หากซูหัวจวิ้นกล้าหาเรื่องนาง ช่วงนี้นางก็คันไม้คันมือ อยากระบายอารมณ์อยู่พอดีซูจิ่นเอ๋อร์ยังกังวลอยู่เล็กน้อย นับตั้งแต่ที่หลี่ซือซือตายไป ลุงสี่ของนางคนนี้ก็ดูเหมือนจะเสียสติไปแล้วคนบ้าคนหนึ่ง ยากจะรู้ได้ว่าเขาจะทำเรื่องอะไรออกมาบ้าง“พี่สะใภ้ใหญ่ระวังไว้ดีกว่านะเจ้าค่ะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ท่านตะโกนออกมาแค่คำเดียว ข้าจะรีบไปทุบเขาให้ตายเลยเจ้าค่ะ!”“ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก เจ้าดูแลตัวเองกับท่านแม่ให้ดีก็พอแล้ว ข้าจะพาพี่ชายเจ้าไปอาบน้ำเสียหน่อย”ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน กู้หว่านเยว่ก็ยกร่างของซูจิ่งสิงขึ้นมาแล้วเดินไปที่ห้องครัวเมื่อเดินเข้าไปในครัว ซูจิ่งสิงก็นั่งลงอย่างช่ำชอง แก้มของเขาแดงก่ำด้วยความเขินอาย“ข้าอาบเองก็ได้”“อ้อ”กู้หว่านเยว่เองก็ไม่ได้คิดจะช่วยเขาอาบเช่นกัน“ข้าจะไปอาบน้ำในมิติ ส่วนท่านอาบข้างนอก อาบไปด้วยก็ระวังคนให้ข้าไปด้วยนะเจ้าคะ”มิติ? นั่นคืออะไร?ซูจิ่งสิงสงสัยนัก เมื่อเห็นว่าหลังจากกู้หว่านเยว่ลงกลอนประตูห้องครัวแล้ว กะพริบตาหนึ่งครั้ง นางก็หายตัวไปทันที“กู้หว่านเยว่!”การหายตัวไปอย่างกะทันหันของผู้หญิงคนนั้น ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดในใจ ถึงกับ
ไม่นาน เจ้าหน้าที่หนุ่มกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาจากนอกประตูเมื่อฟู่เยียนหรานเห็นเจ้าหน้าที่ ใบหน้าก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว รีบดึงฟู่ซานไปซ่อนตัวอยู่หลังบ่อน้ำจนกระทั่งแน่ใจว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่ได้มาตามหาพวกตน นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกกู้หว่านเยว่เองก็สังเกตเห็นเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้เช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาหาครอบครัวชาวนานี้เสียมากกว่าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเตะถาดตากข้าวแล้วบอกว่า “รีบจ่ายค่าภาษีเดือนนี้มาเสีย”ชายชราและครอบครัวยื่นเงินออกไปด้วยสีหน้าเศร้าโศก“แค่ตำลึงเดียวเองหรือ?”“เดือนที่แล้วก็ไม่ใช่แค่ตำลึงเดียวหรอกหรือ?...”ลูกชายของชาวนาปากมากไปสักนิด เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจึงผลักเขาลงพื้น ทุบตีอย่างแรงทันที“เดือนนี้ขึ้นแล้ว เป็นสองตำลึง รีบเอามา ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องกินไม่หมด แอบห่อพากลับ[footnoteRef:1]!” [1: เปรียบเทียบกับการ ก่อเรื่องไม่ดีหรือทำให้เกิดเรื่องไม่ดี จำต้องแบกรับ รับผลที่ตามมา มักจะใช้สำหรับตักเตือนคนว่า จะทำเรื่องอะไรอย่าลืมคำนึงถึงผลที่ตามมา] สามีภรรยาคู่ชราร้องขอความเมตตาพลางเอาเงินออกมาหมดบ้าน ในที่สุด พวกเขาก็รีดเอาเงินสองตำลึงออกมาได้“ดี
“ได้ ข้ารับฝากเอาไว้แล้ว”กู้หว่านเยว่กำลังกังวลว่าจะไม่หาคนมาลองมือ ในเมื่อพวกเขามาส่งถึงหน้าประตูเช่นนี้ ก็อย่าโทษนางที่ลงมือหนักเกินไปแล้วกันเดิมทีก็คิดว่าจะสั่งสอนพวกเขาสักหน่อยแล้วค่อยปล่อยไป แต่อีกฝ่ายกลับยังกล้าขู่ออกมาได้อีก เช่นนั้นก็ต้องกำจัดทิ้งเสียกู้หว่านเยว่โปรยผงพิษใส่พวกเขาไปแล้ว ไม่นานจากนี้ คนเหล่านี้ก็จะไม่ตายดีเมื่อมองดูรอยยิ้มแปลกๆ ของผู้หญิงคนนั้น เถียนจวิ้นก็มักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาพูดอะไรผิดไป ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองกำลังจะสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป ดังนั้นจึงรีบวิ่งหนีไปพร้อมกับลูกน้องใต้บังคับบัญชากู้หว่านเยว่จึงเดินกลับมาที่คาราวานเนรเทศ“แม่นางน้อยกู้ ทำได้ดีมากเลย!”“แม่นางน้อยกู้ ทวงความยุติธรรมแทนสวรรค์ ท่านสุดยอดมากเลย!”หลายคนยกนิ้วให้ในเวลานี้ จู่ๆ ฟู่เยียนหรานก็เดินเข้ามาหานาง ขมวดคิ้วและพูดว่า“กู้หว่านเยว่ เจ้าเป็นแค่นักโทษยังกล้าโอหังอวดดี ทุบตีเจ้าหน้าที่ของทางการ ถ้าทำให้ทุกคนเดือดร้อนจะทำอย่างไร?”ไม่แน่ว่านั่นอาจจะพลอยเปิดเผยตัวตนของนางไปด้วย“ความหมายของเจ้าคือ ข้าควรยืนเจ้าหน้าที่พวกนั้นลวนลามหรือ?”กู้หว่านเยว่แค่นเสียงหัวเราะ
เมื่อพิจารณาว่าเครื่องครัวเครื่องใช้ต่าง ๆ พังเสียหายระหว่างทางหมดแล้ว กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจึงไปตลาดก่อนเพื่อซื้อของใช้จำเป็นเหล่านี้“เราไปซื้อเสื้อผ้าฝ้ายเพิ่มกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ขยับแขนเข้าหาตัว ยิ่งเดินทางขึ้นเหนือ อากาศก็ยิ่งหนาวเหน็บขึ้นทุกทีหากไม่ซื้อเสื้อผ้าฝ้ายมาเตรียมไว้ กลัวว่าพออุณหภูมิลดลงจะไม่มีเสื้อผ้าใส่ ถ้าเกิดหนาวจนเป็นหวัดขึ้นมาคงจะลำบากแย่“ตกลง ถึงอย่างไรเราก็ยังมีลาเทียมเกวียน ไม่ต้องกลัวว่าจะขนไม่พอ”ซูจิ่งสิงย่อมไม่ปฏิเสธดังนั้นกู้หว่านเยว่จึงพุ่งเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้า ซื้อเสื้อผ้าฝ้ายหนา ๆ มาหลายชุด พร้อมกับซื้อปุยฝ้ายและผ้าฝ้ายมาอีกหนึ่งถุง ตั้งใจว่าจะใช้ทำรองเท้าปุยฝ้ายระหว่างทางสุดท้ายก็ซื้อผ้าห่มหนา ๆ อีกสองผืน ก็น่าจะครบถ้วนแล้วหลังจากซื้อของเสร็จ กู้หว่านเยว่ก็นึกถึงเรื่องสำคัญ นั่นคือถึงเวลาที่จะไป “เยี่ยมเยียน” ผู้ว่าการอำเภอเถียนคนนั้นแล้วนางลากลาเทียมเกวียนเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ต่อหน้าต่อตาซูจิ่งสิง ก็เก็บลาเทียมเกวียนทั้งคันเข้าไปในมิติซูจิ่งสิง ...แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็น แต่ทุกครั้งก็ยังรู้สึกตกตะลึง“เอาละ ตอนน
“ใต้เท้า ของ ของหายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ!”“พูดบ้าอะไร?” เถียนเฝินเปิดม่านเตียงอย่างหงุดหงิด แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าทั้งห้องเหลือแค่เตียงนอนเท่านั้น ของอื่น ๆ นอกจากนั้นหายเกลี้ยง!แม้แต่เสื้อผ้าที่เขาโยนไว้บนพื้นก็หายไปด้วย“คันเหลือเกิน ตัวข้าคันไปหมด คันจนจะตายอยู่แล้ว” เถียนเฝินคันจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น ไม่สนใจที่จะสืบหาสาเหตุแล้วเล็บที่แหลมยาวของเขา เกาตัวเองจนเลือดออกในทันที“ใต้เท้า ท่านหยุดเกาได้แล้ว น่ากลัว ข้าจะหนีแล้ว!” สาวงามกลัวว่าจะติดโรค จึงจับชายกระโปรงแล้ววิ่งหนีไป“สมน้ำหน้า คันให้ตายไปเลย!”ถ้าเถียนเฝินยังเกาแบบนี้ต่อไป ไม่นาน ผื่นพิษก็จะลามไปทั่วร่างกายเขากู้หว่านเยว่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น นางก็อารมณ์ดีขึ้นมากซูจิ่งสิงเห็นดังนั้น ก็ยกยิ้มมุมปากเช่นกันหลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนกำลังจะมาแล้ว ทั้งสองก็รีบไปที่ห้องหนังสือของเถียนเฝิน“เถียนเฝินกล้าเหิมเกริมขนาดนี้ เบื้องหลังต้องมีคนคอยหนุนหลังแน่ ๆ เราไปหาเบาะแสที่ห้องหนังสือกันเถอะ”“อืม”ซูจิ่งสิงมีความสามารถในการสืบสวนที่ยอดเยี่ยม ในไม่ช้าเขาก็พบจดหมายติดต่อในกล่
เดิมทีเขาตั้งใจจะค่อย ๆ อธิบาย แต่แม่นางกู้กลับไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป นางเด็ดเดี่ยวและเฉียบขาด ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ค่อย ๆ อธิบายเลย“หว่านเยว่ รอเดี๋ยวก่อน”ซูจิ่งสิงรีบพูดขึ้น หลังจากที่เว่ยเฉิงเตือนสติ กู้หว่านเยว่ก็นึกขึ้นได้เช่นกัน ตอนที่พวกนักฆ่ากำลังไล่ล่าพวกเขาอยู่ดี ๆ ขาก็อ่อนแรงลง และล้มลงไปกองกับพื้นทีละคนตอนนั้นนางแค่คิดจะจัดการพวกเขา จึงไม่ได้ใส่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ตอนนี้มาคิด ๆ ดูแล้ว มันก็ผิดปกติจริง ๆ“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอธิบาย” กู้หว่านเยว่ปล่อยเว่ยเฉิง ตั้งใจจะฟังว่าเขาจะพูดอะไรเว่ยเฉิงยิ้มอย่างขมขื่นพลางจัดเสื้อผ้าของเขาให้เรียบร้อย “ข้าแอบวางยานักฆ่าพวกนั้น ทำให้พวกเขาหมดเรี่ยวแรงเวลาใช้วิชาตัวเบา พวกเขาถึงได้ขาอ่อนแบบนั้น”เมื่อมาถึงจุดนี้ กู้หว่านเยว่ก็เชื่อเว่ยเฉิงไปแปดส่วนเก้าส่วนแล้วแต่นางยังคงสงสัยอยู่บ้าง “ในเมื่อเจ้าช่วยมู่หรงอวี้แล้ว เหตุใดถึงกลับมาช่วยพวกเราอีก?”ต้องอย่าลืมว่าพวกเขาและมู่หรงอวี้เป็นศัตรูกันเว่ยเฉิงรีบพูดว่า “พวกท่านทั้งสองมีบุญคุณกับข้า ข้าเว่ยเฉิงไม่ใช่คนเนรคุณ แน่นอนว่าไม่มีทางทิ้งพวกท่านจริง ๆ แล้วข้าก็ไม่ได้อยากจะ
ซูจิ่งสิงยังคงครุ่นคิดเรื่องของเว่ยเฉิง เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยทั้งสองคนตามหาไปทั่ว แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของซูจื่อชิงเมื่อเห็นว่าฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ซูจิ่งสิงจึงทำได้เพียงทิ้งสัญญาณลับเพื่อติดต่อไว้ในเมืองหากซูจื่อชิงยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเห็นสัญญาณลับก็จะตามมาหาพวกเขาได้ปรากฏว่าเมื่อทั้งสองคนออกจากเมือง ก็พบกับซูจิ่นเอ๋อร์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พี่รองกลับมาแล้ว!”“จริงหรือ?”นี่มันเหมือนกับพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เดิมทีคิดว่าคงหาซูจื่อชิงที่อำเภอหลานเจียไม่เจอ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกลับมาเองแล้วกู้หว่านเยว่รีบขับลาเทียมเกวียนตามซูจิ่นเอ๋อร์ไปยังกลุ่มคนเมื่อเห็นซูจื่อชิงนั่งพิงอยู่บนลาเทียมเกวียนอีกคัน แขนข้างหนึ่งห้อยลงมาข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง ข้าง ๆ เขา มีเมี่ยชิงหว่านนั่งอยู่ด้วยความโศกเศร้า“แขนเจ้าหักหรือ?” ได้เลย เพิ่งจะมีคนเจ็บไปหนึ่งคน ตอนนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว“น่าจะหัก ข้าใช้ไม้กระดานดามไว้ ตอนนี้ยังขยับไม่ได้”หลังจากถูกทรมานมาหลายวัน ซูจื่อชิงดูอิดโรยอย่างมากกู้หว่านเยว่ยื่นมือไปสัมผัส “หักจริง ๆ ด้วย คืนนี้ห
ทันทีที่เห็นหมีดำ ทุกคนก็สบถออกมาไม่สิ ฟู่เยียนหรานนี่มันเกิดอะไรขึ้น?ไปทำอะไรมาถึงทำให้หมีที่หนักสี่ร้อยกว่าชั่งโกรธได้นะ?ซุนอู่ขมับเต้นตุบ ๆ ตะโกนด่าเสียงดัง“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร ไปแหย่หมีเอง ก็อย่าลากหมีมาหาพวกเราสิ!”พวกเขาเป็นกลุ่มคนแก่ คนอ่อนแอ คนป่วย และคนพิการ เดินมาทั้งวันแล้ว คงวิ่งไม่ไหวหรอกลากหมีมาที่นี่ ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าพวกเขาหรอกหรือ?ฟู่เยียนหรานแสดงสีหน้ารู้สึกผิด นางก็ไม่อยากลากหมีมาที่นี่ แต่นางไม่มีทางเลือกแล้วในกลุ่มผู้ถูกเนรเทศมีผู้หญิงและเด็กเยอะ วิ่งไม่เร็วเท่านาง บางทีหมีอาจจะเปลี่ยนเป้าหมายก็ได้นางไม่ได้ใจร้ายแน่ ๆ แค่ช่วยซุนอู่คัดคนออกต่างหากเมื่อคิดแบบนี้ ฟู่เยียนหรานก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากจากนั้นเร่งความเร็วมาทางนี้มากขึ้น“ข้ายอมแพ้แล้ว!” ซุนอู่รู้สึกว่าเขาไม่เคยเกลียดใครขนาดนี้มาก่อนเลยเมื่อเห็นว่าหมีกำลังมา วิ่งก็คงวิ่งไม่ทันแล้ว ได้แต่หวังว่าพวกเขาคนเยอะ อาจจะปราบหมีได้“อย่ามัวแต่ยืนบื้อ รีบหยิบดาบออกมาสู้กับหมี คนแก่ ผู้หญิง และเด็ก ไปหาที่หลบเร็ว”แม้ว่าการลดจำนวนคนระหว่างทางเนรเทศจะเป็นเรื่องปกติ แต่ซุนอู่ก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาต