"ขอรับ"พ่อบ้านรับคำสั่งแล้วจึงรีบถอยออกไปจากสถานการณ์น่าอึดอัดนี้ทันที ใครจะอยากอยู่ร่วมฟังบทสนทนาของพวกเขากัน"เพ่ยเพ่ย ไยมิทำความเคารพท่านอ๋อง จะผิดใจกันเรื่องอันใดก็อย่าได้เสียมารยาท" “กระหม่อมต้องขอประทานอภัยด้วยพะย่ะค่ะ”เสนาบดีหยางกล่าวเตือนบุตรสาวก่อนที่จะหันไปทูลขออภัยจากบุตรเขยผู้สูงศักดิ์
วันนี้เพ่ยเพ่ยคงไม่มีโอกาสพูดกับบิดาเรื่องหย่าเสียแล้ว เพราะอ๋องหมิงประกบตัวบิดาของนางราวกับเห็บหมัดที่เกาะอยู่บนตัวสุนัขก็ไม่ปาน นางจึงทำได้เพียงก่นด่าเขาอยู่ในใจแต่เพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้ร้อนใจมากนัก นางจำได้ว่าวันพรุ่งนี้เขาต้องไปราชกิจที่ค่ายทหารต่างเมือง นั่นเป็นโอกาสสุดท้ายของนางแล้ว จะอย่างไรนางต้อ
หลินเฟิงอี้นั่งสนทนากับหยางซือจิ้งสองคนแม้ว่าจะนั่งร่วมโต๊ะด้วยกันกับคนอื่นๆ ก็ตาม แต่ทุกขณะจิตของเขาย่อมสัมผัสได้ถึงสายตาที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรของอ๋องหมิง แม้ว่าเขาจะมองเห็นอ๋องหมิงผ่านจากหางตาอ๋องหมิงนั้น ยามที่ได้ยินเพ่ยเพ่ยเอ่ยถึงเรื่องหย่ากับเสนาบดีหยางเขาก็เก็บความโมโหเอาไว้ในใจจนแทบจะระเบิดออก
"ปัก!"เสียงจอกเหล้ากระทบโต๊ะอย่างแรงดังมาจากทิศทางของบุตรเขยผู้สูงศักดิ์จนทุกคนต้องหันหน้าไปมองตามเสียงหึ...แม้แต่แม่ยายของข้า ก็ยังหลงเสน่ห์ไอ้บุรุษหน้าขาวนี่ด้วยงั้นรึดูเอาเถิด หากเขายอมหย่าให้หยางเพ่ยเพ่ย คงมิแคล้วว่าแม่ยายของเขาจะจับนางใส่พานส่งต่อให้กับหลินเฟิงอี้เป็นแน่อาหารมือนี้จบลงภายใต
เพ่ยเพ่ยจัดแจงท่านอนให้อ๋องหมิงแล้วจึงนั่งลงตั้งสติ วันนี้เขาทำให้นางโมโหจริงๆ พอนางเริ่มใจเย็นลงแล้วนางจึงล้วงเข็มเงินที่พกติดตัวมาด้วยออกมา แล้วฝังเข็มในจุดที่ทำให้เขายังคงหลับใหลต่อไปเพ่ยเพ่ยเริ่มเอะใจขึ้นมาได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลานานเกินไปหรือไม่"เหลยคัง"เพ่ยเพ่ยแง้มผ้าม่านเล็กน้อยแล้ว
เขารีบชักกระบี่ออกจากฝักแล้วดันนางมาหลบอยู่ข้างหลังเขาทันที"เจ้าอยู่เฉยๆ มิต้องกลัว มีข้าอยู่มิมีใครทำอะไรเจ้าได้"น้ำเสียงอันทรงพลัง วาจาที่เอ่ยออกมาอย่างมั่นคงของเขาทำให้นางรู้สึกวางใจขึ้นมาได้หลายส่วนเสียงการต่อสู้ภายนอกยังดังเป็นระยะๆ และเสียงก็เริ่มใกล้เข้ามาทุกที"เหลยคัง เป็นพวกใดกัน ช่างรน
อ๋องหมิงโดนกล่าวทักเช่นนั้นก็หาได้สนใจไม่ เขายังคงยื่นใบหน้าหล่อเหลาเขาไปใกล้เพ่ยเพ่ยเช่นเดิม สายตาคมจ้องประสานสายตากับดวงตาคู่สวยของเพ่ยเพ่ยจนนางมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองจากดวงตาคู่นั้นของเขา'ตึกๆ ตึกๆ'เสียงหัวใจของนางเต้นแรงจนเพ่ยเพ่ยรู้สึกได้ไม่นะ อย่ามาจ้องตาข้าแบบนี้สิ อย่าหวั่นไหวเชียวนะเพ่
ต้นยามโฉ่ว(01.00-02:59) ขบวนรถม้าของอ๋องหมิงก็มาถึงค่ายทหารเมืองสุ่ยอย่างปลอดภัย อ๋องหมิงนั้นรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่ขบวนรถม้าเคลื่อนผ่านประตูเมืองสุ่ยแล้วเมืองสุ่ยเป็นเมืองขนาดกลางซึ่งอยู่ค่อนมาทางชายแดนทิศตะวันออก ที่นี่เป็นที่ตั้งของค่ายฝึกทหารที่ค่อนข้างเข้มงวดและมีความสำคัญมากของแคว้นอ
-จวนตระกูลหยาง- "มากันแล้ว มากันแล้วขอรับ!" เสียงพ่อบ้านทั้งวิ่งทั้งตะโกนเรียกทุกคนในเรือนไปพร้อมๆ กัน ทุกคนวางมือจากงานที่ทำอยู่อย่างลนลานก่อนจะรีบไปรวมตัวกันที่หน้าประตูจวนเพื่อนต้อนรับอ๋องหมิงและพระชายา ระหว่างเดินทางอ๋องหมิงให้ม้าเร็วมาแจ้งตระกูลหยางล่วงหน้าแล้วว่าเขากำลังพาเพ่ยเพ่ยกลับมาชางห
เพ่ยเพ่ยมองทั้งสามและพิจารณาถึงสิ่งที่อี้ซินบอก ใช่แล้ว คนเคร่งขรึมหน้าตาไร้อารมณ์เช่นเขาความจริงแล้วไม่น่าจะมีเด็กที่ไหนอยากเล่นด้วยเลยต่างหาก อาจเป็นเพราะสัมพันธ์พ่อลูกที่ตัดอย่างไรก็ไม่ขาดกระมัง เวลาล่วงเลยมาจนถึงเวลารับสำรับเย็น ไม่น่าเชื่อว่า อาหารพื้นๆ ในเรือนหลังไม่ใหญ่แต่อาหารมื้อนี้สำหรับ
"ท่านพ่อ ท่านแม่ เมื่อไหร่จะตื่นเสียที พวกเรารอตั้งนานแล้วนะ" เด็กทั้งสองเคาะประตูอยู่หน้าห้องไม่หยุด อี้ซินมีสีหน้าซีดเผือด นางพยายามห้ามนายน้อยและคุณหนูอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่สองแฝดผู้เอาแต่ใจก็หาได้ฟังใครไม่ หลังจากที่รอบิดากับมารดามาตั้งแต่เช้า กระทั่งพวกเขารับสำรับเช้าเสร็จแล้วแต่ท่านพ่อท่
"เมื่อกี้เจ้าจูบข้าก่อน" อ๋องหมิงมองเพ่ยเพ่ยพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มขึ้น หัวใจกระตุกเพราะนางไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน ทุกครั้งมีเพียงเขาที่เป็นฝ่ายจูบนางก่อนและเกือบทุกครั้งคือการบังคับให้นางต้องรับจูบจากเขา "ใช่เพคะ มิได้หรือ" "ทำไมจะมิได้ เปิ่นหวางชอบ" เพ่ยเพ่ยมอบจุมพิตแผ่วเบาบนริมฝีปากของเขาอีกครั
"แล้วหม่อมฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าหม่อมฉันพูดอันใดไปบ้าง ท่านอ๋องก็บอกหม่อมฉันสิเพคะ" "เจ้าจับหน้าเปิ่นหวาง เรียกข้าว่าอ้ปป้าแล้วยังบอกว่าหากได้จูบอ้ปป้าสักครั้งจะตั้งใจทำงาน" "หา! หม่อมฉันเนี่ยนะเพคะกล่าวเช่นนั้นออกมา" แต่ภาษาวัยรุ่นแบบนั้น ไม่ใช่แกแล้วเขาจะคิดเองได้หรือไงเล่ายัยบ้า เมื่อคิดได้เช่
"เจ้าพูดอะไรของเจ้า ยิ่งฟังเจ้าข้าก็ยิ่งงง ท่านอ๋องเคยไปรังแกเจ้าด้วยรึ" "หึ เจ้าอยากโดนรุมซ้อมดูบ้างไหมล่ะ คนของเขาเท้าหนักๆ กันทั้งนั้น เพราะอารมณ์หึงหวงอย่างมิมีเหตุผลของเขาอย่างไรล่ะ" อย่าให้เขาบรรยายเลย บุรุษยุคนี้ หน้าใหญ่ใจโต ถือว่าตนมีอำนาจก็ไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น กดทุกคนให้อยู่ต่ำหมดไม่ว่า
อ๋องหมิงได้ยินดังนั้นก็หันขวับไปจ้องหน้าเพ่ยเพ่ย แขนแกร่งทั้งสองข้างจับข้อมือเล็กของนางแน่น แล้วดึงมือนางที่จับกุมใบหน้าของตนออก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธแต่กลับแอบแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ เขายังจำได้ เมื่อครั้งที่เห็นนางเมาในคราแรกแล้วเพ้อถึงแต่อ้ปป้านั่น แค่คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาเขาก็แ
อันที่จริงเรือนเหมยฮวาก็ไม่ได้ไกลอะไร แต่เพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้ปฏิเสธนายหญิงหลิว เพราะหากไม่รับปากนาง นางก็จะคะยั้นคะยอไม่เลิก เพ่ยเพ่ยเองก็ชินกับนิสัยนายหญิงหลิวแล้ว นางชอบเวลาที่ลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา อ๋องหมิงต้องยอมรับว่าเหล้าโซจูที่หลินเฟิงอี้นำมานั้นค่อนข้างแรง ดื่มไปเพียงนิดก็แสบไปทั้งลำคอ
"เฟิงอี้ หวังว่าเจ้าคงจะไม่ลืมที่เคยสัญญาเอาไว้เมื่อคราวก่อน" "ย่อมไม่ลืม" หลินเฟิงอี้กระดิกนิ้วเรียกให้บ่าวคนสนิทนำไหเหล้าเข้ามา "ตามที่ขอ ข้าหมักเองกับมือ นี่โซจูตามสูตรที่ได้มาจากโชซอนเลยนะ" "ว๊าว อ้ปป้า เยี่ยมสุดๆ ไปเลย ข้าขอคารวะ หากรู้มาก่อนว่าเจ้าจะมาวันนี้ ข้าคงทำกิมจิไว้รอแล้ว" เพ่ยเพ่