึงช่วยข้า?”“ข้าก็ไม่ได้อยากช่วยท่าน ข้าแค่ไม่อยากเห็นท่านตายไปง่าย ๆ เท่านั้น!”เสี่ยวถ่านหันกลับมา พูดสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึก“อีกอย่าง เสด็จแม่ของข้าอยากมีชีวิตอยู่ แต่ก็อยู่ไม่ได้อีกแล้ว”น้ำเสียงของนางสะอื้น ร่างกายที่เล็กบางสั่นเทา นางไม่มีวันลืมว่าเสด็จแม่ถูกเผาทั้งเป็นอย่างไรคนผู้นี้ช่างสำออยนัก มีชีวิตอยู่ได้แท้ ๆ ยังจะหาเรื่องตายอีก!พระสนมลี่ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ดูเหมือนว่านางจะยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง“องค์หญิงเก้า ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ ข้าไม่เคยทำร้ายพวกท่านแม่ลูกเลย”“หึ ๆ ใครจะไปเชื่อ?” เสี่ยวถ่านกล่าวอย่างเย้ยหยันก่อนหน้านี้พระสนมลี่ก็
พระสนมลี่สามารถตั้งสติได้เร็วเช่นนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง“อย่าเรียกข้าว่าพระสนมลี่อีกเลย เรียกข้าว่าเกอซูลี่เถิด”เกอซูลี่เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนออกมา นางไม่ได้ใช้ชื่อนี้มาหลายปีแล้ว นับตั้งแต่ที่เข้าวังมา“ที่แท้ท่านก็เป็นคนของตระกูลเกอซู”ตระกูลเกอซูในทูเจวี๋ยก็ไม่ถือว่าเป็นตระกูลเล็ก ๆ เมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเขายังเคยเป็นตระกูลใหญ่ที่รุ่งเรือง แต่ร้อยกว่าปีมานี้ เนื่องจากทายาทลดน้อยลง ทั้งตระกูลจึงค่อย ๆ ตกต่ำลง จนในที่สุดก็หายไปจากสายตาผู้คนมิน่าเล่าเกอซูลี่ถึงบอกว่านิสัยของนางหยิ่งยโส ก็เพราะมาจากตระกูลเก่าแก่เช่นนี้ จึงสามารถหยิ่งยโสได้“ถูกต้อง”เกอซูลี่พยักหน้า นางไม่ต้องการเสียเวลาพูดคุยเรื่องของตระกูลมากนัก“ข้ารู้ว่าท่านอยากทำอะไร และข้าก็ยินดีร่วมมือกับท่าน ถึงแม้ว่าท่านจะบังคับให้เสด็จพ่อของท่านเขียนราชโองการแต่งตั้งรัชทายาท แต่หากไม่มีใครเป็นพยานให้ท่าน ขุนนางในราชสำนักก็ยังคงจะสงสัยอยู่ดี”เสี่ยวถ่านนึกขึ้นได้ “ท่านเต็มใจจะเป็นพยานให้ข้าหรือ?”“ใช่”เกอซูลี่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้ายินดีจะเป็นพยานให้ท่านต่อหน้าขุนนางทั้งหลายว่า ราชโองการฉบับนี้เป็นของจริง”“ท่าน
ใช้เวลาไปอีกสองวันในการปัดกวาดเศษซากของครอบครัวอื่นเกอซูลี่ช่วยงานในวัง ควบคุมมารดาสนมขององค์ชายทั้งสามให้อยู่ในกำมือสามวันต่อมา เสี่ยวถ่านขึ้นนั่งตำแหน่งองค์หญิงรัชทายาทได้สำเร็จ โดยถือเอาอาการป่วยร้ายแรงของกษัตริย์ทูเจวี๋ยเป็นเหตุผล ในการเริ่มใช้อำนาจที่แท้จริงของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสิ่งแรกที่นางทำ ก็คือการล้างมลทินให้ราชินีทูเจวี๋ยและตระกูลกู่ลี่กองกำลังที่เหลือของสกุลเหยลวี่ทั้งหมดอยู่ในกำมือของเสี่ยวถ่าน นางทำตามความต้องการของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง สนับสนุนหุ่นเชิดผู้นำตระกูลในสกุลเหยลวี่อำนาจของเมืองอูถ่านผ่านการปฏิรูปครั้งใหญ่ ในที่สุดตระกูลกู่ลี่ก็ได้เห็นแสงอรุณแห่งความหวังในพื้นที่เนรเทศ ทุกคนในครอบครัวกำลังร่วมเฉลิมฉลองทว่าในขณะนี้ ณ ประตูเมืองอันห่างไกลแห่งหนึ่งของเมืองอูถ่าน เสี่ยวถ่านกำลังบอกลากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง “อาจารย์ พวกท่านอยู่ต่ออีกสักพักไม่ได้หรือ?”ดวงตาของเสี่ยวถ่านแดงก่ำตอนนี้กู้หว่านเยว่เป็นญาติคนสุดท้ายของนางแล้ว แม้ว่าตระกูลกู่ลี่จะเป็นสกุลมารดาของนางด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน และนางก็ต้องระวังว่าตระกูลกู่ลี่จะเข้มแข็งเกรียงไกร
แม้ว่าภายในมิติของนางจะมีแปลงสมุนไพร แต่ภายในแปลงสมุนไพรล้วนปลูกสมุนไพรหายาก ไม่มีสมุนไพรรักษาโรคไข้รากสาดน้อยธรรมดาดังนั้น สมุนไพรเหล่านี้ล้วนเป็นกู้หว่านเยว่ซื้อจากแพลตฟอร์มซื้อขายการแจกจ่ายยาเริ่มขึ้นอย่างว่องไวเหล่าราษฎรขยับขึ้นมาทีละคน ขบวนคนเริ่มขยับอย่างเชื่องช้า“พี่หญิงหว่านเยว่ ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะ”ลั่วยางเข้ามาเตือนนางหนึ่งประโยค เอ่ยปากอย่างห่วงใย“ข้าบอกกับหมอเหล่านั้นแล้ว หากพวกเขาไม่แน่ใจโรค ค่อยมาถามข้าเจ้าค่ะ”นางอธิบาย“หากข้าเองก็หมดหนทาง ค่อยให้คนเข้าไปหาท่าน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน”เกาเจี้ยนสบมองลั่วยางอย่างสงสาร “ยางเอ๋อร์ เจ้าต้องเหนื่อยแล้ว”แม้พูดว่าด้านหน้ายังมีหมอตรวจอาการก่อนแต่คนมากถึงเพียงนี้ ย่อมมีหมอที่รักษาไม่ได้รวมเข้าด้วยกัน ก็เพียงพอให้ลั่วยางยุ่ง“ข้าไม่เป็นไร สามารถรักษาราษฎรได้ ช่วยได้หนึ่งชีวิตก็คือหนึ่งชีวิต”ลั่วยางหยิบธงหนึ่งผืนออกมา สองสามคนมองดู ได้เห็นตัวอักษรคำว่าหุบเขาราชาโอสถสามคำบนนั้น“ข้ารับปากท่านอาจารย์ไว้แล้ว จะต้องหาโอกาสประกาศเรื่องหุบเขาราชาโอสถดีๆบังเอิญจะได้ฉวยโอกาสนี้ประกาศให้ราษฎ
ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งเข้าอย่างรีบร้อนจากด้านนอกประตู พูดออกมาอย่างลนลาน ทำให้เฉิงทั่วตื่นตระหนก“มีอันใด เกิดอันใดขึ้นหรือ?”หรือว่ากลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็มากระนั้น?“ด้านนอกประตู ด้านนอกประตูมีราษฎรป่วยหนักมากมายมาขอรับ ต่อแถวยาวเหยียดอยู่ด้านนอกประตู แถวยาวไปจนถึงประตูเมืองแล้ว”ทหารชั้นผู้น้อยกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ไม่เคยเห็นแถวยาวเช่นนี้มาก่อน“ที่แท้ก็มีคนต่อแถวมากนี่เอง”เฉิงทั่วตบศีรษะทหารชั้นผู้น้อยทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ครั้งหน้าพูดให้เข้าใจหน่อย อย่าหายใจแรง ทำข้าตกใจแทบตาย”ทหารชั้นผู้น้อยลูบศีรษะ บ่นพึมพำเสียงแผ่ว “คำนี้ของท่านแม่ทัพ หรือว่านี่ไม่ทำให้คนตกใจกันเล่า?”ราษฎรมากถึงเพียงนี้ล้อมจวนแม่ทัพไว้ หากเกิดความวุ่นวาย ทำให้คนตายจะทำเยี่ยงไร?“เจ้า นำทหารม้าสองหน่วยไปดูแลรักษาความเรียบร้อยบนถนนให้ดี”เฉิงทั่วชี้ไปยังคนสนิทที่หน้าประตู เห็นว่าถึงเวลาแจกจ่ายยาแล้ว เขาเตรียมไปดูสถานการณ์ที่หน้าประตูจวนแม่ทัพในเวลานี้ หน้าประตูจวนแม่ทัพคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหล่าราษฎรรอคอยอย่างมีความหวัง หวังว่าจะสามารถได้รับยาเพียงพอเพื่อช่วยตนเองหรือคนในครอบครัว“จะเริ่มแจกจ่าย
เขาครุ่นคิดอยู่สักครู่ พลางแอบมองสีหน้าของซูจิ่งสิง ไม่กล้าอยู่ในเรือนนานเกินไป จึงรีบออกไปพร้อมกับรองแม่ทัพ“ท่านแม่ทัพ สิ่งที่พระชายาพูดเป็นความจริงหรือไม่? คงไม่ได้คุยโวหรอกนะ?”หลังจากที่ทั้งสองออกมาข้างนอกแล้ว รองแม่ทัพก็พูดขึ้น“ประชาชนที่ป่วยในเมืองไม่ใช่แค่คนหรือสองคน ยามากมายขนาดนั้น พระชายาจะหามาได้หรือ?”เขาคิดอยู่เสมอว่าคำพูดของกู้หว่านเยว่นั้นไม่น่าเชื่อถือบางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ถูกแม่ทัพชี้หน้าตำหนิ รู้สึกทั้งอายทั้งโกรธ ต้องการทวงศักดิ์ศรีคืนมา จึงได้พลั้งปากคุยโวโอ้อวดออกไป“ไม่รู้สิ”เฉิงทั่วส่ายหัวสติปัญญาบอกเขาว่า กู้หว่านเยว่นั้นไม่สามารถหาสมุนไพรได้มากมายขนาดนั้นภายในระยะเวลาอันสั้นแน่นอนแต่เขาก็นึกถึงตอนที่โจมตีเมืองเหยาขึ้นมาอีก ดินปืนและกระสุนปืนใหญ่เหล่านั้นที่ส่งลงมาจากเมือง รวมถึงธนูที่มีรัศมีการยิงไกลมากสิ่งของเหล่านี้เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนถ้าหากในตอนนี้สิ่งของที่เขาไม่คาดคิด กู้หว่านเยว่บังเอิญมีพอดีล่ะ?“ถ้าอย่างนั้นคำสั่งของพระชายาเมื่อครู่นี้ พวกเรายังต้องปฏิบัติตามหรือไม่?”รองแม่ทัพค่อนข้างเป็นกังวล“เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป อีกสาม
เขามีสีหน้าร้อนใจ ชิงเหลียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ท่านรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงานก่อน”ภายในห้อง กู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านนอกแล้ว จึงรีบพาซูจิ่งสิงออกมาจากมิติในขณะที่ชิงเหลียนเข้ามา นางกำลังเปิดประตูพอดี“พระชายา แม่ทัพเฉิงอยู่ข้างนอก...”“ข้าได้ยินทุกอย่างแล้ว เจ้าให้เขาเข้ามาเถอะ”กู้หว่านเยว่หาวนอน“อ้อ ถือโอกาสรับประทานอาหารเช้าไปด้วย”เมื่อคืนนี้ นางและซูจิ่งสิงยุ่งอยู่ในมิติตลอดทั้งคืน“เพคะ”ชิงเหลียนรีบออกไป เฉิงทั่วก็เข้ามาจากทางด้านนอกอย่างไม่พอใจ“คารวะท่านอ๋องและพระชายา”เขาทำความเคารพแบบขอไปที แล้วเริ่มบ่นว่า“พระชายา เมื่อคืนข้าน้อยเตือนท่านแล้วว่า จะช่วยเหลือผู้คนในเมืองนี้ส่งเดชไม่ได้ อาจก่อให้เกิดความโกลาหลได้”น้ำเสียงของเขาไม่สู้ดีนัก“ดูสิ เมื่อวานท่านนำหญิงผู้นั้นมารักษาในจวนละแวกนี้ ผลปรากฏว่าเรื่องนี้ถูกผู้มีเจตนาเผยแพร่ออกไปเมื่อเช้านี้ เวลานี้ด้านนอกจวนแม่ทัพมีผู้ป่วยเต็มไปหมดท่านก็รู้ เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นมา จะกลายเป็นเรื่องใหญ่”เมื่อเฉิงทั่วพูดถึงความร้อนใจ ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองกู้หว่านเยว่ สายตานั้นเต็มไปด้วยคำถาม“แม่ทั
ยิ่งไปกว่านั้นยังสวมถุงมือและผ้าคลุมหน้าอีกด้วยเห็นได้ชัดว่าหญิงผู้นั้นอับจนหนทางแล้ว พอเข้ามาก็คุกเข่าลงตรงหน้าพวกเขาทันที“ท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย พวกท่านได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย เขาเพิ่งห้าขวบเท่านั้น”หญิงผู้นั้นกอดลูกไว้แน่นในอ้อมแขน“เขาฉลาดมาก และเชื่อฟังมากด้วย มักจะช่วยข้าทำงานอยู่บ่อยครั้ง สามารถอ่านหนังสือและจดจำตัวอักษรได้ตั้งแต่ยังเด็กเช่นนี้ พวกท่านได้โปรดช่วยชีวิตเขาด้วย ต่อให้ต้องเอาชีวิตของข้าก็ตาม”หญิงผู้นั้นร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลกู้หว่านเยว่ให้นางวางลูกลงบนเบาะนุ่ม เพื่อสะดวกในการตรวจวินิจฉัย“แล้วพ่อของเด็กล่ะ เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่คนเดียว?”หญิงผู้นั้นมีอาการป่วยอย่างเห็นได้ชัด แก้มตอบลึก“ตาย ตายแล้ว”หญิงผู้นั้นสะอึกสะอื้นตอบ“เป็นไข้หวัด ไม่มียารักษา ทนได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็ตายแล้ว”กู้หว่านเยว่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ขอโทษนะ”หญิงผู้นั้นส่ายหัว “มันคือโชคชะตา แต่ขอให้หมอช่วยชีวิตลูกของข้าด้วย แม้ว่าต้องการให้ข้าไปตาย ข้าก็เต็มใจ”กู้หว่านเยว่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเจ็บปวด ซูจิ่งสิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็กำหมัดทั้งสองแน่น“ไม่ต้องให้เจ้าไปตายหรอก ให้ข้าดู
“ไป ๆ ๆ”เฉิงทั่วกลอกตาใส่หนานหยางอ๋อง“ท่านไม่จำเป็นต้องออกหน้าพูดแทนข้าที่นี่”“เฮ้ ข้าหวังดีกับเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่รักษาน้ำใจคนอื่นเลย?” หนานหยางอ๋องฮึดฮัดด้วยความโมโห“กาลเวลาพิสูจน์คน ข้าเป็นคนอย่างไร ต่อไปท่านอ๋องและพระชายาก็รู้เอง ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพูดอะไรมาก”เฉิงทั่วกังวลว่าหากหนานหยางอ๋องออกหน้าพูดแทนเขา มันจะส่งผลกระทบต่อตัวเขาเองชายชราหัวรั้นสองคนต่างห่วงใยซึ่งกันและกัน แต่ไม่พูดออกมากองทัพเข้ามาในเมืองทันใดนั้นหญิงคนหนึ่งที่กำลังอุ้มลูกอยู่ ได้โผเข้ามาแทบเท้าของกู้หว่านเยว่“ท่านหญิง ช่วยลูกของข้าด้วย ได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย!”หญิงผู้นั้นล้มลงกับพื้น เด็กในอ้อมแขนเกือบจะกลิ้งออกมา นางกอดเด็กไว้แน่น ไม่ปล่อยมือกู้หว่านเยว่เหลือบมองเข้าไปในอ้อมแขนของนาง เห็นว่าเด็กมีสีหน้าเขียวคล้ำ“เกิดอะไรขึ้น?”“พระชายา กลับจวนแล้วค่อยคุยกับท่านแล้วกัน”สีหน้าของเฉิงทั่วดูแย่มาก โบกมือให้รองแม่ทัพพาหญิงผู้นั้นออกไปปลอบโยนก่อนเมื่อมาถึงจวน เขาก็ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า“ปีนี้สภาพอากาศแปลก ๆ การเก็บเกี่ยวของประชาชนก็ไม่ดี ในสิบคนก็มีคนป่วยแปดหรือเก้าคนแล้ว”คิ้วของกู้หว่า
สมองของเจียงม่านวิงเวียน ก่อนจะสูญเสียความรู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์ คิดเพียงว่าที่แท้ฮั่วจี๋ก็มีมุมแบบนี้เช่นกัน...คู่บ่าวสาวสนุกสนานกันทั้งคืน ไม่รู้ว่าหมดไปกี่น้ำ สรุปได้ว่าแนบชิดดูดดื่มก่อนหน้านี้เรื่องที่เจียงม่านกังวลว่าในคืนแต่งงาน ฮั่วจี๋จะรังเกียจที่นางไม่ได้บริสุทธิ์ไร้ราคีหรือเปล่านั้น ไม่หลงเหลืออยู่แล้วหลังจากเพิ่งแต่งงานไป กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงได้มอบหมายเมืองเหยาให้ฮั่วจี๋ดูแลจัดการชั่วคราว โดยทิ้งหวังปี้เอาไว้คอยช่วยเหลือพวกเขาพร้อมด้วยกองทัพใหญ่ เดินหน้าไปยังเมืองซุ่ยโจวอย่างองอาจเฉิงทั่วได้ยื่นหนังสือขอยอมจำนนไปนานแล้วพอได้ยินว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกำลังจะมา จึงเปิดประตูเมืองออก แล้วพาทุกคนในเมืองไปต้อนรับที่ประตูเมืองด้วยตัวเอง“คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา”“ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงขี่ม้าเข้ามา เมื่อเห็นเฉิงทั่วพาผู้คนมายืนรออยู่ที่ประตูเมือง พวกเขาสองคนก็ลงจากหลังม้า“แม่ทัพเฉิง ไม่นึกว่าเราจะได้พบกันอีกเร็วขนาดนี้”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นด้วยรอยยิ้ม สายตาจับจ้องไปที่หัวไหล่ของเฉิงทั่วเฉิงทั่วรู้สึกกระดากอายในทันใด “พระชายามีทักษะด้า
กู้หว่านเยว่พยักหน้า “นำพวกเขาทั้งหมดขังไว้ในเรือนจำใหญ่ รอการลงโทษ อย่าปล่อยออกมาง่าย ๆทหารพวกที่หลบหนีเมื่อใกล้แนวรบ กู้หว่านเยว่เหยียดหยามมาโดยตลอดไม่ได้ลงโทษเนรเทศพวกเขา ก็นับว่าเมตตาแล้วตอนนี้พวกเขายังกล้าหลบหนีก่อนจริงหรือ?เช่นนั้นก็อย่าโทษนางที่ไม่เกรงใจฮั่วจี๋พยักหน้าตาม“เรือนจำของเมืองเหยานั้นกว้างขวางมาก จับพวกเขาทั้งครอบครัวเข้าไปคุมขังก็ยังมีที่เหลือเฟือ”ดูสีท้องฟ้าก็ดึกมากแล้ว ดนตรีประโคมข้างนอกก็จบลงแล้วเช่นกันซูจิ่งสิงเข้ามาหา แล้วมองไปยังฮั่วจี๋“แม่ทัพฮั่วขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ อย่าทำให้คืนแต่งงานน่าผิดหวังล่ะ”“ขอรับ”ฮั่วจี๋ลูบศีรษะ ยังคงครุ่นคิดว่า เหตุใดท่านอ๋องถึงอารมณ์ร้อนกับเขามากทันทีที่เข้ามาเมื่อเห็นซูจิ่งสิงดึงกู้หว่านเยว่ออกไป จึงเข้าใจในภายหลังว่า ตัวเองไปเป็นกว้างขวางคอของพวกเขา“แล้วฮูหยินน้อยล่ะ?”ฮั่วจี๋หันกลับไปถามพ่อบ้านเมื่อเห็นซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เป็นคู่กิ่งทองใบหยก เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเจียงม่านที่อยู่ในห้อง“อยู่ในห้องขอรับ นายท่าน บ่าวจะประคองท่านไป”พ่อบ้านยิ้มตาหยี เห็นฮั่วจี๋เป็นฝั่งเป็นฝา เขาเองก็มีความสุขเช
จางเอ้อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“แต่ว่า ข้าทำได้เพียงพูดต่อหน้าพระชายาเท่านั้น”“ทำอย่างสุดความสามารถก็พอ” หวังหรานเอ๋อร์ก็ไม่บีบบังคับเช่นกันหลังจากที่ทั้งสองพูดจบ จางเอ้อร์ก็ไปหากู้หว่านเยว่เพื่อพูดคุยเรื่องนี้กู้หว่านเยว่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องใช้คนพอดี ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วและเมื่อก่อนบนเส้นทางที่ถูกเนรเทศ จางเอ้อร์ก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี กู้หว่านเยว่หาโอกาสตอบแทนมาโดยตลอดบัดนี้ได้เวลาตอบแทนน้ำใจพอดี“ชิงเหลียน เจ้าพาจางเอ้อร์และหวังหรานเอ๋อร์ไปหาคุณชายอวิ๋น แล้วบอกว่าข้าให้พวกเขาไป”งานพลาธิการแนวหลังของการสู้รบ ทั้งหมดอวิ๋นมู่เป็นผู้รับผิดชอบอยู่ขอเพียงพาคนไปและบอกกับอวิ๋นมู่เช่นนี้ อวิ๋นมู่ก็เข้าใจแล้วชิงเหลียนยิ้มกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าคุณชายอวิ๋นกำลังดื่มสุราอยู่กับคุณชายไป๋หลี่ ทำไมไม่รอให้งานเลี้ยงเลิก แล้วค่อยพาพวกเขาไปหา”จางเอ้อร์กล่าวอย่างมีไหวพริบ “ไม่รีบ ไม่รีบ จะได้ไม่ทำลายอารมณ์อันสุนทรีย์ของคุณชายอวิ๋น”ฉู่เฟิงเอ่ยด้วยความอิจฉา “ท่านนี่ช่างรักคุณชายอวิ๋นนัก ข้ายืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นท่านเรียกข้าไปดื่มสุราสักอึกสองอึกบ้างเลย”ทำให้ชิงเหลีย