หญิงนางนี้ บ้าไปแล้วเหรินหู่วิ่งโทกเทกเข้ามา ฉีกยิ้มเอ่ย "ค้อนเหล็กของข้านี้ ช่างเหล็กชื่อดังใช้เหล็กดำตีขึ้นมา เจ้าชอบหรือไ่ม่ หากเจ้าชอบ ข้าก็จะยกให้เจ้า"กู้ชูหน่วนรังเกียจเหลือหลาย "ทั้งหนักทั้งเทอะทะ เจ้าเก็บไว้เองเถิด"เมื่อนึกถึงภาพที่เหรินหู่ฟาดคนเผ่าหมอตายเป็นเบือเมื่อครู่นี้ เซียวอวี่เชียนก็ชักกลัวขึ้นมา ร่างแข็งเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่ กลัวว่าเหรินหู่จะค้อนทุบนางตายเอาในพริบตาแต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ นอกจากเหรินหู่จะไม่โกรธแล้ว ยังยิ้มแก้เก้อพลางเอ่ยอีก "นั่นสิ เจ้าเป็นหญิงจะถือค้อนเหล็กเช่นนี้ก็ไม่งามจริงๆ เช่นนั้นข้าให้คนทำค้อนเหล็กน้อยให้เจ้าไหม"เฮ้ย...นี่มันเกิดอะไรขึ้น?สำนักซิวหลัวคุยกันง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ?กู้ชูหน่วนเมินเหรินหู่เสียดื้อๆ เดินมาหยุดอยู่หน้าฝูกวง"เจ้าชื่ออะไรรึ?""ฝูกวง ฝูที่แปลว่าสะท้อน กวงที่แปลว่าแสงสว่าง" ทั้งยังเป็นชื่อที่เจ้าสำนักของพวกเขาตั้งให้ ผ่านมาหลายปี แค่คนในสำนักยังคงอิจฉาที่เจ้าสำนักตั้งชื่อให้เขาจนถึงทุกวันนี้"ฝูกวง เป็นชื่อที่ไพเราะนัก แสงสว่างที่สาดส่องโลก"ฝูกวงตัวสั่น ขอบตาแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่แสงสว่างที่สาดส่องโลก...
เหรินหู่วิ่งตามเข้ามา เอ่ยเสียงตื่นเต้น "คุณหนูสาม ท่านว่าข้าเป็นองครักษ์ลับของท่านได้หรือไม่? ฝีมือข้าก็ไม่แพ้ฝูกวง แค่ค้อนเดียวก็ฝาดคนตายได้เป็นเจ็ดแปดคนเชียวนะ"กู้ชูหน่วนกวาดตามองร่างบึกบึนของเขา มุมปากพลันกระตุก "เจ้าอ้วนเกินไป ข้าเลี้ยงไม่ไหวหรอก""ท่านไม่ต้องเลี้ยงข้า ข้าเลี้ยงตัวเองได้""พอได้แล้ว เจ้าคิดว่าที่สำนักว่างมากหรือไร" ประมุขชิงเอ่ยเสียงเย็น"แต่ว่า... แต่ว่า...""กลับมาได้แล้ว"เหรินหู่ไม่พอใจนัก แต่ไม่กล้าขัดขืน ทำได้เพียงมองฝูกวงที่ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยสายตาอิจฉา"คุณหนูสาม แล้วพบกันใหม่""เดี๋ยวก่อน เหตุใดพวกเจ้าถึงช่วยข้า"ประมุขชิงยิ้มละมุนดุจลมวสันต์ คนไม่รู้คงนึกว่าเขาเป็นบัณฑิตคงแก่เรียนอ่อนปวกเปียก"อาจเป็นเพราะมีวาสนาต่อกันกระมัง สำนักซิวหลัวนั้นให้ความสำคัญกับคำว่าวาสนานัก"กู้ชูหน่วนอยากจะถามต่อ ทว่าบรรดาคนจากสำนักซิวหลัวกลับหายไปในพริบตาพวกเขามาเร็วไปเร็ว เร็วเสียจนมองไม่ทันด้วยซ้ำว่าไปทางไหนในตรอกที่เมื่อครู่คนแน่นไปหมด ยามนี้เหลือเพียงนาง เซียวอวี่เชียน และฝูกวง แม้แต่ชายหนุ่มพวกนั้นหายไปตอนไหน พวกนางเองก็ไม่รู้ลมหนาวพัดผ่าน กลิ่นคาวเลือ
"ข้าไม่เป็นไร แค่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พักผ่อน กลางคืนนอนสักหน่อยก็หายแล้วขอรับ""เจ้านี่นะ ยังหนุ่มยังแน่น ทำงานเยอะปานนี้ สักวันจะเหนื่อยตายเอา เอาล่ะๆ ข้านวดแป้งเอง อย่างไรวันนี้ลูกค้าก็ไม่มาก เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด ข้าให้ค่าแรงเท่าเดิม"เจ้าของร้านแย่งงานเขาทำ แต่เยี่ยเฟิงปฏิเสธ "เวลานี้ถึงข้ากลับไปนอนก็นอนไม่หลับ สู้อยู่ช่วยงานดีกว่า""เจ้าเด็กคนนี้ ทำให้เขาปวดใจเก่งจริงๆ ว่าแต่อาการป่วยย่าเจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่? ข้าได้ยินมาว่ามีหมอพเนจรมาเยือนทางทิศเหนือของเมือง ฝีมือดีนัก หากย่าเจ้ายังอาการไม่ดีขึ้น บางทีลองให้หมอคนใหม่รักษาดูอาจจะหายก็ได้ "มือของเยี่ยเฟิงชะงักลง แววตาเฉยชาพลันเป็นประกาย "หมอพเนจรทางเหนือของเมืองหรือขอรับ?""ใช่แล้ว ได้ยินมาว่ารักษาคนพิการมาหลายคนแล้ว เพื่อนบ้านข้าไปหาหมอมาไม่รู้กี่คน หูหนวกรักษาไม่หาย แต่พอหมอคนนั้นรักษา กินยาไม่กี่ชุด ยาออกฤทธิ์ก็หายทันที เจ้าว่าวิเศษหรือไม่?""ไม่รู้ว่าหมอท่านนั้น... ค่ารักษาแพงหรือไม่?" ยามเยี่ยเฟิงเอ่ยถาม ท่าท่างระแวดระวัง ทั้งยังดูประหม่า"ไม่แพง ไม่แพงเลย เพื่อนบ้านข้าจ่ายแค่หนึ่งร้อยอีแปะ""หนึ่งร้อยอีแปะ... ไม่แพงจริง
"เยี่ยเฟิงเป็นเด็กดี ปกติเห็นเขาเย็นชาเช่นนั้น แต่เขาจิตใจดียิ่งนัก ไม่กี่เดือนก่อนเขาพาย่าที่ป่วยหนักเดินทางผ่านหมู่บ้านข้า หิวจนท้องกิ่ว ไร้เรี่ยวแรง พวกข้าเห็นแล้วสงสารเขาจึงให้หมั่นโถวไปลูกหนึ่ง ตอนแรกเขาไม่ยอมรับไว้ แต่สุดท้ายเห็นย่าเขาใกล้จะหิวตายอยู่รอมร่อ ถึงได้ยอมรับหมั่นโถวลูกหนึ่งจากพวกข้าให้ย่าเขากิน""แต่เจ้ารู้ไหม เพราะพวกข้าให้หมั่นโถวลูกนั้นกับเขา หลายเดือนมานี้ เขาช่วยปลูกผักถางหญ้า แถมยังซ่อมหลังคาบ้านข้าด้วย ภรรยาข้าคลอดยาก ก็ได้เขาแบกภรรยาข้าไปหาหมอตำแย ถึงได้รักษาชีวิตภรรยากับลูกข้าไว้ได้"กู้ชูหน่วนที่กินบะหมี่อยู่ชะงักไปหากเถ้าแก่ร้านบะหมี่พูดจริง เยี่ยเฟิงนั้นก็ไม่ใช่คนเลวร้ายแต่อย่างใด"เยี่ยเฟิงเป็นคนดี ไม่ใช่แค่ช่วยเหลือพวกข้า แต่ยังช่วยเหลือชาวบ้านในหมู่บ้านอีกเยอะแยะ หากเขาทำได้ ก็จะทำสุดกำลัง คนในหมู่บ้านข้ารักเยี่ยเฟิงยิ่งนัก""ท่านบอกว่าเขากับย่าเขาเดินทางผ่านหมู่บ้านท่านเมื่อไม่กี่เดือนก่อนอย่างนั้นหรือ? นอกจากย่าแล้ว เขายังมีญาติพี่น้องคนอื่นอีกหรือไม่?"เถ้าแก่ส่ายหน้า "ไม่มี ได้ยินมาว่าตั้งแต่เล็กเขามีเพียงย่าเป็นที่พึ่งพิง บ้านเกิดเจอภัยพิบัต
"ความดีของเขาทำเอาข้าปวดใจนัก ยามปกติแม้แต่มดตัวเดียวยังไม่กล้าเหยียบ ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดสวรรค์ถึงให้คนแสนดีอย่างเยี่ยเฟิงต้องลำบากเพียงนี้""บางครั้งพวกข้าก็อยากบอกให้เขาปล่อยย่าเขาไปเถิด ตัวเขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ แม้แต่ย่าเขายังขอให้เขาปล่อยตัวเองไปเลย แต่เจ้าเด็กนั่นดื้อดึงนัก ต่อให้ตัวเองเหนื่อยตายก็ต้องให้ย่าอยู่ดีกินดีที่สุด"ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกู้ชูหน่วนถึงได้รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างประหลาด"ท่านรู้หรือไม่ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน""ท้ายหมู่บ้านเสี่ยวเหอชุนของพวกข้าน่ะ เขายากจนข้นแค้น เงินที่หามาได้ก็เอาไปรักษาย่าเขาหมด ไม่มีเงินแม้แต่จะสร้างบ้าน ผู้ใหญ่บ้านพวกข้าเมตตาให้กระท่อมฟางเขาอยู่ กันลมกันฝนไปพลางก่อน"กู้ชูหน่วนพลันยิ้มเอ่ย "เขาทำงานกับท่านที่นี่ ท่านให้เขาวันละเท่าไหร่รึ""ไอ้หยา เขาไม่เอาเงินข้าด้วยซ้ำ ข้าต้องยัดใส่มือตลอด เขาถึงจะยอมรับเงินวันละห้าอีแปะจากข้า แต่ก็นะ เขาไม่ได้มาทุกวันหรอก"พูดถึงตรงนั้นเถ้าแก่ก็ชะงักไป พลันเอ่ยอย่างสงสัย "พูดถึงเรื่องนี้ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าสงสัยนัก เยี่ยเฟิงมักจะหายตัวไปสองสามวัน ข้าถามว่าเขาไปไหน เขาไม่เคยบอกเลย ทุกครั้งจะ
กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้น ตรงหน้ามีกระท่อมฟางผุพังหลังหนึ่งตั้งอยู่กระท่อมฟางนั้นถูกสร้างอย่างเรียบง่าย มีเพียงสองห้องเล็ก แถมยังเอียงกระเท่เร่ ชวนกังวลว่าจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อแต่สวนรอบกระท่อมนั้นใหญ่ไม่น้อย มีสมุนไพรและผักดองตากอยู่เรียงรายกู้ชูหน่วนสะดุดตากับผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่นเป็นหญิงชราอายุล่วงวัยหกสิบ สวมเสื้อผ้าธรรมดา มีรอยเย็บปะมากมาย แต่เสื้อขาวนั้นกลับสะอาดสะอ้านนางกำลังเย็บซ่อมเสื้อผ้า ทว่าสองตานั้นเหมือนจะบอดมืด จึงทำได้เพียงอาศัยมือคลำแล้วเย็บตาม แถมยังต้องยกมือป้องปากไอโขลกเป็นพักๆ"ผู้เฒ่าคนนั้นคือย่าของเยี่ยเฟิง""ขอบคุณท่านลุง""เอาละ เจ้าเข้าไปเองเถิด ข้าอยู่ในไร้ข้างๆ นี่แหละ มีอะไรก็ตะโกนเรียกข้า"เถ้าแก่ร้านบะหมี่พูดเสียอ้อมค้อม แต่กู้ชูหน่วนฟังออกว่าเขานั้นไม่ไว้ใจ ถึงได้คอยเฝ้าจับตามองนางอยู่ไม่ไกล เตือนนางว่าอย่าทำมิดีมิร้ายกับย่าของเยี่ยเฟิงกู้ชูหน่วนยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างห้ามไม่ได้คนไม่พูดไม่จาอย่างเยี่ยเฟิงก็มีคนเอ็นดูไม่น้อย"สวัสดีจ้ะท่านย่า ข้าชื่อกู้ชูหน่วนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเยี่ยเฟิง ได้ยินเขาพูดถึงท่าน ข้าเลยมาเยี่ยมท่าน"กู้ชูหน่วนเข้ามา
แม่เฒ่าเยี่ยทอดถอนใจ ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด "ตั้งแต่เล็กเขาโหยหาความอบอุ่น เห็นเด็กคนอื่นกอดขาอ้อนพ่อแม่ เขาก็มักจะมองด้วยความอิจฉา ต่อมาคงกลัวว่าข้าจะเป็นห่วง เขาถึงไม่ยอมแสดงออก แต่ข้าก็รู้ ว่าเราโหยหาพ่อแม่มากกว่าใคร""ท่านไม่ใช่ย่าแท้ๆ ของเขาหรือ?""ข้าก็อยากให้เขาเป็นหลานชายแท้ๆ ของข้าเหมือนกัน แต่เสียดายที่ข้าไม่มีวาสนา มีลูกกี่คนก็ตายจากไปก่อนเสียหมด""ท่านเมตตารับเลี้ยงเยี่ยเฟิงหรือเจ้าคะ?" กู้ชูหน่วนถามอ้อมค้อมความเจ็บปวดฉายแวบผ่านสีหน้าของแม่เฒ่าเยี่ย คล้ายกับว่าไม่อยากตอบคำถามนี้สักเท่าไร เอ่ยเสียงเรียบเพียงว่า "ก็คงใช่กระมัง ข้าให้หมั่นโถวเขาแค่ลูกเดียว เด็กคนนี้รู้จักตอบแทนบุญคุณ หลายปีมานี้ดูแลข้าไม่มีขาดตกบกพร่อง เรียกไปว่ายอมลำบากตราตรำเพื่อข้า""ข้าขอเข้าไปดูในบ้านได้หรือไม่?""ไ้ด้อยู่แล้ว"แม่เฒ่าเยี่ยหมายจะพานางเข้าไป กู้ชูหน่วนรีบประคองนางให้นั่งลง "ท่านสายตาไม่ดี เดินเหินก็ไม่สะดวก ข้าเข้าไปเองก็ได้เจ้าค่ะ""แค่กๆ... ประเด็นคือบ้านคับแคบนัก แถมเพดานยังต่ำ ข้ากลัวว่าแม่หนูจะหัวโขกเพดานเอา""ข้าจะระวังเจ้าค่ะ"กระท่อมผุพัง มีเพียงแค่สองห้อง
กู้ชูหน่วนหยิบพู่กันขึ้นมา เขียนสูตรยาลงบนกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง เดิมหมายจะให้พวกเขาไปซื้อยาตามนี้ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาเงินทองขัดสน กู้ชูหน่วนก็ทอดถอนใจ ออกไปซื้อยาจากในตัวอำเภอแล้วกลับมาต้มในนางดื่มด้วยตัวเองแม่เฒ่าเยี่ยปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า กู้ชูหน่วนกลับยิ้มเอ่ย "ข้าไปซื้อยามาแล้ว ทั้งยังต้มแล้วด้วย หากท่านไม่ดื่ม ข้าคงต้องดื่มหรือไม่ก็เททิ้งเท่านั้นกระมังแล้ว?""เอ่อ...""ในตัวท่านมีพิษ แม้ยานี้จะรักษาพิษไม่ได้ แต่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของท่านได้ แล้วก็ที่ท่านไอหรือปวดกระดูก ก็ช่วยรักษาได้เหมือนกัน""แม่หนู..." แม่เฒ่าเยี่ยท่าท่างเหมือนประหลาดใจไม่น้อย ที่นางมองออกว่านางโดนพิษมากมาย นางยังเด็กอยู่เลยแท้ๆ ไม่ได้จับชีพจรด้วยซ้ำแต่กลับรู้อาการป่วยของนาง"ข้าบอกแล้ว บ้านข้าแต่ก่อนเป็นหมอสืบทอดกันมา ข้าถึงได้พอรู้วิชาบ้างน่ะ""เจ้าเป็นคนดีนัก ทุกคนในหมู่บ้านนี้ล้วนแต่เป็นคนดีทั้งนั้น" แม่เฒ่าเยี่ยสะอื้น ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาเป็นพักๆเบ้าตาของนางกลวงโบ๋ สิ่งที่ไหลออกมามิใช่น้ำตา แต่เป็นเลือดกู้ชูหน่วนเห็นแล้วปวดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกชีวิตลำบากปานนี้ แถมร่างก็ย่ำแย่เห
เดิมทีคนของเผ่าเทียนเฝินก็สงสัยในตัวนายท่านหลันอยู่แล้ว เมื่อกู้ชูหน่วนพูดเช่นนี้ คนของเผ่าเทียนเฝินก็อดไม่ได้ที่จะมองนายท่านหลันเป็นศัตรูยิ่งกว่าเดิม กู้ชูหน่วนเอ่ยออกมาเบาๆ อีกประโยค "อีกอย่างหินก้อนใหญ่จากยอดเขากลับร่วงมาบนหัวผู้อาวุโสทุกท่านของเผ่าเทียนเฝิน ทว่าพวกเจ้าทั้งหมดกลับอยู่ริม และหลบได้อย่างง่ายดาย" "กู้ชูหน่วน เจ้าหมายความเช่นไร หรือเจ้าสงสัยว่าเป็นแผนของข้ารึ" "ข้าไม่มีความกล้าที่จะพูดเช่นนั้นหรอก ชีวิตน้อยๆ ของข้ายังอยู่ในมือเจ้า" "เช่นนั้นหินก็ไม่ได้ร่วงใส่เจ้าไม่ใช่หรือ" "ข้าไม่โดนหินทับตาย เพราะข้าดวงแข็ง ใครจะรู้ว่าอีกเดี๋ยวทางที่เจ้าพาไป จะหลอกข้าไปตายหรือไม่" "หากวันนี้ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ข้าจะไม่ใช่นายท่านหลันแห่งกองธงทั้งสิบสองของเผ่าหมออีก" นายท่านหลันเดือดดาล ไม่ลังเลที่จะลงมืออีกต่อไป ทุกกระบวนท่าล้วนแต่ต้องการจะสังหารกู้ชูหน่วนให้ถึงแก่ชีวิต ผู้อาวุโสเผ่าเทียนเฝินก็มีน้ำโหด้วยเช่นกัน บวกกับกู้ชูหน่วนคอยยุแยงทุกประโยค คนของเผ่าเทียนเฝินและเผ่าหมอจึงแตกหักกันโดยสิ้นเชิง หันมาฆ่าฟันกันเอง ผู้อาวุโสจวินพูดด้วยความฉุนเฉียว "พวกหัวขโมยอ
ไฟโทสะในใจของนายท่านหลันสุมเป็นกองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา เขาคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “กู้ชูหน่วน เจ้าวกไปวนมา จะวนไปถึงไหนกัน” “พวกเจ้าให้ข้าพาพวกเจ้าไปสุดยอดเขาเพื่อตามหาแก้วมังกรไม่ใช่รึ ข้ากำลังหาทางอยู่นี่อย่างไร” นายท่านหลันโกรธจนอยากจะฟาดฝ่ามือใส่นางให้ตาย กู้ชูหน่วนพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ “ที่แห่งนี้มีทางแยกมากมาย ข้าพยายามหาเส้นทางเต็มที่แล้ว อีกอย่างทุกเส้นทางที่ไป ล้วนแต่ผ่านความเห็นชอบของพวกเจ้าแล้ว นายท่านหลัน เจ้าจะใส่ร้ายว่าข้าจงใจพาพวกเจ้าวกไปวนมาได้อย่างไร” นายท่านหลันหงุดหงิด ทั้งๆ ที่กู้ชูหน่วนจงใจหลอกพวกเขา ทว่านางกลับเอาเหตุผลมาอ้างทุกประโยค แสร้งทำเป็นบริสุทธิ์ ทำให้เขาหาข้อกังขาไม่ได้ ทุกครั้งที่นางจะวนอยู่ที่ทางแยก นางถามพวกเขาก่อนแล้ว แต่นางแทบไม่ให้เวลาเขาดูแผนที่ก็มุ่งหน้าเดินต่อไปแล้ว ผู้อาวุโสระดับสูงหวงเริ่มจะหมดความอดทน พวกเขาวนอยู่ในถ้ำมาครึ่งวันแล้ว ขืนวนต่อไป เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดของพวกเขาก็จะถูกใช้จนหมด ต้องไปถึงยอดเขาให้ได้โดยเร็ว เขาเอ่ยเสียงขรึม พยายามข่มความเหลืออดไว้ในใจ “ยังต้องเดินอีกไกลเพียงใด” “เ
ครั้งนี้ เหล่าผู้อาวุโสของเผ่าเทียนเฝินเองก็ไม่ใจเย็นอีกต่อไปแล้ว อยากจะแทงกู้ชูหน่วนให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น ทว่ากู้ชูหน่วนกลับชิงร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาเสียก่อน พลางสะอึกสะอื้น "เหล่าสหายทั้งหลาย เป็นข้าเองที่ทำร้ายพวกเจ้า หากรู้แต่แรกว่าที่นี่อันตรายถึงเพียงนี้ หากรู้แต่แรกว่าถ้าบุกเข้ามาจะทำให้พวกเจ้าตายอย่างทรมานที่นี่ ข้ายอมถูกพวกเจ้าตีตายไปเสีย แต่จะไม่ยอมยกกระดิ่งภินวิญญาณให้เด็ดขาด ข้าผิดต่อพวกเจ้า" "ข้าสมควรตาย ข้าทำผิดต่อพวกเจ้า พวกเจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ ชีวิตคนมากมายเช่นนี้ คุณพระช่วย...ข้าควรชดใช้เช่นไร" นางร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล ปวดใจเป็นที่สุด คนของเผ่าเทียนเฝินพลันใจอ่อนฮวบในทันที คนของเผ่าหมอก็คลายความโกรธลงไปไม่น้อย มีเพียงแค่นายท่านกองธงที่กัดฟันกรอด เส้นเลือดสีเขียวปูดจนจะระเบิดออกมา "ในเมื่อเจ้าอยากตายถึงเพียงนี้ เช่นนี้ข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง" หัวหน้ากองธงพูดพลางฟาดฝ่ามือไปที่กะโหลกของนาง คนของเผ่าเทียนเฝินมองดูหน้าตาเฉย อยากเห็นว่ากู้ชูหน่วนคิดจะเล่นพิเรนทร์อะไร คิดไม่ถึงว่ากู้ชูหน่วนเพียงแค่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่ขยับเขยื้อน อีกทั้งยังไม่ตอบโต้ ท่าทางรอคว
เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงเป็นกังวล ยามนี้พวกเขาต่างก็เจ็บหนัก หากฝืนตามไป ใช่ว่าจะเป็นประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรอาการของแต่ละคนก็สาหัสปางตายกันทั้งสิ้น แต่หากไม่ไปแล้วแก้วมังกรถูกชิงไป คิดจะแย่งกลับมา เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้ว พวกเขาออกตามหามาหลายปี ใช้คนไปตั้งมากมาย จนมาพบที่ตั้งของแก้วมังกรในที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรยอมแพ้ กู้ชูหน่วนพิงอยู่ข้างโขดหิน มองดูท่าทีลังเลของพวกเขาอยู่เงียบๆ มุมปากยกยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็น แก้วมังกรล่อตาล่อใจเสียขนาดนั้น มีหรือที่พวกเขาจะไม่ติดกับ เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ คนเหล่านี้กัดฟันเค้นออกมาหนึ่งประโยค "ไป ขึ้นเขาไปดูเสียหน่อย เจ้าก็ไปกับพวกข้าด้วย" กู้ชูหน่วนแสร้งทำเป็นตกใจ "เมื่อครู่พวกท่านเพิ่งรับปากว่าจะให้ข้าออกไปอย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือ หรือท่านจะกลับคำพูด" "แผนที่ที่เจ้าให้มามีเพียงครึ่งเดียว นอกเสียจากเจ้าช่วยพวกข้าตามหาอีกครึ่งหรือหาแก้วมังกรพบ ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าจะได้ไปไหน" "ท่านไม่รักษาคำพูดนี่" "เช่นนั้นเจ้าอยากถูกฝังอยู่ที่นี่หรือไม่" คนของเผ่าเทียนเฝินผลักนางไปด้านหน้า กู้ชูหน่วนทำได้เพียงแค่มุ่งหน้า
ทุกคนต่างก็จ้องไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความโกรธ กู้ชูหน่วนผงะถอยหลังไปหลายก้าว พูดด้วยความระวัง "อีกครึ่งถูกชาวเขาตานหุยชิงไป พวกเจ้าจ้องข้าก็ไม่มีประโยชน์ หากข้ามีแผนที่อีกครึ่ง อย่างไรก็ต้องส่งให้พวกเจ้าอยู่ดี" "ชาวเขาตานหุย ?" นายท่านหลันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง "ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่า เหตุใดชาวเขาตานหุยถึงใจเย็นได้ขนาดนั้น รอพวกเจ้าต่อสู้อยู่ด้านนอกตั้งนาน เว้นเสียแต่นอกจากทางลงเขาเส้นนี้ บริเวณปากเขาน้ำเต้ายังมีทางอีกเส้นที่สามารถออกไปจากเขาน้ำเต้าแห่งนี้ได้ หากพวกเขาได้แก้วมังกรแล้ว ก็น่าจะลงเขาไปทางนั้นเลย" นายท่านหลันสงสัยเคลือบแคลงในคำพูดของนางเป็นอย่างยิ่ง"ทุกท่าน สตรีนางนี้ไม่เคยมีความจริงออกจากปากนาง พวกเจ้าอย่าไปเชื่อนางเด็ดขาด" ผู้อาวุโสอวิ๋นสองจิตสองใจ "คนของพวกเราเข้ามาในเขาน้ำเต้า บาดเจ็บเสียหายอย่างหนัก แต่ชาวเขาตานหุยดูเหมือนจะราบรื่นตลอดทาง อีกทั้งยังไม่พบเจออุปสรรคใดๆ เลย" เมื่อผู้อาวุโสอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ ผู้อาวุโสจวินก็คิดขึ้นมาได้ "เป็นจริงอย่างที่พูด ตอนนั้นข้ายังสงสัยว่าเหตุใดชาวเขาตานหุยถึงได้โชคดีเพียงนี้ ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ยามนี้มาคิด
"เยี่ยเฟิงออกไปจากเขาน้ำเต้าแล้ว" "เจ้าซ่อนสิ่งใดเอาไว้" สีหน้าของกู้ชูหน่วนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็ว นางวางมือทั้งสองข้างลง แสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ใส่ใจ "ข้าสตรีอ่อนแอตัวคนเดียว จะมีสิ่งใดในครอบครองได้ ก็แค่กลัวว่าชายฉกรรจ์อย่างพวกเจ้าจะเสียมารยาทกับข้าก็เท่านั้น" คำพูดนี้ของนี้ ไม่มีผู้ใดเชื่อ เพราะสีหน้าที่แสดงออกมาเล็กๆ น้อยๆ ของนางได้หักหลังนางหมดแล้ว ต่อให้นางจะนิ่งเพียงใด ทุกคนก็จับได้อยู่ดี คนของเผ่าหมอพากันเข้ามาล้อมนางเอาไว้ คนของเผ่าเทียนเฝินแม้จะนิ่งดูดาย แต่ก็ไม่ได้คิดจะปล่อยกู้ชูหน่วนไป "นังหนู ข้าขอเตือนเจ้าให้ส่งของมาดีๆ ไม่เช่นนั้น...เหอะ..." คำพูดของนายท่านหลันเต็มไปด้วยความตักเตือน นายท่านหมู่ตานกลับพูดจีบปากจีบคอ "นังเด็กคนนี้แม้จะสกปรกมอมแมมไปบ้าง แต่รูปร่างดีใช้ได้ เอามาใช้อุ่นเตียงแก้ขัดก็น่าจะไม่เลว" "เจ้า...พวกเจ้าคิดจะทำอะไร..." "ข้าบอกพวกเจ้าไว้ก่อน ข้าเป็นถึงหานอ๋องเฟย ขืนพวกเจ้ากล้าทำอะไรข้า หานอ๋องไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่" "ว่าอย่างไรนะ...เจ้าคือภรรยาของเย่จิ่งหาน เช่นนั้นพวกเราเผ่าเทียนเฝินยิ่
ด้านล่างตีนเขาของเขาน้ำเต้า คนของเผ่าเทียนเฝินและเผ่าหมอลงจากเขาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส และกองทัพที่แพ้จนหมดสภาพ สีหน้าของพวกเขาต่างก็ไม่สู้ดีนัก ข่มความฉุนเฉียวเอาไว้ เลือดสีแดงสดไหลคดเคี้ยวลงมาจากร่างของพวกเขา ผู้อาวุโสจวินแห่งเผ่าเทียนเฝินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ "หากคนเผ่าหมอของพวกเจ้าลงมือตั้งแต่แรก พวกเราก็คงไม่ต้องพ่ายแพ้จนมีสภาพเช่นนี้ แล้วปล่อยให้พวกชาวเขาตานหุยได้ประโยชน์ไป" นายท่านหลันยิ้มเยาะ "พวกเจ้าเผ่าเทียนเฝินยังเหลือยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยไว้ระวังพวกข้า หากร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมต่อสู้ด้วยกัน มังกรอสูรขั้นเจ็ดก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกข้าลงมือ พวกเจ้าจัดการเองก็ได้แล้ว สุดท้ายแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ไว้ใจพวกข้า" ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟยเย่มีนิสัยใจร้อนมาแต่ไหนแต่ไร เขาเดือดดาลขึ้นมาทันที "หากพวกข้าเข้าไปพร้อมกัน ทุกคนต่างก็เจ็บหนักกันหมด หลังจากนั้นพวกเจ้าจะได้ถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ไปได้ง่ายๆ น่ะสิ" ผู้อาวุโสหวงหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงติเตียน "พอได้แล้ว แทนที่จะมัวมาพูดมากอยู่ตรงนี้ ไม่สู้คิดหาหนทางว่าจะชิงแก้วมังกรมาจากชาวเขาตานหุยอย่างไรจะดีกว่า" ผู้อาวุโสระดับสูงหวงเอ่ย ก
"โฮ่ว..." "โฮก..." "เฮือก..." นายท่านกองธงเผ่าหมอและมังกรอสูรต่างก็เจ็บหนัก ครั้งนี้ล้วนแต่บาดเจ็บเสียหายกันทั้งคู่ "นายหญิง นายท่านสองคนนั้นเป็นนายท่านจากอีกสองกองธง หนึ่งในนั้นนายท่านเถาฮวาถูกมังกรอสูรโจมตีบาดเจ็บสาหัส อาการปางตาย เกรงว่าคงไม่อาจรอดไปได้แล้ว มังกรอสูรก็เจ็บไม่เบาเช่นกัน กรงเล็บหักไปเล็บหนึ่งแล้ว นายหญิง พวกเราเข้าไปตอนนี้เลยดีหรือไม่" "เจ้าจะรีบไปเกิดใหม่หรืออย่างไร จะร้อนรนกระวนกระวายไปไหน" "แต่ขืนพวกเรายังไม่ไป แล้วแก้วมังกร..." "หากแก้วมังกรชิงไปได้ง่ายเพียงนั้น พวกเจ้าคงได้ไปนานแล้ว ต้องรอถึงตอนนี้อีกรึ เสี่ยวฝูกวง ข้าเห็นปกติเจ้าก็ฉลาดดีอยู่หรอก เหตุใดพอเกี่ยวกับแก้วมังกร เจ้าถึงได้กลายเป็นคนโง่แบบนี้ไปได้" แน่นอนว่าต้องโง่อยู่แล้ว เขาจะไม่กระวนกระวายได้อย่างไร คนทั้งเผ่าต่างก็ตั้งตารอแก้วมังกรเพื่อจะได้ถอนคำสาปเลือด นั่นคือชีวิตนับพันนับหมื่นชีวิต "เจ้ารอดูเถอะ เดี๋ยวพวกเขาก็จะเริ่มการโจมตีครั้งต่อไปแล้ว" ไม่ผิดไปจากที่กู้ชูหน่วนคาดการณ์ไว้ คนของเผ่าหมอและเผ่าเทียนเฝินลงมือโจมตีอีกครั้ง สู้กันสนั่นหวั่นไหว มืดฟ้ามัวดิน
ฮองเฮาฉู่และเยี่ยเฟิงไม่ยอมแยกจากัน กู้ชูหน่วนเปลืองแรงไปมากมายกว่าจะส่งพวกเขาสองคนกลับไปได้ บนฟ้ามีเสียงดังอึกทึกครึกโครมดังไม่หยุด ลมฝนโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่องราวกับพายุรุนแรง ยอดเขาโลหิตน้ำเต้าสั่นสะเทือนเลือนลั่น เพราะความสั่นไหวอย่างแรงของยอดเขาทำให้ลาวาประทุขึ้นมา ซัดกระเซ็นไปบนโขดหิน ดอกไม้ใบหญ้าบนโขดหินที่แสนน่าสงสารจมอยู่ใต้ลาวา นี่คือศึกใหญ่ที่มีเพียงแค่ยอดฝีมืออันดับต้นๆ เท่านั้นที่จะก่อได้ กู้ชูหน่วนเงยหน้าไปมอง กลับพบว่ากลางอากาศมีมังกรไฟตัวสีทองที่ทั้งตัวโชกไปด้วยเลือดกำลังทะยานโลดแล่นพลางกรีดร้องไม่หยุด มังกรตัวใหญ่ยักษ์เพียงแค่สะบัดปลายหาง ยอดเขาลูกเล็กๆ บริเวณใกล้เคียงก็ราบเป็นหน้ากอง ที่น่าตกตะลึงไปกว่านั้นคือ ลูกไฟที่มันพ่นออกมา มีพื้นที่แผ่ขยายไปถึงครึ่งหนึ่งของเขาโลหิตน้ำเต้า คล้ายจะแผดเผาทำลายเขาโลหิตน้ำเต้าทั้งหมดให้สิ้นซาก นอกจากมังกรไฟ ยังมีผู้อาวุโสผมขาวอีกสี่คน ฝูกวงเอ่ย "นายหญิง สี่สุดยอดผู้อาวุโสระดับสูงแห่งเผาเทียนเฝินวิทยายุทธแก่กล้านัก พวกเขาปลีกวิเวกมานานหลายปี น้อยครั้งที่จะเข้ามาข้องเกี่ยวทางโลก คิดไม่ถึงว่าคราวนี้เผ่าเทียนเฝิน