ตั้งแต่จำความได้ข้าหลินช่านเฟิ่งก็ตกเป็นเบี้ยล่างหลินเสวี่ยเฟิ่งเรื่อยมา ตอนเด็กข้าต้องอาศัยอยู่ในเรือนเล็กท้ายตำหนัก เติบโตมากับแม่นมและสาวใช้ทั้งสี่โดยไร้ผู้คนเหลียวแล เพียงเพราะว่าตบะของข้าอ่อนด้อยกว่าเหล่าเทพเซียนที่เกิดในวัยไล่เลี่ยกัน จนไม่อาจเชิดหน้าชูตาดั่งเช่นพี่สาวผู้แสนดีของข้าได้
นางเกิดมาพร้อมกับโชควาสนาอันสูงส่ง หงส์น้ำแข็งหนึ่งเดียวบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าท่ามกลางหงส์เพลิงนับร้อยพันในรอบแสนปี เพียงแค่นางถือกำเนิดตำแหน่งเทพเหมันต์หนึ่งในเทพสี่ฤดูก็ตกลงบนศีรษะนางแล้วไหนเลยจะต้องแย่งชิงเหมือนกับหงส์ตัวอื่น
ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับนางยังสลักลึกอยู่ในจิตวิญญาณไม่เคยจางหาย เงาร่างเล็กๆ ในอาภรณ์สวรรค์สีขาวพร่างพราวบริสุทธิ์ผุดผ่องไปทั้งกาย เรือนผมสีเงินยาวสยายเปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน นางมีใบหน้าที่ไม่ว่าผู้ใดเห็นก็อดที่จะรักใคร่เอ็นดูไม่ได้ ทั้งดวงตาสีน้ำเงินสดใสดุจทะเลสาบสีครามในยามคิมหันต์ ต่างกับข้าที่สกปรกเลอะเทอะไปด้วย
หลินช่านเฟิ่งควงแส้หั่วจูบุกเดียวไประบายอารมณ์กับชาวเผ่ามาร สังหารปีศาจสุกรลูกน้องใต้สังกัดของจอมมาร 'เซินโหลว' หนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพมารจนแทบสิ้นเผ่าพันธุ์ “ซ่างเซียนน้อยท่านนี้ช่างอารมณ์ร้ายเสียจริง ปีศาจน้อยเหล่านี้ของข้าทำอะไรให้ท่านเซียนขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือถึงได้ฆ่าแกงตามใจชอบเช่นนี้” เงาร่างผอมสูงในชุดผ้าคลุมสีนิลออกมาจากที่ซ่อนตัว หลังจากดูฉากการฆ่าล้างเผ่ามารจนจุใจแล้ว หน้ากากสีทองครึ่งหน้าเปล่งประกายเด่นหราระบุตัวตนของผู้ที่มาเยือน “จอมมารหลัวเหยียน!” “ไม่นึกว่านามของข้าจะเป็นที่เลื่องลือในหมู่เทพเซียน แม้แต่ท่านก็ยังรู้จัก ถือว่าเป็นเกียรติยิ่งแล้ว” หลังจากสงบใจได้ หลินช่านเฟิ่งก็ไม่แยแสว่าผู้มาใหม่จะกล่าวเช่นไร ในเมื่อข้าอยากหาเรื่องผู้ใดจะขวางข้าได้ “จอมมารโฉดชั่วอย่างเจ้าข้าย่อมต้องจดจำให้ขึ้นใจอยู่แล้ว” หลิน
สายตาจงเกลียดจงชังแม้แต่ความตายก็ไม่อาจมอดดับของหลินช่านเฟิ่ง หลานซือเยว่ยังจำได้ติดตา เขาจำไม่ได้ว่าเคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับสตรีนางนี้มาก่อน แต่การตายของนางกลับสั่นสะเทือนเขาถึงจิตวิญญาณ หลานซือเยว่กุมหน้าอกแน่นเจ็บปวดเหลือคณา การจากไปของสตรีตรงหน้ากระทบจิตใจของเขาถึงขีดสุดโดยไร้สาเหตุ พรูด! หลานซือเยว่พ่นโลหิตสีดำคล้ำ หัวใจเจ็บร้าวราวกับถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น ช่องอกถูกแทงทะลุไหม้เกรียมอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีเข้มแทนที่จะเป็นสีแดงฉานดังเช่นเคย หลานซือเยว่รู้สึกว่าสติเริ่มรางเลือน ความเจ็บปวดที่พยายามข่มกลั้นมาโดยตลอดปะทุเป็นลาวาเดือด พลังปราณปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย โลหิตที่กำลังไหลเวียนเดือดพล่าน ร่างกายร้อนระอุจนแทบระเบิด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่ “เสวี่ยเอ๋อร์! / เสี่ยวเสวี่ย!!”
“บุรุษ? ไม่ใช่สตรีหรอกหรือ” “ตำแหน่งไท่จื่อเฟยคงยากแล้ว เฮ้อ! ทั้งๆ ที่เป็นหงส์น้ำแข็งหายากแท้ๆ ช่างน่าผิดหวัง” “ผิดหวัง? เปลี่ยนให้เป็นสตรีซะก็สิ้นเรื่อง ประกาศออกไปให้ใต้หล้าได้รับรู้ ข้าราชาเผ่าหงส์ มีบุตรสาวฝาแฝดสองคน” “ท่านพี่ทำได้จริงหรือ” “ข้อดีของเผ่าหงส์คือ?” “การกำเนิดใหม่” “ใช่แล้ว ต่อให้ระเบิดตัวตายหรือถูกเผาเป็นจุณก็ยังสามารถเกิดใหม่ได้จากเถ้าถ่าน น้ำตามีพลังแห่งการเยียวยา เลือดและไขกระดูกเป็นยาอายุวัฒนะ พลังชีวิตไร้ขีดจำกัด การคงอยู่ของพวกเราขัดกับกฎสวรรค์ แต่โลกก่อให้เกิดสมดุลเสมอ หลายหมื่นปีมานี้หงส์เกิดใหม่มีน้อยมา
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว” เฉินเทียนอี้เห็นเปลือกตาของภรรยาขยับไหวก็บีบมือบางด้วยความโล่งใจ “เสี่ยวเทียน?” “ข้าเอง” เฉินเทียนอี้พยุงร่างบางลุกขึ้นนั่ง “ดื่มชาก่อน” ชายหนุ่มจิบชาที่สามียื่นให้อย่างว่าง่าย หลินเสวี่ยเฟิ่งตื่นจากภาพฝันอันยาวนาน อดีตและปัจจุบันเรียงร้อยเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว แม้จะยังมีท่าทางมึนเบลออยู่บ้าง แต่เขาก็รู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแสนนาน สวีเฟยหลงกับหลินหลิงกำลังหารือกันเสียงเบา พอเห็นว่าทางนี้มีความเคลื่อนไหวก็รีบมาดูอาการของชายหนุ่ม “ท่านพี่! เสด็จแม่!!” “เสวี่ยเอ๋อร์&r
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้า... จำข้าได้แล้วอย่างนั้นหรือ” สวีเฟยหลงถามน้ำเสียงคาดหวังปนหวั่นกลัวเล็กน้อย ถึงจะพอคาดเดาได้ แต่ก็ยังอยากได้ยินคำยืนยันจากปากภรรยาอยู่ดี “อืม” หลินเสวี่ยเฟิ่งพยักหน้ายิ้มๆ “เช่นนั้นเราก็สามารถอยู่ด้วยกัน...” “ท่านพี่... ข้าอยู่กับท่านเสมอ ก็ข้าเป็นภรรยาของท่านนี่น่า” หลินเสวี่ยเฟิ่งโอบกอดสามีเต็มอ้อมแขนด้วยความคิดถึง สวีเฟยหลงเองก็เช่นเดียวกัน “แต่ว่าข้าก็คือหลานซือเยว่ภรรยาของเสี่ยวเทียน มารดาของหยางเอ๋อร์เช่นกัน ข้ารักท่านที่สุด แต่ก็รักพวกเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ท่านพี่ข้าไม่อาจทอดทิ้งพวกเขาได้ เช่นเดียวกับที่ไม่อาจปล่อยมือจากท่าน ท่านจะดุด่าข้า โกรธเกลียดข้า หรือลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ ข้าล้วนยินยอมทั้งสิ้น แต่ข้าก็ยังอยากจะรับผิดชอบดูแลพวกเขาให้ถึงที่สุดอยู่ดี ท่าน... จะรอข้าได
เปลวเพลิงอัคคีมรณะโหมกระหน่ำเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้ราพณาสูรเส้นผมสีน้ำตาลพลิ้วไหว อาภรณ์สีฟ้าครามอาบชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน แผ่นหลังกว้างยืนหยัดปกป้องเขาแม้ตัวตายแม้นลมหายใจสุดท้ายยังห่วงใยเขาตราบจนสิ้นลม "เกอเกอท่านฟื้นสิ" สวีจิ้งเฟิ่งกอดเงาร่างสูงสง่าของไป่ชิงถงไว้ในอ้อมกอด อยากเหนี่ยวรั้งให้ชายหนุ่มอยู่กับเขาตลอดไป แต่ก็ไม่อาจยื้ออีกฝ่ายจากเงาแห่งความตาย ได้แต่เบิกตามองดูร่างกายของคนที่เขารักมากที่สุดสลายหายไปพร้อมกับยอดเขาซีเทียนเฟิงที่เริ่มพังทลาย “เกอเกอ ไม่มีท่านแล้วข้าจะอยู่กับใคร” สวีจิ้งเฟิ่งมองอ้อมแขนไร้เงาร่างของไป่ชิงถงด้วยสายตาว่างเปล่า ชีวิตนี้ไม่เหลือใครอีกแล้ว แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร “เกอเกอ ท่านรอข้า ข้าจะตามท่านไปเดี๋ยวนี้แหละ” ฝ่ามือสั่นเทาอัดแน่นไปด้วยพลังซัดเข้าที่แก่นเซียนกะจะตายตกตามไป่ชิงถงไป เพราะในโลกนี้ไม่ม
เฉินซือหยางเหงื่อแตกเต็มศีรษะ นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอน เขาเห็นดวงจิตของตนเองหลุดออกจากร่างของสวีจิ้งเฟิ่งบุรุษผู้มีใบหน้าเหมือนกันกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน ขณะที่เขากำลังสับสนมึนงง เงาร่างก็เกิดไหววูบ คราวนี้เขาปรากฏตัวอยู่ในห้องห้องหนึ่งซึ่งดูคุ้นตา ‘นี่มันตำหนักซูเซียว!’ เฉินซือหยางมองซ้ายมองขวาด้วยความมึนงง ภาพสีซีดจางตรงหน้าดั่งกับว่าเขาได้ย้อนมาในอดีตกาลอันแสนห่างไกล ผ้าม่านสีขาวโปร่งปลิวไสวล้อสายลม บนเตียงน้ำแข็งมีเงาร่างบอบบางในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองอร่ามนอนสงบนิ่งราวกับกำลังหลับฝัน ใบหน้างดงามเป็นเอก หากได้พบพานเพียงครั้งย่อมไม่มีวันลืมเลือนกำลังยิ้มน้อยๆ เฉินซือหยางขยับเข้าไปดูผู้ที่นอนอยู่บนเตียงใกล้ๆ ‘นี่คือเสด็จแม่ของข้าอย่างนั้นหรือ หน้าตาเหมือนหลินเสวี่ยเฟิ่งจริงๆ นะเนี่ย’
ภายใต้การดูแลของจ้าวลี่หมิงเพียงสามวันเฉินซือหยางก็ฟื้นตัวจากพิษไข้ ร่างกายกลับมาแข็งแรงดั่งอาชาศึก เช่นเดียวกันกับอาการป่วยของเฉินเทียนอี้ แม้องค์จักรพรรดิจะหมดสติไปสามวันสามคืนพานให้ผู้คนตื่นตระหนก หมอหลวงวิ่งวุ่นเข้าออกตำหนักบรรทมราวกับหนูติดจั่น หวั่นเกรงว่าจะรักษาศีรษะเอาไว้ไม่อยู่ ดีที่มีหานกวางหมอเทวดาประจำพระองค์ และหลินเสวี่ยเฟิ่งคอยช่วยดูแลตั้งแต่เช้าจรดค่ำอาการประชวรเลยไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น พอทั้งสองพระองค์หายดี ทุกคนจึงตัดสินใจเดินทางกลับวังหลวงในทันทีหลังจากที่ห่างหายมานานนับเดือน ทั้งคณะเร่งเดินทางเพียงสามวันก็กลับถึงเมืองหลวง ทันเวลาประตูเมืองปิดพอดี นั่งรถม้าเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน จ้าวลี่หมิงเลยเผลอหลับตลอดทั้งบ่ายจนถึงพลบค่ำ รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเฉินซือหยางอุ้มมานอนบนเตียง “ถึงแล้วหรือ” จ้าวลี่หมิงงัว
‘เปิดตำหนักลับฉบับวายป่วง’ สำนักข่าวเถียนเถียนรายงานสดจากตำหนักจินหลวน นักข่าวนิรนาม : “มีคนบ่นว่าพระเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนพระเอกจริงหรือไม่ขอรับ” สวีจิ้งเฟิ่ง : “ผู้ใดบอกให้นักเขียนผู้นั้นให้บทเด่นกับท่านพ่อมากเกินไปเล่า” สวีจิ้งเฟิ่งแบมืออย่างช่วยไม่ได้ นักเขียน : “C £ C!!” ถึงกับเลิ่กลั่ก นักข่าวนิรนาม : “คุณแย่งซีนบุตรชายเช่นนี้ รู้สึกผิดหรือไม่ขอรับ” สวีเฟยหลง : “แย่งซีนคืออันใด” ไป่ชิงถง : “กินได้หรือไม่” หลินเสวี่ยเฟิ่ง : “ข้าว่าน่าจะไม่ใช่ของ
ด้วยความเพียรพยายามมุมานะอุตสาหะกกไข่แทนภรรยาของสองพ่อลูกแซ่สวี ในที่สุดไข่ใบน้อยก็เริ่มกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว "อีกนิด ลูกทำได้ เจาะเปลือกบนหัวออกก่อนแบบนั้นแหละ" เสียงพ่อลูกแซ่สวีให้กำลังใจลูกน้อยดังขึ้นเป็นระยะ ไม่นานหงส์ทองตัวน้อยกับมังกรเหมันต์ก็โผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมา ดวงตาใสแจ๋วสองคู่มองคนนั้นทีคนนี้ที "เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าเขาจะต้องเป็นมังกรเหมือนข้า" สวีเฟยหลงคีบบุตรชายมาอวดภรรยาด้วยความภาคภูมิใจ "ชีชี เจ้าดูลูกของเราสิ น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะ" สวีจิ้งเฟิ่งประคองลูกหงส์ขนอุยในมือให้ภรรยาเห็นชัดๆ "พวกท่านเห่อลูกให้น้อยลงหน่อยจะได้หรือไม่" ไป่ชิงถงกับหลินเสวี่ยเฟิ่งเอ็ดคนทั้งคู่ รับบุตรชายตัวน้อยของตนมาดูแลบ้าง "เสด็จพ่อตั้งชื่อน้องชายว่าอะไรหรือ"
กาลเวลาล่วงเลยไปดั่งสายน้ำไหลไม่อาจหวนคืน วันเวลาของเทพเซียนนั้นช่างแสนยาวนานจนน่าเบื่อหน่าย ไป่ชิงถงจึงหางานอดิเรกทำแก้เซ็ง นั่นก็คือการตระเวนกินของอร่อยไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน "อืม ปลาเก๋าเก้าครีบราดพริกไฟนรกร้านนี้สุดยอดเลย เผ็ดจัดจ้านถึงใจข้ายิ่งนัก" ไป่ชิงถงกินไปปาดเหงื่อไป ถึงจะเผ็ดแค่ไหนก็ไม่ยอมแพ้ กินจนริมฝีปากบวมเจ่อก็ยังหยุดกินไม่ได้ "เคยมีอะไรไม่ถูกปากเจ้าด้วยหรือ" สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มขำนอนตะแคงมองภรรยาเพลินๆ ระหว่างรออีกฝ่ายทานมื้อกลางวัน "ไม่มี ข้ากินได้หมดทุกอย่างแหละ ข้าถือคติคนกินห้ามบ่น ไม่ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรก็ต้องบอกอร่อยไว้ก่อนเพราะเราไม่ได้เป็นคนทำอาหาร หากเจ้าทำกินเองจะบ่นอย่างไรก็ได้ไม่มีผู้ใดว่ากล่าว แต่ถ้าพ่อครัวทำให้ทานจำไว้แค่ว่าต้องกล่าวคำขอบคุณกับอร่อยเท่านั้น นั่นแหละถึงจะเรียกว่านักกิน
หยาดน้ำฝนโปรยปรายผ่านหน้าต่างบานเล็ก บรรยากาศเย็นสบายชวนให้ง่วงงุน “เราหายมาโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด ทุกคนจะไม่ตามหาแย่หรือ” ไป่ชิงถงถามเสียงงัวเงีย กระชับผ้าห่มผืนหนาบนร่างคลายความหนาวเย็น "งานเลี้ยงฉลองยังมีอีกหลายวันไม่มีผู้ใดสนใจเราหรอก" ริมฝีปากหนาจุมพิตเคล้าคลอหัวไหล่เปลือยเปล่าขาวผ่องที่โผล่พ้นชายผ้าห่ม จนปรากฏร่องรอยสีกุหลาบน่าหลงใหล "อย่ากวนน่า ทั้งคืนยังไม่พออีกหรือไง" มือบางปิดปากหนาก่อนจะโฉบเข้ามารังแกเขาอีก "บอกแล้วไงข้าไม่มีวันอิ่มเอมในตัวเจ้า" สวีจิ้งเฟิ่งจูบฝ่ามืองามหนักๆ ลิ้นสากไล้เล็มนิ้วงามดุจลำเทียนเล่น จนไป่ชิงถงรู้สึกชาหน่อยๆ "ให้จริงเถอะ" ไป่ชิงถงชักมือกลับ จู่ๆ กลิ่นหอมติดปลายจมูกก็หายวับไ
คงโหวหัวหงส์เก้าชั้นฟ้า[1] บรรเลงบทเพลงแว่วหวานเคล้าคลอสายลมยามค่ำคืน เสียงสรวลเสเฮฮา และจอกสุรากระทบกันฟังดูครื้นเครงดังแว่วถึงตำหนักแสงดาว เรือนหอที่วิจิตรตระการตาที่สุดในสี่ทะเลแปดดินแดนของไท่จื่อพระองค์ใหม่ งานอภิเษกสมรสขององค์ไท่จื่อ และไท่จื่อจวินจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่บรรยากาศครึกครื้นภายในงานไม่รบกวนเจ้าสาวในห้องหอเลยแม้แต่น้อย ไป่ชิงถงในชุดแต่งงานลายหงส์ นั่งหยุกหยิกบนเตียงหยกปูลาดด้วยผ้าห่มยวนยางผืนหนานุ่ม ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาอยู่ไม่สุขเช่นนี้ก็มาจากกลิ่นหอมเตะจมูกลอยตลบอบอวลอยู่ทั่วห้อง จนเขาอดสูดดมเข้าปอดแรงๆ ไม่ได้ ดวงตากลมโตจ้องมองอาหารละลานตาบนโต๊ะเบื้องหน้าตาเป็นมัน ลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ต้องบอกก่อนว่าเมื่อครั้นยังเป็นมนุษย์เขาก็เป็นนักกินตัวยง แม้การคืนร่างเดิมกลายเป็นเทพเซียนจะไม่รู้สึกหิวโหยอีกต่อไป แต่เมื่อมีอาหารน่าทานมายั่วน้ำลายเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะอดใจ
ด้านสวีจิ้งเฟิ่ง หลังจากเขากับไป่ชิงถงแยกตัวออกมา เซียนรับใช้ก็พาทั้งสองเดินชมทิวทัศน์ด้านหลังตำหนักใหญ่ที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ แต่ที่สะดุดตาเป็นที่สุดเห็นจะเป็นดอกอู๋ถงสีขาวบริสุทธิ์ชูช่อเบ่งบานเต็มผืนป่า “ว้าว! ต้นอู๋ถงเต็มไปหมดเลย” ไป่ชิงถงดวงตาเปล่งประกาย ดีใจมากถึงกับถลาเข้าไปถามไถ่เพื่อนฝูงอย่างสนิทชิดเชื้อ “สวัสดีต้นนี้เป็นลูกของเจ้าหรือ เขาน่ารักยิ่ง ต่อไปต้องเติบโตอย่างแข็งแรงแน่นอน” มือเรียวแตะสัมผัสอู๋ถงต้นน้อยอย่างเบามือ ก้านใบน้อยๆ ส่ายไหวสัมผัสมือบางกลับเหมือนตอบรับคำอวยพรของไป่ชิงถง ต้นอู๋ถงโดยรอบต่างกิ่งก้านส่ายไหว ยินดีที่ราชาของพวกเขามาเยี่ยมเยือน ดอกอู๋ถงโปรยปรายรอบกายคนตัวเล็ก บางส่วนติดตามเรือนผมยาวสลาย ยิ่งขับเน้นให้คนตรงหน้าน่ามองยิ่งกว่าสิ่งใด งดงามจนทัศนียภาพรอบกายจืดชืดไร้
หลังเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นเรื่องน่ายินดีก็บังเกิด ข่าวเรื่องอดีตองค์ไท่จื่อสวีเฟยหลงคือเทพมังกรบรรพกาลแพร่สะพัดไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน และที่สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กัน ก็คงหนีไม่พ้นสวีจิ้งเฟิ่ง หงส์ทองเพียงหนึ่งเดียวแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเทพมังกรบรรพกาล ผู้คนยิ่งตื่นเต้นคึกคัก จัดขบวนต้อนรับทั้งสองพระองค์กลับสู่แดนสวรรค์อย่างยิ่งใหญ่ คดีใส่ร้ายอดีตองค์ไท่จื่อว่าเป็นผู้นำกบฏในสงครามเทพมารเมื่อคราก่อนก็ได้รับการคลี่คลาย หลินหลิงจึงประกาศความจริงออกไปให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสลายความเข้าใจผิด และชำระมลทินให้กับสวีเฟยหลง เหล่าผู้คนที่เคยกล่าวร้ายท่านเทพต่างก็แพ้ภัยตนเอง ทั้งสวีหนิงหลงที่ร่างกายแหลกสลายไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณ หรือแม้แต่สวีจวินอดีตเทียนตี้ผู้ปกครองสวรรค์ยังถูกทำลายตบะ ก่อนจะถูกส่งตัวไปคุมขัง ณ ห้วงอนธการ จนกว่าอายุขัยของเทพเซียนจะสูญสิ้น หลินหลิงมองส่ง
เหล่าเทพเซียนที่รายล้อมอยู่รอบตัวสวีจวินแตกฮือรีบหนีตาย เมื่อสวีจวินก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่เลือกหน้า จนสวีเฟยหลงต้องเข้ามาหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ สวีหนิงหลงอาศัยจังหวะที่ผู้คนไม่ได้สนใจในตัวเขาลอบหลบหนี แต่กลับถูกสวีจิ้งเฟิ่งขวางหน้า “จะหนีไปไหน อยู่เล่นเป็นเพื่อนข้าก่อนสิเสด็จอา” สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มเย็น หนี้แค้นที่อีกฝ่ายติดค้างบิดา เขาจะเป็นคนทวงคืนให้เอง! กระบี่เกล็ดเหมันต์วูบไหว บินเฉียดลำคอแกร่งของสวีหนิงหลงไปเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปดแต่ปราณกระบี่คมกริบกลับกรีดเฉือนผิวหนังหนาๆ ของสวีหนิงหลงจนได้เลือด สวีหนิงหลงเจ็บแปล๊บบริเวณลำคอ คลำดูแล้วเห็นเลือดสีแดงฉานไหลเต็มฝ่ามือ อยู่ห่างเงามัจจุราชเพียงแค่เอื้อมทำให้สวีหนิงหลงโมโหหนัก “แก! รนหาที่ตาย!!” สวีหนิงหลงลงมือหนักหน่วง มวลน้ำวนดุจพายุหมุนห้าสายสูงเสียด
หลินเสวี่ยเฟิ่งร้องห้ามเสียงดังลั่น สวีเฟยหลงลืมตาพรึ่บ พลังแห่งเทพบรรพกาลระเบิดออกอย่างรุนแรง จนภูผาวารีสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น กระแทกเงาร่างของศัตรูในรัศมีร้อยลี้จนตัวปลิว ผู้ที่มีพลังตบะอ่อนด้อยต่างเลือดออกทั้งเจ็ดทวารตายคาที่ แม้แต่สวีหนิงหลง และจอมมารหลัวเหยียนที่เข้าร่วมสนามรบยังถูกพลังอันมหาศาลจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวจนกระอักเลือดออกมากองใหญ่ มังกรเกล็ดทองอร่าม ลำตัวยาวเหยียดราวกับจะโอบล้อมทั้งสามภพไว้ในอุ้งมือกู่ร้องเสียงดังกึกก้อง ร่างกายใหญ่โตทะยานสู่ฟากฟ้ายามสุริยันกระจ่างแจ้ง เมฆมงคลไหลเรื่อย แสงเงินแสงทองส่องประกายวาววับ ไอมงคลสีทองระยับโปรยปรายดุจสายฝนฉ่ำริน นำพาไอวิเศษอันแสนอบอุ่นอ่อนโยนโอบล้อมทุกหมู่เหล่า วัชระม่วงครามซึ่งเป็นทัณฑ์สายฟ้าขั้นสูงสุดตอบรับเสียงเรียกร้องแห่งบรรพกาล ผ่าฟาดลงบนแท่นมังกรวัชระ ปลุกจิตวิญญาณของอาวุธเทพให้ตื่นฟื้น อาวุธเทพหลับใหลมานานดั่งได้พานพบนายเก่า ส่งสายฟ้าสีม่วงครามต