เรือนของหอแพทย์นั้นดีมากทีเดียว ของอำนวยความสะดวกครบครัน นางต้องอยู่ที่นี่อีกสองวันก่อนเปิดภาคเรียน นางยังมีเวลาพักผ่อนและสำรวจเมืองหลวงสักรอบ เมืองศิวิไลซ์แห่งนี้ยังมีร้านค้าที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ พรุ่งนี้นางย่อมไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง“อาจารย์อา สมุนไพรที่ท่านต้องการทั้งหมดมาส่งแล้ว หากไม่เพียงพอสามารถแจ้งผู้ดูแลหม่าได้เลยนะขอรับ ผู้อาวุโสแจ้งว่าท่านอยากใช้เท่าไหร่ก็ได้ทั้งนั้น” ศิษย์คนหนึ่งเข็นสมุนไพรมากมายมาให้นางที่หน้าเรือนก่อนจะจากไป เมื่อเห็นศิษย์คนนั้นจากไปแล้วหลี่หลิงเฟิ่งจึงไล่พวกเสี่ยวเซียงไปพักผ่อน ส่วนนางปิดประตูห้องนอนเข้าสู่มิติมายามาปลูกสมุนไพรไม่ต้องหาสมุนไพรให้ยุ่งยากอีกแล้ว!“เด็กน้อยที่น่ารักทั้งสามของข้า อยู่ว่างทั้งวันคงเบื่อแย่แล้ว ออกมาขยับแขนขาเพิ่มความแข็งแรงกันดีกว่า ช่วยนายท่านผู้นี้ปลูกสมุนไพรกันเร็วเข้า เอ๋…” หลี่หลิงเฟิ่งเข้ามาอย่างอารมณ์ดี เดินเข้าไปอุ้มเสี่ยวมู่มานั่งบนไหล่ ก่อนจะเดินไปหาเสี่ยวไป๋ที่แช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำทิพย์ที่บัดนี้ขยับขยายเป็นน้ำตกไปแล้ว แต่หลี่หลิงเฟิ่งมองอยู่นานกลับไม่เห็นเสี่ยวจูจู“จอมตะกละเล่า จมบ่อเงินบ่อทองไปแล้วหรือ เหตุใดยังไม่
“นี่...นี่มันโรงรับจำนำหรือโรงทาน” เสี่ยวเซียงเผลออุทานออกมา ด้านนอกโรงรับจำนำได้รับการทำนุบำรุงมาอย่างดี แม้จะเทียบไม่ได้กับร้านค้าละแวกใกล้เคียง แต่ก็ไม่ถือว่าย่ำแย่มากนัก ทำไมพอก้าวเข้ามาด้านในถึงเต็มไปด้วยเด็กยากไร้เนื้อตัวมอมแมมหลายสิบคนกันเล่าอีกทั้งยังเป็นเวลาแจกจ่ายอาหารให้พวกเขา พวกนางกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ตอนแรกต่างคิดกันว่ากิจการในเมืองหลวงคงไม่เลวนัก ถึงด้านนอกจะไม่เจอลูกค้าหน้าร้านเลยก็ตาม ทว่า โรงรับจำนำไม่ใช่ร้านอาหาร คนน้อยก็สมเหตุสมผลเวลานี้หลี่หลิงเฟิ่งรู้แล้ว จากสภาพที่เห็นตรงหน้า ลูกค้าไม่กล้าเข้ามากันมากกว่า“โรงรับจำนำแห่งนี้คงมีเงินหมุนเวียนอยู่ตลอด ถึงกับสร้างโรงทาน ทำกุศลเผื่อแผ่คนยากไร้โดยไม่ตระหนี่ เถ้าแก่ร้านเป็นคนใจบุญจริงๆ” อาหลงมองรอบโถงต้อนรับ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประชดประชันอย่างปิดไม่มิดไม่! นางขี้เหนียวเป็นที่สุดหลี่หลิงเฟิ่งพูดไม่ออกชั่วขณะ สภาพคล่องขนาดนี้ โรงรับจำนำที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้เป็นแค่โรงรับจำนำธรรมดาแน่หรือพิรุธเต็มไปหมด“คุณหนู มันน่ากลัวนะเจ้าคะ” เสี่ยวเซียงเสียงสั่น หลายครั้งนางไม่เข้าใจความคิดของเจ้านายสาว แต่นิสัยของนางเชื่อฟัง
หลี่หลิงเฟิ่งมองคนทั้งสองที่กำลังก้มหน้านิ่ง บรรยากาศตึงเครียดไม่มีท่ามีว่าจะคลายลงแม้แต่น้อย ดูจากรูปการณ์เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเปิดโรงรับจำนำเพื่อใช้บังหน้าทำเรื่องไม่เหมาะสม ส่วนทำอะไรนั้นอีกไม่นานคงได้รู้ ขอนางดูก่อนว่ากิจการนี้ควรดำเนินต่อไปหรือจำต้องปิดตัวลง“ท่านเป็นนายหญิงคนใหม่ของพวกเราจริงหรือ” ในที่สุดไฉเม่าหรือชายชราคนแรกที่ต้อนรับพวกนางเอ่ยถามขึ้นมา บนหน้าเจือความรู้สึกผิดผสมความไม่แน่ใจ ดรุณีน้อยตรงหน้าจะสามารถควบคุมทุกคนในนี้ได้แน่หรือ จากข้อมูลนางเพิ่งพ้นวัยปักปิ่นมาได้ไม่กี่เดือนดีหน่อยที่นิสัยนางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เห็นว่าตอนนี้ฝึกพลังยุทธ์ได้แล้ว ซ้ำยังไม่อ่อนด้อย บุคลิกแลดูน่าเกรงขามอยู่บ้าง ทว่า จิตใจข้างในเป็นอย่างไรคงต้องดูกันอีกนาน“เหมือนนายหญิงคนก่อนหลายส่วน เจ้ายังเชื่อไม่ลง?” เหวินจิ่ง ชายหนุ่มหนึ่งเดียวกล่าว เขารู้ว่าคนที่มาคือหลี่หลิงเฟิ่งตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ที่ไม่เข้าไปห้ามเพียงเพราะอยากทดสอบฝีมือของหญิงสาว ไหนเลยจะรู้ว่าข้างกายนางยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์คุ้มครองอยู่เหวินจิ่งกล่าวต่อ &l
“อาหลง เจ้าอยู่ที่นี่คอยบ่มเพาะพวกเขา ภายหน้าคนพวกนี้จะเป็นกองกำลังลับของพวกเรา เพราะฉะนั้นจงทำให้เต็มที่ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเรียกอาหลงอีกหน พร้อมกับหยิบผลสัมฤทธิ์ที่บังคับขู่เข็ญมาจากเสี่ยวมู่มาหนึ่งตะกร้า ดีที่นางให้เสี่ยวมู่นำออกมาเพื่อเอาไว้ขายแต่เนิ่นๆ ตอนนี้จึงพอให้กองกำลังต้นกล้าของนางใช้ทันเวลา“ข้าเป็นองครักษ์ ทิ้งเจ้านายไปไหนมาไหนตามลำพังไม่ได้” อาหลงไม่เห็นด้วย เมืองหลวงอันตราย ไม่มีคนคอยคุ้มครอง เขาไม่วางใจ“ข้าดูแลตัวเองได้ อีกอย่างสำนักศึกษาหลวงห้ามนำคนเข้าไป เจ้าดูแลต้นกล้าเหล่านี้ก็ทำเพื่อข้าเหมือนกัน ต่อไปคนพวกนี้จะเป็นคนใต้อาณัติของเจ้า หากมีวันหนึ่งเจ้าไม่อาจปลีกตัวมาอยู่ข้างกายข้า เจ้ายังสามารถส่งพวกเขาบางส่วนมาแทนได้” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยอย่างใจเย็นอาหลงกำลังแย้ง แต่หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยปรามเสียก่อน “เจ้าอย่าเพิ่งปฏิเสธ ตอนนี้ศัตรูของข้าไม่ได้มีแค่คนของตระกูลหลี่ แต่ยังมีมือมืดที่มองไม่เห็น ข้าต้องการกองกำลังจริงๆ เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่”อาหลงทำเสียงฮึดฮัด แต่ก็ยอมเงียบลง หมา
พริบตาเดียวก็เป็นวันใหม่ หลี่หลิงเฟิ่งมองคนนับพันยืนต่อแถวรอทดสอบพลังอยู่หน้าประตูสำนักศึกษาหลวง ยาวสุดลูกหูลูกตา อย่างว่าล่ะใครใช้ให้เหล่าอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทุกแขนงในอาณาจักรกระจุกอยู่ที่แคว้นหลิวอวิ๋นกันหมด สำนักศึกษาหลวงแคว้นที่เหลือต่างต้องยอมปิดตัวลง หันมาระดมทุนกับแคว้นหลิวอวิ๋นแทนได้ชื่อว่าสำนักศึกษาอันดับหนึ่ง แต่การจัดการห่วยไปนะหลี่หลิงเฟิ่งกลอกตาในใจ เปิดรับศิษย์วันเดียว ไม่มีสอบคัดเลือกก่อน ไม่มีจดหมายแนะนำ ใครอยากทดสอบก็ได้หมด คนมันถึงล้นอย่างนี้ไง รอทั้งวันจะถึงคิวไหมก่อน แน่นอนว่าคนใจเย็นอย่างนางแค่นี้รอได้...เสียที่ไหนล่ะ นางเดินถือราชโองการของฮ่องเต้ยื่นให้ผู้ทดสอบโดยไม่เอ่ยสักคำทางตรงไม่สู้ทางลัด“มัวยืนเซ่ออะไรอยู่ตรงนี้ ไม่เห็นหรือว่าคนต่อแถวยาวเหยียด อยากทดสอบก็ไปต่อแถว” เจ้าหน้าที่โบกมือไล่ “ไม่รู้จักกฎระเบียบ”“ท่านจะไม่ดูหน่อยหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งโบกราชโองการสีเหลืองทองตรงหน้าไปมา วาจาเรียบเรื่อย“ไม่อยากเข้าเรียนก็ถอยออกไป อย่ามาเกะกะ” เจ้าหน้า
“น้อยคนนักที่กล้าทดสอบพลังกับแท่นวิญญาณ เจ้าเป็นคนแรกในรอบสิบปีที่ผ่านการทดสอบ หนำซ้ำยังมีคุณสมบัติเต็มสิบส่วน” เจ้าหน้าที่มองแท่นวิญญาณที่ถูกทำลายจนต้องกลืนน้ำลายหลายครั้ง หากลำดับในแท่นวิญญาณมีมากกว่านี้ เกรงว่าพลังยุทธ์ของหลี่หลิงเฟิ่งคงไต่ขึ้นได้อีก ทำเอาเขาอดเสียดายขึ้นมาไม่ได้สายตาที่มองหลี่หลิงเฟิ่งอ่อนโยนขึ้นหลายเท่าเหล่าอาจารย์ได้ยินเสียงถล่มจึงเร่งรุดมาออกันหน้าประตู ทันเห็นหลี่หลิงเฟิ่งเปิดเผยพลังยุทธ์บางส่วน นอกจากคนของหอโอสถที่รู้ตื้นลึกหนาบางของหลี่หลิงเฟิ่งอยู่บ้าง คนอื่นล้วนงุนงงอย่างไรก็ตาม คนเก่งไม่สนภูมิหลัง ในเมื่อเด็กสาวตรงหน้าพวกเขามีคุณสมบัติยอดเยี่ยมย่อมต้องแย่งตัวมาเป็นของพวกตนให้ได้“เอ่อ หลิงเฟิ่งครั้งก่อนเจ้าเป็นแขกของเจ้าสำนักเรา หอโอสถไม่อาจนิ่งดูดายได้ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกเข้าฝากตัวกับหอใด ชื่อของเจ้าก็ยังจะแขวนอยู่ในหอโอสถ พวกเราอ้าแขนต้อนรับเจ้าทุกเมื่อ” หู่กวงหรือผู้อาวุโสแปดเอ่ยขึ้นคนแรก ทั้งตื่นเต้นทั้งขลาดกลัว พูดออกมาไม่เป็นประโยค เขาไม่มีความกล้ารับอาจารย์อาเข้ามาเป็นศิษย์ ทุกการ
ต้นยามซื่อ รุ่ยกงกง ขันทีประจำตัวฮ่องเต้เฉินคังนำรถม้ามารับหลี่หลิงเฟิ่งด้วยตนเอง หลี่หลิงเฟิ่งขึ้นไปนั่ง รอจนกระทั่งด้านในรถม้าไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจึงออกเดินทาง หลี่หลิงเฟิ่งคิดว่าฮ่องเต้เฉินคังต้องการหาเรื่องนาง ความอิจฉาริษยาทำคนตายไวขึ้นได้รถม้าแล่นไปไม่นานก็มาจอดใกล้ห้องทรงพระอักษร ความจริงนางเดินมาเองได้ พระราชวังใกล้เพียงนี้ แต่รุ่ยกงกงให้เหตุผลว่านางเข้าวังครั้งแรกไม่คุ้นทาง ฝ่าบาทจึงส่งเขามารับเข้าวังเพื่อความสะดวกว่าที่พ่อสามีคนนี้มีเมตตาหรือเสแสร้งกันแน่ ไว้ใจให้นางเข้ามาในห้องทรงพระอักษรตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ไม่ใช่ว่าเป็นเขตหวงห้ามหรอกหรือ หลี่หลิงเฟิ่งคิดหนักทั้งคืนช่างเถอะ เข้าไปก็รู้เอง“ลูกสะใภ้ เจ้ามาแล้วหรือ” เสียงสรวลบนเก้าอี้ดังชัดถึงหน้าประตู เมื่อเห็นสาวน้อยหน้าตางดงามเดินเข้ามารอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งอบอุ่นหลี่หลิงเฟิ่งยอบกายคำนับเรียก ‘ฝ่าบาท’ เสียงเบา ในใจแอบบ่น ยังไม่ทันแต่งเข้าก็เรียกสะใภ้เต็มปากเต็มคำแล้ว“ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้เฉินคังทำท่าจับจูงให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดไว้ให้ บนโต๊ะมีอาหารที่นางชอบเตรียมไว้หลายอย่าง ตอนนี้เองนางถึงมีเวลาสังเกตอย่างละ
ขบวนรถม้าของหลี่หลิงเฟิ่งพร้อมขันทีออกจากวังหลวงก็เป็นเวลาสายมากแล้ว ช่วงเวลานี้ผู้คนต่างตื่นมาทำหน้าที่ประจำวันของตนเองกันหมด ถนนสายอื่นจึงคึกคักไม่น้อย เช่นเดียวกับสำนักศึกษาหลวงที่คนส่วนใหญ่ย่อมศึกษาอยู่ในหอและโถงเรียนรวมกันแทบทุกคน ละแวกใกล้ๆ นี้นับรวมพวกหลี่หลิงเฟิ่งแล้วมีคนอยู่ข้างนอกไม่ถึงยี่สิบคนหลี่หลิงเฟิ่งไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน จึงบอกสารถีชั่วคราวให้เปลี่ยนเส้นทางไปยังป่าทึบด้านหลังหอฝึกอสูรอันเป็นแหล่งอาศัยของเหล่าสัตว์อสูร เนื่องจากป่ามีพื้นที่ขนาดใหญ่ ทางเข้าจึงมีหลายทาง สารถีขับรถม้าเลือกทางเข้าที่ใกล้วังหลวงที่สุด ซึ่งไกลจากด้านหน้าสำนักศึกษาหลวงที่สุดเช่นกันยิ่งเข้ามาลึกเท่าไหร่คนบนถนนยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ เส้นทางเริ่มเปลี่ยวจนถึงตอนนี้นอกจากพวกนางก็ไม่พบใครอื่น รถม้าเริ่มแล่นช้าลง หลี่หลิงเฟิ่งที่นั่งเอกเขนกอยู่ด้านในสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล กำลังจะร้องเตือนสารถีและขันทีคุ้มกัน ปรากฏว่ารถม้าหยุดกึกเสียนี่เสียงสวบสาบจากพงหญ้าข้างถนนดังขึ้นหลายครั้ง พร้อมได้ยินเสียงตะโกนจากผู้คุ้มกันและเสียงชักกระบี่กลางอากาศดังลอดเข้ามา“มีมือสังหาร!”สัตว์อสูรทั้งสองออกมาจากมิติมา
ณ เมืองหลวงของแคว้นหลิวอวิ๋นเสียงการต่อสู้ยังคงดังกึกก้อง เปลวเพลิงโหมลุกไหม้ตามแนวกำแพง เสียงคำรามของผู้บุกรุกประสานกับเสียงอาวุธที่กระทบกันอย่างดุเดือดสวีคุนเจ้าสำนักหอแพทย์โอสถ กำลังรักษาผู้บาดเจ็บพลางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "อย่าปล่อยให้พวกมันทะลวงเข้ามาได้ ต้านไว้สุดกำลัง"ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ และเจ้าหน้าที่ทหารรวมกำลังกันอย่างสุดความสามารถ แต่จำนวนศัตรูที่มีกองกำลังมือสังหารชั้นสูงกลับยังคงท่วมท้นทันใดนั้นเอง แสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นกลางสมรภูมิ เสียงลมกรรโชกดังขึ้นพร้อมกับร่างของหลี่หลิงเฟิ่ง โม่จื่อหลิง และจวินชางหลางที่ปรากฏตัวออกมา"พวกเรากลับมาแล้ว!" จวินชางหลางร้องลั่น พลางสะบัดดาบเล่มใหม่ในมืออย่างฮึกเหิม "ใครอยากโดนฟันก่อน มาเลย!""ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่" หลี่หลิงเฟิ่งตะโกนถามพลางฟาดแส้เพลิงออกไป เผาผู้บุกรุกที่พุ่งเข้ามาสวีคุนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ "พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี ฝั่งนั้นมีมากเกินไป พวกเรากำลังต้องการกองกำลังเสริมอย่างยิ่งยวด""ท่านวางใจ ข้าจะทำให้ศัตรูจำชื่อพวกเราไปตลอด" จวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง เลือดร้อนไม่ลดละจากการต่อสู้ที่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน"งั้นข้าจะช
"อะไรเนี่ย ทำไมรากไม้พวกนี้มันมีชีวิตล่ะ แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย" จวินชางหลางตะโกนพลางถอยหลบ ขณะที่รากไม้สีดำเลื้อยมาทางเขาดาบกลืนวิญญาณในมิติมายาของหลี่หลิงเฟิ่งยังคงสั่นสะท้าน ราวกับพยายามเตือนบางสิ่ง นางหอบหายใจ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังใจกลางห้องโถงที่บัดนี้เต็มไปด้วยพลังมืด แท่นบูชาที่พังครึ่งหนึ่งพลันแตกออก เผยให้เห็นโลงศพสีดำสนิทที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยรากไม้หนาทึบ นางเดินเข้าไปใกล้โลงศพที่ยังคงปล่อยไอสังหารออกมา"ระวังนะ!" จวินชางหลางร้องเตือน แต่หลี่หลิงเฟิ่งยื่นมือออกไปแตะรากไม้ที่พันรอบโลงศพ ถึงกับเป็นโลกศพฮ่องเต้รุ่นที่หนึ่งทันใดนั้น เส้นแสงสีดำพุ่งออกมาจากรากไม้ เสียงคำรามต่ำสะท้อนก้อง รากไม้ราวกับมีชีวิตฉุดกระชากไปทั่วโลงศพเปิดออกอย่างช้าๆ กลิ่นเน่าเหม็นโชยกระจายไปทั่วห้องโถง ร่างของฮ่องเต้ตงเยว่ที่เคยหลับใหลปรากฏให้เห็น ผิวหนังซีดเผือด ดวงตาที่ควรปิดสนิทพลันเปิดออก เผยให้เห็นแสงสีดำวาววับ"มันตื่นขึ้นแล้ว!" โม่จื่อหลิงกล่าวเสียงหนัก ขณะกระชับกระบี่ในมือแต่ก่อนที่ใครจะทันได้ขยับ รากไม้สีดำพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะแตกกระจาย เสียงกระดูกดังลั่น ไม่ใช่แค่จักรพรรดิตงเยว่ แต่ศพของทหารและข
จวินชางหลางกระเด็นกลิ้งหลายตลบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมา มองรอบด้านอย่างไม่สบอารมณ์ สถานที่เบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยซากหินและพื้นผนังที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ“ที่นี่มัน...ใต้ดินหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งกวาดตามองอย่างระแวดระวัง“ข้าหวังว่ามันจะไม่ใช่กับดักอะไรอีกนะ” จวินชางหลางโอดครวญ “ฟ้าไม่มีตา ไม่เข้าข้างข้าบ้างเลย”ทั้งสามคนเดินลึกเข้าไปในโพรงใต้ดิน เส้นทางทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เสี่ยวจูจูที่เกาะอยู่บนบ่าหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงครางเบาๆ อย่างไม่สบายใจ“มันรู้สึกอะไรบางอย่าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวจูจูเพื่อปลอบ “ระวังตัวไว้”ภายในมิติมายาของนางกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด ดาบกลืนวิญญาณ ที่ปักนิ่งอยู่กลางทุ่งมายาพลันสั่นสะท้าน เสียงหวีดแหลมต่ำ เส้นแสงสีดำปะทุจากคมดาบราวกับมีสิ่งเร้นลับพยายามฉุดกระชากมันให้หลุดจากพันธนาการ“ไม่... ไม่ดีแล้ว!” เสี่ยวมู่ร้อง ดวงตาสีครามของมันเบิกกว้างหลี่หลิงเฟิ่งเม้มปาก มองสภาพแปรปรวนในมิติของนาง ที่พื้นดินซึ่งเคยนิ่งสงบกลับแตกออก เผยให้เห็นแสงสีเทาหม่นที่หมุนวนราวกับวงกตแห่งวิญญาณในจุดนั้นมีวัตถุสีมืดสนิทลอยเด่นอยู่กลางอากาศ มั
บุกแคว้นตงเยว่เปลวไฟลุกโชนสูงตระหง่าน วังหลวงของแคว้นตงเยว่ที่เคยโอ่อ่ากลายเป็นสนามรบ เปลวเพลิงจากของหลี่หลิงเฟิ่งเผาผนังไม้สักทองคำจนแตกเปรี๊ยะ เสียงกรีดร้องของทหารแคว้นตงเยว่ดังระงมจวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง ขณะฟาดฟันศัตรูที่ขวางหน้า "นี่แหละที่ข้ารอคอยมานาน วังนี้ข้าเห็นแล้วยังอยากเผาเล่น"ทหารของแคว้นตงเยว่ล้มตายลงทีละคน ซากศพกองเรียงรายจนแทบไม่มีทางเดิน หลี่หลิงเฟิ่งมองซากปรักหักพังอย่างเยือกเย็น "วังโอ่อ่าขนาดนี้ วันนี้ก็ถึงคราวต้องมอดไหม้ไปพร้อมกับบาปของมันแล้ว""เจ้าคิดจะทำลายทุกอย่างจริงๆ หรือ ง่ายไปหน่อยกระมัง" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องบน ร่างสูงสง่างามในชุดมังกรสีทองปรากฏตัวท่ามกลางเงาเปลวเพลิง ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงเยว่ ดวงหน้าคมคายที่เปี่ยมด้วยอำนาจแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม"ข้ารู้จักสมญานามของพวกเจ้ามาบ้าง หญิงชั่วร้ายกับชายคู่หมั้นหน้าโง่ แต่กลับถูกยกย่องให้เป็นความภาคภูมิของแคว้นหลิวอวิ๋น"หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดว่าพวกนางจะมีฉายาเช่นนี้ด้วย โด่งดังไม่เบาเลยหนา ฮ่องเต้ตงเยว่หัวเราะ "เจ้าคิดว่าการเผาวังหลวงของข้าจะทำให้แคว้นหลิวอวิ๋นพ้นภัยหรือ ช่างเป็นความคิดตื
กองกำลังขันทีผู้ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ ซึ่งได้รับการฝึกฝนให้ปกป้องวังหลวงมาตั้งแต่เยาว์วัย ยืนหยัดต้านทานคนชุดดำอย่างสุดชีวิต ถึงแม้พลังยุทธ์ของพวกเขาจะด้อยกว่าศัตรูมากนัก แต่ด้วยความภักดีที่ฝังแน่นในหัวใจ พวกเขาไม่มีวันปล่อยให้ราชวงศ์หลิวอวิ๋นล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา"ถ้าจะตาย ก็ให้ตายเพื่อฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนลั่น เสียงของเขาแฝงด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมพ่ายแพ้เสียงดาบกระทบกันดังสนั่น ขันทีผู้หนึ่งฟาดดาบเข้าใส่คนชุดดำ แต่กลับถูกพลังยุทธ์มหาศาลกระแทกจนล้มลง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหิน"อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้ฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวไปขวางคนชุดดำที่พยายามบุกเข้ามาฮ่องเต้ที่ยังทรงยืนอยู่ด้วยพระวรกายที่บาดเจ็บสาหัส ดวงเนตรของพระองค์เคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยว แม้พระโลหิตจะไหลซึมจากบาดแผลที่พระอุระ แต่พระองค์ไม่คิดจะล่าถอยหยวนกุ้ยเฟยยืนมองภาพนั้นด้วยความสะใจ ใบหน้าของนางฉายแววบ้าคลั่ง "ฝ่าบาทยังดื้อรั้นเช่นเคย... แต่ครั้งนี้ข้าจะทำให้ท่านสิ้นสิ้นลมหายใจไปพร้อมกับบัลลังก์ที่ท่านหวงแหนนัก!"ดวงตาของนางเรืองแสงด้วยพลังพิษสีดำที่แผ่ออกมาจากปลายนิ้ว นางสะ
"โจมตีที่แก่นพลังในกะโหลก พวกมันจะฟื้นตัวไม่ได้ถ้าแก่นนั้นถูกทำลาย" เสียงสั่งการของหลี่เฟยหยางดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามของสัตว์อสูรเน่าเปื่อยที่น่าสะอิดสะเอียน หลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังฟาดแส้เพลิงใส่สัตว์อสูรตนหนึ่งถึงกับชะงัก นางหรี่ตาจ้องมองหลี่เฟยหยางที่ดูมั่นใจในการโจมตีราวกับรู้จุดอ่อนของพวกมันดีราวกับฝ่ามือตัวเอง"ทำลายแก่นพลังงั้นหรือ" หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันไปสบตาโม่จื่อหลิง "ลองทำดู!"โม่จื่อหลิงไม่รีรอ เขาพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรตัวหนึ่งราวกับพายุ กระบี่ในมือเปล่งประกายสีเงินวาววับ ปลายกระบี่พุ่งตรงเข้าหากะโหลกของมันอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เสียงแตกดังลั่นเมื่อแก่นพลังถูกทำลาย ร่างของมันล้มลงกับพื้นและสลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา"ได้ผลจริงๆ ด้วย!" หลูหวั่นชิงตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ นางกวัดแกว่งพัดเหล็กในมือ สร้างกระแสลมเพลิงพุ่งตรงเข้าใส่กะโหลกของสัตว์อสูรอีกตัว เผาไหม้แก่นพลังจนแตกละเอียดแต่หลี่หลิงเฟิ่งกลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจ ดวงตาคู่งามของนางจับจ้องหลี่เฟยหยางที่ยังคงต่อสู้อย่างดุดัน ร่างสูงสง่างามของเขาขยับอย่างแม่นยำและมั่นใจราวกับนักล่าที่ชำนาญ สายตาของนางแฝงไว้ด้วยความส
การต่อสู้ในสุสานสัตว์อสูรยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด พลังยุทธ์และอาวุธหลากชนิดพุ่งเข้าใส่ร่างสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทุกครั้งที่พวกมันล้มลง มันกลับลุกขึ้นมาใหม่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด“พวกมันมีแต่มากไม่มีลดลงเลย ขืนแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เราต้องออกจากที่นี่โดยด่วน” หลูหวั่นชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน นางใช้พัดเหล็กในมือกวาดเปลวไฟออกไป เผาสัตว์อสูรตัวหนึ่งจนมอดไหม้ แต่เพียงครู่เดียว ร่างที่ไหม้เกรียมนั้นก็กลับมาฟื้นคืนและกระโจนเข้ามาอีกครั้ง“ทางออกอยู่ไหนกันล่ะ สู้มาจะค่อนวันแล้วข้ายังไม่เห็นว่าจะมีสักแม้เงา” จวินชางหลางตะโกนกลับ เสียงของเขาแฝงด้วยความเหนื่อยล้า กระบี่ของเขาเปื้อนเลือดสัตว์อสูรจนไม่เหลือเค้าเดิมหลี่หลิงเฟิ่งเบี่ยงตัวหลบกรงเล็บของสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่ฟาดลงมา นางสะบัดแส้เพลิงในมือออกไป เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนขึ้น เผาร่างของมันจนแตกสลาย แต่ในเวลาเดียวกัน นางก็ใช้สายตาสำรวจพื้นที่รอบตัว“ถ้าค่ายกลนี้ถูกทำลายแล้ว พวกมันไม่ควรถูกยึดติดกับพื้นที่นี้อีก ล่อพวกมันกระจายตัวออกไปก็สิ้นเรื่อง พวกมันถูกดึงดูดจากต้นไม้แห่งชีวิต ตอนนี้ไม่มีเหลือแ
กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งติดตามคำบอกเล่าของนุ่มนิ่มมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงจุดหมายเบื้องหน้า สิ่งที่พวกเขาเห็นคือปากถ้ำขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนซ่อนตัวอยู่ภายในเงาไม้หนาทึบ ถ้ำนี้ดูไม่ต่างจากที่หลี่หลิงเฟิ่งได้ยินจากคำรายงานของนุ่มนิ่มเหลียนฉือกงและเหลียนฉู่ฉู่นั่งพิงกันอยู่หน้าถ้ำ ดวงหน้าซีดเซียวและเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลของการต่อสู้ เหลียนฉือกงมีบาดแผลใหญ่ที่สีข้าง ขณะที่เหลียนฉู่ฉู่กุมป้ายหยกแน่นราวกับไม่อาจปล่อยจากมือ“ข้าเจอพวกเขาแล้ว” หลูหวั่นชิงชี้ไปยังสองพี่น้องแคว้นเหลียน นางรีบจะก้าวเข้าไปหา แต่หลี่หลิงเฟิ่งยกมือขึ้นห้ามไว้ทันที“อย่าเพิ่งเข้าไป” หลี่หลิงเฟิ่งบอกเสียงเฉียบพลัน ดวงตาของนางหรี่ลงมองภาพเบื้องหน้า ในขณะที่ทุกคนเห็นเพียงถ้ำที่ดูปลอดภัย แต่สิ่งที่นางเห็นกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงภาพเบื้องหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งไม่ได้เป็นเพียงปากถ้ำ แต่เป็นสุสานสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยซากศพของสัตว์อสูรนานาชนิด กองกระดูกที่เรียงรายอยู่ทุกหนแห่งส่งกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่ดูเหมือนจะยังไม่แห้งสนิท ราวกับพวกมันเพิ่งล้มตายไม่นานนางหันมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง เสียงของถิงถิงดังขึ้น“นายท่านที่นี่ถูกสร้างค่า
เสียงหอบหายใจของหลี่หลิงเฟิ่งและคนอื่นๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามอันต่ำของฝูงอสูรที่ล้อมรอบพวกเขาไว้ มันไม่ได้เป็นเพียงสัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วและถูกปลุกขึ้นมาด้วยพลังลึกลับ เนื้อหนังที่เน่าเปื่อยของพวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวและความสยดสยองที่แผ่กระจายไปทั่ว“เจ้าพวกนี้มันไม่มีวันตายจริงๆ สินะ” หลูหวั่นชิงพึมพำ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกยิ่งยวด“แต่พวกเราตายได้นะ” จวินชางหลางตะโกนพลางหมุนตัวฟาดดาบในมือผ่านร่างอสูรตัวหนึ่งจนขาดเป็นสองท่อน แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา เศษเนื้อและกระดูกที่แตกกระจายกลับเริ่มเคลื่อนไหวและประกอบร่างอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป“ไม่ว่าเจ้าจะฟันอีกกี่ครั้ง มันก็ยังรวมร่างได้ เสียเวลาเปล่า” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวเสียงเรียบ นางสะบัดมือข้างหนึ่ง ผ้าสีแดงสิบเส้นพลันพุ่งออกไปพร้อมเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง แส้เพลิงฟาดลงบนร่างของสัตว์อสูรตัวหนึ่งเสี่ยวจูจูที่ยืนอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงร้องคำรามอันทรงพลัง ร่างเล็กของมันกระโจนออกจากที่มั่น ลวดลายสีดำสลับทองบนตัวส่องประกายระยับ ขณะที่กรงเล็บของมันตวัดฉีกกระชากอสูรตัวหนึ่งจนกระเด็นไปไกล