“ดูท่าพระสนมลี่ผู้นี้จะเป็นนางในดวงใจของพระองค์นะเพคะ”น้ำเสียงของกู้หว่านเยว่แฝงไปด้วยการข่มขู่ จากนั้นกริชก็ได้พุ่งเข้ามาใส่หน้าของพระสนมลี่พระสนมลี่เป็นคนขี้ขลาด นางกรีดร้องในทันที“ฝ่าบาท ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันด้วย!”“หยุดร้อง หากดึงดูดทหารเข้ามา ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือน พระสนมลี่ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือดกษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบกล่าว “อย่าทำร้ายนาง พวกเจ้าอย่าทำร้ายนาง นางกำลังตั้งครรภ์!”นัยน์ตาของเขาเปล่งประกาย เสี่ยวถ่านมองท้องของพระสนมลี่อย่างไม่อยากจะเชื่อ“นางกำลังตั้งครรภ์หรือ?”จู่ ๆ นางก็ได้สติกลับมา จากนั้นก็เปิดจดหมายลับที่กู้หว่านเยว่ให้นางเมื่อครู่ หลังจากที่กวาดสายตาอ่านอย่างละเอียดแล้ว สีหน้าก็พลันซีดเผือดลงในทันที“ดังนั้น เสด็จพ่อ เพื่อจะได้เปิดทางให้เด็กในครรภ์ของพระสนมลี่ พระองค์ถึงกับยอมเสียสละชีวิตของลูกและเสด็จแม่หรือเพคะ?”เสี่ยวถ่านจำได้ขึ้นใจพระสนมลี่มีฐานะยากจน ตระกูลฝ่ายมารดาไร้ซึ่งอำนาจเพราะเหตุนี้ แม้ว่านางจะได้ความรักอย่างลึกซึ้งจากเสด็จพ่อ แต่เสด็จแม่กลับไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา ฐานะที่ต่ำต้อย ต่อให้ได้รับความโปรดปรานเพียง
กู้หว่านเยว่ตัดบทพวกเขาอย่างไร้ความปรานี นางไม่มีทางเห็นใจกษัตริย์ทูเจวี๋ยอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะแต่งงานกับราชินีทูเจวี๋ยแล้วอย่างไรเล่า เป็นสามีภรรยามานานนับสิบปี นึกจะฆ่าก็ฆ่า ไร้ศีลธรรมยิ่งนัก“ฝ่าบาท พระองค์ห้ามเขียนนะเพคะ”พระสนมลี่ส่ายหน้า “อย่าให้พวกเขาเอาหม่อมฉันมาขู่พระองค์ได้”กษัตริย์ทูเจวี๋ยเกิดความลังเล เขาคิดไว้แล้ว ว่าในอนาคตจะยกบัลลังก์ให้กับบุตรที่อยู่ในครรภ์ของพระสนมลี่ หากร่างพระราชโองการนี้ออกมาจริง ๆ แผนการที่ทำมาทั้งหมดของเขาก็ต้องพังทลายลง“ท่านคิดให้ดี ๆ”กริชของกู้หว่านเยว่ขยับเข้ามาใกล้คอของพระสนมลี่ กระทั่งคมมีดบาดคอของนางจนเลือดไหลซึมความจริงแล้วนางไม่ได้อยากฆ่าพระสนมลี่ ถึงอย่างไรเสียบุตรในครรภ์ของนางก็ยังไร้เดียงสา นางแค่อยากขู่กษัตริย์ทูเจวี๋ยเท่านั้นหากกษัตริย์ทูเจวี๋ยให้ความร่วมมือกับนางอย่างว่าง่าย เรื่องหลังจากนี้ก็จะง่ายมากขึ้นเลือดสีแดงของพระสนมลี่ไหลเปื้อนกริช นางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดกษัตริย์ทูเจวี๋ยแทบใจสลาย “หยุดนะ อย่าทำร้ายนาง”เขามองใบหน้าของพระสนมลี่อย่างรักใคร่ แม้ว่าเขาจะหลงใหลในอำนาจแห่งกษัตริย์ทูเจวี๋ย แต่หากพระสนมลี่แล
กู้หว่านเยว่รับมาตรวจดูอีกครั้ง จนมั่นใจว่าเนื้อหาในพระราชโองการนั้นไม่มีข้อผิดพลาด จึงยื่นพระราชโองการนั้นให้เสี่ยวถ่าน“เก็บราชโองการนี้ไว้ให้ดี ๆ ต่อไปเจ้าสามารถใช้ของสิ่งนี้ยืนยันสถานะของเจ้าได้”“ขอบคุณ ท่านอาจารย์”เสี่ยวถ่านรับราชโองการอย่างทะนุถนอม และเก็บไว้ในอกเสื้อ นับตั้งแต่บัดนี้ไป มีเพียงท่านอาจารย์ที่ดีกับนางอย่างจริงใจ“ข้าเขียนราชโองการให้พวกเจ้าไปแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าก็ปล่อยพระสนมลี่กลับตำหนักของนางได้แล้ว”กษัตริย์ทูเจวี๋ยออกคำสั่งอย่างเคยตัว กู้หว่านเยว่หัวเราะเยาะอย่างไม่ไว้หน้า“ใครบอกว่าพวกเราจะปล่อยนางไปตอนนี้”“พวกเจ้ายังคิดจะทำสิ่งใดอีก?”กษัตริย์ทูเจวี๋ยเริ่มหงุดหงิด เขาเขียนพระราชโองการตามคำสั่งของสองคนนี้แล้ว พวกนางยังคิดจะเล่นตุกติกอะไรอีก?“แม้ว่าท่านจะเขียนพระราชโองการแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าขุนพลเกาเถียนจะยอมรับในพระราชโองการนี้”กู้หว่านเยว่ยกยิ้มบาง ๆ นางไม่ได้โง่ พระราชโองการนี้เป็นแค่เครื่องพิสูจน์ให้เสี่ยวถ่านขึ้นครองบัลลังก์ในอนาคตได้ง่ายขึ้นป้องกันไม่ให้นางโดนกล่าวหาในราชสำนักว่าชิงบัลลังก์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหากมีพระราชโองการนี้แ
“องค์หญิงเก้าพูดความจริง ท่านเป็นคนเลือกตระกูลกู่ลี่เอง ไปหาพวกเขาเอง พวกเขาไม่ได้เป็นฝ่ายคุกคามท่านก่อน”พระสนมลี่รู้สึกตัวเองนั้นน่าขบขันยิ่งนัก นางยังคิดว่ากษัตริย์ทูเจวี๋ยถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับราชินี ดังนั้นหลังจากที่นางเข้าวัง นางจึงเห็นราชินีเป็นศัตรูมาโดยตลอด และมักจะสร้างความเดือดร้อนให้กับเสี่ยวถ่านและราชินีเสมอมาพอมาคิดดูตอนนี้ ที่แท้นางต่างหาที่น่ารังเกียจ“เรื่องสำคัญขนาดนี้ เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่บอกหม่อมฉัน?”พระสนมลี่รู้สึกผิดหวัง กษัตริย์ทูเจวี๋ยไม่กล้ามองตาของนาง“ลี่เอ๋อร์ ข้า ... ข้าไม่อยากทำลายภาพลักษณ์ในใจของเจ้า”“พระองค์ทำให้หม่อมฉันรู้สึกตัวเองเหมือนเป็นตัวตลก”พระสนมลี่มองกษัตริย์ทูเจวี๋ยด้วยความผิดหวังแวบหนึ่ง กษัตริย์ทูเจวี๋ยเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริง ๆ ท่าทีดูอ่อนน้อมยิ่งนัก“ลี่เอ๋อร์ ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าผิดหวัง”“สิ่งที่พระองค์ไม่อาจสูญเสียได้ไม่ใช่หม่อมฉัน แต่เป็นอำนาจของพระองค์”พระสนมลี่ส่ายหน้า จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่านางไม่รู้จักคนที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิดนางไม่เอ่ยสิ่งใด สีหน้าของกษัตริย์ทูเจวี๋ยเคร่งขรึมลงกู้หว่านเยว่มองพระสนมลี่อย่างสูงส
“เรื่องที่ข้าต้องการจะประกาศนั้น เกี่ยวข้องกับรัชทายาทในอนาคต”กษัตริย์ทูเจวี๋ยกัดฟันกรอด“ข้าได้พบที่อยู่ขององค์หญิงเก้าแล้ว และตั้งใจจะมอบตำแหน่งองค์หญิงรัชทายาทให้แก่องค์หญิงเก้า”เขาแทบจะเอ่ยคำเหล่านี้ออกมาทีละคำ ทีละพยางค์แม้ว่าเขาจะวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะหาโอกาสกล่าวถึงเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทแต่ว่านั่นหมายถึงเด็กที่อยู่ในครรภ์ของพระสนมลี่ทว่าตอนนี้กู้หว่านเยว่ได้ทำลายแผนการของเขาอย่างสิ้นเชิง เด็กที่เขาหมายตาไว้ ไม่สามารถขึ้นเป็นรัชทายาทได้อีกต่อไปแล้วเพื่อความปลอดภัยของพระสนมลี่และลูก เขาจำต้องยอมประนีประนอมดวงตาของกษัตริย์ทูเจวี๋ยเปล่งประกายความคับแค้นใจ“อะไรนะ?”แม่ทัพเกาเถียนถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกษัตริย์ทูเจวี๋ยด้วยความไม่อยากจะเชื่อ และทันใดนั้นก็เห็นสีหน้าผิดปกติของกษัตริย์ทูเจวี๋ยเข้าพอดี“พบองค์หญิงเก้าแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เขาลังเลเล็กน้อย“แต่ก่อนหน้านี้ ท่านสงสัยว่าราชินีและองค์หญิงเก้าคิดก่อกบฏมิใช่หรือ และท่านยังเนรเทศทุกคนในตระกูลกู่ลี่ไปแล้ว”ดวงตาของแม่ทัพเกาเถียนเปล่งประกายความฉลาดเฉลียว ไม่ถูกต้อง เหตุใดคำพูดของฝ่าบาท
“เจ้าเป็นใคร?”เขามองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาเย็นชา และมองออกว่า ตรงหน้าคือสตรีผู้หนึ่งสตรีผู้นี้เป็นใครกัน? เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?“รีบปล่อยฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น...”แม่ทัพเกาเถียนมองนางด้วยสายตาเยือกเย็น น้ำเสียงเต็มไปด้วยการข่มขู่ เมื่อเขาโกรธ ดวงตาของเขาดูเหมือนมีน้ำแข็งเกาะอยู่ชั้นหนึ่ง ทำให้ผู้คนอดตัวสั่นไม่ได้กู้หว่านเยว่กลับยิ้มอย่างดูถูก ไม่กลัวเขาแม้แต่น้อย“มิเช่นนั้นแล้วจะทำไม? กษัตริย์ทูเจวี๋ยอยู่ในมือข้าวิชาตัวเบาของเจ้าแม้จะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ไม่เร็วเท่ากริชของข้า”กริชเลื่อนไปมาเบา ๆ บนลำคอของกษัตริย์ทูเจวี๋ย กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างสดใสรอยยิ้มนี้ทำให้แม่ทัพเกาเถียนตาพร่าไปชั่วขณะ“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามทั้งนั้น”กษัตริย์ทูเจวี๋ยหวาดกลัวจริง ๆ เขาตกใจกับการกระทำของกู้หว่านเยว่จนแทบแย่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังปรากฏตัวต่อหน้าท่านยมบาล!“อย่าทำร้ายฝ่าบาท ข้าจะไม่เข้าไป”ในที่สุดแม่ทัพเกาเถียนก็ยอมจำนนสตรีผู้นี้นิสัยแปลกประหลาด ไม่ทำตามแบบแผน เขาไม่สามารถเสี่ยงได้“เจ้าต้องการอะไร เพียงแค่เจ้าปล่อยฝ่าบาท ข้ายินดีทำให้เจ้าทุกอย่าง”เขาพยา
“จะ เจ้าคือ”เขารู้สึกได้ถึงวรยุทธ์อันสูงส่งของซูจิ่งสิง ในระหว่างที่ตกตะลึงอยู่นั้นกู้หว่านเยว่เตะกษัตริย์ทูเจวี๋ยกระเด็นออกไป จากนั้นใช้กริชจ่อที่คอของเกาเถียน“ชู่ว์ อย่าขยับ”นางยิ้มอย่างสดใส แต่ทำให้แม่ทัพเกาเถียนไม่กล้ามองตรง ๆ “กริชมันไม่เลือกหน้าหรอกนะ”ซูจิ่งสิงมัดคนทั้งสองคนไว้แล้ว การที่ทั้งสามคนเข้าวังโดยไม่มีอาวุธ ทำให้ง่ายต่อการปราบปรามพวกเขา“ท่านแม่ทัพ...”เสี่ยวฟางและเสี่ยวจวงที่ถูกมัดไว้ ต่างก้มศีรษะลงด้วยความอับอายพวกเขาไม่คิดว่าวรยุทธ์ของซูจิ่งสิงจะสูงส่งถึงเพียงนี้ ยังไม่ทันได้ประมือกันสักกระบวนท่า ก็ถูกมัดเสียแล้ว“น่าอับอาย”แม่ทัพเกาเถียนหันกลับมา สบกับสายตาที่คล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มของกู้หว่านเยว่เข้าพอดี“แม่ทัพเกาเถียน ดูเหมือนเจ้าก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนี่”กู้หว่านเยว่ยิ้มจนตาหยี คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นแทบจะทำให้แม่ทัพเกาเถียนกระอักเลือด“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”เกาเถียนไม่อยากโต้เถียงกับทั้งสองคน เขาหันหน้าไปถามด้วยความโมโห ราวกับสุนัขตัวใหญ่ที่ถูกรังแก“พวกเขาเป็นคนของข้า”เสี่ยวถ่านรีบวิ่งออกมาจากหลังฉากกั้น เมื่อเห็นกษัตริย์ทูเจวี๋ยกำลังจะหนี
นางเลียนแบบน้ำเสียงของผู้มีอำนาจ ท่าทางดูคล้ายจะจริงจัง“เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะทำให้ตระกูลเกาเถียน กลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองอูถ่าน”เงื่อนไขนี้เย้ายวนใจมาก แต่แม่ทัพเกาเถียนกลับไม่ยอมไม่ว่าจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อน“องค์หญิงเก้า ท่านไม่ต้องพูดให้มากความ ต่อให้ท่านฆ่าข้า ข้าก็ไม่มีทางยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านผลประโยชน์อันใด? ข้าเกาเถียนก็ไม่เคยสนใจ”หากเขาเป็นคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์จริง ๆ ก็คงไม่ช่วยเหลือกษัตริย์ทูเจวี๋ย ขณะที่ถูกเหยลวี่เจิงยึดอำนาจ ทั้งที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากตระกูลเหยลวี่พูดให้ถูกก็คือ สิ่งที่เขาจงรักภักดีไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง แต่เป็นบัลลังก์นั้นต่างหากท่าทางของแม่ทัพเกาเถียนที่ไม่ยอมไม่ว่าจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อน ทำให้เสี่ยวถ่านรู้สึกปวดหัวมาก นางจึงหันไปมองกู้หว่านเยว่ด้วยสีหน้าขอความช่วยเหลือ“ท่านอาจารย์ ทำอย่างไรดี?”กู้หว่านเยว่กลับรู้สึกชื่นชมแม่ทัพเกาเถียน แม่ทัพแบบเขาหาได้ยากยิ่ง พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นผู้มีความจงรักภักดี จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยภายนอก“พาเขาออกไปก่อนเถิด”คนเช่นนี้ กู้หว่านเยว่จะไม่ฆ่าเขาหากใช้ให้เป็นประโยชน์ แม่ทัพเกาเถียนจะเป็นขุ
แม้ว่าภายในมิติของนางจะมีแปลงสมุนไพร แต่ภายในแปลงสมุนไพรล้วนปลูกสมุนไพรหายาก ไม่มีสมุนไพรรักษาโรคไข้รากสาดน้อยธรรมดาดังนั้น สมุนไพรเหล่านี้ล้วนเป็นกู้หว่านเยว่ซื้อจากแพลตฟอร์มซื้อขายการแจกจ่ายยาเริ่มขึ้นอย่างว่องไวเหล่าราษฎรขยับขึ้นมาทีละคน ขบวนคนเริ่มขยับอย่างเชื่องช้า“พี่หญิงหว่านเยว่ ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะ”ลั่วยางเข้ามาเตือนนางหนึ่งประโยค เอ่ยปากอย่างห่วงใย“ข้าบอกกับหมอเหล่านั้นแล้ว หากพวกเขาไม่แน่ใจโรค ค่อยมาถามข้าเจ้าค่ะ”นางอธิบาย“หากข้าเองก็หมดหนทาง ค่อยให้คนเข้าไปหาท่าน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน”เกาเจี้ยนสบมองลั่วยางอย่างสงสาร “ยางเอ๋อร์ เจ้าต้องเหนื่อยแล้ว”แม้พูดว่าด้านหน้ายังมีหมอตรวจอาการก่อนแต่คนมากถึงเพียงนี้ ย่อมมีหมอที่รักษาไม่ได้รวมเข้าด้วยกัน ก็เพียงพอให้ลั่วยางยุ่ง“ข้าไม่เป็นไร สามารถรักษาราษฎรได้ ช่วยได้หนึ่งชีวิตก็คือหนึ่งชีวิต”ลั่วยางหยิบธงหนึ่งผืนออกมา สองสามคนมองดู ได้เห็นตัวอักษรคำว่าหุบเขาราชาโอสถสามคำบนนั้น“ข้ารับปากท่านอาจารย์ไว้แล้ว จะต้องหาโอกาสประกาศเรื่องหุบเขาราชาโอสถดีๆบังเอิญจะได้ฉวยโอกาสนี้ประกาศให้ราษฎ
ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งเข้าอย่างรีบร้อนจากด้านนอกประตู พูดออกมาอย่างลนลาน ทำให้เฉิงทั่วตื่นตระหนก“มีอันใด เกิดอันใดขึ้นหรือ?”หรือว่ากลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็มากระนั้น?“ด้านนอกประตู ด้านนอกประตูมีราษฎรป่วยหนักมากมายมาขอรับ ต่อแถวยาวเหยียดอยู่ด้านนอกประตู แถวยาวไปจนถึงประตูเมืองแล้ว”ทหารชั้นผู้น้อยกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ไม่เคยเห็นแถวยาวเช่นนี้มาก่อน“ที่แท้ก็มีคนต่อแถวมากนี่เอง”เฉิงทั่วตบศีรษะทหารชั้นผู้น้อยทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ครั้งหน้าพูดให้เข้าใจหน่อย อย่าหายใจแรง ทำข้าตกใจแทบตาย”ทหารชั้นผู้น้อยลูบศีรษะ บ่นพึมพำเสียงแผ่ว “คำนี้ของท่านแม่ทัพ หรือว่านี่ไม่ทำให้คนตกใจกันเล่า?”ราษฎรมากถึงเพียงนี้ล้อมจวนแม่ทัพไว้ หากเกิดความวุ่นวาย ทำให้คนตายจะทำเยี่ยงไร?“เจ้า นำทหารม้าสองหน่วยไปดูแลรักษาความเรียบร้อยบนถนนให้ดี”เฉิงทั่วชี้ไปยังคนสนิทที่หน้าประตู เห็นว่าถึงเวลาแจกจ่ายยาแล้ว เขาเตรียมไปดูสถานการณ์ที่หน้าประตูจวนแม่ทัพในเวลานี้ หน้าประตูจวนแม่ทัพคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหล่าราษฎรรอคอยอย่างมีความหวัง หวังว่าจะสามารถได้รับยาเพียงพอเพื่อช่วยตนเองหรือคนในครอบครัว“จะเริ่มแจกจ่าย
เขาครุ่นคิดอยู่สักครู่ พลางแอบมองสีหน้าของซูจิ่งสิง ไม่กล้าอยู่ในเรือนนานเกินไป จึงรีบออกไปพร้อมกับรองแม่ทัพ“ท่านแม่ทัพ สิ่งที่พระชายาพูดเป็นความจริงหรือไม่? คงไม่ได้คุยโวหรอกนะ?”หลังจากที่ทั้งสองออกมาข้างนอกแล้ว รองแม่ทัพก็พูดขึ้น“ประชาชนที่ป่วยในเมืองไม่ใช่แค่คนหรือสองคน ยามากมายขนาดนั้น พระชายาจะหามาได้หรือ?”เขาคิดอยู่เสมอว่าคำพูดของกู้หว่านเยว่นั้นไม่น่าเชื่อถือบางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ถูกแม่ทัพชี้หน้าตำหนิ รู้สึกทั้งอายทั้งโกรธ ต้องการทวงศักดิ์ศรีคืนมา จึงได้พลั้งปากคุยโวโอ้อวดออกไป“ไม่รู้สิ”เฉิงทั่วส่ายหัวสติปัญญาบอกเขาว่า กู้หว่านเยว่นั้นไม่สามารถหาสมุนไพรได้มากมายขนาดนั้นภายในระยะเวลาอันสั้นแน่นอนแต่เขาก็นึกถึงตอนที่โจมตีเมืองเหยาขึ้นมาอีก ดินปืนและกระสุนปืนใหญ่เหล่านั้นที่ส่งลงมาจากเมือง รวมถึงธนูที่มีรัศมีการยิงไกลมากสิ่งของเหล่านี้เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนถ้าหากในตอนนี้สิ่งของที่เขาไม่คาดคิด กู้หว่านเยว่บังเอิญมีพอดีล่ะ?“ถ้าอย่างนั้นคำสั่งของพระชายาเมื่อครู่นี้ พวกเรายังต้องปฏิบัติตามหรือไม่?”รองแม่ทัพค่อนข้างเป็นกังวล“เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป อีกสาม
เขามีสีหน้าร้อนใจ ชิงเหลียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ท่านรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงานก่อน”ภายในห้อง กู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านนอกแล้ว จึงรีบพาซูจิ่งสิงออกมาจากมิติในขณะที่ชิงเหลียนเข้ามา นางกำลังเปิดประตูพอดี“พระชายา แม่ทัพเฉิงอยู่ข้างนอก...”“ข้าได้ยินทุกอย่างแล้ว เจ้าให้เขาเข้ามาเถอะ”กู้หว่านเยว่หาวนอน“อ้อ ถือโอกาสรับประทานอาหารเช้าไปด้วย”เมื่อคืนนี้ นางและซูจิ่งสิงยุ่งอยู่ในมิติตลอดทั้งคืน“เพคะ”ชิงเหลียนรีบออกไป เฉิงทั่วก็เข้ามาจากทางด้านนอกอย่างไม่พอใจ“คารวะท่านอ๋องและพระชายา”เขาทำความเคารพแบบขอไปที แล้วเริ่มบ่นว่า“พระชายา เมื่อคืนข้าน้อยเตือนท่านแล้วว่า จะช่วยเหลือผู้คนในเมืองนี้ส่งเดชไม่ได้ อาจก่อให้เกิดความโกลาหลได้”น้ำเสียงของเขาไม่สู้ดีนัก“ดูสิ เมื่อวานท่านนำหญิงผู้นั้นมารักษาในจวนละแวกนี้ ผลปรากฏว่าเรื่องนี้ถูกผู้มีเจตนาเผยแพร่ออกไปเมื่อเช้านี้ เวลานี้ด้านนอกจวนแม่ทัพมีผู้ป่วยเต็มไปหมดท่านก็รู้ เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นมา จะกลายเป็นเรื่องใหญ่”เมื่อเฉิงทั่วพูดถึงความร้อนใจ ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองกู้หว่านเยว่ สายตานั้นเต็มไปด้วยคำถาม“แม่ทั
ยิ่งไปกว่านั้นยังสวมถุงมือและผ้าคลุมหน้าอีกด้วยเห็นได้ชัดว่าหญิงผู้นั้นอับจนหนทางแล้ว พอเข้ามาก็คุกเข่าลงตรงหน้าพวกเขาทันที“ท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย พวกท่านได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย เขาเพิ่งห้าขวบเท่านั้น”หญิงผู้นั้นกอดลูกไว้แน่นในอ้อมแขน“เขาฉลาดมาก และเชื่อฟังมากด้วย มักจะช่วยข้าทำงานอยู่บ่อยครั้ง สามารถอ่านหนังสือและจดจำตัวอักษรได้ตั้งแต่ยังเด็กเช่นนี้ พวกท่านได้โปรดช่วยชีวิตเขาด้วย ต่อให้ต้องเอาชีวิตของข้าก็ตาม”หญิงผู้นั้นร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลกู้หว่านเยว่ให้นางวางลูกลงบนเบาะนุ่ม เพื่อสะดวกในการตรวจวินิจฉัย“แล้วพ่อของเด็กล่ะ เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่คนเดียว?”หญิงผู้นั้นมีอาการป่วยอย่างเห็นได้ชัด แก้มตอบลึก“ตาย ตายแล้ว”หญิงผู้นั้นสะอึกสะอื้นตอบ“เป็นไข้หวัด ไม่มียารักษา ทนได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็ตายแล้ว”กู้หว่านเยว่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ขอโทษนะ”หญิงผู้นั้นส่ายหัว “มันคือโชคชะตา แต่ขอให้หมอช่วยชีวิตลูกของข้าด้วย แม้ว่าต้องการให้ข้าไปตาย ข้าก็เต็มใจ”กู้หว่านเยว่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเจ็บปวด ซูจิ่งสิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็กำหมัดทั้งสองแน่น“ไม่ต้องให้เจ้าไปตายหรอก ให้ข้าดู
“ไป ๆ ๆ”เฉิงทั่วกลอกตาใส่หนานหยางอ๋อง“ท่านไม่จำเป็นต้องออกหน้าพูดแทนข้าที่นี่”“เฮ้ ข้าหวังดีกับเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่รักษาน้ำใจคนอื่นเลย?” หนานหยางอ๋องฮึดฮัดด้วยความโมโห“กาลเวลาพิสูจน์คน ข้าเป็นคนอย่างไร ต่อไปท่านอ๋องและพระชายาก็รู้เอง ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพูดอะไรมาก”เฉิงทั่วกังวลว่าหากหนานหยางอ๋องออกหน้าพูดแทนเขา มันจะส่งผลกระทบต่อตัวเขาเองชายชราหัวรั้นสองคนต่างห่วงใยซึ่งกันและกัน แต่ไม่พูดออกมากองทัพเข้ามาในเมืองทันใดนั้นหญิงคนหนึ่งที่กำลังอุ้มลูกอยู่ ได้โผเข้ามาแทบเท้าของกู้หว่านเยว่“ท่านหญิง ช่วยลูกของข้าด้วย ได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย!”หญิงผู้นั้นล้มลงกับพื้น เด็กในอ้อมแขนเกือบจะกลิ้งออกมา นางกอดเด็กไว้แน่น ไม่ปล่อยมือกู้หว่านเยว่เหลือบมองเข้าไปในอ้อมแขนของนาง เห็นว่าเด็กมีสีหน้าเขียวคล้ำ“เกิดอะไรขึ้น?”“พระชายา กลับจวนแล้วค่อยคุยกับท่านแล้วกัน”สีหน้าของเฉิงทั่วดูแย่มาก โบกมือให้รองแม่ทัพพาหญิงผู้นั้นออกไปปลอบโยนก่อนเมื่อมาถึงจวน เขาก็ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า“ปีนี้สภาพอากาศแปลก ๆ การเก็บเกี่ยวของประชาชนก็ไม่ดี ในสิบคนก็มีคนป่วยแปดหรือเก้าคนแล้ว”คิ้วของกู้หว่า
สมองของเจียงม่านวิงเวียน ก่อนจะสูญเสียความรู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์ คิดเพียงว่าที่แท้ฮั่วจี๋ก็มีมุมแบบนี้เช่นกัน...คู่บ่าวสาวสนุกสนานกันทั้งคืน ไม่รู้ว่าหมดไปกี่น้ำ สรุปได้ว่าแนบชิดดูดดื่มก่อนหน้านี้เรื่องที่เจียงม่านกังวลว่าในคืนแต่งงาน ฮั่วจี๋จะรังเกียจที่นางไม่ได้บริสุทธิ์ไร้ราคีหรือเปล่านั้น ไม่หลงเหลืออยู่แล้วหลังจากเพิ่งแต่งงานไป กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงได้มอบหมายเมืองเหยาให้ฮั่วจี๋ดูแลจัดการชั่วคราว โดยทิ้งหวังปี้เอาไว้คอยช่วยเหลือพวกเขาพร้อมด้วยกองทัพใหญ่ เดินหน้าไปยังเมืองซุ่ยโจวอย่างองอาจเฉิงทั่วได้ยื่นหนังสือขอยอมจำนนไปนานแล้วพอได้ยินว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกำลังจะมา จึงเปิดประตูเมืองออก แล้วพาทุกคนในเมืองไปต้อนรับที่ประตูเมืองด้วยตัวเอง“คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา”“ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงขี่ม้าเข้ามา เมื่อเห็นเฉิงทั่วพาผู้คนมายืนรออยู่ที่ประตูเมือง พวกเขาสองคนก็ลงจากหลังม้า“แม่ทัพเฉิง ไม่นึกว่าเราจะได้พบกันอีกเร็วขนาดนี้”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นด้วยรอยยิ้ม สายตาจับจ้องไปที่หัวไหล่ของเฉิงทั่วเฉิงทั่วรู้สึกกระดากอายในทันใด “พระชายามีทักษะด้า
กู้หว่านเยว่พยักหน้า “นำพวกเขาทั้งหมดขังไว้ในเรือนจำใหญ่ รอการลงโทษ อย่าปล่อยออกมาง่าย ๆทหารพวกที่หลบหนีเมื่อใกล้แนวรบ กู้หว่านเยว่เหยียดหยามมาโดยตลอดไม่ได้ลงโทษเนรเทศพวกเขา ก็นับว่าเมตตาแล้วตอนนี้พวกเขายังกล้าหลบหนีก่อนจริงหรือ?เช่นนั้นก็อย่าโทษนางที่ไม่เกรงใจฮั่วจี๋พยักหน้าตาม“เรือนจำของเมืองเหยานั้นกว้างขวางมาก จับพวกเขาทั้งครอบครัวเข้าไปคุมขังก็ยังมีที่เหลือเฟือ”ดูสีท้องฟ้าก็ดึกมากแล้ว ดนตรีประโคมข้างนอกก็จบลงแล้วเช่นกันซูจิ่งสิงเข้ามาหา แล้วมองไปยังฮั่วจี๋“แม่ทัพฮั่วขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ อย่าทำให้คืนแต่งงานน่าผิดหวังล่ะ”“ขอรับ”ฮั่วจี๋ลูบศีรษะ ยังคงครุ่นคิดว่า เหตุใดท่านอ๋องถึงอารมณ์ร้อนกับเขามากทันทีที่เข้ามาเมื่อเห็นซูจิ่งสิงดึงกู้หว่านเยว่ออกไป จึงเข้าใจในภายหลังว่า ตัวเองไปเป็นกว้างขวางคอของพวกเขา“แล้วฮูหยินน้อยล่ะ?”ฮั่วจี๋หันกลับไปถามพ่อบ้านเมื่อเห็นซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เป็นคู่กิ่งทองใบหยก เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเจียงม่านที่อยู่ในห้อง“อยู่ในห้องขอรับ นายท่าน บ่าวจะประคองท่านไป”พ่อบ้านยิ้มตาหยี เห็นฮั่วจี๋เป็นฝั่งเป็นฝา เขาเองก็มีความสุขเช
จางเอ้อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“แต่ว่า ข้าทำได้เพียงพูดต่อหน้าพระชายาเท่านั้น”“ทำอย่างสุดความสามารถก็พอ” หวังหรานเอ๋อร์ก็ไม่บีบบังคับเช่นกันหลังจากที่ทั้งสองพูดจบ จางเอ้อร์ก็ไปหากู้หว่านเยว่เพื่อพูดคุยเรื่องนี้กู้หว่านเยว่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องใช้คนพอดี ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วและเมื่อก่อนบนเส้นทางที่ถูกเนรเทศ จางเอ้อร์ก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี กู้หว่านเยว่หาโอกาสตอบแทนมาโดยตลอดบัดนี้ได้เวลาตอบแทนน้ำใจพอดี“ชิงเหลียน เจ้าพาจางเอ้อร์และหวังหรานเอ๋อร์ไปหาคุณชายอวิ๋น แล้วบอกว่าข้าให้พวกเขาไป”งานพลาธิการแนวหลังของการสู้รบ ทั้งหมดอวิ๋นมู่เป็นผู้รับผิดชอบอยู่ขอเพียงพาคนไปและบอกกับอวิ๋นมู่เช่นนี้ อวิ๋นมู่ก็เข้าใจแล้วชิงเหลียนยิ้มกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าคุณชายอวิ๋นกำลังดื่มสุราอยู่กับคุณชายไป๋หลี่ ทำไมไม่รอให้งานเลี้ยงเลิก แล้วค่อยพาพวกเขาไปหา”จางเอ้อร์กล่าวอย่างมีไหวพริบ “ไม่รีบ ไม่รีบ จะได้ไม่ทำลายอารมณ์อันสุนทรีย์ของคุณชายอวิ๋น”ฉู่เฟิงเอ่ยด้วยความอิจฉา “ท่านนี่ช่างรักคุณชายอวิ๋นนัก ข้ายืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นท่านเรียกข้าไปดื่มสุราสักอึกสองอึกบ้างเลย”ทำให้ชิงเหลีย