คำสัญญาของชายหนุ่มผู้มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็งและอุตสาหะ เรียบง่ายจริงใจไม่ปรุงแต่ง ทรงพลังยิ่งนัก กู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะออกมา พลางลูบจมูก จะอะไรก็ดี เพียงแต่คำเรียกน้องกู้คำนี้ ทำให้นางไม่กล้ารู้สึกหมดคำพูดจริง ๆ “พี่ใหญ่เยียนอย่าได้เกรงใจเลย ข้ากับอวิ๋นชูพบกันโดยบังเอิญ นับว่ามีวาสนาต่อกันยิ่งนัก ข้าช่วยชีวิตเขาไว้ ก็มิได้หวังจะได้สิ่งใดตอบแทน” และที่กู้หว่านเยว่ช่วยชีวิตเยียนอวิ๋นชูจากเงื้อมมือของมือสังหารของเหยลวี่เจิง ก็เป็นเพราะว่าพวกเขามีศัตรูคนเดียวกัน นางไม่อยากให้แผนชั่วของเหยลวี่เจิงลุล่วงสำเร็จ มอบโอสถถอนพิษให้เยียนอวิ๋นชูไปในตอนแรก ก็เป็นเจตนาเดิมของนางมาตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรทั้งสิ้น “ดี น้องกู้ช่างเป็นคนจริงใจเปิดเผยยิ่งนัก” เยียนสือซานมิได้พยายามรบเร้าจะตอบแทนบุญคุณ ในเมื่อจดจำบุญคุณส่วนนี้ไว้ในใจแล้ว วันข้างหน้าหากกู้หว่านเยว่มีคำสั่งให้พวกเขาทำอะไร เขาเยียนสือซานจะไม่ปฏิเสธทั้งสิ้น “พี่ใหญ่เยียน บาดแผลที่หัวไหล่ของท่านข้าว่าสาหัสยิ่งนัก ที่แห่งนี้แม้ไร้ที่ทางให้ทำแผล ทว่าข้ากลับพกยาลูกกลอนห้ามเลือดติดตัวไว้ ท่านกินยาลูกกลอนนี้
ระหว่างที่พูดคุยกัน จูเชวี่ยบินเข้าใกล้ป่าขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานจากนั้นก็ร่อนลงสู่ป่าเรียบร้อย คนบนนั้นกระโดดลงจากหลังวิหคทันใด “โฮก!” จูเชวี่ยมองเยียนสือซานด้วยความโกรธเกรี้ยว เจ้าตัวยักษ์นี่ คนเดียวตัวหนักเท่าสามคน มันแทบจะหมดแรงตายอยู่แล้ว “สหายตัวน้อย ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด” ต่อหน้าสองคน กู้หว่านเยว่เองก็ไม่สะดวก ที่จะเก็บจูเชวี่ยเข้ามิติโดยตรง ทำได้เพียงบอกให้มันไปพักผ่อนอยู่ที่ตรงนั้นก่อนสักระยะเท่านั้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ระยะนี้นางเริ่มรู้สึกแล้วว่านับวันจูเชวี่ยยิ่งนิสัยคล้ายมนุษย์ เพียงมองสายตาของจูเชวี่ย นางก็รู้ทันทีว่ามันกำลังคิดอะไร หากว่าสักวันหนึ่งพลันมีเสียงของจูเชวี่ยดังขึ้นในหัว นางก็คงจะไม่รู้สึกแปลกใจแล้ว “โฮกโฮก” จูเชวี่ยเข้าใจคำพูดของกู้หว่านเยว่ มันถูไถตัวของมันเองเบา ๆ จากนั้นก็เดินไปหลังต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะฟุบลงพักผ่อน กลุ่มคนเหล่านั้นรอเพียงไม่นานนัก ชิงเหลียนก็เคลื่อนรถม้ามาถึงแล้ว “ฮูหยินนายท่าน พวกท่านปลอดภัยดีนะเจ้าคะ?” “พี่รองกู้ พวกท่านปลอดภัยดีนะขอรับ?” ชิงเหลียนและเสี่ยวถ่านกระโดดลงจากรถม้าพร้อมกัน และเดินไปหาคนเหล่านั้
เหยลวี่เจิงหลอกเขามาที่ทูเจวี๋ย จากนั้นก็ใช้อำนาจข่มขู่คุกคามเขา เล่นงานน้องชายของเขา แล้วเล่นงานเขาอีก คิดหรือว่าคนอย่างเยียนสือซานจะเป็นก้อนแป้งนุ่ม ๆ ที่คิดจะบีบอย่างไร ก็บีบได้? ถึงเยียนสือซานจะดูเป็นคนไม่เอาไหนอะไร แต่ความเป็นจริงเขาสามารถไปถึงตำแหน่งมือสังหารอันดับหนึ่งบนทะเบียนฟ้าได้ ด้วยประโยชน์จากความทะเยอทะยาน ความกล้าหาญที่จะก้าวรุดไปข้างหน้าโดยไม่กลัวอุปสรรค และความเด็ดเดี่ยวรอบคอบของเขา “เจ้าคนระยำนั่น ข้าจะต้องล้างแค้นเหยลวี่เจิงให้จงได้” กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้าสบสายตากัน อย่าว่าแต่เยียนสือซานต้องการล้างแค้นเหยลวี่เจิงให้ได้เลย พวกเขาสองคนเองก็ไม่มีวันปล่อยเหยลวี่เจิงไปเช่นกัน “พี่ใหญ่เยียน บัดนี้บาดแผลท่านยังสาหัสน่าเป็นห่วงนัก ไม่สู้เข้าไปพักผ่อนในรถม้าสักพักก่อนเห็นจะดีกว่า รอบรถม้ามีองครักษ์จันทราของข้าดูแล พวกเขาจะปกป้องท่าน ส่วนเรื่องล้างแค้น ให้เป็นหน้าที่ของข้ากับท่านพี่ของข้าเถิด” กู้หว่านเยว่เสนอความเห็นให้อีกฝ่ายก่อน มุมปากประดับรอยยิ้มบาง ๆ ทุกคนต่างคิดว่า นางจะขี่วิหคจูเชวี่ยหลบหนีไปก็เท่านั้น? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง! คนที่จะ
“ข้าจะบอกเจ้าไว้หนึ่งประโยค หากคิดจะใกล้ชิดกับคนที่เจ้าชมชอบมากขึ้นกว่านี้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องพยายามเปลี่ยนตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นให้ได้ ต้องมีสักวันหนึ่งที่เจ้าจะสามารถไปยืนอยู่เคียงข้างนาง ต่อให้จะเป็นฐานะของสหายคนหนึ่งก็ตาม” เยียนสือซานเติมพลังใจให้เขา เพียงหนึ่งประโยคนั้นสั่นสะเทือนไปถึงหัวใจของเยียนอวิ๋นชู ความปรารถนาอันแรงกล้าผุดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจ เขาไม่เคยคิดอยากจะแข็งแกร่งขึ้นให้ได้เท่านี้มาก่อนในชีวิต “พี่ใหญ่ท่านพูดถูกต้อง ข้าจะต้องขยันตั้งใจ ฟื้นฟูขาคู่นี้ให้กลับมาใช้งานได้ในเร็ววันแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เข็นตัวนี้ให้ได้” “เช่นนี้สิถึงจะเป็นน้องชายของข้า เอาแต่โศกเศร้าแบบนั้นไม่สมกับเป็นเจ้าเลย” เยียนสือซานหัวเราะเสียงดัง ตบไหล่เยียนอวิ๋นชูหนัก ๆ ไปหนึ่งที ความพยายามต่อสู้ดิ้นรนภายในใจของเยียนอวิ๋นชู กู้หว่านเยว่ไม่มีทางรับรู้ ถึงอย่างไรกู้หว่านเยว่ก็มองเขาเป็นสหายที่หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลาคนหนึ่งเท่านั้น ขณะเดียวกันนั้นเอง กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงบัดนี้ขี่จูเชวี่ยบินไปยังกลางเมืองอูถ่านแล้ว ความเร็วของจูเชวี่ยว่องไวยิ่งนัก ไม่นานสองคนก็มาถึงเจดีย์เก้าชั้นแล้ว เจดี
บนถนนเมืองอูถ่าน เหยลวี่เจิงดึงสีหน้าเข้มงวด นำกำลังคนไล่บุกค้นบ้านเรือนทีละหลัง หาอยู่นานมากแล้วแต่ยังไม่เจอตัวคน ทำให้สีหน้าของเขาไม่น่ามองอย่างยิ่ง มืดครึ้มดำคล้ำจนแทบจะหยดออกมาเป็นน้ำ ผู้ใต้บังคับบัญชารวบรวมความกล้าเข้ามาเตือนสติ “ท่านแม่ทัพ เป็นไปได้ว่าพวกเขาหนีไปได้แล้วขอรับ” เขาไม่กล้ายอมรับว่าใช่ พวกซูจิ่งสิงมีวิหคยักษ์ หากว่าวิหคตัวนั้นพาพวกเขาบินหนีออกจากเมืองอูถ่านไปแล้ว ที่พวกเขามั่วค้นหาเหมือนแมลงวันไม่มีหัวอยู่แบบนี้ มิใช่เสียเวลาเปล่าหรอกหรือ? “หุบปาก!” เหยลวี่เจิงตะคอกเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกมันไม่มีทางหนีไปได้เด็ดขาด” อีกอย่าง ซูจิ่นเอ๋อร์ยังอยู่ในมือของเขา ตราบใดที่ซูจิ่งสิงไม่อยากให้น้องสาวตาย มันไม่มีทางหนีไปเด็ดขาด แน่นอนว่า ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เหยลวี่เจิงไม่อยากยอมรับว่าซูจิ่งสิงจะหนีไปแล้ว เขาวางแผนเพื่อวันนี้มายาวนาน จะไม่มีวันปล่อยให้เขาหนีไปง่าย ๆ อย่างเด็ดขาด “ค้นหาต่อ!” เหยลวี่เจิงคำรามเสียงดัง ผู้ใต้บังคับบัญชาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบเชียบ มิใช่ว่าเขาจะเชิดชูความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของผู้อื่นและทำลายฮึกเหิมน่าเกรงขามของตนเอง แ
แม้จะแต่งกายไม่คล้ายสตรี ทว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของสตรีอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษ “ข้าน่ะหรือ ก็คือกู้หว่านเยว่พระชายาอ๋องเจิ้นเป่ย” กู้หว่านเยว่เปิดเผยตัวตนออกมาโดยไม่ขลาดกลัว ถึงอย่างไร วันนี้ นางจะทำให้ชาวทูเจวี๋ยทุกคนได้เห็นประจักษ์ว่า เหยลวี่เจิงจะต้องถูกนางสังหารโหดอย่างไร “กู้หว่านเยว่?” เหยลวี่เจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาจำได้ว่าคนสอดแนมที่ถูกส่งตัวเข้าไปที่เจดีย์หนิงกู่เคยกลับมารายงานว่า ซูจิ่งสิงมีภรรยาที่ฉลาดเฉลียวแข็งแกร่งอยู่หนึ่งคน ไม่เพียงเชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ แต่ยังมีความคิดล้ำเลิศเหนือคนธรรมดา ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าซูจิ่งสิงแม้แต่เสี้ยวเดียว เห็นความยุ่งเหยิงอลหม่านของจวนแม่ทัพแล้ว เขาเดือดดาลจนเส้นผมแทบจะตั้งตรงขึ้นมา “พวกเจ้าเผาจวนแม่ทัพของข้าหรือ?” “ไม่ผิด เป็นฝีมือพวกข้าเอง ความจริงก็อยู่ตรงหน้าท่านแล้วมิใช่หรือ เหตุใดท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิงถึงยังต้องถามซ้ำอีก?” กู้หว่านเยว่แบมือท่าทางไม่แยแส ต่อให้โกรธจนตายก็ไม่คิดจะยื่นมือไปช่วย ทำให้ซูจิ่งสิงหัวเราะออกมาอย่างรักใคร่ปนเอ็นดู เหยลวี่เจิงหน้าเ
เขานึกเหิมเกริมในใจ คิดว่าที่แห่งนี้คือเมืองอูถ่าน สองคนนั้นไม่มีทางทำร้ายเขาได้แน่ ซูจิ่งสิงอุ้มกู้หว่านเยว่ไว้ ปลายเท้าย่องบนหลังคาไปตลอดทาง ไม่นานนักก็พากู้หว่านเยว่หนีออกไปไกลจากจวนแม่ทัพแล้ว เหยลวี่เจิงไล่ตามหลังพวกเขามาอย่างไม่ลดละ วิชาตัวเบาของเขาก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน เพียงครู่เดียว สามคนก็ทิ้งห่างพลทหารด้านหลังแล้ว ผ่านไปไม่นานทั้งสามคน ก็มาอยู่เหนือหอสุราที่คึกคักที่สุดในเมืองอูถ่านแล้ว ตอนนั้นเอง ชาวบ้านที่อยู่ใต้หอสุราก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงเอะอะด้านนอก และพากันชะโงกหน้ายื่นศีรษะออกมาดูเหตุการณ์ เหยลวี่เจิงเห็นซูจิ่งสิงหยุดชะงัก ก็คิดว่าเขาหมดหนทางหนีแล้ว หัวเราะเสียงดังสนั่นพลางกระโจนเข้ามา “ซูจิ่งสิงเอยซูจิ่งสิง ต่อให้น้องสาวเจ้าจะไม่อยู่ในมือข้า บัดนี้ข้าก็ล่อเจ้ามาที่เมืองอูถ่านสำเร็จแล้ว ข้าอยากรู้นัก ว่าคนอย่างเจ้าจะหนีไปที่ใดพ้น” ซูจิ่งสิงปล่อยกู้หว่านเยว่ลง ก่อนจะดึงกระบี่อาทิตย์คำรามออกมาจากเอว พลางจ้องมองเหยลวี่เจิงอย่างเยือกเย็น “เหตุใดข้าจะต้องหนีด้วย หนี้แค้นในอดีตของข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวต้องสะสางให้จบสิ้นแล้ว” “โอหังนัก!” เหยลวี่เจิงแผดเสียงด
ความจริงจะกล่าวโทษเขาก็ไม่ได้ เมื่อก่อนเขากับซูจิ่งสิงต่อสู้โรมรันกันในสนามรบเป็นส่วนมาก น้อยครั้งที่จะมีโอกาสได้ต่อสู้กันซึ่งหน้าตัวต่อตัวเช่นนี้ ครั้งนั้นที่เจดีย์หนิงกู่ เขาใส่ผงพิษเพื่อลอบทำร้ายเอาไว้ก่อน ถึงทำให้ซูจิ่งสิงได้รับบาดเจ็บ ทว่าหนนี้กลับมีกู้หว่านเยว่จับตามองอยู่ด้านข้าง แม้ว่าเขาจะอยากลอบใช้อาวุธลับผงพิษอะไร ก็ทำไม่ได้ “ซูจิ่งสิง ข้าจะสังหารเจ้า!” เหยลวี่เจิงแผดเสียงคำรามอย่างโหดเหี้ยม สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งคึกคักที่สุดในเมืองอูถ่าน ถูกซูจิ่งสิงกระทืบต่อหน้าชาวบ้านจำนวนมากเช่นนี้ เขารับไม่ไหวแล้วจริง ๆ พยายามหยัดกายลุกขึ้นจากพื้น แต่ผลสุดท้ายซูจิ่งสิงก็พุ่งเข้ามาถึงตัวเขาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง “เจ้าอยากสังหารข้านักหรือ?” ซูจิ่งสิงประชิดเข้าไปข้างใบหูของเขา ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเยียบเย็นออกมา “น่าเสียดายที่ข้าจะไม่มีวันมอบโอกาสนี้ให้กับเจ้าอีกแล้ว” กู้หว่านเยว่พุ่งมาข้างตัวซูจิ่งสิง “ท่านพี่พลทหารใกล้จะมาถึงแล้ว รีบสังหารเขาเถิด” ตัวร้ายมักตายเพราะพูดมาก กู้หว่านเยว่เห็นด้วยกับประโยคนี้อย่างยิ่ง จึงเตือนสติซูจิ่งสิงอย่ามัวแต่พล่ามอาร
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก