ตั้งแต่จำความได้ข้าหลินช่านเฟิ่งก็ตกเป็นเบี้ยล่างหลินเสวี่ยเฟิ่งเรื่อยมา ตอนเด็กข้าต้องอาศัยอยู่ในเรือนเล็กท้ายตำหนัก เติบโตมากับแม่นมและสาวใช้ทั้งสี่โดยไร้ผู้คนเหลียวแล เพียงเพราะว่าตบะของข้าอ่อนด้อยกว่าเหล่าเทพเซียนที่เกิดในวัยไล่เลี่ยกัน จนไม่อาจเชิดหน้าชูตาดั่งเช่นพี่สาวผู้แสนดีของข้าได้
นางเกิดมาพร้อมกับโชควาสนาอันสูงส่ง หงส์น้ำแข็งหนึ่งเดียวบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าท่ามกลางหงส์เพลิงนับร้อยพันในรอบแสนปี เพียงแค่นางถือกำเนิดตำแหน่งเทพเหมันต์หนึ่งในเทพสี่ฤดูก็ตกลงบนศีรษะนางแล้วไหนเลยจะต้องแย่งชิงเหมือนกับหงส์ตัวอื่น
ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับนางยังสลักลึกอยู่ในจิตวิญญาณไม่เคยจางหาย เงาร่างเล็กๆ ในอาภรณ์สวรรค์สีขาวพร่างพราวบริสุทธิ์ผุดผ่องไปทั้งกาย เรือนผมสีเงินยาวสยายเปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน นางมีใบหน้าที่ไม่ว่าผู้ใดเห็นก็อดที่จะรักใคร่เอ็นดูไม่ได้ ทั้งดวงตาสีน้ำเงินสดใสดุจทะเลสาบสีครามในยามคิมหันต์ ต่างกับข้าที่สกปรกเลอะเทอะไปด้วย
หลินช่านเฟิ่งควงแส้หั่วจูบุกเดียวไประบายอารมณ์กับชาวเผ่ามาร สังหารปีศาจสุกรลูกน้องใต้สังกัดของจอมมาร 'เซินโหลว' หนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพมารจนแทบสิ้นเผ่าพันธุ์ “ซ่างเซียนน้อยท่านนี้ช่างอารมณ์ร้ายเสียจริง ปีศาจน้อยเหล่านี้ของข้าทำอะไรให้ท่านเซียนขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือถึงได้ฆ่าแกงตามใจชอบเช่นนี้” เงาร่างผอมสูงในชุดผ้าคลุมสีนิลออกมาจากที่ซ่อนตัว หลังจากดูฉากการฆ่าล้างเผ่ามารจนจุใจแล้ว หน้ากากสีทองครึ่งหน้าเปล่งประกายเด่นหราระบุตัวตนของผู้ที่มาเยือน “จอมมารหลัวเหยียน!” “ไม่นึกว่านามของข้าจะเป็นที่เลื่องลือในหมู่เทพเซียน แม้แต่ท่านก็ยังรู้จัก ถือว่าเป็นเกียรติยิ่งแล้ว” หลังจากสงบใจได้ หลินช่านเฟิ่งก็ไม่แยแสว่าผู้มาใหม่จะกล่าวเช่นไร ในเมื่อข้าอยากหาเรื่องผู้ใดจะขวางข้าได้ “จอมมารโฉดชั่วอย่างเจ้าข้าย่อมต้องจดจำให้ขึ้นใจอยู่แล้ว” หลิน
สายตาจงเกลียดจงชังแม้แต่ความตายก็ไม่อาจมอดดับของหลินช่านเฟิ่ง หลานซือเยว่ยังจำได้ติดตา เขาจำไม่ได้ว่าเคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับสตรีนางนี้มาก่อน แต่การตายของนางกลับสั่นสะเทือนเขาถึงจิตวิญญาณ หลานซือเยว่กุมหน้าอกแน่นเจ็บปวดเหลือคณา การจากไปของสตรีตรงหน้ากระทบจิตใจของเขาถึงขีดสุดโดยไร้สาเหตุ พรูด! หลานซือเยว่พ่นโลหิตสีดำคล้ำ หัวใจเจ็บร้าวราวกับถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น ช่องอกถูกแทงทะลุไหม้เกรียมอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีเข้มแทนที่จะเป็นสีแดงฉานดังเช่นเคย หลานซือเยว่รู้สึกว่าสติเริ่มรางเลือน ความเจ็บปวดที่พยายามข่มกลั้นมาโดยตลอดปะทุเป็นลาวาเดือด พลังปราณปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย โลหิตที่กำลังไหลเวียนเดือดพล่าน ร่างกายร้อนระอุจนแทบระเบิด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่ “เสวี่ยเอ๋อร์! / เสี่ยวเสวี่ย!!”
“บุรุษ? ไม่ใช่สตรีหรอกหรือ” “ตำแหน่งไท่จื่อเฟยคงยากแล้ว เฮ้อ! ทั้งๆ ที่เป็นหงส์น้ำแข็งหายากแท้ๆ ช่างน่าผิดหวัง” “ผิดหวัง? เปลี่ยนให้เป็นสตรีซะก็สิ้นเรื่อง ประกาศออกไปให้ใต้หล้าได้รับรู้ ข้าราชาเผ่าหงส์ มีบุตรสาวฝาแฝดสองคน” “ท่านพี่ทำได้จริงหรือ” “ข้อดีของเผ่าหงส์คือ?” “การกำเนิดใหม่” “ใช่แล้ว ต่อให้ระเบิดตัวตายหรือถูกเผาเป็นจุณก็ยังสามารถเกิดใหม่ได้จากเถ้าถ่าน น้ำตามีพลังแห่งการเยียวยา เลือดและไขกระดูกเป็นยาอายุวัฒนะ พลังชีวิตไร้ขีดจำกัด การคงอยู่ของพวกเราขัดกับกฎสวรรค์ แต่โลกก่อให้เกิดสมดุลเสมอ หลายหมื่นปีมานี้หงส์เกิดใหม่มีน้อยมา
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว” เฉินเทียนอี้เห็นเปลือกตาของภรรยาขยับไหวก็บีบมือบางด้วยความโล่งใจ “เสี่ยวเทียน?” “ข้าเอง” เฉินเทียนอี้พยุงร่างบางลุกขึ้นนั่ง “ดื่มชาก่อน” ชายหนุ่มจิบชาที่สามียื่นให้อย่างว่าง่าย หลินเสวี่ยเฟิ่งตื่นจากภาพฝันอันยาวนาน อดีตและปัจจุบันเรียงร้อยเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว แม้จะยังมีท่าทางมึนเบลออยู่บ้าง แต่เขาก็รู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแสนนาน สวีเฟยหลงกับหลินหลิงกำลังหารือกันเสียงเบา พอเห็นว่าทางนี้มีความเคลื่อนไหวก็รีบมาดูอาการของชายหนุ่ม “ท่านพี่! เสด็จแม่!!” “เสวี่ยเอ๋อร์&r
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้า... จำข้าได้แล้วอย่างนั้นหรือ” สวีเฟยหลงถามน้ำเสียงคาดหวังปนหวั่นกลัวเล็กน้อย ถึงจะพอคาดเดาได้ แต่ก็ยังอยากได้ยินคำยืนยันจากปากภรรยาอยู่ดี “อืม” หลินเสวี่ยเฟิ่งพยักหน้ายิ้มๆ “เช่นนั้นเราก็สามารถอยู่ด้วยกัน...” “ท่านพี่... ข้าอยู่กับท่านเสมอ ก็ข้าเป็นภรรยาของท่านนี่น่า” หลินเสวี่ยเฟิ่งโอบกอดสามีเต็มอ้อมแขนด้วยความคิดถึง สวีเฟยหลงเองก็เช่นเดียวกัน “แต่ว่าข้าก็คือหลานซือเยว่ภรรยาของเสี่ยวเทียน มารดาของหยางเอ๋อร์เช่นกัน ข้ารักท่านที่สุด แต่ก็รักพวกเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ท่านพี่ข้าไม่อาจทอดทิ้งพวกเขาได้ เช่นเดียวกับที่ไม่อาจปล่อยมือจากท่าน ท่านจะดุด่าข้า โกรธเกลียดข้า หรือลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ ข้าล้วนยินยอมทั้งสิ้น แต่ข้าก็ยังอยากจะรับผิดชอบดูแลพวกเขาให้ถึงที่สุดอยู่ดี ท่าน... จะรอข้าได
เปลวเพลิงอัคคีมรณะโหมกระหน่ำเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้ราพณาสูรเส้นผมสีน้ำตาลพลิ้วไหว อาภรณ์สีฟ้าครามอาบชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน แผ่นหลังกว้างยืนหยัดปกป้องเขาแม้ตัวตายแม้นลมหายใจสุดท้ายยังห่วงใยเขาตราบจนสิ้นลม "เกอเกอท่านฟื้นสิ" สวีจิ้งเฟิ่งกอดเงาร่างสูงสง่าของไป่ชิงถงไว้ในอ้อมกอด อยากเหนี่ยวรั้งให้ชายหนุ่มอยู่กับเขาตลอดไป แต่ก็ไม่อาจยื้ออีกฝ่ายจากเงาแห่งความตาย ได้แต่เบิกตามองดูร่างกายของคนที่เขารักมากที่สุดสลายหายไปพร้อมกับยอดเขาซีเทียนเฟิงที่เริ่มพังทลาย “เกอเกอ ไม่มีท่านแล้วข้าจะอยู่กับใคร” สวีจิ้งเฟิ่งมองอ้อมแขนไร้เงาร่างของไป่ชิงถงด้วยสายตาว่างเปล่า ชีวิตนี้ไม่เหลือใครอีกแล้ว แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร “เกอเกอ ท่านรอข้า ข้าจะตามท่านไปเดี๋ยวนี้แหละ” ฝ่ามือสั่นเทาอัดแน่นไปด้วยพลังซัดเข้าที่แก่นเซียนกะจะตายตกตามไป่ชิงถงไป เพราะในโลกนี้ไม่ม
เฉินซือหยางเหงื่อแตกเต็มศีรษะ นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอน เขาเห็นดวงจิตของตนเองหลุดออกจากร่างของสวีจิ้งเฟิ่งบุรุษผู้มีใบหน้าเหมือนกันกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน ขณะที่เขากำลังสับสนมึนงง เงาร่างก็เกิดไหววูบ คราวนี้เขาปรากฏตัวอยู่ในห้องห้องหนึ่งซึ่งดูคุ้นตา ‘นี่มันตำหนักซูเซียว!’ เฉินซือหยางมองซ้ายมองขวาด้วยความมึนงง ภาพสีซีดจางตรงหน้าดั่งกับว่าเขาได้ย้อนมาในอดีตกาลอันแสนห่างไกล ผ้าม่านสีขาวโปร่งปลิวไสวล้อสายลม บนเตียงน้ำแข็งมีเงาร่างบอบบางในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองอร่ามนอนสงบนิ่งราวกับกำลังหลับฝัน ใบหน้างดงามเป็นเอก หากได้พบพานเพียงครั้งย่อมไม่มีวันลืมเลือนกำลังยิ้มน้อยๆ เฉินซือหยางขยับเข้าไปดูผู้ที่นอนอยู่บนเตียงใกล้ๆ ‘นี่คือเสด็จแม่ของข้าอย่างนั้นหรือ หน้าตาเหมือนหลินเสวี่ยเฟิ่งจริงๆ นะเนี่ย’
ภายใต้การดูแลของจ้าวลี่หมิงเพียงสามวันเฉินซือหยางก็ฟื้นตัวจากพิษไข้ ร่างกายกลับมาแข็งแรงดั่งอาชาศึก เช่นเดียวกันกับอาการป่วยของเฉินเทียนอี้ แม้องค์จักรพรรดิจะหมดสติไปสามวันสามคืนพานให้ผู้คนตื่นตระหนก หมอหลวงวิ่งวุ่นเข้าออกตำหนักบรรทมราวกับหนูติดจั่น หวั่นเกรงว่าจะรักษาศีรษะเอาไว้ไม่อยู่ ดีที่มีหานกวางหมอเทวดาประจำพระองค์ และหลินเสวี่ยเฟิ่งคอยช่วยดูแลตั้งแต่เช้าจรดค่ำอาการประชวรเลยไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น พอทั้งสองพระองค์หายดี ทุกคนจึงตัดสินใจเดินทางกลับวังหลวงในทันทีหลังจากที่ห่างหายมานานนับเดือน ทั้งคณะเร่งเดินทางเพียงสามวันก็กลับถึงเมืองหลวง ทันเวลาประตูเมืองปิดพอดี นั่งรถม้าเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน จ้าวลี่หมิงเลยเผลอหลับตลอดทั้งบ่ายจนถึงพลบค่ำ รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเฉินซือหยางอุ้มมานอนบนเตียง “ถึงแล้วหรือ” จ้าวลี่หมิงงัว
สวีเฟยหลงยังไม่ทันได้จับสัมผัสทวนดับสุริยัน หลัวเหยียนก็แปรพักตร์อย่างรวดเร็ว ปลายทวนเปลี่ยนทิศว่องไวดุจอสรพิษพุ่งเข้าจู่โจมร่างสูง คมทวนแทงอกซ้ายของสวีเฟยหลงจนได้เลือด “เสด็จพ่อ! / อาหลง!!” สวีจิ้งเฟิ่งกับหลินเสวี่ยเฟิ่งตะโกนเสียงดังลั่น ร่างบางปรี่เข้าพยุงสามีที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมประกายกระบี่คมกล้าหมายเอาชีวิตจอมมารผู้ชั่วช้าของสวีจิ้งเฟิ่ง “อ๊าก!!!!” หลัวเหยียนร้องโหยหวน เลือดสดๆ ไหลทะลักจากปากแผล ดีที่เขาเบี่ยงตัวหลบได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงเป็นหัวที่ต้องหลุดจากบ่าไม่ใช่ไหล่ขวาอย่างที่เป็นอยู่ สวีจิ้งเฟิ่งจับจ้องหลัวเหยียนด้วยประกายตาเหี้ยมลึก แม้จะระแวดระวังมากเพียงไรแต่ก็ยังลงมือได้ไม่เร็วพอ ทำให้เสด็จพ่อต้องบาดเจ็บอีกครา ชายหนุ่มโมโหเจียนคลั่ง โดยไม่รอช้ามือหนากระชากกระบี่ออกอย่างแรงจนเลือดของมารร้
หนึ่งร้อยปีผ่านพ้น น่านฟ้าเมืองผิงอานปกคลุมไปด้วยเมฆเคราะห์หนาแน่นมานานปี บัดนี้กลับมาสว่างสดใส เมฆมงคลไหลเอื่อย สายรุ้งพาดผ่านเปล่งประกายหลากหลายสีสันงามระยับน่าจับตาดุจฟ้าหลังฝน ทิวากรสาดแสงเจิดจ้า พระพายโชยชื่นเย็นสบาย หมู่มวลวิหคโบยบินออกจากรัง สรรพสัตว์น้อยใหญ่หวนคืนถิ่นฐาน พายุอัสนีในที่สุดก็หยุดลง มังกรทองขดตัวอยู่เนิ่นนานนับร้อยปีเริ่มมีการขยับไหว เสียงร้องคำรามดังกึกก้อง คราบโลหิตสีชาดทองจับตัวแข็งหนาเป็นคืบปริแตก แสงสีทองมลังเมลืองเล็ดลอดออกมาตามรอยแยกสาดส่องไปทั่วพื้นพิภพ เผยให้เห็นเกล็ดสีทองเรียบลื่นเปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน ราวกับตอบรับเสียงร้องอันทรงพลัง ต้นอู๋ถงหมื่นลี้แทงยอดตระหง่านสูงเสียดฟ้า กิ่งก้านเขียวชอุ่มแผ่ร่มเงาไปทั่วทุกแห่งหน กลิ่นหอมระรื่นกรุ่นกำจาย
เหนือฟากฟ้าเมืองผิงอาน แคว้นต้าเฉินถูกเมฆหมอกหนาทึบปกคลุมดุจเมฆฝนยามพายุตั้งเค้า เสียงฟ้าร้องครั่นครืนดังกึกก้อง สายฟ้าแลบแปลบปลาบกระจายไปทั่วท้องฟ้าน่าครั่นคร้าม วายุโหมกระหน่ำพัดทลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ต้นไม้ใบหญ้าหลุดร่วง ฝุ่นทรายคละคลุ้งม้วนตัวกวาดผ่านร่างของพวกเขาไป สวีเฟยหลงหรี่ตามองท้องฟ้าเบื้องบนด้วยสีหน้าหนักอึ้ง ใบหน้าเครียดขึง คิ้วเข้มขมวดมุ่น “ทุกคนระวังตัวด้วย” สวีเฟยหลงกางม่านพลังซ้อนทับเขตอาคมของหลินเสวี่ยเฟิ่งอีกชั้น สังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ! โดยไม่ทันได้เตรียมตัวตั้งรับ วัชระม่วงครามสายแรกก็ผ่าลงมากลางวง ทัณฑ์สวรรค์พิฆาตเซียน!! 
เฉินซือหยางหลงวนอยู่ในเงามืด ความทรงจำต่างๆ โถมทะลักเข้าหาดุจโคมม้าหมุน ทำเอาเขาปวดศีรษะจนแทบระเบิด ร่างกายจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกแห่งอนธการ เงาร่างโปร่งใสปรากฏขึ้นหน้าเรือนไม้หลังเล็กหลังหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเฟิง บนยอดเขาซีเทียนเฟิง เฉินซือหยางเดินดูโดยรอบอย่างแสนคิดถึง ศาลาหอเก๋ง สระบัวสีมรกต และโต๊ะหินอ่อนกลางลานเรือนถูกปกคลุมไปด้วยใบเฟิงสีอิฐยังคงเหมือนในความทรงจำ “จิ้ง... จิ้งเฟิ่ง... สวีจิ้งเฟิ่ง! ตื่นได้แล้วเจ้าตัวขี้เกียจ” เฉินซือหยางหันไปตามเสียงเรียก เห็นเงาร่างสูงโปร่งของจ้าวลี่หมิงหรือแท้จริงแล้วคือ ‘ไป่ชิงถงเกอเกอ’ คนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในใจเขาใช้เท้าแตะประตูห้องนอนอย่างกักขฬะ ตรงเข้าไปเขย่าตัวปลุกเขาในวัยเด็กที่นอนหลับอุตุอยู่ในกองผ้าห่มผืนหนา “อย่ามัวแต่เมาขี้ตา รีบๆ ลุกขึ้นมา
สายฝนโปรยปรายลงมาบางเบาสัมผัสโดนใบหน้าคมเข้มที่กำลังสลบไสลเรียกสติเขาให้กลับฟื้นคืน สวีเฟยหลงตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองติดอยู่ในช่องเขาคับแคบแห่งหนึ่ง แขนขาหักผิดรูปผิดร่าง เจ็บปวดรวดร้าวทั่วสรรพางค์กาย เขากัดฟันบิดแขนขาให้เข้ารูป ยังไม่ทันได้ลงมือทำแผลให้กับตนเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังอึกทึกก้องสะท้อนไปทั่วหินผา “ค้นให้ทั่ว จับโจรชั่วที่รวมหัวกับเผ่ามารสังหารพี่น้องเราชาวสวรรค์มาลงทัณฑ์ให้ได้” เสียงผู้คนพูดคุยกันดังแว่วใกล้เข้ามาทุกทีๆ สวีเฟยหลงรู้ดีว่าไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไป จึงจำใจต้องหอบสังขารที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์หลบหนีออกจากที่แห่งนี้ สวีเฟยหลงหนีเข้าป่าลึก ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำร่างสูงโซซัดโซเซล้มลงในแอ่งโคลน “มันอยู่นั่น!” ทหารสวรรค์กรูกันเข้ามารุมล้อมสวีเฟยหลง ชายหนุ่มแค่นเสียงเย้ยหย
ตั้งแต่ต้นหลินเสวี่ยเฟิ่งกอดประคองร่างสูงของเฉินเทียนอี้ไว้ไม่ยอมห่าง ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเพราะใจห่วงกังวลคนในอ้อมแขนเพียงเท่านั้น "ท่านอย่าเป็นอะไรไปนะ" “ขะ... ขอโทษ คราวนี้ข้าก็ไม่อาจทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับเจ้าได้” หลินเสวี่ยเฟิ่งส่ายหน้า “สิ่งที่ข้าต้องการคือได้อยู่เคียงคู่ท่านจนผมขาวต่างหากเล่าคนโง่ เพราะฉะนั้นท่านห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด แข็งใจไว้ เสี่ยวชีกำลังจะมา เขาต้องรักษาท่านได้แน่” ฝ่ามือเรียวพยายามกดปากแผลให้เลือดหยุดไหล แต่ดูท่าว่าจะไม่เป็นผล ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหยุดยั้งโลหิตที่ทะลักทลายออกมาจากร่างแกร่งได้เลย เฉินเทียนอี้ส่ายหน้าเกลี่ยหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่นเป็นสายจากดวงหน้างาม
หญิงชราเดินลากขาตามการโอบประคองของสามี สายตาฝ้าฟางเลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใด แต่พอได้เห็นดวงหน้าของหลินเสวี่ยเฟิ่งเพียงเท่านั้น ดวงตาพลันเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต หญิงชรากรีดร้องเสียงดังโหยหวนราวกับสุกรถูกเชือด “ปีศาจ! มันคือปีศาจ ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้ช่วยข้าที ปีศาจจะมาฆ่าข้า ปีศาจจะมาฆ่าข้าแล้ว” หญิงชราตีอกชกหัว หนีห่างจากเงาร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งอย่างหวาดผวา ใบหน้าถูไถไปกับลานพิธีอยากจะแทรกแผ่นดินหนี จนชายชราต้องรีบฉุดรั้งร่างของภรรยาไว้ “ทุกท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าบุรุษที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทผู้นั้น คนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นถึงมารดาของแผ่นดิน ถูกยกย่องว่ามีคุณธรรมสูงส่ง อวดอ้างตนเองว่ามาจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่แท้จริงแล้วเขาคือ ‘เกาต๋า’ บุตรบุญธรรมของสามีภรรยาแซ่เกา ซึ่งเป็นเพียงพ่อค้าวาณิชเล็กๆ ในเมืองเจียงโจว” คำบอกเล่าของหานจางหมิ่นทำเอาทุกคนในที่นี้ตะลึงงัน อย่างที่ทราบโดยทั่วกันว่าพ่อค้านั้นเป็นชนชั้นต่ำศ
เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน “ยามซื่อ[1] แล้ว งานเลี้ยงมื้อกลางวันกำลังจะเริ่ม ทุกคนเร่งมือเข้า” ขันทีน้อยนายหนึ่งก้มหน้าก้มตายกจานขนมหวานบรรจุลงในกล่องไม้สำหรับใส่อาหารอย่างขะมักเขม้น รอจนหัวหน้าขันทีผู้คุมห้องเครื่องเดินผ่านไปตรวจงานยังส่วนอื่น มือหยาบหนาก็รวบผ้าผูกเป็นปมเพื่อกักเก็บความร้อน แล้วยกกล่องอาหารในห่อผ้าผืนงามเดินตามกลุ่มขันทีออกไป ขันทีผู้นั้นเดินตามหลังขันทีด้วยกันเงียบๆ ทุกคนต่างเร่งฝีเท้าไปยังลานพิธีหน้าตำหนักไท่เหอ ระหว่างเดินผ่านระเบียงทางเดินขบวนของเขาสวนกับเหล่านางกำนัล และขันทีกลุ่มอื่นเป็นระยะ แต่ขันทีหนุ่มก็ยังใจเย็น รอจนขบวนเดินผ่านเส้นทางร้างไร้ผู้คน เขาก็ชะลอฝีเท้าลง อาศัยจังหวะที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นปลีกตัวออกจากกลุ่มอย่างเงียบเชียบ เดินหลบหลีกผู้คน แล้วหายลับไปโดยไร้ผู้พบเห็น ขันทีคนดังก
แดนบูรพา แคว้นต้าเฉิน เสียงคลื่นสาดซาซัดเข้าหาชายฝั่ง ฟองคลื่นม้วนตัวกระทบหาดทรายกลืนหายไปกับพื้นทรายเนื้อละเอียดไร้สีสันในยามค่ำคืน ลมทะเลพัดโหมริ้วผ้าโบกไสวใบเรือผืนใหญ่ส่ายสะบัดตามคลื่นลม นาวาลำใหญ่จอดนิ่งเรียบชายฝั่งเรียงกันหลายร้อยลำไกลสุดลูกหูลูกตา “เร่งมือเข้า” ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคุมลูกน้องใต้สังกัดขนหีบไม้ใบใหญ่ด้านในเต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งหอก ดาบ โล่ ธนู และที่ขาดไม่ได้คือเสบียงกรังจำนวนมากถูกยกขึ้นเรือหีบแล้วหีบเล่าอย่างเงียบเชียบท่ามกลางความมืด ถึงแม้จะเบามือเบาเท้ามากเพียงไร แต่การเคลื่อนกำลังพลนับหมื่นย่อมไม่อาจรอดพ้นหูตาของหน่วยสืบราชการลับไปได้ หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องใต้สังกัดถอนกำลังออกจากบริเวณนี้เงียบๆ หลังจากล่วง