หญิงนางนี้ บ้าไปแล้วเหรินหู่วิ่งโทกเทกเข้ามา ฉีกยิ้มเอ่ย "ค้อนเหล็กของข้านี้ ช่างเหล็กชื่อดังใช้เหล็กดำตีขึ้นมา เจ้าชอบหรือไ่ม่ หากเจ้าชอบ ข้าก็จะยกให้เจ้า"กู้ชูหน่วนรังเกียจเหลือหลาย "ทั้งหนักทั้งเทอะทะ เจ้าเก็บไว้เองเถิด"เมื่อนึกถึงภาพที่เหรินหู่ฟาดคนเผ่าหมอตายเป็นเบือเมื่อครู่นี้ เซียวอวี่เชียนก็ชักกลัวขึ้นมา ร่างแข็งเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่ กลัวว่าเหรินหู่จะค้อนทุบนางตายเอาในพริบตาแต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ นอกจากเหรินหู่จะไม่โกรธแล้ว ยังยิ้มแก้เก้อพลางเอ่ยอีก "นั่นสิ เจ้าเป็นหญิงจะถือค้อนเหล็กเช่นนี้ก็ไม่งามจริงๆ เช่นนั้นข้าให้คนทำค้อนเหล็กน้อยให้เจ้าไหม"เฮ้ย...นี่มันเกิดอะไรขึ้น?สำนักซิวหลัวคุยกันง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ?กู้ชูหน่วนเมินเหรินหู่เสียดื้อๆ เดินมาหยุดอยู่หน้าฝูกวง"เจ้าชื่ออะไรรึ?""ฝูกวง ฝูที่แปลว่าสะท้อน กวงที่แปลว่าแสงสว่าง" ทั้งยังเป็นชื่อที่เจ้าสำนักของพวกเขาตั้งให้ ผ่านมาหลายปี แค่คนในสำนักยังคงอิจฉาที่เจ้าสำนักตั้งชื่อให้เขาจนถึงทุกวันนี้"ฝูกวง เป็นชื่อที่ไพเราะนัก แสงสว่างที่สาดส่องโลก"ฝูกวงตัวสั่น ขอบตาแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่แสงสว่างที่สาดส่องโลก...
เหรินหู่วิ่งตามเข้ามา เอ่ยเสียงตื่นเต้น "คุณหนูสาม ท่านว่าข้าเป็นองครักษ์ลับของท่านได้หรือไม่? ฝีมือข้าก็ไม่แพ้ฝูกวง แค่ค้อนเดียวก็ฝาดคนตายได้เป็นเจ็ดแปดคนเชียวนะ"กู้ชูหน่วนกวาดตามองร่างบึกบึนของเขา มุมปากพลันกระตุก "เจ้าอ้วนเกินไป ข้าเลี้ยงไม่ไหวหรอก""ท่านไม่ต้องเลี้ยงข้า ข้าเลี้ยงตัวเองได้""พอได้แล้ว เจ้าคิดว่าที่สำนักว่างมากหรือไร" ประมุขชิงเอ่ยเสียงเย็น"แต่ว่า... แต่ว่า...""กลับมาได้แล้ว"เหรินหู่ไม่พอใจนัก แต่ไม่กล้าขัดขืน ทำได้เพียงมองฝูกวงที่ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยสายตาอิจฉา"คุณหนูสาม แล้วพบกันใหม่""เดี๋ยวก่อน เหตุใดพวกเจ้าถึงช่วยข้า"ประมุขชิงยิ้มละมุนดุจลมวสันต์ คนไม่รู้คงนึกว่าเขาเป็นบัณฑิตคงแก่เรียนอ่อนปวกเปียก"อาจเป็นเพราะมีวาสนาต่อกันกระมัง สำนักซิวหลัวนั้นให้ความสำคัญกับคำว่าวาสนานัก"กู้ชูหน่วนอยากจะถามต่อ ทว่าบรรดาคนจากสำนักซิวหลัวกลับหายไปในพริบตาพวกเขามาเร็วไปเร็ว เร็วเสียจนมองไม่ทันด้วยซ้ำว่าไปทางไหนในตรอกที่เมื่อครู่คนแน่นไปหมด ยามนี้เหลือเพียงนาง เซียวอวี่เชียน และฝูกวง แม้แต่ชายหนุ่มพวกนั้นหายไปตอนไหน พวกนางเองก็ไม่รู้ลมหนาวพัดผ่าน กลิ่นคาวเลือ
"ข้าไม่เป็นไร แค่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พักผ่อน กลางคืนนอนสักหน่อยก็หายแล้วขอรับ""เจ้านี่นะ ยังหนุ่มยังแน่น ทำงานเยอะปานนี้ สักวันจะเหนื่อยตายเอา เอาล่ะๆ ข้านวดแป้งเอง อย่างไรวันนี้ลูกค้าก็ไม่มาก เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด ข้าให้ค่าแรงเท่าเดิม"เจ้าของร้านแย่งงานเขาทำ แต่เยี่ยเฟิงปฏิเสธ "เวลานี้ถึงข้ากลับไปนอนก็นอนไม่หลับ สู้อยู่ช่วยงานดีกว่า""เจ้าเด็กคนนี้ ทำให้เขาปวดใจเก่งจริงๆ ว่าแต่อาการป่วยย่าเจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่? ข้าได้ยินมาว่ามีหมอพเนจรมาเยือนทางทิศเหนือของเมือง ฝีมือดีนัก หากย่าเจ้ายังอาการไม่ดีขึ้น บางทีลองให้หมอคนใหม่รักษาดูอาจจะหายก็ได้ "มือของเยี่ยเฟิงชะงักลง แววตาเฉยชาพลันเป็นประกาย "หมอพเนจรทางเหนือของเมืองหรือขอรับ?""ใช่แล้ว ได้ยินมาว่ารักษาคนพิการมาหลายคนแล้ว เพื่อนบ้านข้าไปหาหมอมาไม่รู้กี่คน หูหนวกรักษาไม่หาย แต่พอหมอคนนั้นรักษา กินยาไม่กี่ชุด ยาออกฤทธิ์ก็หายทันที เจ้าว่าวิเศษหรือไม่?""ไม่รู้ว่าหมอท่านนั้น... ค่ารักษาแพงหรือไม่?" ยามเยี่ยเฟิงเอ่ยถาม ท่าท่างระแวดระวัง ทั้งยังดูประหม่า"ไม่แพง ไม่แพงเลย เพื่อนบ้านข้าจ่ายแค่หนึ่งร้อยอีแปะ""หนึ่งร้อยอีแปะ... ไม่แพงจริง
"เยี่ยเฟิงเป็นเด็กดี ปกติเห็นเขาเย็นชาเช่นนั้น แต่เขาจิตใจดียิ่งนัก ไม่กี่เดือนก่อนเขาพาย่าที่ป่วยหนักเดินทางผ่านหมู่บ้านข้า หิวจนท้องกิ่ว ไร้เรี่ยวแรง พวกข้าเห็นแล้วสงสารเขาจึงให้หมั่นโถวไปลูกหนึ่ง ตอนแรกเขาไม่ยอมรับไว้ แต่สุดท้ายเห็นย่าเขาใกล้จะหิวตายอยู่รอมร่อ ถึงได้ยอมรับหมั่นโถวลูกหนึ่งจากพวกข้าให้ย่าเขากิน""แต่เจ้ารู้ไหม เพราะพวกข้าให้หมั่นโถวลูกนั้นกับเขา หลายเดือนมานี้ เขาช่วยปลูกผักถางหญ้า แถมยังซ่อมหลังคาบ้านข้าด้วย ภรรยาข้าคลอดยาก ก็ได้เขาแบกภรรยาข้าไปหาหมอตำแย ถึงได้รักษาชีวิตภรรยากับลูกข้าไว้ได้"กู้ชูหน่วนที่กินบะหมี่อยู่ชะงักไปหากเถ้าแก่ร้านบะหมี่พูดจริง เยี่ยเฟิงนั้นก็ไม่ใช่คนเลวร้ายแต่อย่างใด"เยี่ยเฟิงเป็นคนดี ไม่ใช่แค่ช่วยเหลือพวกข้า แต่ยังช่วยเหลือชาวบ้านในหมู่บ้านอีกเยอะแยะ หากเขาทำได้ ก็จะทำสุดกำลัง คนในหมู่บ้านข้ารักเยี่ยเฟิงยิ่งนัก""ท่านบอกว่าเขากับย่าเขาเดินทางผ่านหมู่บ้านท่านเมื่อไม่กี่เดือนก่อนอย่างนั้นหรือ? นอกจากย่าแล้ว เขายังมีญาติพี่น้องคนอื่นอีกหรือไม่?"เถ้าแก่ส่ายหน้า "ไม่มี ได้ยินมาว่าตั้งแต่เล็กเขามีเพียงย่าเป็นที่พึ่งพิง บ้านเกิดเจอภัยพิบัต
"ความดีของเขาทำเอาข้าปวดใจนัก ยามปกติแม้แต่มดตัวเดียวยังไม่กล้าเหยียบ ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดสวรรค์ถึงให้คนแสนดีอย่างเยี่ยเฟิงต้องลำบากเพียงนี้""บางครั้งพวกข้าก็อยากบอกให้เขาปล่อยย่าเขาไปเถิด ตัวเขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ แม้แต่ย่าเขายังขอให้เขาปล่อยตัวเองไปเลย แต่เจ้าเด็กนั่นดื้อดึงนัก ต่อให้ตัวเองเหนื่อยตายก็ต้องให้ย่าอยู่ดีกินดีที่สุด"ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกู้ชูหน่วนถึงได้รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างประหลาด"ท่านรู้หรือไม่ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน""ท้ายหมู่บ้านเสี่ยวเหอชุนของพวกข้าน่ะ เขายากจนข้นแค้น เงินที่หามาได้ก็เอาไปรักษาย่าเขาหมด ไม่มีเงินแม้แต่จะสร้างบ้าน ผู้ใหญ่บ้านพวกข้าเมตตาให้กระท่อมฟางเขาอยู่ กันลมกันฝนไปพลางก่อน"กู้ชูหน่วนพลันยิ้มเอ่ย "เขาทำงานกับท่านที่นี่ ท่านให้เขาวันละเท่าไหร่รึ""ไอ้หยา เขาไม่เอาเงินข้าด้วยซ้ำ ข้าต้องยัดใส่มือตลอด เขาถึงจะยอมรับเงินวันละห้าอีแปะจากข้า แต่ก็นะ เขาไม่ได้มาทุกวันหรอก"พูดถึงตรงนั้นเถ้าแก่ก็ชะงักไป พลันเอ่ยอย่างสงสัย "พูดถึงเรื่องนี้ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าสงสัยนัก เยี่ยเฟิงมักจะหายตัวไปสองสามวัน ข้าถามว่าเขาไปไหน เขาไม่เคยบอกเลย ทุกครั้งจะ
กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้น ตรงหน้ามีกระท่อมฟางผุพังหลังหนึ่งตั้งอยู่กระท่อมฟางนั้นถูกสร้างอย่างเรียบง่าย มีเพียงสองห้องเล็ก แถมยังเอียงกระเท่เร่ ชวนกังวลว่าจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อแต่สวนรอบกระท่อมนั้นใหญ่ไม่น้อย มีสมุนไพรและผักดองตากอยู่เรียงรายกู้ชูหน่วนสะดุดตากับผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่นเป็นหญิงชราอายุล่วงวัยหกสิบ สวมเสื้อผ้าธรรมดา มีรอยเย็บปะมากมาย แต่เสื้อขาวนั้นกลับสะอาดสะอ้านนางกำลังเย็บซ่อมเสื้อผ้า ทว่าสองตานั้นเหมือนจะบอดมืด จึงทำได้เพียงอาศัยมือคลำแล้วเย็บตาม แถมยังต้องยกมือป้องปากไอโขลกเป็นพักๆ"ผู้เฒ่าคนนั้นคือย่าของเยี่ยเฟิง""ขอบคุณท่านลุง""เอาละ เจ้าเข้าไปเองเถิด ข้าอยู่ในไร้ข้างๆ นี่แหละ มีอะไรก็ตะโกนเรียกข้า"เถ้าแก่ร้านบะหมี่พูดเสียอ้อมค้อม แต่กู้ชูหน่วนฟังออกว่าเขานั้นไม่ไว้ใจ ถึงได้คอยเฝ้าจับตามองนางอยู่ไม่ไกล เตือนนางว่าอย่าทำมิดีมิร้ายกับย่าของเยี่ยเฟิงกู้ชูหน่วนยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างห้ามไม่ได้คนไม่พูดไม่จาอย่างเยี่ยเฟิงก็มีคนเอ็นดูไม่น้อย"สวัสดีจ้ะท่านย่า ข้าชื่อกู้ชูหน่วนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเยี่ยเฟิง ได้ยินเขาพูดถึงท่าน ข้าเลยมาเยี่ยมท่าน"กู้ชูหน่วนเข้ามา
แม่เฒ่าเยี่ยทอดถอนใจ ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด "ตั้งแต่เล็กเขาโหยหาความอบอุ่น เห็นเด็กคนอื่นกอดขาอ้อนพ่อแม่ เขาก็มักจะมองด้วยความอิจฉา ต่อมาคงกลัวว่าข้าจะเป็นห่วง เขาถึงไม่ยอมแสดงออก แต่ข้าก็รู้ ว่าเราโหยหาพ่อแม่มากกว่าใคร""ท่านไม่ใช่ย่าแท้ๆ ของเขาหรือ?""ข้าก็อยากให้เขาเป็นหลานชายแท้ๆ ของข้าเหมือนกัน แต่เสียดายที่ข้าไม่มีวาสนา มีลูกกี่คนก็ตายจากไปก่อนเสียหมด""ท่านเมตตารับเลี้ยงเยี่ยเฟิงหรือเจ้าคะ?" กู้ชูหน่วนถามอ้อมค้อมความเจ็บปวดฉายแวบผ่านสีหน้าของแม่เฒ่าเยี่ย คล้ายกับว่าไม่อยากตอบคำถามนี้สักเท่าไร เอ่ยเสียงเรียบเพียงว่า "ก็คงใช่กระมัง ข้าให้หมั่นโถวเขาแค่ลูกเดียว เด็กคนนี้รู้จักตอบแทนบุญคุณ หลายปีมานี้ดูแลข้าไม่มีขาดตกบกพร่อง เรียกไปว่ายอมลำบากตราตรำเพื่อข้า""ข้าขอเข้าไปดูในบ้านได้หรือไม่?""ไ้ด้อยู่แล้ว"แม่เฒ่าเยี่ยหมายจะพานางเข้าไป กู้ชูหน่วนรีบประคองนางให้นั่งลง "ท่านสายตาไม่ดี เดินเหินก็ไม่สะดวก ข้าเข้าไปเองก็ได้เจ้าค่ะ""แค่กๆ... ประเด็นคือบ้านคับแคบนัก แถมเพดานยังต่ำ ข้ากลัวว่าแม่หนูจะหัวโขกเพดานเอา""ข้าจะระวังเจ้าค่ะ"กระท่อมผุพัง มีเพียงแค่สองห้อง
กู้ชูหน่วนหยิบพู่กันขึ้นมา เขียนสูตรยาลงบนกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง เดิมหมายจะให้พวกเขาไปซื้อยาตามนี้ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาเงินทองขัดสน กู้ชูหน่วนก็ทอดถอนใจ ออกไปซื้อยาจากในตัวอำเภอแล้วกลับมาต้มในนางดื่มด้วยตัวเองแม่เฒ่าเยี่ยปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า กู้ชูหน่วนกลับยิ้มเอ่ย "ข้าไปซื้อยามาแล้ว ทั้งยังต้มแล้วด้วย หากท่านไม่ดื่ม ข้าคงต้องดื่มหรือไม่ก็เททิ้งเท่านั้นกระมังแล้ว?""เอ่อ...""ในตัวท่านมีพิษ แม้ยานี้จะรักษาพิษไม่ได้ แต่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของท่านได้ แล้วก็ที่ท่านไอหรือปวดกระดูก ก็ช่วยรักษาได้เหมือนกัน""แม่หนู..." แม่เฒ่าเยี่ยท่าท่างเหมือนประหลาดใจไม่น้อย ที่นางมองออกว่านางโดนพิษมากมาย นางยังเด็กอยู่เลยแท้ๆ ไม่ได้จับชีพจรด้วยซ้ำแต่กลับรู้อาการป่วยของนาง"ข้าบอกแล้ว บ้านข้าแต่ก่อนเป็นหมอสืบทอดกันมา ข้าถึงได้พอรู้วิชาบ้างน่ะ""เจ้าเป็นคนดีนัก ทุกคนในหมู่บ้านนี้ล้วนแต่เป็นคนดีทั้งนั้น" แม่เฒ่าเยี่ยสะอื้น ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาเป็นพักๆเบ้าตาของนางกลวงโบ๋ สิ่งที่ไหลออกมามิใช่น้ำตา แต่เป็นเลือดกู้ชูหน่วนเห็นแล้วปวดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกชีวิตลำบากปานนี้ แถมร่างก็ย่ำแย่เห
กู้ชูหน่วนดวงตาฉายประกายวับหนึ่ง ก่อนจะจ้องไปที่กระดิ่งภินวิญญาณไม่รู้เพราะเหตุใด นางมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่ากระดิ่งภินวิญญาณสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ชี้ให้นางเดินไปด้านหน้าด้านหน้ามีบัณฑิตของสำนักบัณฑิตหลวงรวมตัวอยู่จำนวนไม่น้อย พร้อมทั้งมีเสียงร้องตกใจที่หาของล้ำค่าเจอออกมาจากในนั้นอวี๋ฮุยพูดด้วยความร้อนรน "ลูกพี่ พวกเราก็ไปดูกันเถอะ ดูว่าจะเจออะไรบ้างหรือไม่""จะรีบร้อนไปใย ที่แห่งนี้มีมุมอับซ่อนเร้นอยู่ ฝั่งซ้ายมือไม่ไกลออกไปยังมีถ้ำอีกแห่ง พวกเราไปที่ถ้ำกันก่อน""ห้ะ...ไปที่ถ้ำทำไม"เซียวอวี่เชียนเขกกะโหลกพวกเขาคนละที "ยัยขี้เหร่สั่งให้พวกเจ้าไป พวกเจ้าก็ไป เหตุใดถึงมากความเช่นนี้"ทั้งสี่คน ชายสามหญิงหนึ่งเดินย่องเข้าไปถึงถ้ำ ถ้ำไม่ใหญ่มาก จุได้เพียงแค่พวกเขาสี่คน รอบๆ ที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นผนังดิน หลิ่วเยว่อวี๋ฮุยพลิกแผ่นดินหาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่เจอของล้ำค่าใด ในใจเริ่มร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อยกู้ชูหน่วนหยิบขวดยาออกมาสิบกว่าขวด โยนลงตรงหน้าพวกเขา "แบ่งกันเองแล้วกันนะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จำเป็นต้องเพิ่มความแข็งแกร่งอยู่เสมอ มีแค่แข็งแกร่งพอ ถึงจะไม่โดนผู้อื่นรังแก"เซียวอวี่เช
มองออกไป เหล่าบัณฑิตของสำนักบัณฑิตหลวงกระจัดกระจายกันไปตามยอดเขาต่างๆไม่ไกลออกไปจากพวกเขา จู่ๆ ก็มีเสียงร้องตกใจดังขึ้น "คุณพระช่วย หลี่เหิงพบใบอู๋หย่าเซียนแล้ว โชคดีอะไรเช่นนี้ เพิ่งจะเข้ามาถึงเขาสวินหลงก็พบของล้ำค่าที่ดีเช่นนี้แล้ว น่าอิจฉายิ่งนัก""นั่นน่ะสิ ใบอู๋หย่าเซียนเป็นสุดยอดยาสมุนไพรที่นำไปกลั่นเป็นยาเม็ดได้ ตามที่ได้ยินมาขอเพียงแค่มีใบอู๋หย่าเซียน ก็จะสามารถกลั่นยาชั้นสูงได้อย่างง่ายดาย ผู้คนตั้งมากมายวอนขอเท่าใดก็ไม่อาจได้มา เขาโชคดีเสียจริง""ไปๆๆ พวกเราก็รีบไปตามหากันเถอะ ดูสิว่ายังมีสมบัติล้ำค่าดีๆ อะไรอีกบ้างหรือไม่"อวี๋ฮุยพูดด้วยความอิจฉา "หลี่เหิงทำบุญมาด้วยอะไร มาถึงก็เจอของดีขนาดนี้"หลิ่วเยว่อวี๋ฮุยอยากไปลองหาในที่ที่หลี่เหิงเพิ่งเจอของล้ำค่าเมื่อครู่นี้อย่างละเอียดอีกที ดูว่าจะเก็บสิ่งใดที่เล็ดลอดไปได้บ้างหรือไม่ ทว่ากู้ชูหน่วนกลับกระชากพวกเขาเอาไว้ด้วยมือเดียว แล้วดึงพวกเขาไปซ่อนที่ด้านล่างเนินเขาเพิ่งจะซ่อนเสร็จ พลันมีแรงฝ่ามือพุ่งมาจากไกลๆ กระแทกเข้ากลางหลังหลี่เหิงอย่างจัง"เฮือก......"เขากระอักเลือดออกมา พลางมองไปทางคนร้ายตงฟางเจ๋ออย่างไม่เชื่อสา
บนเวทีแสดงวิทยายุทธสำนักบัณฑิตหลวง เหล่าบัณฑิตที่มาเข้าร่วมงานประชุมสวินหลงยืนเรียงกันเป็นห้าแถว อาจารย์บุ๋นบู๊สิบกว่าคนยืนอยู่บนเวที ปากอ้าๆ หุบๆ แนะนำกฎของงานประชุมสวินหลง"บัณฑิตที่มายืนอยู่ ณ ที่นี้ได้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่สำนักบัณฑิตหลวงคัดสรรมาอย่างดี ปีที่ผ่านมามีเพียงบัณฑิตปีนั้นๆ เท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมงานประชุมสวินหลงได้ แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อที่จะเฟ้นหาผู้มีความสามารถ จึงได้อนุญาตให้บัณฑิตยอดเยี่ยมของปีก่อนๆ ก็สามารถเข้าร่วมได้เช่นกัน""เขาสวินหลงเป็นหุบเขาแห่งมหาสมบัติของแคว้นเย่ ทุกคนต่างรู้ดี ในอดีตโบราณกาล ที่นั่นเคยเกิดสงครามใหญ่หลายครั้ง ถือเป็นร่องรอยของสนามรบที่หลงเหลือจากโบราณมา ข้างในไม่ได้มีเพียงแค่สัตว์ป่าดุร้าย ดอกไม้ประหลาดหรือหญ้าพิษ ยังมีสมบัติต่างๆ ที่หลงเหลืออยู่ ในนั้นเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าขั้นสองขึ้นไป หากโชคดี อาจหาสมบัติล้ำค่าขั้นสี่เจอก็เป็นได้""ไม่ว่าพวกเจ้าจะพบสมบัติล้ำค่าใดในเขาสวินหลง ล้วนแต่จะกลายเป็นของพวกเจ้าเอง หากพวกเจ้าโชคไม่ดี ไม่พบสิ่งใดเลย เช่นนั้นก็จะไม่ได้อะไรเลย พวกเจ้ามีเวลาในเขาสวินหลงสามวัน หลังจากสามวัน งานประชุมสวินหลงครั้
กู้ชูอวิ๋นเยื้องย่างอ่อนโยน โน้มตัวเล็กน้อย ก่อนจะแสดงความเคารพด้วยท่าที่ตรงตามมาตรฐานหนึ่งที น้ำเสียงไพเราะกังวาน "ชูอวิ๋นคาราวะหานอ๋องเฟย และคุณชายเซียว"เซียวอวี่เชียนหันหน้าไปทางอื่น ส่งเสียงค่อนแคะในลำคอ ขี้เกียจแม้แต่จะชายตามองกู้ชูอวิ๋นสักครั้งท่าทางทั้งหมดนี้ของเซียวอวี่เชียนแสดงให้เห็นว่าเซียวอวี่เชียนรังเกียจกู้ชูอวิ๋น ไม่อยากจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ใดๆ ทั้งสิ้นตงฟางเจ๋อที่มีนิสัยค่อนข้างใจร้อน พลันเดือดดาลทันที "คุณหนูรองกู้ใจกว้างโอบอ้อม ทำความเคารพพวกเจ้าด้วยความสุภาพ ทว่าพวกเจ้ากลับจองหอง จงใจทำตัวอยู่เหนือกว่า พวกเจ้าคิดว่าฐานะของตนสูงส่งถึงได้ดูถูกทุกคนเช่นนั้นหรือ"ตงฟางเจ๋อไม่ได้พูดว่าเจ้า แต่เป็นพวกเจ้า เหมารวมกู้ชูหน่วนเข้ามาด้วยเซียวอวี่เชียนกำลังจะระเบิดอารมณ์ ทว่ากู้ชูหน่วนขวางเขาไว้ นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สองมือกอดอก ในปากคาบดอกหญ้าหนึ่งต้น ท่าทางอวดเบ่งและบ้าบิ่น“สหาย หากเจ้ามีฐานะเช่นพวกข้า เจ้าก็ทำตัวสูงส่ง ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นได้เหมือนกัน”ซี้ดดด...ทุกคนต่างก็สูดหายใจเข้าลึกด้วยความตะลึงตงฟางเจ๋อเป็นถึงยอดฝีมือขั้นหนึ่ง แม้ชาติตระกูลจะสู้
"เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า"เซียวอวี่เชียนถอนหายใจยาวเหยียดตอนนั้นเทพสงครามฉุนเฉียวเช่นนั้น เขาคิดว่ายัยขี้เหร่จะต้องไม่ได้มีจุดจบที่ดีแน่หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาพยามคิดหาหนทางหนีออกไปจากจวนแม่ทัพเพื่อไปเยี่ยมยัยขี้เหร่ที่จวนหานอ๋อง แต่ช่วยไม่ได้ที่ถูกปิดตายอยู่ในห้อง ไม่ว่าเขาจะคิดหาทนทางเพียงไรก็หนีออกไปไม่ได้"ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว"เขาพูดพลางเหลือบไปมองหน้าท้องของนางปราดหนึ่งนี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว เหตุใดท้องของนางยังแบนราบเช่นนี้ หรือสารอาหารจะไม่เพียงพอแต่สีหน้าของนางดูเหมือนจะดีกว่าแต่ก่อนเยอะ แม้แต่ราศีที่เปล่งออกมาก็เปลี่ยนไป ไม่เหมือนคนที่ใช้ชีวิตอย่างตรอมตรมเลยสักนิด"เหลือเวลาอีกเท่าไหร่กว่าจะถึงพิธีแต่งงานของเจ้า""งานประชุมสวินหลงเสร็จสิ้นก็ต้องจัดแล้ว แต่เจ้าวางใจ ข้าไม่มีทางแต่งกับนางเด็ดขาด"กู้ชูหน่วนแค่นหัวเราะ "แน่นอนว่าแต่งกับนางไม่ได้"ผู้ที่มารยาร้อยเล่มเกวียน ประพฤติไม่ชอบอย่างกู้ชูอวิ๋น จะแต่งมาทำอะไร"ยัยขี้เหร่ เจ้าไม่อยากให้ข้าแต่งกับนางจริงๆ ใช่หรือไม่"เอิ่ม......เซียวอวี่เชียนจะตื่นเต้นขนาดนี้ไปทำไมในฐานะเพื่อน นางย่อมไม่อยากให้เซียวอวี่เชียนแต
"ทูลพระชายา นายท่านไปพำนักที่เรือนชิวเฟิงชั่วคราว อีกสองสามวันก็จะกลับมาแล้ว"เรือนชิวเฟิง ?ไปที่นั่นทำไม"เขาได้รับบาดเจ็บหรือ" กู้ชูหน่วนถามอย่างระแวดระวัง"หามิได้ นายท่านไม่ได้ไปที่เรือนชิวเฟิงมาระยะหนึ่งแล้ว จึงอาจอยากอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน ข้าน้อยก็ไม่ทราบแน่ชัด หน้าที่ของข้าน้อยคือปกป้องคุ้มครองพระชายา"กู้ชูหน่วนกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย รู้สึกอยู่ตลอดว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นงานประชุมสวินหลงที่สำนักบัณฑิตหลวงจะจัดผลัดออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งผลัดมาจนถึงวันนี้นางเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าเจ็ดวันก่อน นางรับปากเสี่ยวลู่ ลานประมูลเฟิงเซียงไว้แล้วว่าวันนี้จะไปตามเวลาที่นัด แต่หากไปลานประมูลเฟิงเซียง เช่นนั้นก็ไปร่วมงานประชุมสวินหลงไม่ได้ระหว่างที่นางกำลังลังเลว่าจะไปร่วมงานประมูลเฟิงเซียงหรืองานประชุมสวินหลงดี บ่าวรับใช้ก็เข้ามารายงานกะทันหัน"พระชายา ลานประมูลเฟิงเซียงส่งข่าวมาว่า ยกเลิกงานประมูลวันนี้ เลื่อนไปจัดในอีกสิบวันให้หลัง ลานประมูลขอเชิญท่านไปเข้าร่วมในอีกสิบวันข้างหน้า"บังเอิญเพียงนี้เลยรึหรือลานประมูลเฟิงเซียงจะรู้ว่าวันนี้นางอยากไปร่วมงานประชุมสวินหลง
ครั้งนี้ นางใช้โชคเข้าปะทะชีพจรยุทธ ทุกครั้งที่ใกล้จะทะลวงชีพจรยุทธได้สำเร็จ นางจะคว้ายาชำระไขกระดูกจำนวนมากมากินเพื่อเพิ่มพลังงานเช่นเดียวกับครั้งก่อนๆ ทุกครั้งที่นางเพิ่งจะเปิดรอยแยกได้ ก็จะปิดลงทันที กู้ชูหน่วนไม่ยอมแพ้ นางทะลวงครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ ในที่สุดนางก็เปิดชีพจรยุทธได้สำเร็จ"เฮือก......"เลือดสดอีกคำไหลหยดออกมา คนอื่นทะลวงชีพจรยุทธแล้วจะรู้สึกสบายไปทั้งตัว มีพลังงานเต็มเปี่ยม แต่นางกลับเหมือนหนีความตายมาได้ และเกือบเอาชีวิตนางไปกู้ชูหน่วนคราบเลือดติดมุมปาก แต่นางก็แย้มรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมานางพยายามใช้โชคหมุนเวียนพลังงานภายในร่างกาย เปลวไฟกลุ่มหนึ่งในตันเถียนของนางกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และร่างกายของนางก็เบาขึ้นกว่าเดิมมากนางมีพลังภายในแล้ว...... แม้ว่าพลังภายในจะอ่อนแอมากก็ตาม......การเปิดชีพจรยุทธบ่งชี้ว่านางสามารถฝึกวิชายุทธได้แล้วกู้ชูหน่วนหายใจออกมายาวและเปิดตำรารวมสูตรปรุงยาอีกครั้งยายกระดับเป็นยาที่ช่วยเพิ่มพลังภายในอย่างรวดเร็วและทะลวงผ่านหนึ่งขั้นได้กู้ชูหน่วนรู้สึกสนใจขึ้นมา"ชิงเฟิง"ชิงเฟิงทำหน้าบูดบึ้ง "พระชาย
บ่าวรับใช้ในจวนอ๋องกำลังช่วยกันดับไฟ ผมของกู้ชูหน่วนถูกระเบิดจนยุ่งเหยิง ราวกับรังไก่ ชิงเฟิงจัดให้นางไปอยู่ในห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงามอีกห้องหนึ่งภายในห้อง กู้ชูหน่วนมองกล่องยาชำระไขกระดูกขนาดใหญ่ตรงหน้า ทั้งกังวลและโล่งใจกังวลคือยาชำระไขกระดูกยังห่างไกลจากผลลัพธ์ที่นางต้องการโล่งใจคือในที่สุดก็ทำสำเร็จแล้ว"ชิวเอ๋อร์ ไปเฝ้าหน้าประตู ห้ามให้ใครเข้ามา รวมถึงท่านอ๋องด้วย""คุณหนู ท่านจะทำอะไรอีกแล้วหรือเจ้าคะ?"ชิวเอ๋อร์กลัวจนตัวสั่น ชีวิตของคุณหนูเกือบจะจบสิ้นแล้ว นางคงไม่คิดที่จะปรุงยาอีกแล้วใช่หรือไม่"เจ้ารู้อะไร รีบออกไปเถิด""แต่ว่า......"ก่อนที่ชิวเอ๋อร์จะพูดจบ กู้ชูหน่วนก็ผลักนางออกไป แล้วนั่งขัดสมาธิบนเตียง หยิบยาชำระไขกระดูกในกล่องตรงหน้ามากินหนึ่งเม็ดความร้อนไหลขึ้นมาจากตันเถียน แต่ชีพจรยุทธไม่เปิดออกเสียทีกู้ชูหน่วนกินอีกหลายเม็ด ความร้อนในตันเถียนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เส้นลมปราณทั้งเจ็ดและแปดเส้นรู้สึกสบาย แต่ชีพจรยุทธยังคงไม่เปิดออกนางขมวดคิ้ว "ใช้สมุนไพรที่คล้ายกันมาทดแทน ผลลัพธ์ก็ยังแตกต่างกันมาก ยาชำระไขกระดูกนี้แย่เกินไป"กู้ชูหน่วนกัดฟัน กลืนยาชำระไขกระ
"พระชายา โปรดอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลย ข้าน้อยก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น"เมื่อเห็นว่ากู้ชูหน่วนตั้งใจจะออกไป ชิงเฟิงก็ตกใจและเอ่ยว่า "พระชายา ท่านต้องการไปหายาใช่หรือไม่? หรือว่าท่านจะให้ใบสั่งยาแก่ข้าน้อย แล้วให้ข้าน้อยปหายามาให้""ก็ได้ ยิ่งเร็วยิ่งดี""ขอรับ"ความเร็วของชิงเฟิงและคนอื่นๆ นั้นรวดเร็วมาก แต่หลังจากกลับมา คำตอบของพวกเขาก็เหมือนกับที่ชิวเอ๋อร์พูดไม่มีผิดเพี้ยน"พระชายา ข้าน้อยได้ไปหาหมอหลวงทุกคนในสำนักหมอหลวงแล้ว พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อสมุนไพรในใบสั่งยาของท่านเลย และไม่สามารถหายาเหล่านั้นมาให้ท่านได้"ด้วยความกลัวว่ากู้ชูหน่วนจะโกรธ ชิงเฟิงจึงหยุดชะงักแล้วเอ่ยต่อทันทีว่า "ข้าน้อยได้พาหมอหลวงจากสำนักหมอหลวง รวมถึงหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงมาด้วย พระชายาสามารถสอบถามพวกเขาได้โดยตรงเลย"เมื่อโบกมือ หมอจำนวนมากก็เดินเข้ามาทีละคน และทำความเคารพนาง "คารวะพระชายา ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พันปี พันๆ ปี""พอเถอะ ข้าขอถามพวกท่าน พวกท่านไม่เคยได้ยินชื่อซานหลิง ซูเหอเซียง การบูร จริงๆ หรือ?""ทูลพระชายา พวกข้าประกอบอาชีพหมอมาหลายสิบปี บรรพบุรุษของพวกข้าก็เป็นหมอเช่นกัน พวกข้าไ