ณ ห้องควบคุมตัวเยี่ยเฟิงอยู่ในชุดเนื้อผ้าหยาบ หลังเหยียดตรง ยืนเงียบๆ อยู่ตรงกลางรอรับการพิจารณาคดีจากสำนักบัณฑิตหลวงใบหน้าของเขาซีดขาว ไม่รู้ว่าเพราะได้รับบาดเจ็บหรือเพราะป่วยอาจารย์หรงเอ่ยเสียงกร้าว "เยี่ยเฟิง เจ้าฆ่าเจ้าสำนักใช่หรือไม่"เยี่ยเฟิงดวงตาใสสว่าง ไม่จำเป็นต้องหยุดคิดก็ตอบออกมาทันที "ไม่ใช่""พยานก็อยู่ครบ เจ้ายังกล้าแก้ตัว" อาจารย์หรงโยนผ้าคาดผมเส้นหนึ่งลงตรงหน้าเยี่ยเฟิงเนื้อผ้าของผ้าคาดผมเส้นนั้นหยาบกระด้าง และเป็นเส้นที่เขาใช้บ่อยๆ ก่อนจะเข้ามาในสำนักบัณฑิตหลวงสำนักบัณฑิตหลวงที่กว้างใหญ่มีเพียงแค่เขาผู้เดียวที่ใช้ผ้าคาดผมอัตคัดเช่นนี้"วันนี้กู้ชูหน่วนดึงแขนเสื้อเจ้าขาด แล้วก็ดึงผ้าคาดผมของเจ้าขาดเป็นท่อน ตอนเจ้าไปเปลี่ยนชุด เจ้าก็เปลี่ยนผ้าคาดผมด้วย ตอนนั้นเจ้าใช้ผ้าคาดผมเส้นนี้พอดี"สายตาเฉยชาของเยี่ยเฟิงมองไปยังผ้าคาดผมที่คุ้นเคยบนพื้น ไม่ได้ปฏิเสธทุกคนต่างก็มองไปยังผ้าคาดผมบนศีรษะของเยี่ยเฟิง ผ้าคาดผมเส้นนั้นเรียบง่ายเหมือนกัน เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เส้นเดียวกับที่ใช้ตอนค่ำ"พูดมา เหตุใดเจ้าถึงได้ฆ่าเจ้าสำนัก" อาจารย์หรงเอ่ยถามอีกครั้งเยี่ยเ
"ข้าก็เชื่อเจ้า"สิ่งที่ยิ่งทำให้เยี่ยเฟิงตกตะลึงคือ ยามนี้ เซียวอวี่เชียนที่คอยตั้งตัวเป็นอริกับเขาก็ออกมาปกป้องเขาด้วย เขามีบาดแผลเต็มตัว มือข้างหนึ่งถูกพันด้วยผ้าพันแผลที่คล้องอยู่บนคอ ทว่ากลับส่งยิ้มมาให้เขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเชื่อใจ"เพราะเหตุใด...""เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกันอย่างไรเล่า"ทันทีที่ได้ยินคำว่าเพื่อน เยี่ยเฟิงก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ราวกับบางส่วนภายในจิตใจพังทลายเขาไม่มีเพื่อนตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยมีเพื่อนเลยเขา...ไม่มีใครคบ...ทุกคนตรงหน้าในยามนี้ล้วนแต่พุ่งเป้ามาที่เขา พวกเขาไม่ต้องเข้ามาแปดเปื้อนด้วยก็ได้ดวงตาที่ปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็นของกู้ชูหน่วนกวาดไปยังผู้คนที่อยู่ตรงนั้น ริมฝีปากแดงเอื้อนเอ่ย "พวกเจ้าบอกว่าเยี่ยเฟิงเป็นคนฆ่า หากเขาฆ่าจริง เช่นนั้นเหตุใดถึงกลับมา"ทุกคนชะงักงันทันใดนั้นเองก็มีคนตอบ "ที่เขาเข้ามาในสำนักบัณฑิตจะต้องมีเป้าหมายแน่ ยามนี้เป้าหมายนั่นอาจยังไม่บรรลุง จึงกลับมาอีกครั้ง""อ่อ เช่นนั้นเขามีเป้าหมายใด" กู้ชูหน่วนเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความตักเตือนคนผู้นั้นอึกอักอยู่นาน กลับพูดไม่ออกสักคำอาจารย์หร
ทว่าเยี่ยเฟิงเพียงแค่ขมิบปากเบาๆ ก่อนจะฝืนยิ้มขมขื่น แล้วพูดออกมาประโยคเดียว "นึกขึ้นได้ว่าเจ้าสำนักต้องการพบข้า อาจมีเรื่องสำคัญ ข้าจึงย้อนกลับมา"ประโยคนี้ ไม่มีผู้ใดเชื่อฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลยหากเขาคิดได้เช่นนี้จริง มีหรือที่ตอนนั้นจะออกไปทางหน้าต่างเขาไม่ออกทางประตูใหญ่ กลับปีนหน้าต่างออกไป นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตอนนั้นจะต้องมีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ ทำให้เขาไม่แม้แต่จะมีเวลาเดินออกทางประตูใหญ่"รบกวนตอบคำถามเมื่อครู่ด้วย เหตุใดเจ้าถึงไม่ออกทางประตูใหญ่ แต่กลับปีนหน้าต่าง" ผู้อาวุโสเอ่ยเซียวอวี่เชียนมองทุกคนด้วยความโกรธ พลางพูดอย่างมั่นใจ "เยี่ยเฟิง เจ้าบอกพวกเขาไป เหตุใดไม่ออกทางประตูใหญ่"เซียวอวี่เชียนคิดว่าเยี่ยเฟิงจะต้องรีบตอบอย่างทันควัน ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบงันหัวใจของเขาเต้นระส่ำ ก่อนจะหันไปมองเยี่ยเฟิงที่กำลังนิ่งเงียบ "เจ้ากลัวดอกพิกุลร่วงหรือไร จะทำเอาข้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว เจ้ารีบบอกพวกเขาถึงเหตุผลที่เจ้าปีนหน้าต่างออกไปสิ""ไม่มีเหตุผล เพียงแค่ปีนหน้าต่างเร็วกว่า""……"ทุกคนหมดคำพูด นี่มันเหตุผลอะไรกันเขาคงคิดข้ออ้างไม่ออกแล้ว
ภายในจวนหานอ๋องเย่จิ่งหานนั่งอยู่บนรถเข็น ทอดมองไปยังดวงจันทร์สุกสกาวบนฟ้า ในมือกำลังหมุนแหวนหยกด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อยเจี้ยงเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ กำลังรายงานไปเป็นเรื่องๆ"นายท่าน คุณหนูสามถูกไล่ล่าจากหลายฝ่าย ในนั้นรวมไปถึงฮ่องเต้ ไทเฮา และคนเผ่าหมอ ผู้ที่ออกมาช่วยคุณหนูสามคือคนของสำนักซิวหลัว"ชิงเฟิงตกใจ เย่จิ่งหานเองก็ประหลาดใจอยู่บ้าง"สำนักซิวหลัว ?""ขอรับ อีกทั้งประมุขชิงหนึ่งในเจ็ดประมุขใหญ่ภายใต้เจ้าสำนักซิวหลัวเป็นผู้ลงมือเอง พวกเขามีท่าทีนอบน้อมต่อคุณหนูสามยิ่งนัก ไม่เหมือนเพิ่งพบกันครั้งแรก แต่ดูคล้ายผู้ที่รู้จักกันมาหลายปี อีกทั้งประมุขชิงยังยกฝูกวงผู้ช่วยยอดมือฉกาจให้กับคุณหนูสามด้วย"ใบหน้าหล่อเหลาของเย่จิ่งหานเผยให้เห็นความสนใจภายในแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา รอยยิ้มที่คมดุจลับด้วยขวานปีศาจดูอ่อนโยนลงไปกว่าเดิมเย่จิ่งหานหัวเราะเบาๆน่าสนใจสำนักซิวหลัวไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจมาแต่ไหนแต่ไร หลายปีมานี้ก็ไม่เคยเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพ คิดไม่ถึงว่าจะกลับเข้ามาเพราะกู้ชูหน่วนหากเขาจำไม่ผิด ฝูกวงคือองครักษ์ลับข้างกายของเจ้าสำนักซิวหลัวต่อให้ตำแหน่งของประมุขชิ
เพราะการปกป้องอย่างสุดกำลังของกู้ชูหน่วน เยี่ยเฟิงจึงเพียงแค่ถูกกักบริเวณ ทว่าผู้คนในสำนักบัณฑิตหลวงต่างก็ตัดพ้อกับความไม่ยุติธรรม พากันโจมตีไปที่เยี่ยเฟิงกู้ชูหน่วนกล่าวด้วยความจริงจัง "สามวัน ภายในสามวัน ข้าจะหาผู้ร้ายตัวจริงให้เจอ คืนความเที่ยงธรรมให้เจ้าสำนัก หากภายในสามวันข้าสืบหาผู้ร้ายไม่เจอ พวกเจ้าค่อยจัดการกับเยี่ยเฟิงก็ยังไม่สาย""ไม่ได้ เวลาสามวัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ หากเขาคิดหาวิธีอื่นทำให้ตัวเองหลุดพ้นไปได้เล่า นอกเสียจากเจ้าพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเสียตอนนี้เลย" ผู้คนจำนวนไม่น้อยในสำนักบัณฑิตพากันวิพากษ์วิจารณ์เซียวอวี่เชียนพูดด้วยความโมโห "สำนักบัณฑิตหลวงที่แสนยิ่งใหญ่จะเฝ้าบัณฑิตเพียงคนได้ไว้ไม่ได้เลยหรือ พวกเจ้าแค่ต้องการจะจัดการเขาให้ถึงแก่ความตาย""เขาฆ่าเจ้าสำนัก ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิตก็เป็นเรื่องปกติ""ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าเขาฆ่าคนแล้วหรือ""คุณชายเซียว คุณหนูกู้ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ พวกเจ้าอย่าถูกภายนอกของเยี่ยเฟิงหลอกเอาได้ เขาชั่วช้ายิ่งนัก" อาจารย์สวียืนกรานอีกครั้งเซียวอวี่เชียนหัวเราะเยาะ ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน "ตอนนั้น
"รอยเท้าอะไร""ดูนี่สิ" กู้ชูหน่วนชี้ไปยังจุดที่อยู่ไม่ไกลออกไปจากริมหน้าต่าง ตรงนั้นยังหลงเหลือรอยเท้าอยู่หนึ่งรอยจางๆ เพียงแต่ตำแหน่งของรอยเท้านั้นเร้นลับ อีกทั้งยังบางเบานัก หากไม่สังเกตดีๆ ก็ไม่มีทางมองเห็นอาจารย์สวีตกตะลึง "ขนาดของรอยเท้าต่างกันถึงนิ้วกว่า มีคนสองคนกระโดดหน้าต่างออกไปเช่นนั้นหรือ"เซียวอวี่เชียนตื่นเต้นออกนอกหน้า "หากเป็นเช่นนี้ นอกจากเยี่ยเฟิง ตอนนั้นที่หอสมุดยังมีใครอีกคน ซึ่งเจ้าสำนักอาจจะถูกคนผู้นั้นสังหารก็เป็นได้"อาจารย์หรงส่งเสียงค่อนแคะเบาๆ "เมื่อครู่มีคนมากมายเข้ามาในหอสมุด อาจจะเป็นของใครสักคนก็ได้"กู้ชูหน่วนมองบนใส่ "อาจารย์หรง ท่านจะอคติกับเยี่ยเฟิงแล้วโยนความผิดทุกอย่างมาที่ตัวเยี่ยเฟิงไม่ได้ พวกท่านก็แบ่งเส้นกั้นสถานที่เกิดเหตุไว้แล้วไม่ใช่หรือ ผู้ใดจะเข้ามาได้ อีกอย่าง ต่อหน้าผู้คนมากมาย ผู้ใดจะกล้ากระโดดหน้าต่าง""แต่นี่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ที่สังหารเจ้าสำนักไม่ใช่เยี่ยเฟิง""แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ที่สังหารเจ้าสำนักคือเยี่ยเฟิง ไม่ใช่หรอกหรือ""ไม่ว่าอย่างไร เขาก็น่าสงสัย จำเป็นต้องขังเอาไว้ สามวัน ภายในสามวัน หากเจ้าหาตัวคนร
"แล้วอย่างไรต่อ..." อาจารย์สวีขู่คำราม"หลังจากนั้น...หลังจากนั้นเขาก็ปาดคออาจารย์หรง น่ากลัวเหลือเกิน การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วจนน่าขนลุก สายตาของเขายิ่งน่ากลัว ข้าไม่เคยเห็นสายตาของเยี่ยเฟิงน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน"หลี่เหิงดูเหมือนจะมีอาการตื่นตระหนกมาก ตั้งสติไม่ได้อยู่สักพักใหญ่ เอาแต่พึมพำกับตัวเองไม่หยุดผู้ที่อยู่ข้างหลี่เหิงอธิบายต่อ "จากนั้นองครักษ์ลับคุ้มกันสำนักก็ออกมา พวกเขาล้อมเยี่ยเฟิงเอาไว้ ทว่า...แปดคนยังไม่สามารถทำอะไรเยี่ยเฟิงคนเดียวได้ สุดท้ายเยี่ยเฟิงก็หนีไปได้""พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าคนผู้นั้นคือเยี่ยเฟิง ดูผิดไปหรือเปล่า" เซียวอวี่เชียนแทรกขึ้นมากะทันหันเพราะประโยคนี้ของเขา ทำให้คนจำนวนไม่น้อยพากันจ้องมองด้วยความขุ่นเคือง"ข้าก็คิดว่าข้ามองผิดไป แต่คนมากมายขนาดนี้ล้วนแต่เห็นกันหมด ยอดฝีมือคุ้มกันสำนักก็ได้ประมือกับเขาแล้ว พวกเขาไม่มีทางจำคนผิดหรอก""นั่นสิ ใช่เยี่ยเฟิง หน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด พวกข้าไม่มีทางจำผิด""บางทีคนผู้นั้นอาจแปลงโฉมเป็นเยี่ยเฟิงมาก็ได้" เซียวอวี่เชียนเอ่ย"องครักษ์ลับคุ้มกันสำนักก็เคยสงสัย พวกเขาจึงจงใจหยั่งเชิงเป็นการเฉพาะ ปรากฏว่าไม่ใ
เซียวอวี่เชียนอิดออด หาหินมาหนึ่งก้อนแล้วหย่อนก้นลงไปนั่ง "ข้าเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ พวกเราพักที่นี่สักคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปกันต่อเถอะ""เจ้าไม่กลัวฝูงหมาป่าจะมาคาบเจ้าไปหรืออย่างไร""หมาป่า ? หมาป่าที่ไหน" เซียวอวี่เชียนตกใจรีบไปหลบหลังนางกู้ชูหน่วนมองบนใส่เขา แล้วเดินหน้าต่อ "พวกเรามีเวลาในการไขคดีอีกไม่มากแล้ว หากไม่ไปเยี่ยมท่านยายของเยี่ยเฟิง ข้าก็ไม่วางใจ เจ้าอดทนอีกหน่อยเถอะ""ยัยขี้เหร่ เจ้าว่าชายปิดหน้าในคืนนั้นใช้เยี่ยเฟิงจริงหรือไม่""ไม่เช่นนั้นเล่า""เช่นนั้นเหตุใดเขาต้องฆ่าเจ้าสำนักด้วย เหตุใดคนในสำนักบัณฑิตถึงพูดถึงเยี่ยเฟิงเช่นนั้น""ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร""เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงเชื่อเขา""เพราะเขาคือเพื่อนที่ข้าเลือกแล้ว ในเมื่อเป็นเพื่อนกัน ต่อให้ตรงหน้ามีหลักฐานมากเพียงใดมาพิสูจน์ว่าเขาคือผู้ร้าย ข้าก็เชื่อใจเขา"กู้ชูหน่วนเสยผมที่ถูกลมพัดปลิว ภายในดวงตาที่เจิดจ้าเป็นประกายคู่นั้นแฝงไว้ด้วยแววตาแห่งความเชื่อใจเซียวอวี่เชียนเก็บสีหน้าที่เซื่องซึมกลับไป บนใบหน้าไม่มีรอยยิ้มทะเล้นเหมือนก่อนหน้า แต่กลับเต็มไปด้วยความหนักแน่นจริงจัง "ยัยขี้เหร่ หากคนทั้งใต้หล้ากล่
เดิมทีคนของเผ่าเทียนเฝินก็สงสัยในตัวนายท่านหลันอยู่แล้ว เมื่อกู้ชูหน่วนพูดเช่นนี้ คนของเผ่าเทียนเฝินก็อดไม่ได้ที่จะมองนายท่านหลันเป็นศัตรูยิ่งกว่าเดิม กู้ชูหน่วนเอ่ยออกมาเบาๆ อีกประโยค "อีกอย่างหินก้อนใหญ่จากยอดเขากลับร่วงมาบนหัวผู้อาวุโสทุกท่านของเผ่าเทียนเฝิน ทว่าพวกเจ้าทั้งหมดกลับอยู่ริม และหลบได้อย่างง่ายดาย" "กู้ชูหน่วน เจ้าหมายความเช่นไร หรือเจ้าสงสัยว่าเป็นแผนของข้ารึ" "ข้าไม่มีความกล้าที่จะพูดเช่นนั้นหรอก ชีวิตน้อยๆ ของข้ายังอยู่ในมือเจ้า" "เช่นนั้นหินก็ไม่ได้ร่วงใส่เจ้าไม่ใช่หรือ" "ข้าไม่โดนหินทับตาย เพราะข้าดวงแข็ง ใครจะรู้ว่าอีกเดี๋ยวทางที่เจ้าพาไป จะหลอกข้าไปตายหรือไม่" "หากวันนี้ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ข้าจะไม่ใช่นายท่านหลันแห่งกองธงทั้งสิบสองของเผ่าหมออีก" นายท่านหลันเดือดดาล ไม่ลังเลที่จะลงมืออีกต่อไป ทุกกระบวนท่าล้วนแต่ต้องการจะสังหารกู้ชูหน่วนให้ถึงแก่ชีวิต ผู้อาวุโสเผ่าเทียนเฝินก็มีน้ำโหด้วยเช่นกัน บวกกับกู้ชูหน่วนคอยยุแยงทุกประโยค คนของเผ่าเทียนเฝินและเผ่าหมอจึงแตกหักกันโดยสิ้นเชิง หันมาฆ่าฟันกันเอง ผู้อาวุโสจวินพูดด้วยความฉุนเฉียว "พวกหัวขโมยอ
ไฟโทสะในใจของนายท่านหลันสุมเป็นกองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา เขาคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “กู้ชูหน่วน เจ้าวกไปวนมา จะวนไปถึงไหนกัน” “พวกเจ้าให้ข้าพาพวกเจ้าไปสุดยอดเขาเพื่อตามหาแก้วมังกรไม่ใช่รึ ข้ากำลังหาทางอยู่นี่อย่างไร” นายท่านหลันโกรธจนอยากจะฟาดฝ่ามือใส่นางให้ตาย กู้ชูหน่วนพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ “ที่แห่งนี้มีทางแยกมากมาย ข้าพยายามหาเส้นทางเต็มที่แล้ว อีกอย่างทุกเส้นทางที่ไป ล้วนแต่ผ่านความเห็นชอบของพวกเจ้าแล้ว นายท่านหลัน เจ้าจะใส่ร้ายว่าข้าจงใจพาพวกเจ้าวกไปวนมาได้อย่างไร” นายท่านหลันหงุดหงิด ทั้งๆ ที่กู้ชูหน่วนจงใจหลอกพวกเขา ทว่านางกลับเอาเหตุผลมาอ้างทุกประโยค แสร้งทำเป็นบริสุทธิ์ ทำให้เขาหาข้อกังขาไม่ได้ ทุกครั้งที่นางจะวนอยู่ที่ทางแยก นางถามพวกเขาก่อนแล้ว แต่นางแทบไม่ให้เวลาเขาดูแผนที่ก็มุ่งหน้าเดินต่อไปแล้ว ผู้อาวุโสระดับสูงหวงเริ่มจะหมดความอดทน พวกเขาวนอยู่ในถ้ำมาครึ่งวันแล้ว ขืนวนต่อไป เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดของพวกเขาก็จะถูกใช้จนหมด ต้องไปถึงยอดเขาให้ได้โดยเร็ว เขาเอ่ยเสียงขรึม พยายามข่มความเหลืออดไว้ในใจ “ยังต้องเดินอีกไกลเพียงใด” “เ
ครั้งนี้ เหล่าผู้อาวุโสของเผ่าเทียนเฝินเองก็ไม่ใจเย็นอีกต่อไปแล้ว อยากจะแทงกู้ชูหน่วนให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น ทว่ากู้ชูหน่วนกลับชิงร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาเสียก่อน พลางสะอึกสะอื้น "เหล่าสหายทั้งหลาย เป็นข้าเองที่ทำร้ายพวกเจ้า หากรู้แต่แรกว่าที่นี่อันตรายถึงเพียงนี้ หากรู้แต่แรกว่าถ้าบุกเข้ามาจะทำให้พวกเจ้าตายอย่างทรมานที่นี่ ข้ายอมถูกพวกเจ้าตีตายไปเสีย แต่จะไม่ยอมยกกระดิ่งภินวิญญาณให้เด็ดขาด ข้าผิดต่อพวกเจ้า" "ข้าสมควรตาย ข้าทำผิดต่อพวกเจ้า พวกเจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ ชีวิตคนมากมายเช่นนี้ คุณพระช่วย...ข้าควรชดใช้เช่นไร" นางร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล ปวดใจเป็นที่สุด คนของเผ่าเทียนเฝินพลันใจอ่อนฮวบในทันที คนของเผ่าหมอก็คลายความโกรธลงไปไม่น้อย มีเพียงแค่นายท่านกองธงที่กัดฟันกรอด เส้นเลือดสีเขียวปูดจนจะระเบิดออกมา "ในเมื่อเจ้าอยากตายถึงเพียงนี้ เช่นนี้ข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง" หัวหน้ากองธงพูดพลางฟาดฝ่ามือไปที่กะโหลกของนาง คนของเผ่าเทียนเฝินมองดูหน้าตาเฉย อยากเห็นว่ากู้ชูหน่วนคิดจะเล่นพิเรนทร์อะไร คิดไม่ถึงว่ากู้ชูหน่วนเพียงแค่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่ขยับเขยื้อน อีกทั้งยังไม่ตอบโต้ ท่าทางรอคว
เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงเป็นกังวล ยามนี้พวกเขาต่างก็เจ็บหนัก หากฝืนตามไป ใช่ว่าจะเป็นประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรอาการของแต่ละคนก็สาหัสปางตายกันทั้งสิ้น แต่หากไม่ไปแล้วแก้วมังกรถูกชิงไป คิดจะแย่งกลับมา เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้ว พวกเขาออกตามหามาหลายปี ใช้คนไปตั้งมากมาย จนมาพบที่ตั้งของแก้วมังกรในที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรยอมแพ้ กู้ชูหน่วนพิงอยู่ข้างโขดหิน มองดูท่าทีลังเลของพวกเขาอยู่เงียบๆ มุมปากยกยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็น แก้วมังกรล่อตาล่อใจเสียขนาดนั้น มีหรือที่พวกเขาจะไม่ติดกับ เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ คนเหล่านี้กัดฟันเค้นออกมาหนึ่งประโยค "ไป ขึ้นเขาไปดูเสียหน่อย เจ้าก็ไปกับพวกข้าด้วย" กู้ชูหน่วนแสร้งทำเป็นตกใจ "เมื่อครู่พวกท่านเพิ่งรับปากว่าจะให้ข้าออกไปอย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือ หรือท่านจะกลับคำพูด" "แผนที่ที่เจ้าให้มามีเพียงครึ่งเดียว นอกเสียจากเจ้าช่วยพวกข้าตามหาอีกครึ่งหรือหาแก้วมังกรพบ ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าจะได้ไปไหน" "ท่านไม่รักษาคำพูดนี่" "เช่นนั้นเจ้าอยากถูกฝังอยู่ที่นี่หรือไม่" คนของเผ่าเทียนเฝินผลักนางไปด้านหน้า กู้ชูหน่วนทำได้เพียงแค่มุ่งหน้า
ทุกคนต่างก็จ้องไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความโกรธ กู้ชูหน่วนผงะถอยหลังไปหลายก้าว พูดด้วยความระวัง "อีกครึ่งถูกชาวเขาตานหุยชิงไป พวกเจ้าจ้องข้าก็ไม่มีประโยชน์ หากข้ามีแผนที่อีกครึ่ง อย่างไรก็ต้องส่งให้พวกเจ้าอยู่ดี" "ชาวเขาตานหุย ?" นายท่านหลันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง "ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่า เหตุใดชาวเขาตานหุยถึงใจเย็นได้ขนาดนั้น รอพวกเจ้าต่อสู้อยู่ด้านนอกตั้งนาน เว้นเสียแต่นอกจากทางลงเขาเส้นนี้ บริเวณปากเขาน้ำเต้ายังมีทางอีกเส้นที่สามารถออกไปจากเขาน้ำเต้าแห่งนี้ได้ หากพวกเขาได้แก้วมังกรแล้ว ก็น่าจะลงเขาไปทางนั้นเลย" นายท่านหลันสงสัยเคลือบแคลงในคำพูดของนางเป็นอย่างยิ่ง"ทุกท่าน สตรีนางนี้ไม่เคยมีความจริงออกจากปากนาง พวกเจ้าอย่าไปเชื่อนางเด็ดขาด" ผู้อาวุโสอวิ๋นสองจิตสองใจ "คนของพวกเราเข้ามาในเขาน้ำเต้า บาดเจ็บเสียหายอย่างหนัก แต่ชาวเขาตานหุยดูเหมือนจะราบรื่นตลอดทาง อีกทั้งยังไม่พบเจออุปสรรคใดๆ เลย" เมื่อผู้อาวุโสอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ ผู้อาวุโสจวินก็คิดขึ้นมาได้ "เป็นจริงอย่างที่พูด ตอนนั้นข้ายังสงสัยว่าเหตุใดชาวเขาตานหุยถึงได้โชคดีเพียงนี้ ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ยามนี้มาคิด
"เยี่ยเฟิงออกไปจากเขาน้ำเต้าแล้ว" "เจ้าซ่อนสิ่งใดเอาไว้" สีหน้าของกู้ชูหน่วนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็ว นางวางมือทั้งสองข้างลง แสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ใส่ใจ "ข้าสตรีอ่อนแอตัวคนเดียว จะมีสิ่งใดในครอบครองได้ ก็แค่กลัวว่าชายฉกรรจ์อย่างพวกเจ้าจะเสียมารยาทกับข้าก็เท่านั้น" คำพูดนี้ของนี้ ไม่มีผู้ใดเชื่อ เพราะสีหน้าที่แสดงออกมาเล็กๆ น้อยๆ ของนางได้หักหลังนางหมดแล้ว ต่อให้นางจะนิ่งเพียงใด ทุกคนก็จับได้อยู่ดี คนของเผ่าหมอพากันเข้ามาล้อมนางเอาไว้ คนของเผ่าเทียนเฝินแม้จะนิ่งดูดาย แต่ก็ไม่ได้คิดจะปล่อยกู้ชูหน่วนไป "นังหนู ข้าขอเตือนเจ้าให้ส่งของมาดีๆ ไม่เช่นนั้น...เหอะ..." คำพูดของนายท่านหลันเต็มไปด้วยความตักเตือน นายท่านหมู่ตานกลับพูดจีบปากจีบคอ "นังเด็กคนนี้แม้จะสกปรกมอมแมมไปบ้าง แต่รูปร่างดีใช้ได้ เอามาใช้อุ่นเตียงแก้ขัดก็น่าจะไม่เลว" "เจ้า...พวกเจ้าคิดจะทำอะไร..." "ข้าบอกพวกเจ้าไว้ก่อน ข้าเป็นถึงหานอ๋องเฟย ขืนพวกเจ้ากล้าทำอะไรข้า หานอ๋องไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่" "ว่าอย่างไรนะ...เจ้าคือภรรยาของเย่จิ่งหาน เช่นนั้นพวกเราเผ่าเทียนเฝินยิ่
ด้านล่างตีนเขาของเขาน้ำเต้า คนของเผ่าเทียนเฝินและเผ่าหมอลงจากเขาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส และกองทัพที่แพ้จนหมดสภาพ สีหน้าของพวกเขาต่างก็ไม่สู้ดีนัก ข่มความฉุนเฉียวเอาไว้ เลือดสีแดงสดไหลคดเคี้ยวลงมาจากร่างของพวกเขา ผู้อาวุโสจวินแห่งเผ่าเทียนเฝินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ "หากคนเผ่าหมอของพวกเจ้าลงมือตั้งแต่แรก พวกเราก็คงไม่ต้องพ่ายแพ้จนมีสภาพเช่นนี้ แล้วปล่อยให้พวกชาวเขาตานหุยได้ประโยชน์ไป" นายท่านหลันยิ้มเยาะ "พวกเจ้าเผ่าเทียนเฝินยังเหลือยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยไว้ระวังพวกข้า หากร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมต่อสู้ด้วยกัน มังกรอสูรขั้นเจ็ดก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกข้าลงมือ พวกเจ้าจัดการเองก็ได้แล้ว สุดท้ายแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ไว้ใจพวกข้า" ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟยเย่มีนิสัยใจร้อนมาแต่ไหนแต่ไร เขาเดือดดาลขึ้นมาทันที "หากพวกข้าเข้าไปพร้อมกัน ทุกคนต่างก็เจ็บหนักกันหมด หลังจากนั้นพวกเจ้าจะได้ถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ไปได้ง่ายๆ น่ะสิ" ผู้อาวุโสหวงหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงติเตียน "พอได้แล้ว แทนที่จะมัวมาพูดมากอยู่ตรงนี้ ไม่สู้คิดหาหนทางว่าจะชิงแก้วมังกรมาจากชาวเขาตานหุยอย่างไรจะดีกว่า" ผู้อาวุโสระดับสูงหวงเอ่ย ก
"โฮ่ว..." "โฮก..." "เฮือก..." นายท่านกองธงเผ่าหมอและมังกรอสูรต่างก็เจ็บหนัก ครั้งนี้ล้วนแต่บาดเจ็บเสียหายกันทั้งคู่ "นายหญิง นายท่านสองคนนั้นเป็นนายท่านจากอีกสองกองธง หนึ่งในนั้นนายท่านเถาฮวาถูกมังกรอสูรโจมตีบาดเจ็บสาหัส อาการปางตาย เกรงว่าคงไม่อาจรอดไปได้แล้ว มังกรอสูรก็เจ็บไม่เบาเช่นกัน กรงเล็บหักไปเล็บหนึ่งแล้ว นายหญิง พวกเราเข้าไปตอนนี้เลยดีหรือไม่" "เจ้าจะรีบไปเกิดใหม่หรืออย่างไร จะร้อนรนกระวนกระวายไปไหน" "แต่ขืนพวกเรายังไม่ไป แล้วแก้วมังกร..." "หากแก้วมังกรชิงไปได้ง่ายเพียงนั้น พวกเจ้าคงได้ไปนานแล้ว ต้องรอถึงตอนนี้อีกรึ เสี่ยวฝูกวง ข้าเห็นปกติเจ้าก็ฉลาดดีอยู่หรอก เหตุใดพอเกี่ยวกับแก้วมังกร เจ้าถึงได้กลายเป็นคนโง่แบบนี้ไปได้" แน่นอนว่าต้องโง่อยู่แล้ว เขาจะไม่กระวนกระวายได้อย่างไร คนทั้งเผ่าต่างก็ตั้งตารอแก้วมังกรเพื่อจะได้ถอนคำสาปเลือด นั่นคือชีวิตนับพันนับหมื่นชีวิต "เจ้ารอดูเถอะ เดี๋ยวพวกเขาก็จะเริ่มการโจมตีครั้งต่อไปแล้ว" ไม่ผิดไปจากที่กู้ชูหน่วนคาดการณ์ไว้ คนของเผ่าหมอและเผ่าเทียนเฝินลงมือโจมตีอีกครั้ง สู้กันสนั่นหวั่นไหว มืดฟ้ามัวดิน
ฮองเฮาฉู่และเยี่ยเฟิงไม่ยอมแยกจากัน กู้ชูหน่วนเปลืองแรงไปมากมายกว่าจะส่งพวกเขาสองคนกลับไปได้ บนฟ้ามีเสียงดังอึกทึกครึกโครมดังไม่หยุด ลมฝนโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่องราวกับพายุรุนแรง ยอดเขาโลหิตน้ำเต้าสั่นสะเทือนเลือนลั่น เพราะความสั่นไหวอย่างแรงของยอดเขาทำให้ลาวาประทุขึ้นมา ซัดกระเซ็นไปบนโขดหิน ดอกไม้ใบหญ้าบนโขดหินที่แสนน่าสงสารจมอยู่ใต้ลาวา นี่คือศึกใหญ่ที่มีเพียงแค่ยอดฝีมืออันดับต้นๆ เท่านั้นที่จะก่อได้ กู้ชูหน่วนเงยหน้าไปมอง กลับพบว่ากลางอากาศมีมังกรไฟตัวสีทองที่ทั้งตัวโชกไปด้วยเลือดกำลังทะยานโลดแล่นพลางกรีดร้องไม่หยุด มังกรตัวใหญ่ยักษ์เพียงแค่สะบัดปลายหาง ยอดเขาลูกเล็กๆ บริเวณใกล้เคียงก็ราบเป็นหน้ากอง ที่น่าตกตะลึงไปกว่านั้นคือ ลูกไฟที่มันพ่นออกมา มีพื้นที่แผ่ขยายไปถึงครึ่งหนึ่งของเขาโลหิตน้ำเต้า คล้ายจะแผดเผาทำลายเขาโลหิตน้ำเต้าทั้งหมดให้สิ้นซาก นอกจากมังกรไฟ ยังมีผู้อาวุโสผมขาวอีกสี่คน ฝูกวงเอ่ย "นายหญิง สี่สุดยอดผู้อาวุโสระดับสูงแห่งเผาเทียนเฝินวิทยายุทธแก่กล้านัก พวกเขาปลีกวิเวกมานานหลายปี น้อยครั้งที่จะเข้ามาข้องเกี่ยวทางโลก คิดไม่ถึงว่าคราวนี้เผ่าเทียนเฝิน