เมิ่งจิ่นเหยาพูดไม่ออกในชั่วขณะนั้น นางเหลือบมองกู้จิ่งซี พลางกล่าวด้วยความสับสน “ท่านพี่ให้ข้ามาที่นี่ มีเรื่องอันใดให้ทำงั้นหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน พวกเรามานั่งลงพูดคุยกันก่อนเถิด”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย พยักหน้าในทันที ก้าวเท้าไปที่หน้าเก้าอี้แล้วนั่งลง ภายในใจกำลังสงสัยว่าสตรีที่อยู่แต่ในเรือนเช่นนางจะสามารถทำอันใดได้ เรื่องภายในราชสำนักนางก็ไม่เข้าใจเสียหน่อยกู้จิ่งซีก้าวมาอยู่ด้านหน้าโต๊ะเขียนอักษร หยิบซองจดหมายขึ้นมาหนึ่งซอง หลังจากนั้นก็หมุนตัว เดินไปหานาง แล้วนั่งลงตรงข้าง ๆ นาง จากนั้นก็นำซองจดหมายในมือส่งให้นาง “ฮูหยิน เจ้าลองดูสิ่งนี้ก่อน”เมิ่งจิ่นเหยารับซองจดหมาย สายตาถอดมองลงไปที่หน้าซอง บนนั้นว่างเปล่า ไม่ได้เขียนว่าเป็นจดหมายให้ใคร นางเงยหน้ามองกู้จิ่งซีอย่างไม่เข้าใจ หมายจะสอบถามกู้จิ่งซีกล่าว “ฮูหยินลองอ่านดูก่อนเถิด”เมิ่งจิ่นเหยารับคำ เปิดซองจดหมาย แล้วหยิบกระดาษที่อยู่ภายในออกมา กระดาษมีอยู่สองสามแผ่น นางดูคร่าว ๆ อยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าเป็นข้อมูลของนางซุนมารดาเลี้ยง ก็ตั้งใจขึ้นมาในฉับพลัน ตั้งสมาธิอ่านอย่างละเอียดนี่
เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ดวงตาก็เป็นประกายการตัดศีรษะก็ไม่เลว การแขวนคอก็ดีมากเช่นกัน เมื่อถึงเวลานายบ่าวคู่นั้นก็จะได้รับการลงโทษบนเวทีเดียวกัน คนหนึ่งถูกตัดศีรษะในที่สาธารณะ คนหนึ่งถูกแขวนคอตายด้วยเชือกป่าน เพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของเฉิงอวี่ที่อยู่บนสวรรค์เมื่อกู้จิ่งซีเห็นใบหน้าของแม่นางน้อยเต็มไปด้วยความลิงโลด ก็รู้สึกแต่เพียงว่าแม่นางน้อยดีใจมากเกินไป จนมองข้ามสิ่งอื่น ถึงแม้ในใจไม่อยากให้นางเจ็บช้ำ ทว่าจำเป็นจะต้องเตือนนาง “เพียงแต่ บุตรธิดาฟ้องร้องบิดามารดา ถือว่าไม่กตัญญู ความผิดของการไม่กตัญญูจะต้องถูกลงโทษด้วยเช่นกัน ขอฮูหยินทบทวนดูให้รอบคอบ ข้าไม่อยากให้มีวันใดวันหนึ่งที่ข้าต้องไปเยี่ยมเจ้าในคุกหลวงบ่อย ๆ ” สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาชะงักค้างไปชั่วขณะ ในตอนนั้นที่นางซุนยักยอกสินเดิมของมารดาผู้ให้กำเนิดนาง นางยืมอำนาจของจวนฉางซินโหวในการบีบบังคับให้พวกเขาคืนสินเดิมก่อน แล้วใช้เหตุผลในการข่มขู่ว่าจะแจ้งต่อทางการในครั้งนั้นเป็นเพราะว่านางมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม มีหลักฐานพร้อมทั้งอำนาจของจวนฉางซินโหวคอยกดดัน ไม่จำเป็นต้องแจ้งต่อทางการ พวกเขาก็คืนกลับมาแล้ว ดังนั้นนางถึงสามารถพู
เมิ่งจิ่นเหยาจ้องมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ พลางกล่าวอย่างมีโทสะ “ท่านก็เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากกฎหมายนี้เหมือนกัน”กู้จิ่งซียิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ มองดูที่แม่นางน้อยที่โกรธอย่างหนัก จนใจอยู่บ้าง ทว่าก็สามารถเข้าใจความโมโหของนางที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันได้ ผู้ที่ถูกขูดรีดเผชิญหน้ากับผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ หากยังมีสีหน้าปกติอยู่ก็แปลกแล้ว จึงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ฮูหยินอย่าโมโหไปเลย หากฮูหยินไม่ยินดี ข้าก็สามารถละทิ้งผลประโยชน์เช่นนี้ได้เหมือนกัน”เมิ่งจิ่นเหยาเลิกหางคิ้ว พลางถามด้วยสีหน้าที่คาดไม่ถึง “ท่านคิดจะละทิ้งอย่างไรงั้นหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากภายภาคหน้าข้ากระทำความผิด ก็จะลงนามในหนังสือหย่า เช่นนี้พวกเราก็จะยกเลิกความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ถึงตอนนั้นฮูหยินก็สามารถนำหลักฐานไปฟ้องร้องข้าโดยไม่ต้องถูกคุมขังได้แล้วละ”เมื่อสิ้นเสียง เมิ่งจิ่นเหยาก็ตกตะลึง พลางมองไปที่กู้จิ่งซีด้วยความมึนงง เมื่อหวนกลับไปนึกถึงประโยคนี้อีกครั้ง โทสะที่มีอยู่บนใบหน้าก็มลายลงอย่างรวดเร็ว นางช่างไม่ได้เรื่องยิ่งนัก ถูกเอาใจด้วยคำพูดประโยคเช่นนี้ หัวใจดวงน้อย ๆ ที่ขุ่นเคือ
เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างกะทันหัน เมื่อมองเห็นมุมปากที่แย้มยิ้มของเขาดวงตาก็สว่างไสวขึ้นมาในฉับพลัน พลางถามอย่างรีบร้อน “คดีนั้นมีจุดจบเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวต่อ “ที่เหมือนกันคือบิดากับมารดาเกิดมีปากเสียงกัน ระหว่างที่โต้เถียงกันเกิดลงไม้ลงมือกันขึ้น บิดาเข้าไปในครัวแล้วหยิบมีดทำครัวขึ้นมาฟันมารดาสิบห้าครั้ง มารดาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ในตอนที่บุตรชายกลับถึงบ้าน เห็นมารดาถูกฆ่าตายอยู่ที่นั่น บิดาถือมีดทำครัวอยู่ในมือ จึงตะโกนเรียกเพื่อนบ้านมาจับบิดาในทันที สุดท้ายบุตรฟ้องร้องว่าบิดาสังหารมารดา พยานและหลักฐานครบถ้วน บิดาถูกตัดสินให้ตัดศีรษะ ทว่าบุตรชายถูกตัดสินว่าไร้ความผิด และไม่มีพฤติกรรมที่อกตัญญู” นี่คือผลลัพธ์ที่ตนเองต้องการ ทว่าเมิ่งจิ่นเหยากลับรู้สึกไม่ค่อยพึงพอใจอีกครั้ง พลางตั้งคำถามขึ้นมา “เช่นนั้นเหตุใดคดีความครั้งแรก ท่านจึงไม่สามารถตัดสินเช่นนี้ได้เจ้าคะ? ในเมื่อคดีที่สองสามารถกระทำได้ ไยคดีในครั้งแรกถึงไม่พยายามทำให้ได้เล่าเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบ “นั่นก็เพราะว่ามีเหตุผลอย่างไรเล่า”เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟังก็งุนงง ถามอย่างไม่อาจเข้าใจได้ “
คำพูดของบุรุษอ่อนโยนและโน้มน้าวใจ เยียวยาอารมณ์โกรธของเมิ่งจิ่นเหยาอย่างช้า ๆ เดิมทีนางยังรู้สึกขุ่นเคือง โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เกลียดชังผู้ที่เสนอกฎหมายฉบับนี้ ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกจนใจ ในเวลาเดียวกันภายในใจยังเกิดความรู้สึกว่าไร้พลังเพียงชั่วครู่ นางก็เงยหน้ามองกู้จิ่งซีอย่างไม่มีเหตุผล ภายในใจมีความหวังเพิ่มขึ้น หากมีคนอย่างกู้จิ่งซีเพิ่มขึ้นสักหน่อย กฎหมายที่ไม่สมเหตุสมผลพวกนี้ก็คงจะถูกปรับปรุงอย่างช้า ๆ นางจ้องมองกู้จิ่งซีเป็นเวลานาน กล่าวอย่างอึกอักว่า “ท่านพี่ เมื่อครู่ข้าไม่ควรพาลโมโหท่านเลยเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีส่ายศีรษะแผ่วเบาอย่างไม่เก็บมาใส่ใจ พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ฮูหยินว่ากันด้วยเหตุผล และเป็นผู้ที่รู้เหตุรู้ผล เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความโมโหชั่ววูบเท่านั้น”เมิ่งจิ่นเหยาราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง จับจ้องเขาอย่างกระตือรือร้น “เสนาบดีศาลต้าหลี่สามารถมีส่วนร่วมในการบัญญัติและแก้ไขกฎหมายได้ใช่ไหมเจ้าคะ?”เมื่อได้ฟัง กู้จิ่งซีก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างจนใจไม่ได้ จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าขอแนะนำเจ้าว่าอย่าคาดหวังกับสามีของเจ้านักเลย อันที่จริงสามีของเจ้าไ
“ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเปิดเผย ก็เพราะว่าเฉียวหมอมอคอยจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เขาอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด ข้าสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ จับจุดอ่อนของเฉียวหมอมอ และทำให้เฉียวหมอมอเปลี่ยนฝ่าย ขอเพียงเฉียวหมอมอยอมแปรพักตร์ เรื่องราวต่อจากนี้ก็ง่ายดายมากขึ้นแล้ว”กู้จิ่งซีเหลือบมองนางอย่างชื่นชม พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ฮูหยินเฉลียวฉลาด ต่อจากนี้มีเรื่องอันใดที่ต้องการให้ข้าทำหรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยาครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นก็ปฏิเสธอย่างอ้อม ๆ “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ เพียงแต่ในช่วงระยะเวลานี้น่าจะไม่ต้องเจ้าค่ะข้าอยากลองดูด้วยตัวเองสักหน่อย หากว่ามีสิ่งใดที่ต้องการ ข้าจะมายืมกำลังของท่านพี่อีกครั้งเจ้าค่ะ?”กู้จิ่งซีกล่าวเตือน “ก็ได้ เพียงแต่ฮูหยินอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม ต้องคิดให้รอบด้าน ส่วนเรื่องกำลังคน เมื่อใดที่ฮูหยินต้องการสามารถบอกข้าได้ทันที”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าแผ่วเบา สอดกระดาษกลับเข้าไปในซองจดหมาย พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านพี่ ตอนนี้มองดูก็สายมากแล้ว หากไม่มีธุระอันใดละก็ มิสู้พวกเรากลับเรือนเวยหรุยเซวียนก่อน ประเดี๋ยวค่อยกินอาหารเย็นดีไหมเจ
เช้าวันรุ่งขึ้นกู้จิ่งซีถึงศาลาว่าการศาลต้าหลี่เพื่อทำหน้าที่ สหายร่วมงานคนสนิทฉีอวิ้นเหวินเห็นเขามาทำงาน ก็เดิมตามต้อย ๆ อยู่ข้างกาย มองเขาด้วยดวงตาสว่างไสว หลายครั้งหลายคราที่อยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมาเขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน อ่านม้วนคดีที่เสนอมาจากทุกหนทุกแห่ง เสนาบดีศาลต้าหลี่มีเขาที่มีเอกสิทธิ์ มีสถานที่ทำงานส่วนตัว ฉีอวิ้นเหวินจึงย้ายม้วนคดีที่ตนเองต้องอ่านมาที่นี่ด้วย มาอ่านด้วยกันกับเขาเพียงแต่ กู้จิ่งซีเพิกเฉยเขามาตลอด และอ่านม้วนคดีอย่างตั้งใจ มีบางครั้งบางคราวที่ไม่มีสมาธิ แล้วสบตากับเขา ก็มักจะรู้สึกว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก จนกระทั่งในภายหลังถูกสายตาของเขามองจนรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่มีกะจิตกะใจทำงาน จึงได้วางม้วนคดีที่อยู่ในมือฉบับนั้นลง พลางถามเสียงทุ้ม “ฉีโม่ไป๋ เจ้าเป็นโรคที่ตากระนั้นหรือ?”ฉีอวิ้นเหวินส่ายศีรษะโดยไม่รู้ตัว “ปะ เปล่านี่ ไยเจ้าถึงถามเช่นนี้?”กู้จิ่งซีขมวดคิ้ว เมื่อประสานกับดวงตาที่ลุกโชนของเขา ก็รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาอีกครั้ง พลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เช่นนั้นเจ้าเอาแต่จับจ้องข้าทำไมกัน? ข้ามิใช่ภรรยาของเจ้าเสียหน่อย”ฉีอวิ้นเหวินส่ายศีรษะอีกครั้ง “ไ
ฉีอวิ้นเหวินขยับปากจะพูด แต่แล้วก็กลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากกลับไปอีกครั้ง พลางเหลือบมองไปที่สหายสนิท ภายในใจรู้สึกเสียดายยิ่งนัก กู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “มีม้วนคดีจากที่ต่าง ๆ เสนอมาใหม่เป็นกอง ไปอ่านก่อนเถิด”ฉีอวิ้นเหวินส่งเสียงตอบรับ “ได้” และไม่ได้เอ่ยถึงหัวข้อสนทนานี้อีกอย่างรู้ว่าอะไรควรไม่ควร และยุ่งอยู่กับม้วนคดีอีกครั้งเพียงชั่วพริบตา ก็ถึงเวลาเที่ยงตรงฮูหยินของฉีอวิ้นเหวินส่งอาหารกลางวันมาให้ไม่เพียงแต่ฮูหยินของฉีอวิ้นเหวินเท่านั้น มีใต้เท้าบางคนที่แต่งงานแล้ว ก็จะได้รับอาหารกลางวันที่ฮูหยินส่งมาในเวลากลางวันเป็นครั้งคราวเช่นกัน ยกเว้นสามีภรรยาที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีเท่าใดนักที่แทบจะไม่เคยได้รับเลยถึงอย่างไรห้องครัวของศาลต้าหลี่ พ่อครัวก็เป็นเพียงพ่อครัวธรรมดาเท่านั้น อาหารที่ทำออกมาไม่ได้ถือว่าอร่อยมากนัก แค่พอถู ๆ ไถ ๆ อาหารก็ทั่วไป จะอร่อยเหมือนกับอาหารที่บ้านได้เช่นไรกัน? อาหารที่บ้านต่อให้ไม่ใช่อาหารหายาก ทว่าก็ตั้งใจนำส่วนผสมที่เรียบง่ายทำออกมาให้ได้รสชาติที่ดีที่สุดภรรยาที่สงสารสามีของตนเองว่าจะกินอาหารไม่ดี ต่างก็มาส่งอาหารให้สามีเป็นครั้งคราว ปร
ดังนั้น อู่อันป๋อฮูหยินถึงคิดจะให้บุตรชายคนโตสายตรงที่ขึ้นเป็นซื่อจื่อแล้วแต่งงานกับเซวียนอี๋ เช่นนี้อู่อันป๋อซื่อจื่อก็จะได้รับการสนับสนุนจากจวนฉางซินโหวแห่งนี้ และบรรเทาความกดดันของเรือนใหญ่ได้ แถมเซวียนอี๋ฐานะต่ำกว่าก็ง่ายที่จะควบคุม อู่อันป๋อฮูหยินถูกแม่สามีควบคุมมานานเช่นนั้น เป็นลูกสะใภ้อดทนจนกลายเป็นแม่สามี จะต้องควบคุมลูกสะใภ้อย่างแน่นอน แต่นางจางกลับแยกแยะไม่ได้ และดูไม่ออก บรรยากาศเงียบไปนานมาก นางจางถึงจะกล่าวอย่างอึกอักว่า “ท่านแม่ ลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้ไม่ได้คิดไกลถึงขนาดนั้น ขอบคุณท่านแม่ที่ตักเตือน แต่ลูกสะใภ้นัดกับอู่อันป๋อฮูหยินไว้แล้วว่าจะไปล่องเรือ นี่ควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้เห็นท่าทางโง่เขลาแยกแยะไม่ออกของนางก็โมโห และดุด่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ความยุ่งเหยิงที่เจ้าเป็นคนก่อก็จัดการเอาเอง แต่อย่าผลักเด็กเข้าไปในหลุมไฟ เรื่องแต่งงานของซิวหย่วนก่อนหน้านี้เจ้าก็เกือบจะทำอะไรเลอะเลือน ตอนนี้ถึงตาเซวียนอี๋ เจ้ายังมาทำแบบเดิมอีก ข้าว่าเจ้าไม่เคยสำนึกตนเลย”นางจางถูกดุจนก้มหน้าไม่กล้าพูดขัด เพียงแค่ไม่พอใจเล็กน้อยเท่านั้น เพราะน้องสะใภ้ทั้งสองยังอยู่ แม่สามีก
ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ฟังสะใภ้ใหญ่พูดถึงคุณชายจากตระกูลเหล่านี้ ไม่มีพึงพอใจเลยสักคน และคนที่ไม่พอใจมากที่สุดคืออู่อันป๋อซื่อจื่อ แต่ลูกสะใภ้กลับพึงพอใจอู่อันป๋อมากที่สุด เมื่อเห็นท่าทีที่ลำพองใจของลูกสะใภ้ใหญ่ นางก็ตอบกลับอย่างราบเรียบ “ข้าคิดว่าไม่เท่าใดนัก โดยเฉพาะอู่อันป๋อซื่อจื่อ”ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา สีหน้าของนางจางแข็งทื่อในชั่วพริบตา และรู้สึกว่าแม่สามีไม่เห็นด้วยกับนาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทนเห็นเรือนใหญ่ดีไม่ได้ หรือทนเห็นเซวียนอี๋แต่งงานได้ดีไม่ได้กันแน่ จึงถามกลับ “ท่านแม่ ลูกสะใภ้เห็นว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อก็ดี เหตุใดท่านถึงไม่พอใจเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวด้วยเสียงเรียบ “อู่อันป๋อซื่อจื่อดีมาก ฐานะครอบครัวก็ดี ในอนาคตหากอู่อันป๋อเสียชีวิต เขายังสามารถสืบทอดตำแหน่งขุนนางได้ หากเซวียนอี๋แต่งเข้าไป อนาคตก็คือฮูหยินของท่านป๋อ”เมื่อได้ยิน สีหน้าของนางจางก็อ่อนลง และกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นท่านแม่เหตุใดถึงคิดว่าไม่ดีเล่าเจ้าคะ? เซวียนอี๋แต่งเข้าไปก็ดีแล้ว ภายหลังจะได้ช่วยสนับสนุนบ้านมารดาด้วย”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “สะใภ้ใหญ่ เซวียนอ
แต่โดยรวมแล้ว หลานสาวคนโตก็ไม่ใช่คนเลวร้ายจนไม่อาจให้อภัยได้ นอกจากรังแกเซวียนหลิงแล้ว ก็ไม่เคยเป็นฝ่ายทำร้ายใคร เพียงแต่คนเป็นบิดามารดาไม่ได้อบรมสั่งสอนให้ดี เลยเลี้ยงเด็กดีในทางที่ผิด หากต่อไปไม่พบเจอกับเรื่องอะไร นิสัยนี้เกรงว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วหลังจากนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ชักสายตากลับ และกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เซวียนอี๋ เซวียนหลิงกลับไปก่อนเถอะ”ทันทีที่กู้เซวียนอี๋กับกู้เซวียนหลิงได้ยิน ก็รู้ว่าเหล่าอาวุโสมีเรื่องต้องพูดคุยกัน จึงตอบรับอย่างเชื่อฟัง และออกจากโถงโซ่วอันไปหลังจากนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ไล่สาวใช้ที่ปรนนิบัติให้ออกไป จึงเหลือเพียงเฝิงหมอมอ รวมทั้งลูกสะใภ้อีกสามคนเท่านั้นนางจางอดสงสัยไม่ได้ จึงถาม “ท่านแม่ ท่านมีเรื่องสำคัญอะไรจะปรึกษากับพวกเราหรือเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง เซวียนอี๋กับเซวียนหลิงเด็กทั้งสองถึงวัยปักปิ่น และถึงวัยที่จะพูดคุยเรื่องแต่งงานได้แล้ว พวกเจ้าเป็นมารดามีบุคคลที่ถูกใจหรือยัง?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางเฉินก็รีบกล่าวทันที “ท่านแม่ เรื่องงานแต่งของเซวียนหลิง ปีนี้ลูกสะใภ้ให้ความสำคัญอยู่ตลอด
ยามดึกสงัด ผู้คนกำลังพักผ่อน เมิ่งจิ่นเหยานอนอยู่บนเตียง เตียงของฤดูร้อนเปลี่ยนเป็นเสื่อหยก เสื่อหยกไม่ได้ทำจากหยก แต่เป็นเสื่อเย็นที่ทำมาจากไม้ไผ่ สามารถลดอุณหภูมิได้ ฤดูร้อนนอนอยู่บนนั้นจะรู้สึกสบายเล็กน้อย หน้าต่างก็เปิดเอาไว้ ลมฤดูร้อนพัดเข้ามาจะได้ขับไล่ความร้อน และภายในห้องไม่ต้องวางกระจกน้ำแข็งก็ไม่รู้สึกร้อนเช่นกันสบโอกาสตอนที่กู้จิ่งซีไปอาบน้ำยังไม่กลับมา เมิ่งจิ่นเหยาคิดสักพัก จึงขยับตัวนอนยังตำแหน่งของกู้จิ่งซี ถึงอย่างไรกู้จิ่งซีก็ยังไม่กลับมา นางถูตัวกับความเย็น ทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความเย็นของเสื่อหยกที่แพร่กระจายออกมา นางสบายตัวจึงหรี่ตาขี้นมาผ่านไปไม่นาน กู้จิ่งซีกลับมา พบว่าแม่นางน้อยที่อยู่บนเตียงหลับไปแล้ว แถมยังนอนอยู่ตรงตำแหน่งของเขาอีกด้วยแม่นางน้อยสวมเสื้อเสื้อผ้าไหมตัวบาง แม้แต่เสื้อด้านในเป็นสีอะไรล้วนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเขาเห็นแล้ว ก็ละสายตาด้วยสีหน้าที่อึดอัด แต่สุดท้ายกลับไม่กล้าหยิบผ้าห่มไปคลุมให้แม่นางน้อย เพราะครั้งก่อนคลุมให้แล้ว กลับทำให้แม่นางน้อยร้อนจนตื่น แถมยังโกรธและโทษที่เขารบกวนการนอนหลับอีกพวกเขาเป็นสามีภรรยาที่ต้องใช
เมิ่งจิ่นเหยามองนางด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้านางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น และราวกับมีความแค้นอะไรกับกู้ซิวหมิง จึงสับสนเล็กน้อย “เจ้าดูเหมือนดีใจมากเมื่อเห็นเขาโชคร้าย?”ท่านหญิงจิ้งหนิงเชิดริมฝีปาก ด้วยสีหน้าที่ดูแคลน “ข้าก็แค่ไม่ชอบขี้หน้าเขา ชอบทำท่าวางมาดทั้งวัน ดูเหมือนจะเป็นคนดี แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม คนอื่นกลับบอกว่าเขาสุภาพอ่อนโยน และมีท่าทางแบบท่านโหว”เมิ่งจิ่นเหยาตกใจ “อาเหยียนสายตาเฉียบคมมาก”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างเขินอาย “ก็พอได้ แต่เพราะข้าเคยเห็นด้านที่ไม่ดีของเขา จึงรู้สึกว่าเขาแตกต่างกับพฤติกรรมที่แสดงออกมาอย่างมาก”ขณะที่นางพูด ก็ดื่มน้ำเชื่อมอีกหนึ่งอึก น้ำเชื่อมที่เย็นหอมหวานเข้าไปในปาก ทำให้รู้สึกสดชื่นไปทั่วทั้งตัว และกล่าวอีกว่า “อย่าเพิ่งกล่าวถึงเขาเลย ดื่มตอนที่มันยังเย็น อีกเดี๋ยวมันร้อนคาดว่าจะไม่อร่อยมากแล้ว”หลังดื่มน้ำเชื่อม ท่านหญิงจิ้งหนิงก็อยู่อีกกว่าครึ่งชั่วยามจึงจะกลับจวนเหลียงอ๋อง ......กู้จิ่งซีเลิกงานกลับมาเมิ่งจิ่นเหยาเห็นเขา ก็เรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านพี่”จากนั้น นางก็สั่งให้หนิงตงยกน้ำเชื่อมลิ้นจี่
เวลาเที่ยง ท่านหญิงจิ้งหนิงยังอยู่ที่จวนท่านโหว กินอาหารกลางวันด้วยกันกับเมิ่งจิ่นเหยาเมื่อกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้กำชับสาวใช้ให้ทำลิ้นจี่แห้วเย็นในน้ำเชื่อม เมื่อทำเสร็จแล้วก็ส่งไปให้บ้านใหญ่กับบ้านรองสักหน่อยลิ้นจี่ทำให้ร้อนในได้ ทว่าแห้วแก้ร้อนใน ทำน้ำเชื่อมให้อร่อยหวานสดชื่น แช่เย็นก็ยิ่งดี เมื่อกินลงไปทำให้เย็นสดชื่นและหอมหวาน ทั้งยังสามารถดับร้อนได้ด้วย เหมาะที่จะดื่มสิ่งนี้ตอนอากาศร้อนยิ่งนักท่านหญิงจิ้งหนิงดื่มไปหนึ่งคำก็ส่งเสียงถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ “ไม่เลวเลยจริง ๆ ทำไมก่อนหน้านี้ข้าจึงคิดไม่ถึงว่าควรเอามันมาทำเป็นน้ำเชื่อมนะ?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับ “อยู่ ๆ ข้าก็เพิ่งนึกได้เช่นเดียวกัน”“ก่อนหน้านี้เจ้ากินลิ้นจี่เช่นนี้ตลอดเลยหรือ?” ท่านหญิงจิ้งหนิงเหลือบมองนางอย่างประหลาดใจ แล้วพยักหน้าอีกครั้ง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเสพสุข เช่นนี้อร่อยมากทีเดียว”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะ ตอบกลับด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยกิน เพียงแค่ฉุกคิดขึ้นมาได้จึงอยากลองทำดูเท่านั้น ตอนที่ท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าเคยกินลิ้นจี่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็เมื่อวานซืนกับเม
ท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นนางมองดูลิ้นจี่อย่างตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด จึงกล่าวอย่างไม่ได้สนใจว่า “เจ้าบอกว่าชอบมิใช่หรือ? ข้าได้รับมาจากเสด็จย่าเมื่อวานตอนบ่าย ให้เจ้าทั้งหมดเลย”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย มิน่าเล่าเมื่อวานนางกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วจึงรีบร้อนจากไป ที่แท้ก็เข้าไปในวังนี่เอง ไปหาไทเฮาเพื่อขอลิ้นจี่มาให้นาง ดูแล้วลิ้นจี่นี้น่าจะสักสี่ห้าชั่งได้ ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่ขุนนางเพียงแค่หนึ่งชั่งกว่าเท่านั้น สี่ห้าชั่งนี้ช่างล้ำค่ายิ่งนักเมิ่งจิ่นเหยาจ้องมองไปที่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกอยู่ในภวังค์ หัวใจถูกปกคลุมไปด้วยไออุ่น ภายในใจรู้สึกอบอุ่นนัก จึงถามด้วยเสียงอ่อนโยน “อาเหยียน ให้ข้าหมดแล้ว เจ้ากินอันใด?”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้ากินทุกปี ปีนี้กินไปหลายลูกแล้ว กินจนหายอยาก ตอนนี้ไม่ได้สนใจเท่าใดแล้ว พอดีเจ้าชื่นชอบ จึงเอามามอบให้เจ้า”เมิ่งจิ่นเหยาเม้มริมฝีปาก “ขอบใจมากนะอาเหยียน”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างขัดเขิน “ไม่ต้องเกรงใจ ก่อนที่ข้าจะนำมา ได้ใช้น้ำแข็งรักษาความสดไว้ด้วย เจ้าให้คนไปเอาน้ำแข็งมาสักหน่อย มิเช่นนั้นอากาศร้อนแล้ว มันจะเสียได้ง
ถือโอกาสที่ตอนนี้แสงอาทิตย์ยังไม่แรงเกินไป เมิ่งจิ่นเหยาพาท่านหญิงจิ้งหนิงไปเดินเล่นภายในจวนเพียงแต่ ดูเหมือนกับท่านหญิงจิ้งหนิงจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวน จึงรู้ว่าด้านใดมีสะพาน ด้านใดมีศาลา และริมสระน้ำด้านใดเย็นมากกว่ากันเมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจเล็กน้อย “อาเหยียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับจวนท่านโหวอยู่บ้าง”ท่านหญิงจิ้งหนิงตอบตามความจริง “ข้ามาที่จวนฉางซินโหวหลายครั้งแล้ว ตอนที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนอยู่บ้าง” นางกล่าว แล้วหันไปมองเมิ่งจิ่นเหยา “ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าแต่งงาน ข้าก็อยู่ด้วย ข้ามาดื่มสุรามงคลกับท่านแม่”เมิ่งจิ่นเหยาเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอีกว่า “วันนี้ข้ามาอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเลย”มาเป็นแขกที่เรือนของผู้อื่น ไปทักทายผู้อาวุโสเสียหน่อย เป็นมารยาทพื้นฐานเมิ่งจิ่นเหยากล่าวตอบ “เช่นนั้นเจ้าก็มาผิดจังหวะแล้วละ เมื่อวานแม่สามีของข้าไปพักอยู่ที่วัดเป็นการชั่วคราว คาดว่าอีกสองสามวันถึงจะกลับมา”ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ไม่ได้แปลกใจ เพียงแค่พยักหน
กู้จิ่งซีมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบของแม่นางน้อย ท่าทางไร้การป้องกันแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป เดิมทีพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ทำตามใจชอบบ้างก็ไม่เป็นไร ระมัดระวังตัวมากเกินไปกลับไม่เหมือนสามีภรรยากันเสียด้วยซ้ำ แม่นางน้อยคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาตลอดไปจริง ๆ ถึงได้เป็นเช่นนี้……วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยาเพิ่งจะกินข้าวเช้าเสร็จได้ไม่นาน กำลังเตรียมตัวไปอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลาเสียหน่อย ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่นี่นางตะลึงเล็กน้อย รู้สึกจับต้นจนปลายไม่ถูกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ท่านหญิงจิ้งหนิงมาหานางทำไม จึงรีบกำชับว่า “รีบไปเชิญท่านหญิงจิ้งหนิงเข้ามาเร็วเข้า”ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ก็พาท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเมื่อเมิ่งจิ่นเหยามองเห็นท่านหญิงจิ้งหนิง ก็มองสำรวจอย่างละเอียด เห็นนางดูท่าทางสบายดี และก็ดูไม่ได้มีเรื่องอันใดเช่นกันเมื่อเห็นดังนั้น ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสงสัย “นั่นมันสายตาอันใดของเจ้า? ไม่ยินดีต้อนรับข้ากระนั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาเกรงว่านางจะเข้าใจผิด จึงรีบส่าย