“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้า... จำข้าได้แล้วอย่างนั้นหรือ” สวีเฟยหลงถาม
น้ำเสียงคาดหวังปนหวั่นกลัวเล็กน้อย ถึงจะพอคาดเดาได้ แต่ก็ยังอยากได้ยินคำยืนยันจากปากภรรยาอยู่ดี“อืม” หลินเสวี่ยเฟิ่งพยักหน้ายิ้มๆ
“เช่นนั้นเราก็สามารถอยู่ด้วยกัน...”
“ท่านพี่... ข้าอยู่กับท่านเสมอ ก็ข้าเป็นภรรยาของท่านนี่น่า” หลินเสวี่ยเฟิ่งโอบกอดสามีเต็มอ้อมแขนด้วยความคิดถึง สวีเฟยหลงเองก็เช่นเดียวกัน “แต่ว่าข้าก็คือหลานซือเยว่ภรรยาของเสี่ยวเทียน มารดาของหยางเอ๋อร์เช่นกัน ข้ารักท่านที่สุด แต่ก็รักพวกเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ท่านพี่ข้าไม่อาจทอดทิ้งพวกเขาได้ เช่นเดียวกับที่ไม่อาจปล่อยมือจากท่าน ท่านจะดุด่าข้า โกรธเกลียดข้า หรือลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ ข้าล้วนยินยอมทั้งสิ้น แต่ข้าก็ยังอยากจะรับผิดชอบดูแลพวกเขาให้ถึงที่สุดอยู่ดี ท่าน... จะรอข้าได
เปลวเพลิงอัคคีมรณะโหมกระหน่ำเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้ราพณาสูรเส้นผมสีน้ำตาลพลิ้วไหว อาภรณ์สีฟ้าครามอาบชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน แผ่นหลังกว้างยืนหยัดปกป้องเขาแม้ตัวตายแม้นลมหายใจสุดท้ายยังห่วงใยเขาตราบจนสิ้นลม "เกอเกอท่านฟื้นสิ" สวีจิ้งเฟิ่งกอดเงาร่างสูงสง่าของไป่ชิงถงไว้ในอ้อมกอด อยากเหนี่ยวรั้งให้ชายหนุ่มอยู่กับเขาตลอดไป แต่ก็ไม่อาจยื้ออีกฝ่ายจากเงาแห่งความตาย ได้แต่เบิกตามองดูร่างกายของคนที่เขารักมากที่สุดสลายหายไปพร้อมกับยอดเขาซีเทียนเฟิงที่เริ่มพังทลาย “เกอเกอ ไม่มีท่านแล้วข้าจะอยู่กับใคร” สวีจิ้งเฟิ่งมองอ้อมแขนไร้เงาร่างของไป่ชิงถงด้วยสายตาว่างเปล่า ชีวิตนี้ไม่เหลือใครอีกแล้ว แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร “เกอเกอ ท่านรอข้า ข้าจะตามท่านไปเดี๋ยวนี้แหละ” ฝ่ามือสั่นเทาอัดแน่นไปด้วยพลังซัดเข้าที่แก่นเซียนกะจะตายตกตามไป่ชิงถงไป เพราะในโลกนี้ไม่ม
เฉินซือหยางเหงื่อแตกเต็มศีรษะ นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอน เขาเห็นดวงจิตของตนเองหลุดออกจากร่างของสวีจิ้งเฟิ่งบุรุษผู้มีใบหน้าเหมือนกันกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน ขณะที่เขากำลังสับสนมึนงง เงาร่างก็เกิดไหววูบ คราวนี้เขาปรากฏตัวอยู่ในห้องห้องหนึ่งซึ่งดูคุ้นตา ‘นี่มันตำหนักซูเซียว!’ เฉินซือหยางมองซ้ายมองขวาด้วยความมึนงง ภาพสีซีดจางตรงหน้าดั่งกับว่าเขาได้ย้อนมาในอดีตกาลอันแสนห่างไกล ผ้าม่านสีขาวโปร่งปลิวไสวล้อสายลม บนเตียงน้ำแข็งมีเงาร่างบอบบางในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองอร่ามนอนสงบนิ่งราวกับกำลังหลับฝัน ใบหน้างดงามเป็นเอก หากได้พบพานเพียงครั้งย่อมไม่มีวันลืมเลือนกำลังยิ้มน้อยๆ เฉินซือหยางขยับเข้าไปดูผู้ที่นอนอยู่บนเตียงใกล้ๆ ‘นี่คือเสด็จแม่ของข้าอย่างนั้นหรือ หน้าตาเหมือนหลินเสวี่ยเฟิ่งจริงๆ นะเนี่ย’
ภายใต้การดูแลของจ้าวลี่หมิงเพียงสามวันเฉินซือหยางก็ฟื้นตัวจากพิษไข้ ร่างกายกลับมาแข็งแรงดั่งอาชาศึก เช่นเดียวกันกับอาการป่วยของเฉินเทียนอี้ แม้องค์จักรพรรดิจะหมดสติไปสามวันสามคืนพานให้ผู้คนตื่นตระหนก หมอหลวงวิ่งวุ่นเข้าออกตำหนักบรรทมราวกับหนูติดจั่น หวั่นเกรงว่าจะรักษาศีรษะเอาไว้ไม่อยู่ ดีที่มีหานกวางหมอเทวดาประจำพระองค์ และหลินเสวี่ยเฟิ่งคอยช่วยดูแลตั้งแต่เช้าจรดค่ำอาการประชวรเลยไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น พอทั้งสองพระองค์หายดี ทุกคนจึงตัดสินใจเดินทางกลับวังหลวงในทันทีหลังจากที่ห่างหายมานานนับเดือน ทั้งคณะเร่งเดินทางเพียงสามวันก็กลับถึงเมืองหลวง ทันเวลาประตูเมืองปิดพอดี นั่งรถม้าเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน จ้าวลี่หมิงเลยเผลอหลับตลอดทั้งบ่ายจนถึงพลบค่ำ รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเฉินซือหยางอุ้มมานอนบนเตียง “ถึงแล้วหรือ” จ้าวลี่หมิงงัว
เฉินซือหยางกอดรัดร่างบางแนบแน่น ฝ่ามือลูบไล้แผ่นหลังเล็ก บรรยากาศอ่อนหวานโอบล้อมคนทั้งคู่คงจะดีถ้าไม่มีกลิ่นดอกเหมยหอมกรุ่นก่อกวนจมูกโด่งคม ไหนจะเนื้อตัวนุ่มนิ่มคอยบดเบียดอยู่ในอ้อมแขนนี้อีกเล่า ยั่วเย้าจนอะไรต่อมิอะไรของเขาผงาดกล้า “บ้าเอ๊ย! อยากเข้าหอชะมัด พวกเราข้ามขั้นตอนเลยดีไหม” ฟองอากาศแห่งความสุขลอยละล่องอยู่รอบกายแตกโพละเพราะคำพูดของชายหนุ่ม “บ้า! มันใช่เวลาไหม” จ้าวลี่หมิงทุบบ่าแกร่ง ดิ้นรนหลีกหนีจากอ้อมแขนของคนไม่รู้กาลเทศะ “อย่าดิ้น อยู่นิ่งๆ ก่อน” เฉินซือหยางสูดลมหายใจระงับอารมณ์เร่าร้อน จ้าวลี่หมิงตัวแข็งทื่อ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดใบหูจนเขารู้สึกวูบไหวไปด้วย คนตัวเล็กเลยหยุดดิ้นนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก รอจนลมหายใจหอบหนักของเฉินซือหยางกลับมาเป็นปกติ ค่อยผลักชายหนุ่มออกเบาๆ
จ้าวลี่หมิงถูกอุ้มเข้าห้องหอ หลังจากท่านพ่อท่านแม่ของเขาเข้ามาทำพิธีปูเตียงให้เรียบร้อย เขาก็ได้แต่นั่งรออย่างสงบอยู่ภายในห้อง “ข้าจะออกไปต้อนรับแขกสักครู่ หากเจ้าหิวก็ทานก่อนได้เลยไม่ต้องรอข้า” เฉินซือหยางจูบหน้าผากอิ่มเนิ่นนานค่อยผละจากคนร่างเล็กอย่างอาลัยอาวรณ์ “ดูแลพระชายาให้ดี” “เพคะ” สาวใช้ประจำเรือนช่านไฉ่ทั้งสี่ตามมารับใช้จ้าวลี่หมิงด้วยรับคำโดยพร้อมเพรียง รอจนร่างสูงของเฉินซือหยางเดินจากไป จ้าวลี่หมิงก็โบกมือไล่เหล่าสาวใช้ “พวกเจ้าออกไปเถอะ หากมีอะไรแล้วข้าจะเรียก” “เพคะ” พอได้อยู่คนเดียวภายในห้องจ้าวลี่หมิงก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาพักผ่อนร่างกายให้คลายจากอาการเมื่อยขบ หลังจากยืนเกร็งอยู่เป็นนานในงานพิธี
“ดีหรือไม่” เฉินซือหยางกระซิบถามเสียงพร่า ร่างหนาล้มตัวลงนอนทาบทับร่างโปร่งบาง กกกอดจ้าวลี่หมิงไว้ในอ้อมแขน ไม่ยอมถอดถอนตัวตนออกจากโพรงเนื้อนุ่มแม้เพียงชั่วขณะอยากจะซุกซบอยู่ในแอ่งอุ่นนี้ตราบนานเท่านาน “ยอดเยี่ยมที่สุด” จ้าวลี่หมิงถอนหายใจอย่างอิ่มเอม มือเรียวลูบไล้อกแกร่งเล่น ก่อนที่มือซุกซนจะเลื่อนไถลลงต่ำวนเวียนแถวๆ มัดกล้ามเป็นลอนงามเหนือหน้าท้องแกร่ง เล่นเอาไฟสวาทของเฉินซือหยางลุกโหมขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ลำกายแข็งชันเหยียดขยายช่องทางรักจนจ้าวลี่หมิงรู้สึกได้ “อีกครั้งนะ” เฉินซือหยางอ้อนเสียงพร่า มือหนาเริ่มยุ่มย่ามกับผิวเนื้อนวลเนียนชื้นเหงื่อให้สัมผัสลื่นมือ ตุ่มไตสีหวานตัดกับผิวขาวบางกระเพื่อมไหวตามการหายใจของจ้าวลี่หมิงยั่วเย้าให้ลมหายใจของคนร่างสูงหอบหนัก กระหายอยากคนร่างบางจนหน้ามืด “ไม่เอา เหนียว
ตำหนักบูรพาอบอวลไปด้วยความสุข ถึงแม้องค์รัชทายาทผู้เป็นเจ้าของงานจะปลีกตัวออกไปตั้งแต่ต้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่ฝ่าบาทยังประทับอยู่ที่นี่ ดังนั้นเป้าหมายในการประจบประแจงจึงเบนเข็มมายังเฉินเทียนอี้ ขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลายต่างดาหน้าเข้ามาคารวะสุราไม่ขาดสาย ทำเอาหลินเสวี่ยเฟิ่งอึดอัดนิดหน่อย “เสี่ยวเทียนข้าออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่นะ” “ถ้าเจ้าเบื่อเรากลับกันเลยไหม” “อย่าดีกว่า ท่านคอยรับรองแขกแทนหยางเอ๋อร์เถอะ ข้าไปไม่นานหรอก” หลินเสวี่ยเฟิ่งตบหลังมือหนาเบาๆ แล้วปลีกตัวออกมาจากงาน โดยมีหวังกงกงตามรับใช้ใกล้ชิด หลินเสวี่ยเฟิ่งเหม่อมองตำหนักหลักที่ถูกใช้เป็นเรือนหอของบุตรชาย เทียนมงคลสาดแสงสีแดงสลัวราง บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบต่างจากงานพิธี ณ ลานหน้าตำหนักโดยสิ้นเชิง หลินเสวี่ยเฟิ่งยิ้มบาง แ
สัมผัสแผ่วเบาบริเวณปลายนิ้วปลุกจ้าวลี่หมิงให้ตื่นจากนิทรานัยน์ตาสีน้ำตาลซ่อนประกายมรกตคู่งามสะท้อนภาพดวงหน้าคมเข้มเคล้าคลอมือนิ่ม ริมฝีปากหยักจุมพิตนิ้วเรียวทีละนิ้วอย่างละเมียดละไม “ตื่นแล้วหรือ ข้ากวนเจ้า?” เฉินซือหยางเลิกคิ้วถาม นัยน์ตาสีนิลเต็มไปด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้แฝงประกายอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ “ท่านพึ่งรู้ตัวหรือ” จ้าวลี่หมิงหลบสายตา ชักมือหนีคนตัวโตทั้งใบหูแดงระเรื่อแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้น หนำซ้ำยังโดนคนหน้าหนาจูบหลังมือนุ่มหนักๆ ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาไปง่ายๆ “อย่าซนสิ! ตอนนี้ยามใดแล้ว” “เพิ่งยามเฉิน[1] เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ” เฉินซือหยางนอนทอดหุ่ยสบายอารมณ์ มือหนาลูบไล้แผ่นหลังบางเขาหยุดว่าราชการหลายวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนภรรยาตัวน้อย โยนภาร
‘เปิดตำหนักลับฉบับวายป่วง’ สำนักข่าวเถียนเถียนรายงานสดจากตำหนักจินหลวน นักข่าวนิรนาม : “มีคนบ่นว่าพระเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนพระเอกจริงหรือไม่ขอรับ” สวีจิ้งเฟิ่ง : “ผู้ใดบอกให้นักเขียนผู้นั้นให้บทเด่นกับท่านพ่อมากเกินไปเล่า” สวีจิ้งเฟิ่งแบมืออย่างช่วยไม่ได้ นักเขียน : “C £ C!!” ถึงกับเลิ่กลั่ก นักข่าวนิรนาม : “คุณแย่งซีนบุตรชายเช่นนี้ รู้สึกผิดหรือไม่ขอรับ” สวีเฟยหลง : “แย่งซีนคืออันใด” ไป่ชิงถง : “กินได้หรือไม่” หลินเสวี่ยเฟิ่ง : “ข้าว่าน่าจะไม่ใช่ของ
ด้วยความเพียรพยายามมุมานะอุตสาหะกกไข่แทนภรรยาของสองพ่อลูกแซ่สวี ในที่สุดไข่ใบน้อยก็เริ่มกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว "อีกนิด ลูกทำได้ เจาะเปลือกบนหัวออกก่อนแบบนั้นแหละ" เสียงพ่อลูกแซ่สวีให้กำลังใจลูกน้อยดังขึ้นเป็นระยะ ไม่นานหงส์ทองตัวน้อยกับมังกรเหมันต์ก็โผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมา ดวงตาใสแจ๋วสองคู่มองคนนั้นทีคนนี้ที "เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าเขาจะต้องเป็นมังกรเหมือนข้า" สวีเฟยหลงคีบบุตรชายมาอวดภรรยาด้วยความภาคภูมิใจ "ชีชี เจ้าดูลูกของเราสิ น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะ" สวีจิ้งเฟิ่งประคองลูกหงส์ขนอุยในมือให้ภรรยาเห็นชัดๆ "พวกท่านเห่อลูกให้น้อยลงหน่อยจะได้หรือไม่" ไป่ชิงถงกับหลินเสวี่ยเฟิ่งเอ็ดคนทั้งคู่ รับบุตรชายตัวน้อยของตนมาดูแลบ้าง "เสด็จพ่อตั้งชื่อน้องชายว่าอะไรหรือ"
กาลเวลาล่วงเลยไปดั่งสายน้ำไหลไม่อาจหวนคืน วันเวลาของเทพเซียนนั้นช่างแสนยาวนานจนน่าเบื่อหน่าย ไป่ชิงถงจึงหางานอดิเรกทำแก้เซ็ง นั่นก็คือการตระเวนกินของอร่อยไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน "อืม ปลาเก๋าเก้าครีบราดพริกไฟนรกร้านนี้สุดยอดเลย เผ็ดจัดจ้านถึงใจข้ายิ่งนัก" ไป่ชิงถงกินไปปาดเหงื่อไป ถึงจะเผ็ดแค่ไหนก็ไม่ยอมแพ้ กินจนริมฝีปากบวมเจ่อก็ยังหยุดกินไม่ได้ "เคยมีอะไรไม่ถูกปากเจ้าด้วยหรือ" สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มขำนอนตะแคงมองภรรยาเพลินๆ ระหว่างรออีกฝ่ายทานมื้อกลางวัน "ไม่มี ข้ากินได้หมดทุกอย่างแหละ ข้าถือคติคนกินห้ามบ่น ไม่ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรก็ต้องบอกอร่อยไว้ก่อนเพราะเราไม่ได้เป็นคนทำอาหาร หากเจ้าทำกินเองจะบ่นอย่างไรก็ได้ไม่มีผู้ใดว่ากล่าว แต่ถ้าพ่อครัวทำให้ทานจำไว้แค่ว่าต้องกล่าวคำขอบคุณกับอร่อยเท่านั้น นั่นแหละถึงจะเรียกว่านักกิน
หยาดน้ำฝนโปรยปรายผ่านหน้าต่างบานเล็ก บรรยากาศเย็นสบายชวนให้ง่วงงุน “เราหายมาโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด ทุกคนจะไม่ตามหาแย่หรือ” ไป่ชิงถงถามเสียงงัวเงีย กระชับผ้าห่มผืนหนาบนร่างคลายความหนาวเย็น "งานเลี้ยงฉลองยังมีอีกหลายวันไม่มีผู้ใดสนใจเราหรอก" ริมฝีปากหนาจุมพิตเคล้าคลอหัวไหล่เปลือยเปล่าขาวผ่องที่โผล่พ้นชายผ้าห่ม จนปรากฏร่องรอยสีกุหลาบน่าหลงใหล "อย่ากวนน่า ทั้งคืนยังไม่พออีกหรือไง" มือบางปิดปากหนาก่อนจะโฉบเข้ามารังแกเขาอีก "บอกแล้วไงข้าไม่มีวันอิ่มเอมในตัวเจ้า" สวีจิ้งเฟิ่งจูบฝ่ามืองามหนักๆ ลิ้นสากไล้เล็มนิ้วงามดุจลำเทียนเล่น จนไป่ชิงถงรู้สึกชาหน่อยๆ "ให้จริงเถอะ" ไป่ชิงถงชักมือกลับ จู่ๆ กลิ่นหอมติดปลายจมูกก็หายวับไ
คงโหวหัวหงส์เก้าชั้นฟ้า[1] บรรเลงบทเพลงแว่วหวานเคล้าคลอสายลมยามค่ำคืน เสียงสรวลเสเฮฮา และจอกสุรากระทบกันฟังดูครื้นเครงดังแว่วถึงตำหนักแสงดาว เรือนหอที่วิจิตรตระการตาที่สุดในสี่ทะเลแปดดินแดนของไท่จื่อพระองค์ใหม่ งานอภิเษกสมรสขององค์ไท่จื่อ และไท่จื่อจวินจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่บรรยากาศครึกครื้นภายในงานไม่รบกวนเจ้าสาวในห้องหอเลยแม้แต่น้อย ไป่ชิงถงในชุดแต่งงานลายหงส์ นั่งหยุกหยิกบนเตียงหยกปูลาดด้วยผ้าห่มยวนยางผืนหนานุ่ม ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาอยู่ไม่สุขเช่นนี้ก็มาจากกลิ่นหอมเตะจมูกลอยตลบอบอวลอยู่ทั่วห้อง จนเขาอดสูดดมเข้าปอดแรงๆ ไม่ได้ ดวงตากลมโตจ้องมองอาหารละลานตาบนโต๊ะเบื้องหน้าตาเป็นมัน ลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ต้องบอกก่อนว่าเมื่อครั้นยังเป็นมนุษย์เขาก็เป็นนักกินตัวยง แม้การคืนร่างเดิมกลายเป็นเทพเซียนจะไม่รู้สึกหิวโหยอีกต่อไป แต่เมื่อมีอาหารน่าทานมายั่วน้ำลายเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะอดใจ
ด้านสวีจิ้งเฟิ่ง หลังจากเขากับไป่ชิงถงแยกตัวออกมา เซียนรับใช้ก็พาทั้งสองเดินชมทิวทัศน์ด้านหลังตำหนักใหญ่ที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ แต่ที่สะดุดตาเป็นที่สุดเห็นจะเป็นดอกอู๋ถงสีขาวบริสุทธิ์ชูช่อเบ่งบานเต็มผืนป่า “ว้าว! ต้นอู๋ถงเต็มไปหมดเลย” ไป่ชิงถงดวงตาเปล่งประกาย ดีใจมากถึงกับถลาเข้าไปถามไถ่เพื่อนฝูงอย่างสนิทชิดเชื้อ “สวัสดีต้นนี้เป็นลูกของเจ้าหรือ เขาน่ารักยิ่ง ต่อไปต้องเติบโตอย่างแข็งแรงแน่นอน” มือเรียวแตะสัมผัสอู๋ถงต้นน้อยอย่างเบามือ ก้านใบน้อยๆ ส่ายไหวสัมผัสมือบางกลับเหมือนตอบรับคำอวยพรของไป่ชิงถง ต้นอู๋ถงโดยรอบต่างกิ่งก้านส่ายไหว ยินดีที่ราชาของพวกเขามาเยี่ยมเยือน ดอกอู๋ถงโปรยปรายรอบกายคนตัวเล็ก บางส่วนติดตามเรือนผมยาวสลาย ยิ่งขับเน้นให้คนตรงหน้าน่ามองยิ่งกว่าสิ่งใด งดงามจนทัศนียภาพรอบกายจืดชืดไร้
หลังเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นเรื่องน่ายินดีก็บังเกิด ข่าวเรื่องอดีตองค์ไท่จื่อสวีเฟยหลงคือเทพมังกรบรรพกาลแพร่สะพัดไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน และที่สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กัน ก็คงหนีไม่พ้นสวีจิ้งเฟิ่ง หงส์ทองเพียงหนึ่งเดียวแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเทพมังกรบรรพกาล ผู้คนยิ่งตื่นเต้นคึกคัก จัดขบวนต้อนรับทั้งสองพระองค์กลับสู่แดนสวรรค์อย่างยิ่งใหญ่ คดีใส่ร้ายอดีตองค์ไท่จื่อว่าเป็นผู้นำกบฏในสงครามเทพมารเมื่อคราก่อนก็ได้รับการคลี่คลาย หลินหลิงจึงประกาศความจริงออกไปให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสลายความเข้าใจผิด และชำระมลทินให้กับสวีเฟยหลง เหล่าผู้คนที่เคยกล่าวร้ายท่านเทพต่างก็แพ้ภัยตนเอง ทั้งสวีหนิงหลงที่ร่างกายแหลกสลายไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณ หรือแม้แต่สวีจวินอดีตเทียนตี้ผู้ปกครองสวรรค์ยังถูกทำลายตบะ ก่อนจะถูกส่งตัวไปคุมขัง ณ ห้วงอนธการ จนกว่าอายุขัยของเทพเซียนจะสูญสิ้น หลินหลิงมองส่ง
เหล่าเทพเซียนที่รายล้อมอยู่รอบตัวสวีจวินแตกฮือรีบหนีตาย เมื่อสวีจวินก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่เลือกหน้า จนสวีเฟยหลงต้องเข้ามาหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ สวีหนิงหลงอาศัยจังหวะที่ผู้คนไม่ได้สนใจในตัวเขาลอบหลบหนี แต่กลับถูกสวีจิ้งเฟิ่งขวางหน้า “จะหนีไปไหน อยู่เล่นเป็นเพื่อนข้าก่อนสิเสด็จอา” สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มเย็น หนี้แค้นที่อีกฝ่ายติดค้างบิดา เขาจะเป็นคนทวงคืนให้เอง! กระบี่เกล็ดเหมันต์วูบไหว บินเฉียดลำคอแกร่งของสวีหนิงหลงไปเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปดแต่ปราณกระบี่คมกริบกลับกรีดเฉือนผิวหนังหนาๆ ของสวีหนิงหลงจนได้เลือด สวีหนิงหลงเจ็บแปล๊บบริเวณลำคอ คลำดูแล้วเห็นเลือดสีแดงฉานไหลเต็มฝ่ามือ อยู่ห่างเงามัจจุราชเพียงแค่เอื้อมทำให้สวีหนิงหลงโมโหหนัก “แก! รนหาที่ตาย!!” สวีหนิงหลงลงมือหนักหน่วง มวลน้ำวนดุจพายุหมุนห้าสายสูงเสียด
หลินเสวี่ยเฟิ่งร้องห้ามเสียงดังลั่น สวีเฟยหลงลืมตาพรึ่บ พลังแห่งเทพบรรพกาลระเบิดออกอย่างรุนแรง จนภูผาวารีสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น กระแทกเงาร่างของศัตรูในรัศมีร้อยลี้จนตัวปลิว ผู้ที่มีพลังตบะอ่อนด้อยต่างเลือดออกทั้งเจ็ดทวารตายคาที่ แม้แต่สวีหนิงหลง และจอมมารหลัวเหยียนที่เข้าร่วมสนามรบยังถูกพลังอันมหาศาลจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวจนกระอักเลือดออกมากองใหญ่ มังกรเกล็ดทองอร่าม ลำตัวยาวเหยียดราวกับจะโอบล้อมทั้งสามภพไว้ในอุ้งมือกู่ร้องเสียงดังกึกก้อง ร่างกายใหญ่โตทะยานสู่ฟากฟ้ายามสุริยันกระจ่างแจ้ง เมฆมงคลไหลเรื่อย แสงเงินแสงทองส่องประกายวาววับ ไอมงคลสีทองระยับโปรยปรายดุจสายฝนฉ่ำริน นำพาไอวิเศษอันแสนอบอุ่นอ่อนโยนโอบล้อมทุกหมู่เหล่า วัชระม่วงครามซึ่งเป็นทัณฑ์สายฟ้าขั้นสูงสุดตอบรับเสียงเรียกร้องแห่งบรรพกาล ผ่าฟาดลงบนแท่นมังกรวัชระ ปลุกจิตวิญญาณของอาวุธเทพให้ตื่นฟื้น อาวุธเทพหลับใหลมานานดั่งได้พานพบนายเก่า ส่งสายฟ้าสีม่วงครามต