ลานกว้างของตระกูลจวงที่เคยโอ่อ่าบัดนี้กลับเงียบสงัด ร่างของจวงเทียนหยางถูกมัดแน่นอยู่กับเก้าอี้ไม้ขนาดใหญ่ ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้นและเจ็บปวด ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉายชัดถึงความทุกข์ทรมานแสนสาหัส คนอื่นในตระกูลหลบมุมอยู่ในโถงข้างหลังด้วยความหวาดกลัว เสียงร่ำไห้ เสียงกรีดร้องดังก้องไม่ขาดสาย แต่ไม่มีใครกล้าก้าวเท้าออกมาสักคนหลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าที่ปกติแสดงออกถึงความสงบเรียบเฉย บัดนี้กลับเยือกเย็นจนคนมองต้องขนลุก พลังยุทธ์สีแดงที่ลุกโชนบนมือของนางส่องแสงสะท้อนในดวงตาของจวงเทียนหยาง“บอกมา” น้ำเสียงของหลี่หลิงเฟิ่งเยือกเย็นราวกับคมดาบที่พร้อมฟันทุกสิ่ง “ใครส่งคนมาเล่นงานข้าและสังหารฮองเฮา ข้าไม่เชื่อว่าคนตาขาวอย่างเจ้าจะกล้าลงมือคนเดียว”จวงเทียนหยางหัวเราะในลำคอ แม้จะอ่อนแรงแต่เขายังคงพยายามฝืนตัวเองไม่พูดสิ่งใด “ต่อให้เจ้าทรมานข้าจนตาย...ข้าก็ไม่มีวันบอกหรอก นังสารเลว”หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วแน่น ผ้าแดงฟาดลงไปที่แขน เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่น“อ้อ ไม่ตอบ?” หลี่หลิงเฟิ่งตวาดพร้อมกับสะบัดแส้ในมืออีกครั้ง ไฟลวกตามแขนของจวงเทียนหยางจนกลิ่นเนื้อไหม้โชยขึ้นม
หลี่หลิงเฟิ่งกลับมาที่โรงจำนำเฟิงจั่ว ใบหน้าของนางนิ่งสงบอย่างที่เคยเป็น ประกายตาไร้อารมณ์อยู่บ้าง เบื้องหน้าของนางคือเหวินจิ่ง ชายหนุ่มผู้มีท่าทางสุขุมและเฉลียวฉลาด หนึ่งในผู้ช่วยคนสำคัญที่มารดาทิ้งไว้ให้“เหวินจิ่ง ข้ามีเรื่องสำคัญให้เจ้าทำ” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ย น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความหนักแน่น“นายหญิงโปรดสั่งการ” เหวินจิ่งตอบ สีหน้าเคร่งขรึมพร้อมรับฟัง“ข้าต้องการให้เจ้าสืบข่าวของเถ้าแก่หออวี้หลิ่ว” นางเริ่มเอ่ย มือเรียวลูบนุ่มนิ่มบนข้อมือ ราวกับต้องการหาสิ่งปลอมประโลมตนเองขณะพูด“ท่านต้องการข้อมูลอะไรเกี่ยวกับนางบ้าง” เหวินจิ่งเอ่ยถาม สีหน้าเคร่งขรึม เจ้าของหออวี้หลิ่วเขาได้ยินชื่อเสียงมานาน เป็นสตรีที่เก่งกาจผู้หนึ่ง“ทุกเรื่อง” หลี่หลิงเฟิ่งตอบ “ตั้งแต่แบเบาะจนถึงตอนนี้ ดูว่านางมีเส้นสนกลในอันใดที่ต่างจากที่พวกเราเห็นหรือไม่”เหวินจิ่งพยักหน้ารับคำสั่งทันที “ขอรับ นายหญิงวางใจ ข้าจะส่งคนออกไปสืบข่าวให้เร็วที่สุด”ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน เสียงแตรดังสนั่นไปทั่วเมืองหลวง ประกาศจากราชสำนักถูกส่งผ่านไปยังทุกหัวเมือง“ป่าทมิฬ ใจกลางแคว้นทั้งสี่ เปิดให้เข้าในรอบสามปี!”หลี่หลิงเฟิ่งที่
เสียงลมหวีดหวิวกรีดร้องผ่านยอดไม้ในป่าทมิฬเบื้องหน้า ราวกับเสียงคร่ำครวญของวิญญาณร้ายนับพันที่ถูกจองจำอยู่ภายใน บรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ซ่านปกคลุมบริเวณตีนเขา ที่ซึ่งเป็นประตูสู่ดินแดนต้องห้าม ณ ที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยตัวแทนจากหลากหลายแคว้นและเหล่าสำนักที่มีชื่อเสียง แต่ละคนล้วนมีสีหน้ามุ่งมั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน บางคนก็แฝงไปด้วยความกังวล ความหวาดกลัว พวกเขามารวมตัวกันเพื่อเข้าสู่การแข่งขันที่มีเดิมพันสูงสุดในรอบสามปี การแข่งขันที่อาจนำมาซึ่งชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ ทรัพย์สมบัติ หรือแม้แต่...ความตาย!ท่ามกลางฝูงชนที่คลาคล่ำ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งดูโดดเด่นสะดุดตา โม่จื่อหลิง องค์ชายรองผู้สง่างาม เดินเคียงข้างหลี่หลิงเฟิ่ง หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามราวกับหยกสลัก แต่กลับถูกตราหน้าว่าเป็น 'คู่หมั้นขยะ' ขณะที่จวินชางหลาง องค์ชายสามจวินที่มีพลังยุทธ์แสนธรรมดา แต่กลับมีใบหน้าหล่อเหลา กำลังพูดคุยกับหลูหวั่นชิง สาวน้อยมากพรสวรรค์ ทว่าขาดความมั่นใจ ทุกครั้งที่มองไปยังหลี่หลิงเฟิ่ง ดวงตาของหลูหวั่นชิงจะเต็มไปด้วยความชื่นชมย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน หลูหวั่นชิงเคยไปร่วมงานปักปิ่นที่ตระกูลหลี่แ
เมื่อแสงสีฟ้าจากยันต์คืนฟ้าสว่างวาบราวกับดวงดาวระเบิด กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งก็ถูกส่งมายังพื้นที่แห่งหนึ่งในป่าทมิฬ ทันทีที่เท้าแตะพื้น เสียงนกร้องประสานเสียงกับสายลมที่พัดใบไม้ไหวก็ดังขึ้นรอบด้าน ราวกับต้อนรับพวกเขาสู่ดินแดนลึกลับ พื้นดินปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวสดและใบไม้แห้ง เส้นทางในป่าทมิฬดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด พื้นปูด้วยเศษใบไม้แห้งที่ส่งเสียงกรอบแกรบยามเมื่อเหยียบย่าง อากาศเย็นชื้นปกคลุมไปทั่ว บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าของกลุ่มตัวแทนทั้งสี่คนที่เดินเรียงแถวกันหลี่หลิงเฟิ่งเดินนำหน้า โม่จื่อหลิงเดินเคียงข้างเธอ ส่วนจวินชางหลางกับหลูหวั่นชิงตามมาติดๆ"นางมารน้อย" โม่จื่อหลิงเอ่ยเรียกเบาๆ ราวกับกลัวจะทำลายความเงียบสงบของป่า "เจ้าเคยได้ยินคำพูดนี้หรือไม่""คำพูดอะไรอีกเล่า ท่านกำลังจะเริ่มอะไรอีก" หลี่หลิงเฟิ่งเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง นางเอ่ยอย่างเอือมระอา แต่ก็ยังยอมฟัง"มีคำพูดว่า...ในป่าทึบ แม้ดวงจันทร์จะมืดมน แต่ดอกไม้เพียงดอกเดียวกลับทำให้ทุกสิ่งดูสดใสขึ้นได้" เขายิ้มมุมปาก เอียงหน้ามองหลี่หลิงเฟิ่ง ฉวยจับมือนางขึ้นมาจวินชางหลางที่เดินตามหลังถึงกับกลอกตาแรงจนแทบมองเห็นดวง
กลิ่นหอมฉุยของไก่ย่างลอยฟุ้งไปในอากาศรอบกองไฟ กระตุ้นให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานอย่างหนัก หลี่หลิงเฟิ่งถือไก่ย่างชิ้นโตไว้ในมือ นางกัดมันด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข เนื้อไก่นุ่มๆ หนังกรอบๆ รสชาติกลมกล่อม ช่างเป็นอาหารที่วิเศษสุดในยามนี้จวินชางหลางที่นั่งอยู่ตรงข้าม ยกชิ้นไก่ขึ้นมากัดบ้าง ดวงตาเป็นประกายราวกับพบขุมทรัพย์ "นี่สิชีวิต ทำไมต้องเครียดกับการแย่งป้ายหยก เราแค่กินให้อิ่ม แล้วรอให้พวกเขาเดินมามอบป้ายให้ก็พอ" จวินชางหลางพูดราวกับโลกนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล"เจ้าคิดว่าจะมีคนโง่ขนาดนั้นที่ไหนกัน" หลูหวั่นชิงกลอกตา มือเล็กถือไก่ย่างไว้ ริมฝีปากอมยิ้มโม่จื่อหลิงนั่งไขว่ห้างอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่ง เขาหยิบเนื้อไก่ชิ้นหนึ่งส่งให้นาง ดวงตาของเขาอ่อนโยน "เจ้ากินเถอะ ข้าอิ่มแล้ว""อย่าทำเหมือนข้าเป็นเด็ก" หลี่หลิงเฟิ่งบ่นเบาๆ แต่ก็กัดไก่ชิ้นนั้นอย่างไม่ปฏิเสธ มองข้ามสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักของเขาทว่า ความสงบสุขกลับถูกทำลายลงในพริบตา เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากเงามืด เปลวไฟสะท้อนเงาร่างหลายร่างที่ก้าวออกมาจากพุ่มไม้ พร้อมด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน"ข้ารู้แล้วว่ากลิ่นหอมนี้มาจากไหน" เปียวเมี่ยวเดินนำออกมาพร้อ
หลังจากท้องฟ้ามืดสนิทจนลมหนาวพัดผ่านมาเป็นระยะ กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งที่หยุดพักเพื่อย่างไก่เมื่อช่วงเย็น ก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ระหว่างทางเจอคู้ต่อสู้แย่งชิงป้ายหยกมาเพิ่มอีกเจ็ดชิ้น ตอนนี้ในมือของพวกนางมีป้ายหยกทั้งหมดเก้าชิ้น“พอมีพวกเจ้าสองคนทุกอย่างก็ดูง่ายไปเสียหมดจนข้าชักจะเริ่มเบื่อแล้ว” จวินชางหลางเอ่ยพลางยืดเส้นยืดสายไปด้วยหลูหวั่นชิงหัวเราะเบาๆ “ข้าว่าดีจะตาย ถ้าเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าพวกเรา เจ้าคงไม่มีเวลามาโอดครวญเช่นนี้หรอก”“หากเวลานั้นมาถึง เจ้าอย่าห่วง ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” จวินชางหลางหันไปยักคิ้วให้ แต่ก็ถูกหลูหวั่นชิงมองค้อนกลับทันทีโม่จื่อหลิงที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเหลือบมองหลี่หลิงเฟิ่งเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเดินชิดเข้ามาใกล้นางโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังเบื้องหน้าเพื่อสอดส่องความเคลื่อนไหวในขณะที่กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางกลางป่า เสียงฝีเท้าของอีกกลุ่มหนึ่งก็ดังแว่วมาไม่ไกล“มีคน” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงของนางราบเรียบแต่ก็แฝงไว้ด้วยความระวัง ทุกคนหยุดชะงักทันทีไม่นานนัก เงาร่างของกลุ่มคนที่เดินมาจากอีกฟากหนึ่งก็ปรากฏข
สองกลุ่มซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลมองการต่อสู้อันดุเดือดตรงหน้าพลางวิจารณ์สำนักเมฆาคล้อยที่กำลังเพรี่ยงพล้ำอยู่ขณะนี้“ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการกำจัดสำนักเมฆาคล้อยให้สิ้นซาก” หลูหวั่นชิงเอ่ยขึ้น พลางขมวดคิ้วไปด้วย“พวกแคว้นตงเยว่และตระกูลซ่งผนึกกำลังกันเช่นนี้ สำนักเมฆาคล้อยคงยืนหยัดไม่นาน” โม่จื่อหลิงกล่าว “นี่ไม่เหมือนการแย่งชิงป้ายหยกธรรมดา หากบอกว่ากำลังชำระแค้นกันอยู่น่าจะเข้าท่ามากกว่า”“ถ้าเราไม่ลงมือก่อน เกรงว่าอีกไม่นาน พวกนั้นอาจจะหันมาจัดการพวกเราบ้าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางพิจารณาสถานการณ์ด้วยความระมัดระวังกลุ่มของสำนักเมฆาคล้อยกำลังถูกกดดันอย่างหนัก เสียงปะทะของอาวุธและพลังยุทธ์ที่ฟาดฟันกันอย่างรุนแรงดังลั่นไปทั่ว พวกเขาอยู่ในสภาพเสียเปรียบ ถูกล้อมโดยทีมของแคว้นตงเยว่และตระกูลซ่งชายหนุ่มในชุดคลุมสีฟ้าของสำนักเมฆาคล้อยยกกระบี่ขึ้นป้องกันการโจมตีที่รวดเร็วรุนแรงจากอีกฝั่ง เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น เขาเคลื่อนตัวอย่างว่องไว หลีกเลี่ยงกระบี่ของฝ่ายตงเยว่ได้อย่างหวุดหวิดเสียงคำรามของพลังยุทธ์ดังสนั่น หนึ่งในผู้คุ้มกันของสำนักเมฆาคล้อยล้มลงเมื่อถูกกระบี่ของฝ่ายตงเยว่พุ่งแทงเข้าที่หน
ขณะที่กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งยังอยู่ที่เดิม นุ่มนิ่ม ไส้เดือนตัวน้อยเลื้อยตามกลุ่มของเหลียนฉู่ฉู่ไปในเงามืด มันเคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง ผ่านพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเหลียนฉู่ฉู่ที่กำลังรีบวิ่งหนีถือป้ายหยกไว้แน่นในมือ ร่างกายของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เหลือบมองไปข้างหลังเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา“เร็วเข้า!” เสียงของเหลียนฉือกงดังขึ้นที่ด้านหลัง “พวกเราต้องหาที่ปลอดภัยซ่อนตัวก่อนที่พวกมันจะตามมาได้”นุ่มนิ่มเลื้อยตามอย่างอดทน มันแฝงตัวอยู่ในเงามืด พลางจับตามองการเคลื่อนไหวของเหลียนฉู่ฉู่และพวกเหลียนฉือกงอย่างใกล้ชิดในที่สุดกลุ่มของแคว้นเหลียนก็หยุดพักที่ลานเล็กๆ กลางป่า เหลียนฉู่ฉู่วางป้ายหยกลงชั่วครู่เพื่อหยิบกระบอกน้ำขึ้นมาดื่ม“เราจะทำอย่างไรต่อ” หนึ่งในคนของแคว้นเหลียนเอ่ยถาม “หากพวกมันตามเรามาทัน เราคงไม่มีทางรอดแน่”“ไม่ต้องห่วง” เหลียนฉือกงแสยะยิ้ม “พวกนั้นไม่มีทางหาเราเจอเร็วๆ นี้แน่นอน ป่ากว้างใหญ่ขนาดนี้ พวกเราแค่ซ่อนตัวจนครบกำหนดก็พอแล้ว”ระหว่างที่พวกแคว้นเหลียนนั่งพัก สายสืบตัวน้อยก็เริ่มทำงานบ้างแล้ว นุ่มนิ่มส่งกระแสจิตมาถึงหลี่หลิงเฟิ่ง คว
ณ เมืองหลวงของแคว้นหลิวอวิ๋นเสียงการต่อสู้ยังคงดังกึกก้อง เปลวเพลิงโหมลุกไหม้ตามแนวกำแพง เสียงคำรามของผู้บุกรุกประสานกับเสียงอาวุธที่กระทบกันอย่างดุเดือดสวีคุนเจ้าสำนักหอแพทย์โอสถ กำลังรักษาผู้บาดเจ็บพลางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "อย่าปล่อยให้พวกมันทะลวงเข้ามาได้ ต้านไว้สุดกำลัง"ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ และเจ้าหน้าที่ทหารรวมกำลังกันอย่างสุดความสามารถ แต่จำนวนศัตรูที่มีกองกำลังมือสังหารชั้นสูงกลับยังคงท่วมท้นทันใดนั้นเอง แสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นกลางสมรภูมิ เสียงลมกรรโชกดังขึ้นพร้อมกับร่างของหลี่หลิงเฟิ่ง โม่จื่อหลิง และจวินชางหลางที่ปรากฏตัวออกมา"พวกเรากลับมาแล้ว!" จวินชางหลางร้องลั่น พลางสะบัดดาบเล่มใหม่ในมืออย่างฮึกเหิม "ใครอยากโดนฟันก่อน มาเลย!""ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่" หลี่หลิงเฟิ่งตะโกนถามพลางฟาดแส้เพลิงออกไป เผาผู้บุกรุกที่พุ่งเข้ามาสวีคุนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ "พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี ฝั่งนั้นมีมากเกินไป พวกเรากำลังต้องการกองกำลังเสริมอย่างยิ่งยวด""ท่านวางใจ ข้าจะทำให้ศัตรูจำชื่อพวกเราไปตลอด" จวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง เลือดร้อนไม่ลดละจากการต่อสู้ที่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน"งั้นข้าจะช
"อะไรเนี่ย ทำไมรากไม้พวกนี้มันมีชีวิตล่ะ แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย" จวินชางหลางตะโกนพลางถอยหลบ ขณะที่รากไม้สีดำเลื้อยมาทางเขาดาบกลืนวิญญาณในมิติมายาของหลี่หลิงเฟิ่งยังคงสั่นสะท้าน ราวกับพยายามเตือนบางสิ่ง นางหอบหายใจ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังใจกลางห้องโถงที่บัดนี้เต็มไปด้วยพลังมืด แท่นบูชาที่พังครึ่งหนึ่งพลันแตกออก เผยให้เห็นโลงศพสีดำสนิทที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยรากไม้หนาทึบ นางเดินเข้าไปใกล้โลงศพที่ยังคงปล่อยไอสังหารออกมา"ระวังนะ!" จวินชางหลางร้องเตือน แต่หลี่หลิงเฟิ่งยื่นมือออกไปแตะรากไม้ที่พันรอบโลงศพ ถึงกับเป็นโลกศพฮ่องเต้รุ่นที่หนึ่งทันใดนั้น เส้นแสงสีดำพุ่งออกมาจากรากไม้ เสียงคำรามต่ำสะท้อนก้อง รากไม้ราวกับมีชีวิตฉุดกระชากไปทั่วโลงศพเปิดออกอย่างช้าๆ กลิ่นเน่าเหม็นโชยกระจายไปทั่วห้องโถง ร่างของฮ่องเต้ตงเยว่ที่เคยหลับใหลปรากฏให้เห็น ผิวหนังซีดเผือด ดวงตาที่ควรปิดสนิทพลันเปิดออก เผยให้เห็นแสงสีดำวาววับ"มันตื่นขึ้นแล้ว!" โม่จื่อหลิงกล่าวเสียงหนัก ขณะกระชับกระบี่ในมือแต่ก่อนที่ใครจะทันได้ขยับ รากไม้สีดำพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะแตกกระจาย เสียงกระดูกดังลั่น ไม่ใช่แค่จักรพรรดิตงเยว่ แต่ศพของทหารและข
จวินชางหลางกระเด็นกลิ้งหลายตลบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมา มองรอบด้านอย่างไม่สบอารมณ์ สถานที่เบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยซากหินและพื้นผนังที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ“ที่นี่มัน...ใต้ดินหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งกวาดตามองอย่างระแวดระวัง“ข้าหวังว่ามันจะไม่ใช่กับดักอะไรอีกนะ” จวินชางหลางโอดครวญ “ฟ้าไม่มีตา ไม่เข้าข้างข้าบ้างเลย”ทั้งสามคนเดินลึกเข้าไปในโพรงใต้ดิน เส้นทางทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เสี่ยวจูจูที่เกาะอยู่บนบ่าหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงครางเบาๆ อย่างไม่สบายใจ“มันรู้สึกอะไรบางอย่าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวจูจูเพื่อปลอบ “ระวังตัวไว้”ภายในมิติมายาของนางกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด ดาบกลืนวิญญาณ ที่ปักนิ่งอยู่กลางทุ่งมายาพลันสั่นสะท้าน เสียงหวีดแหลมต่ำ เส้นแสงสีดำปะทุจากคมดาบราวกับมีสิ่งเร้นลับพยายามฉุดกระชากมันให้หลุดจากพันธนาการ“ไม่... ไม่ดีแล้ว!” เสี่ยวมู่ร้อง ดวงตาสีครามของมันเบิกกว้างหลี่หลิงเฟิ่งเม้มปาก มองสภาพแปรปรวนในมิติของนาง ที่พื้นดินซึ่งเคยนิ่งสงบกลับแตกออก เผยให้เห็นแสงสีเทาหม่นที่หมุนวนราวกับวงกตแห่งวิญญาณในจุดนั้นมีวัตถุสีมืดสนิทลอยเด่นอยู่กลางอากาศ มั
บุกแคว้นตงเยว่เปลวไฟลุกโชนสูงตระหง่าน วังหลวงของแคว้นตงเยว่ที่เคยโอ่อ่ากลายเป็นสนามรบ เปลวเพลิงจากของหลี่หลิงเฟิ่งเผาผนังไม้สักทองคำจนแตกเปรี๊ยะ เสียงกรีดร้องของทหารแคว้นตงเยว่ดังระงมจวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง ขณะฟาดฟันศัตรูที่ขวางหน้า "นี่แหละที่ข้ารอคอยมานาน วังนี้ข้าเห็นแล้วยังอยากเผาเล่น"ทหารของแคว้นตงเยว่ล้มตายลงทีละคน ซากศพกองเรียงรายจนแทบไม่มีทางเดิน หลี่หลิงเฟิ่งมองซากปรักหักพังอย่างเยือกเย็น "วังโอ่อ่าขนาดนี้ วันนี้ก็ถึงคราวต้องมอดไหม้ไปพร้อมกับบาปของมันแล้ว""เจ้าคิดจะทำลายทุกอย่างจริงๆ หรือ ง่ายไปหน่อยกระมัง" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องบน ร่างสูงสง่างามในชุดมังกรสีทองปรากฏตัวท่ามกลางเงาเปลวเพลิง ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงเยว่ ดวงหน้าคมคายที่เปี่ยมด้วยอำนาจแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม"ข้ารู้จักสมญานามของพวกเจ้ามาบ้าง หญิงชั่วร้ายกับชายคู่หมั้นหน้าโง่ แต่กลับถูกยกย่องให้เป็นความภาคภูมิของแคว้นหลิวอวิ๋น"หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดว่าพวกนางจะมีฉายาเช่นนี้ด้วย โด่งดังไม่เบาเลยหนา ฮ่องเต้ตงเยว่หัวเราะ "เจ้าคิดว่าการเผาวังหลวงของข้าจะทำให้แคว้นหลิวอวิ๋นพ้นภัยหรือ ช่างเป็นความคิดตื
กองกำลังขันทีผู้ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ ซึ่งได้รับการฝึกฝนให้ปกป้องวังหลวงมาตั้งแต่เยาว์วัย ยืนหยัดต้านทานคนชุดดำอย่างสุดชีวิต ถึงแม้พลังยุทธ์ของพวกเขาจะด้อยกว่าศัตรูมากนัก แต่ด้วยความภักดีที่ฝังแน่นในหัวใจ พวกเขาไม่มีวันปล่อยให้ราชวงศ์หลิวอวิ๋นล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา"ถ้าจะตาย ก็ให้ตายเพื่อฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนลั่น เสียงของเขาแฝงด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมพ่ายแพ้เสียงดาบกระทบกันดังสนั่น ขันทีผู้หนึ่งฟาดดาบเข้าใส่คนชุดดำ แต่กลับถูกพลังยุทธ์มหาศาลกระแทกจนล้มลง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหิน"อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้ฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวไปขวางคนชุดดำที่พยายามบุกเข้ามาฮ่องเต้ที่ยังทรงยืนอยู่ด้วยพระวรกายที่บาดเจ็บสาหัส ดวงเนตรของพระองค์เคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยว แม้พระโลหิตจะไหลซึมจากบาดแผลที่พระอุระ แต่พระองค์ไม่คิดจะล่าถอยหยวนกุ้ยเฟยยืนมองภาพนั้นด้วยความสะใจ ใบหน้าของนางฉายแววบ้าคลั่ง "ฝ่าบาทยังดื้อรั้นเช่นเคย... แต่ครั้งนี้ข้าจะทำให้ท่านสิ้นสิ้นลมหายใจไปพร้อมกับบัลลังก์ที่ท่านหวงแหนนัก!"ดวงตาของนางเรืองแสงด้วยพลังพิษสีดำที่แผ่ออกมาจากปลายนิ้ว นางสะ
"โจมตีที่แก่นพลังในกะโหลก พวกมันจะฟื้นตัวไม่ได้ถ้าแก่นนั้นถูกทำลาย" เสียงสั่งการของหลี่เฟยหยางดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามของสัตว์อสูรเน่าเปื่อยที่น่าสะอิดสะเอียน หลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังฟาดแส้เพลิงใส่สัตว์อสูรตนหนึ่งถึงกับชะงัก นางหรี่ตาจ้องมองหลี่เฟยหยางที่ดูมั่นใจในการโจมตีราวกับรู้จุดอ่อนของพวกมันดีราวกับฝ่ามือตัวเอง"ทำลายแก่นพลังงั้นหรือ" หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันไปสบตาโม่จื่อหลิง "ลองทำดู!"โม่จื่อหลิงไม่รีรอ เขาพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรตัวหนึ่งราวกับพายุ กระบี่ในมือเปล่งประกายสีเงินวาววับ ปลายกระบี่พุ่งตรงเข้าหากะโหลกของมันอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เสียงแตกดังลั่นเมื่อแก่นพลังถูกทำลาย ร่างของมันล้มลงกับพื้นและสลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา"ได้ผลจริงๆ ด้วย!" หลูหวั่นชิงตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ นางกวัดแกว่งพัดเหล็กในมือ สร้างกระแสลมเพลิงพุ่งตรงเข้าใส่กะโหลกของสัตว์อสูรอีกตัว เผาไหม้แก่นพลังจนแตกละเอียดแต่หลี่หลิงเฟิ่งกลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจ ดวงตาคู่งามของนางจับจ้องหลี่เฟยหยางที่ยังคงต่อสู้อย่างดุดัน ร่างสูงสง่างามของเขาขยับอย่างแม่นยำและมั่นใจราวกับนักล่าที่ชำนาญ สายตาของนางแฝงไว้ด้วยความส
การต่อสู้ในสุสานสัตว์อสูรยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด พลังยุทธ์และอาวุธหลากชนิดพุ่งเข้าใส่ร่างสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทุกครั้งที่พวกมันล้มลง มันกลับลุกขึ้นมาใหม่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด“พวกมันมีแต่มากไม่มีลดลงเลย ขืนแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เราต้องออกจากที่นี่โดยด่วน” หลูหวั่นชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน นางใช้พัดเหล็กในมือกวาดเปลวไฟออกไป เผาสัตว์อสูรตัวหนึ่งจนมอดไหม้ แต่เพียงครู่เดียว ร่างที่ไหม้เกรียมนั้นก็กลับมาฟื้นคืนและกระโจนเข้ามาอีกครั้ง“ทางออกอยู่ไหนกันล่ะ สู้มาจะค่อนวันแล้วข้ายังไม่เห็นว่าจะมีสักแม้เงา” จวินชางหลางตะโกนกลับ เสียงของเขาแฝงด้วยความเหนื่อยล้า กระบี่ของเขาเปื้อนเลือดสัตว์อสูรจนไม่เหลือเค้าเดิมหลี่หลิงเฟิ่งเบี่ยงตัวหลบกรงเล็บของสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่ฟาดลงมา นางสะบัดแส้เพลิงในมือออกไป เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนขึ้น เผาร่างของมันจนแตกสลาย แต่ในเวลาเดียวกัน นางก็ใช้สายตาสำรวจพื้นที่รอบตัว“ถ้าค่ายกลนี้ถูกทำลายแล้ว พวกมันไม่ควรถูกยึดติดกับพื้นที่นี้อีก ล่อพวกมันกระจายตัวออกไปก็สิ้นเรื่อง พวกมันถูกดึงดูดจากต้นไม้แห่งชีวิต ตอนนี้ไม่มีเหลือแ
กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งติดตามคำบอกเล่าของนุ่มนิ่มมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงจุดหมายเบื้องหน้า สิ่งที่พวกเขาเห็นคือปากถ้ำขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนซ่อนตัวอยู่ภายในเงาไม้หนาทึบ ถ้ำนี้ดูไม่ต่างจากที่หลี่หลิงเฟิ่งได้ยินจากคำรายงานของนุ่มนิ่มเหลียนฉือกงและเหลียนฉู่ฉู่นั่งพิงกันอยู่หน้าถ้ำ ดวงหน้าซีดเซียวและเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลของการต่อสู้ เหลียนฉือกงมีบาดแผลใหญ่ที่สีข้าง ขณะที่เหลียนฉู่ฉู่กุมป้ายหยกแน่นราวกับไม่อาจปล่อยจากมือ“ข้าเจอพวกเขาแล้ว” หลูหวั่นชิงชี้ไปยังสองพี่น้องแคว้นเหลียน นางรีบจะก้าวเข้าไปหา แต่หลี่หลิงเฟิ่งยกมือขึ้นห้ามไว้ทันที“อย่าเพิ่งเข้าไป” หลี่หลิงเฟิ่งบอกเสียงเฉียบพลัน ดวงตาของนางหรี่ลงมองภาพเบื้องหน้า ในขณะที่ทุกคนเห็นเพียงถ้ำที่ดูปลอดภัย แต่สิ่งที่นางเห็นกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงภาพเบื้องหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งไม่ได้เป็นเพียงปากถ้ำ แต่เป็นสุสานสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยซากศพของสัตว์อสูรนานาชนิด กองกระดูกที่เรียงรายอยู่ทุกหนแห่งส่งกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่ดูเหมือนจะยังไม่แห้งสนิท ราวกับพวกมันเพิ่งล้มตายไม่นานนางหันมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง เสียงของถิงถิงดังขึ้น“นายท่านที่นี่ถูกสร้างค่า
เสียงหอบหายใจของหลี่หลิงเฟิ่งและคนอื่นๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามอันต่ำของฝูงอสูรที่ล้อมรอบพวกเขาไว้ มันไม่ได้เป็นเพียงสัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วและถูกปลุกขึ้นมาด้วยพลังลึกลับ เนื้อหนังที่เน่าเปื่อยของพวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวและความสยดสยองที่แผ่กระจายไปทั่ว“เจ้าพวกนี้มันไม่มีวันตายจริงๆ สินะ” หลูหวั่นชิงพึมพำ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกยิ่งยวด“แต่พวกเราตายได้นะ” จวินชางหลางตะโกนพลางหมุนตัวฟาดดาบในมือผ่านร่างอสูรตัวหนึ่งจนขาดเป็นสองท่อน แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา เศษเนื้อและกระดูกที่แตกกระจายกลับเริ่มเคลื่อนไหวและประกอบร่างอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป“ไม่ว่าเจ้าจะฟันอีกกี่ครั้ง มันก็ยังรวมร่างได้ เสียเวลาเปล่า” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวเสียงเรียบ นางสะบัดมือข้างหนึ่ง ผ้าสีแดงสิบเส้นพลันพุ่งออกไปพร้อมเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง แส้เพลิงฟาดลงบนร่างของสัตว์อสูรตัวหนึ่งเสี่ยวจูจูที่ยืนอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงร้องคำรามอันทรงพลัง ร่างเล็กของมันกระโจนออกจากที่มั่น ลวดลายสีดำสลับทองบนตัวส่องประกายระยับ ขณะที่กรงเล็บของมันตวัดฉีกกระชากอสูรตัวหนึ่งจนกระเด็นไปไกล