เรือนเวยหรุยเซวียนเมิ่งจิ่นเหยาดูสมุดบัญชีที่คนดูแลหมู่บ้านส่งมาให้ ต่างก็เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของกู้จิ่งซีทั้งนั้น นางดูสมุดบัญชี รายการที่บันทึกไว้ในนั้นดีมาก และที่ดินนี้ก็อยู่ภายใต้ชื่อของกู้จิ่งซีมาหลายสิบปีแล้วนางดูสมุดบัญชีหลายเล่ม และประเมินทรัพย์สินส่วนตัวของกู้จิ่งซีคร่าว ๆ ดู พบว่าสามีร่ำรวยมาก มิน่าเล่าถึงได้มอบตั๋วเงินให้นางสามหมื่นตำลึงได้เวลานี้ ชิงชิวก้าวเท้ามาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า และแนะนำเสียงเบาว่า “ฮูหยิน ท่านก็ดูมานานแล้ว พักผ่อนเสียหน่อยไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ? และการจ้องมองนานเกินไปจะปวดตาเอา สมุดบัญชีนี่ก็ไม่ใช่ว่าต้องดูวันนี้ให้เสร็จด้วย”เมิ่งจิ่นเหยาก็รู้สึกเหนื่อยแล้วเช่นกัน จึงวางสมุดบัญชีลง นวดคลึงหว่างคิ้ว และพยักหน้าเบา ๆ “ก็ได้ เจ้าออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”ชิงชิวพยักหน้าและขานรับ พลางช่วยนางเก็บสมุดบัญชีให้เรียบร้อยไม่นาน เซี่ยจู๋ก็ย่างก้าวเข้ามาอย่างรีบร้อน ยอบตัวทำความเคารพมาทางเมิ่งจิ่นเหยา และกล่าวรายงานว่า “ฮูหยิน ท่านโหวให้ท่านไปห้องหนังสือที่อยู่เรือนหน้าเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” หลังจากเมิ่งจิ่นเหยาได้ยินก็ชะงัก และถามอย่างสงสัย “ท่านโหว
เมิ่งจิ่นเหยารีบส่ายหน้า และกล่าวอธิบายอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ข้า เมื่อครู่ข้ายังไม่ทันตั้งตัวเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเม้มริมฝีปากและยิ้มเล็กน้อย พลางกล่าวติดตลกด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นครั้งหน้าฮูหยินตอบช้าลงหน่อยก็ได้ และตอนที่ยังตั้งตัวไม่ทัน ก็อย่าถามฉีอวิ้นเหวินอีกว่ากู้เย่าหลิงคือผู้ใด มิเช่นนั้นครั้งหน้าคนอื่นจะคิดว่าพวกเราไม่คุ้นเคยกันจริง ๆ ”สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาบึ้งตึงเล็กน้อย และฝืนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแต่ยังคงสุภาพออกมา พลางจ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง คนอื่นหยอกล้อก็ช่างเถอะ เขาจะหยอกล้อทำไม? เขาไม่เคยกล่าวถึงฉายานามของตนเองเลย ยังคงเป็นมารดาเขาที่เคยกล่าวถึงครั้งหนึ่ง แต่ก็แค่ครั้งนั้น ปกติไม่ได้เรียกฉายาเขา ส่วนใหญ่จะเรียกว่าท่านพี่ ดังนั้นจึงลืมไปในภายหลังเมื่อเห็นสถานการณ์ กู้จิ่งซีก็ไม่หยอกล้อนางอีก และหันไปมองฉีอวิ้นเหวิน พลางถามอย่างสงสัยว่า “ข้าให้ฮูหยินของข้าเข้ามา ไม่ได้เรียกเจ้าเสียหน่อย เจ้ามาทำไมหรือ?”ฉีอวิ้นเหวินฉุนกับคำพูดนี้เล็กน้อย หรือเขาไม่ควรมาปรากฏตัว?เขายักไหล่อย่างจนใจ “ตอนที่ข้ามา บ่าวรับใช้ของจวนเจ้าบอกว่าเจ้าอยู่ในห้องหนังสือ ข้าจึงให้เขาพาข้
เมิ่งจิ่นเหยาพูดไม่ออกในชั่วขณะนั้น นางเหลือบมองกู้จิ่งซี พลางกล่าวด้วยความสับสน “ท่านพี่ให้ข้ามาที่นี่ มีเรื่องอันใดให้ทำงั้นหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน พวกเรามานั่งลงพูดคุยกันก่อนเถิด”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย พยักหน้าในทันที ก้าวเท้าไปที่หน้าเก้าอี้แล้วนั่งลง ภายในใจกำลังสงสัยว่าสตรีที่อยู่แต่ในเรือนเช่นนางจะสามารถทำอันใดได้ เรื่องภายในราชสำนักนางก็ไม่เข้าใจเสียหน่อยกู้จิ่งซีก้าวมาอยู่ด้านหน้าโต๊ะเขียนอักษร หยิบซองจดหมายขึ้นมาหนึ่งซอง หลังจากนั้นก็หมุนตัว เดินไปหานาง แล้วนั่งลงตรงข้าง ๆ นาง จากนั้นก็นำซองจดหมายในมือส่งให้นาง “ฮูหยิน เจ้าลองดูสิ่งนี้ก่อน”เมิ่งจิ่นเหยารับซองจดหมาย สายตาถอดมองลงไปที่หน้าซอง บนนั้นว่างเปล่า ไม่ได้เขียนว่าเป็นจดหมายให้ใคร นางเงยหน้ามองกู้จิ่งซีอย่างไม่เข้าใจ หมายจะสอบถามกู้จิ่งซีกล่าว “ฮูหยินลองอ่านดูก่อนเถิด”เมิ่งจิ่นเหยารับคำ เปิดซองจดหมาย แล้วหยิบกระดาษที่อยู่ภายในออกมา กระดาษมีอยู่สองสามแผ่น นางดูคร่าว ๆ อยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าเป็นข้อมูลของนางซุนมารดาเลี้ยง ก็ตั้งใจขึ้นมาในฉับพลัน ตั้งสมาธิอ่านอย่างละเอียดนี่
เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ดวงตาก็เป็นประกายการตัดศีรษะก็ไม่เลว การแขวนคอก็ดีมากเช่นกัน เมื่อถึงเวลานายบ่าวคู่นั้นก็จะได้รับการลงโทษบนเวทีเดียวกัน คนหนึ่งถูกตัดศีรษะในที่สาธารณะ คนหนึ่งถูกแขวนคอตายด้วยเชือกป่าน เพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของเฉิงอวี่ที่อยู่บนสวรรค์เมื่อกู้จิ่งซีเห็นใบหน้าของแม่นางน้อยเต็มไปด้วยความลิงโลด ก็รู้สึกแต่เพียงว่าแม่นางน้อยดีใจมากเกินไป จนมองข้ามสิ่งอื่น ถึงแม้ในใจไม่อยากให้นางเจ็บช้ำ ทว่าจำเป็นจะต้องเตือนนาง “เพียงแต่ บุตรธิดาฟ้องร้องบิดามารดา ถือว่าไม่กตัญญู ความผิดของการไม่กตัญญูจะต้องถูกลงโทษด้วยเช่นกัน ขอฮูหยินทบทวนดูให้รอบคอบ ข้าไม่อยากให้มีวันใดวันหนึ่งที่ข้าต้องไปเยี่ยมเจ้าในคุกหลวงบ่อย ๆ ” สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาชะงักค้างไปชั่วขณะ ในตอนนั้นที่นางซุนยักยอกสินเดิมของมารดาผู้ให้กำเนิดนาง นางยืมอำนาจของจวนฉางซินโหวในการบีบบังคับให้พวกเขาคืนสินเดิมก่อน แล้วใช้เหตุผลในการข่มขู่ว่าจะแจ้งต่อทางการในครั้งนั้นเป็นเพราะว่านางมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม มีหลักฐานพร้อมทั้งอำนาจของจวนฉางซินโหวคอยกดดัน ไม่จำเป็นต้องแจ้งต่อทางการ พวกเขาก็คืนกลับมาแล้ว ดังนั้นนางถึงสามารถพู
เมิ่งจิ่นเหยาจ้องมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ พลางกล่าวอย่างมีโทสะ “ท่านก็เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากกฎหมายนี้เหมือนกัน”กู้จิ่งซียิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ มองดูที่แม่นางน้อยที่โกรธอย่างหนัก จนใจอยู่บ้าง ทว่าก็สามารถเข้าใจความโมโหของนางที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันได้ ผู้ที่ถูกขูดรีดเผชิญหน้ากับผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ หากยังมีสีหน้าปกติอยู่ก็แปลกแล้ว จึงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ฮูหยินอย่าโมโหไปเลย หากฮูหยินไม่ยินดี ข้าก็สามารถละทิ้งผลประโยชน์เช่นนี้ได้เหมือนกัน”เมิ่งจิ่นเหยาเลิกหางคิ้ว พลางถามด้วยสีหน้าที่คาดไม่ถึง “ท่านคิดจะละทิ้งอย่างไรงั้นหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากภายภาคหน้าข้ากระทำความผิด ก็จะลงนามในหนังสือหย่า เช่นนี้พวกเราก็จะยกเลิกความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ถึงตอนนั้นฮูหยินก็สามารถนำหลักฐานไปฟ้องร้องข้าโดยไม่ต้องถูกคุมขังได้แล้วละ”เมื่อสิ้นเสียง เมิ่งจิ่นเหยาก็ตกตะลึง พลางมองไปที่กู้จิ่งซีด้วยความมึนงง เมื่อหวนกลับไปนึกถึงประโยคนี้อีกครั้ง โทสะที่มีอยู่บนใบหน้าก็มลายลงอย่างรวดเร็ว นางช่างไม่ได้เรื่องยิ่งนัก ถูกเอาใจด้วยคำพูดประโยคเช่นนี้ หัวใจดวงน้อย ๆ ที่ขุ่นเคือ
เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างกะทันหัน เมื่อมองเห็นมุมปากที่แย้มยิ้มของเขาดวงตาก็สว่างไสวขึ้นมาในฉับพลัน พลางถามอย่างรีบร้อน “คดีนั้นมีจุดจบเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวต่อ “ที่เหมือนกันคือบิดากับมารดาเกิดมีปากเสียงกัน ระหว่างที่โต้เถียงกันเกิดลงไม้ลงมือกันขึ้น บิดาเข้าไปในครัวแล้วหยิบมีดทำครัวขึ้นมาฟันมารดาสิบห้าครั้ง มารดาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ในตอนที่บุตรชายกลับถึงบ้าน เห็นมารดาถูกฆ่าตายอยู่ที่นั่น บิดาถือมีดทำครัวอยู่ในมือ จึงตะโกนเรียกเพื่อนบ้านมาจับบิดาในทันที สุดท้ายบุตรฟ้องร้องว่าบิดาสังหารมารดา พยานและหลักฐานครบถ้วน บิดาถูกตัดสินให้ตัดศีรษะ ทว่าบุตรชายถูกตัดสินว่าไร้ความผิด และไม่มีพฤติกรรมที่อกตัญญู” นี่คือผลลัพธ์ที่ตนเองต้องการ ทว่าเมิ่งจิ่นเหยากลับรู้สึกไม่ค่อยพึงพอใจอีกครั้ง พลางตั้งคำถามขึ้นมา “เช่นนั้นเหตุใดคดีความครั้งแรก ท่านจึงไม่สามารถตัดสินเช่นนี้ได้เจ้าคะ? ในเมื่อคดีที่สองสามารถกระทำได้ ไยคดีในครั้งแรกถึงไม่พยายามทำให้ได้เล่าเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบ “นั่นก็เพราะว่ามีเหตุผลอย่างไรเล่า”เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟังก็งุนงง ถามอย่างไม่อาจเข้าใจได้ “
คำพูดของบุรุษอ่อนโยนและโน้มน้าวใจ เยียวยาอารมณ์โกรธของเมิ่งจิ่นเหยาอย่างช้า ๆ เดิมทีนางยังรู้สึกขุ่นเคือง โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เกลียดชังผู้ที่เสนอกฎหมายฉบับนี้ ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกจนใจ ในเวลาเดียวกันภายในใจยังเกิดความรู้สึกว่าไร้พลังเพียงชั่วครู่ นางก็เงยหน้ามองกู้จิ่งซีอย่างไม่มีเหตุผล ภายในใจมีความหวังเพิ่มขึ้น หากมีคนอย่างกู้จิ่งซีเพิ่มขึ้นสักหน่อย กฎหมายที่ไม่สมเหตุสมผลพวกนี้ก็คงจะถูกปรับปรุงอย่างช้า ๆ นางจ้องมองกู้จิ่งซีเป็นเวลานาน กล่าวอย่างอึกอักว่า “ท่านพี่ เมื่อครู่ข้าไม่ควรพาลโมโหท่านเลยเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีส่ายศีรษะแผ่วเบาอย่างไม่เก็บมาใส่ใจ พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ฮูหยินว่ากันด้วยเหตุผล และเป็นผู้ที่รู้เหตุรู้ผล เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความโมโหชั่ววูบเท่านั้น”เมิ่งจิ่นเหยาราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง จับจ้องเขาอย่างกระตือรือร้น “เสนาบดีศาลต้าหลี่สามารถมีส่วนร่วมในการบัญญัติและแก้ไขกฎหมายได้ใช่ไหมเจ้าคะ?”เมื่อได้ฟัง กู้จิ่งซีก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างจนใจไม่ได้ จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าขอแนะนำเจ้าว่าอย่าคาดหวังกับสามีของเจ้านักเลย อันที่จริงสามีของเจ้าไ
“ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเปิดเผย ก็เพราะว่าเฉียวหมอมอคอยจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เขาอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด ข้าสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ จับจุดอ่อนของเฉียวหมอมอ และทำให้เฉียวหมอมอเปลี่ยนฝ่าย ขอเพียงเฉียวหมอมอยอมแปรพักตร์ เรื่องราวต่อจากนี้ก็ง่ายดายมากขึ้นแล้ว”กู้จิ่งซีเหลือบมองนางอย่างชื่นชม พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ฮูหยินเฉลียวฉลาด ต่อจากนี้มีเรื่องอันใดที่ต้องการให้ข้าทำหรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยาครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นก็ปฏิเสธอย่างอ้อม ๆ “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ เพียงแต่ในช่วงระยะเวลานี้น่าจะไม่ต้องเจ้าค่ะข้าอยากลองดูด้วยตัวเองสักหน่อย หากว่ามีสิ่งใดที่ต้องการ ข้าจะมายืมกำลังของท่านพี่อีกครั้งเจ้าค่ะ?”กู้จิ่งซีกล่าวเตือน “ก็ได้ เพียงแต่ฮูหยินอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม ต้องคิดให้รอบด้าน ส่วนเรื่องกำลังคน เมื่อใดที่ฮูหยินต้องการสามารถบอกข้าได้ทันที”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าแผ่วเบา สอดกระดาษกลับเข้าไปในซองจดหมาย พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านพี่ ตอนนี้มองดูก็สายมากแล้ว หากไม่มีธุระอันใดละก็ มิสู้พวกเรากลับเรือนเวยหรุยเซวียนก่อน ประเดี๋ยวค่อยกินอาหารเย็นดีไหมเจ
เฉียวหมอมอกระซิบเตือนสติ “เฉิงเอ๋อร์ เจ้าจงจำเอาไว้ว่าห้ามมีข้อบกพร่องแม้แต่เพียงนิดเดียว มิเช่นนั้นพวกเราแม่ลูกก็อย่าได้คิดว่าจะมีชีวิตรอดอีกเลย”ใบหน้าของหลี่เฉิงเผยให้เห็นถึงความตื่นตระหนก “หรือว่าคุณหนูใหญ่จะ…”สีหน้าของเฉียวหมอมอจริงจัง พลางส่ายหน้าแผ่วเบา “ไม่ใช่คุณหนูใหญ่”แต่เป็นฮูหยินฮูหยินสามารถทำให้ชุ่ยเอ๋อร์ตายได้ ก็สามารถทำให้นางกับหลี่เฉิงตายได้เช่นกัน พวกเขาทรยศฮูหยิน หลังจากที่ฮูหยินรู้เรื่อง ไม่มีทางปล่อยพวกเขาแม่ลูกเอาไว้แน่ และจะฆ่าพวกเขาเพื่อปิดปาก……ภายในห้องส่วนตัวเมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองจุดอ่อนทั้งสองฉบับที่เฉียวหมอมอและบุตรชายได้ประทับรอยนิ้วมือเอาไว้ มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายวาบผ่านนัยน์ตาราชวงศ์ปัจจุบันเชิดชูความกตัญญู บุตรฟ้องบิดามารดาถือว่าไม่กตัญญู ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นความจริงหรือไม่ บุตรล้วนต้องติดคุกสามปี ถูกโบยยี่สิบไม้ เช่นนั้นนางก็จะไม่ฟ้องร้องแล้ว ทว่าจะให้นางซุนอยู่มิสู้ตายเมิ่งจิ่นเหยาสั่งกำชับ “ชิงชิว เก็บของให้เรียบร้อย”ชิงชิวรับคำ พอพับกระดาษทั้งสองแผ่นเสร็จก็ใส่เข้าไปในซองจดหมายหนิงตงเคลื่อนเท้าไปที่หน้าต่างแล้วเหลือบมอง เมื่อมองเห็
เมิ่งจิ่นเหยาส่งสายตาไปให้กับหนิงตงหนิงตงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ทันใดนั้นก็หยิบตั๋วเงินใบหนึ่งออกมาจากถุงเงินแล้วส่งให้กับหลี่เฉิงนั่นคือตั๋วเงินที่มีค่าหนึ่งพันตำลึงจำนวนหนึ่งใบเมื่อหลี่เฉิงเห็นว่าจำนวนไม่ถูกต้อง ก็งุนงงเล็กน้อย ทว่าก็ไม่กล้าถามอันใด เพียงแค่เตือนอย่างตะกุกตะกักเท่านั้น “คุณหนูใหญ่ นะ นี่มันตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงเท่านั้นนะขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าแผ่วเบา “ไม่ผิด นี่ก็คือหนึ่งพันตำลึง”เมื่อเฉียวหมอมอมองเห็นหนึ่งพันตำลึงนั่น ก็มองเมิ่งจิ่นเหยาอย่างสับสนและประหม่า ทั้ง ๆ ที่ตกลงกันแล้วว่าหกพันตำลึง อยู่ ๆ ก็กลายเป็นหนึ่งพันตำลึง หรือว่าต้องการกลับคำ และต้องการเล่นตลกกับพวกเขาแม่ลูกกระนั้นหรือ?หลี่เฉิงอดรนทนไม่ไหว จึงถามด้วยเสียงร้อนรน “คุณหนูใหญ่ ท่านบอกว่าหกพันตำลึงมิใช่หรือขอรับ?”เมิ่งจิ่นเหยากล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เงินรายได้หนึ่งพันตำลึงของที่ดิน คงจะใกล้ได้เวลาส่งมอบสมุดบัญชีให้กับนางซุนแล้วกระมัง? เงินหนึ่งพันตำลึงนี้เจ้าเอาไปเติมเต็มรอยรั่วนี้ก่อน”นางพูดแล้วหยุดลงชั่วขณะ หันหน้าไปมองเฉียวหมอมอ พลางยกยิ้มแผ่วเบา “ส่วนที่เหลืออีกห้าพันตำลึง ก็ต้องดูคว
สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาอ่อนลง พลางถามอีกว่า “ชุ่ยเอ๋อร์เล่า?”เฉียวหมอมอตอบตามความเป็นจริง “หลังจากชุ่ยเอ๋อร์ออกเรือน ก็ตายเพราะคลอดยากเจ้าค่ะ”ตายเพราะคลอดยากงั้นหรือ?เมิ่งจิ่นเหยาหรี่ตาเล็กน้อย อย่าโทษที่นางคิดมากเกินไป ชุ่ยเอ๋อร์ออกไปจากสายตาของนางซุน ไม่อยู่ในการควบคุมของนางซุน ทว่าเมื่อรู้ความลับของนางซุนแล้ว ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงนางซุนให้ไม่ห่วงกังวล ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะปิดปากนางเฉียวหมอมอสังเกตความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของนางอย่างไม่แสดงออก สามารถคาดเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเลว่า “เป็นเหมือนที่คุณหนูใหญ่คิดจริง ๆ เจ้าค่ะ”ถูกต้องแล้ว ชุ่ยเอ๋อร์ตายเพราะคลอดยาก เป็นฝีมือของฮูหยินจริง ๆ ฮูหยินจงใจส่งของบำรุงครรภ์จำนวนมากเป็นพิเศษไปให้กับชุ่ยเอ๋อร์ชุ่ยเอ๋อร์ที่ซื่อ ๆ เข้าใจผิดคิดว่าฮูหยินคิดถึงไมตรีครั้งเก่า และเห็นความสำคัญของตนจึงได้ส่งของบำรุงมาให้กับตนเอง และทั้งหมดก็เป็นของดี เป็นของดีที่ปกติไม่ได้กิน จึงได้กินไปทั้งหมด สุดท้ายก็ตายเพราะคลอดบุตรยาก หนึ่งศพสองชีวิตเมื่อมาคิดดูในตอนนี้ ภายในใจของเฉียวหมอมอยังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง นายหญ
ในวินาทีที่สิ้นเสียงของนาง เสียงที่หนักแน่นของหลี่เฉิงก็ดังขึ้น “คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยยินดีเป็นม้ารับใช้ของคุณหนูใหญ่ขอรับ”เมื่อหลี่เฉิงกล่าวจบ ก็ยื่นมือไปสัมผัสที่หมึก จากนั้นก็ประทับรอยนิ้วมือไปบนกระดาษทั้งสองแผ่น การเคลื่อนไหวลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยเมื่อเฉียวหมอมอเห็นดังนั้น ก็ประทับนิ้วมือตามในทันทีจุดอ่อนมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมแล้ว พวกเขาแม่ลูกขึ้นเรือของเมิ่งจิ่นเหยาโดยสมบูรณ์ นับจากนี้เป็นต้นไปก็เป็นผู้ที่อยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว สามารถทำได้เพียงจงรักภักดีต่อเมิ่งจิ่นเหยาเท่านั้น มิเช่นนั้นหากถูกเปิดเผยต่อหน้านางซุน นางซุนไม่มีทางปล่อยพวกเขาไว้แน่เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองรอยนิ้วมือที่อยู่บนนั้น รอยยิ้มฉายวาบผ่านนัยน์ตา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉียวหมอมอ ผู้ดูแลหลี่ พวกเรามาร่วมมือกันอย่างมีความสุขเถิด”สีหน้าของนางสงบนิ่ง น้ำเสียงนุ่มนวล ดูแล้วท่าทางน่าคบค้าด้วยอย่างมากทว่าเฉียวหมอมอกับหลี่เฉิงกลับเกิดความรู้สึกหวาดกลัวนางขึ้นมาเล็กน้อย คนผู้นี้ไม่ได้รับความรักอย่างที่สุด เป็นบุตรสาวคนโตสายตรงของจวนหย่งชางป๋อที่แม้กระทั่งบ่าวไพร่ยังสามารถเหยียบย่ำ
เมื่อนางจริงใจอย่างเต็มเปี่ยม เมิ่งจิ่นเหยาที่เงียบงันอยู่นานก็ได้พยักหน้าตอบ “ในเมื่อพวกเจ้าสองคนแม่ลูกมีความจริงใจ เรื่องนี้ก็จะมอบให้พวกเจ้าไปทำ ข้าก็คร้านจะหาผู้อื่นเช่นกัน สำหรับจะเป็นวัวเป็นม้าในอีกครึ่งชีวิตที่เหลือนั้น ก็ไม่จำเป็น เพียงแค่ต้องทำเรื่องนี้แทนข้าให้ดีก็พอแล้ว”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลี่เฉิงก็คุกเข่าตาม พลางกล่าวขอบคุณพร้อมกับเฉียวหมอมอ “ขอบคุณคุณหนูใหญ่”เมิ่งจิ่นเหยาส่งสายตาให้กับชิงชิวชิงชิวเข้าใจโดยสัญชาตญาณ จากนั้นก็หยิบซองจดหมายซองหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เปิดซองจดหมายแล้วหยิบกระดาษที่เขียนตัวอักษรขึ้นมาสองแผ่น หลังจากนั้นก็รับกล่องขนาดเล็กทรงกลมกล่องหนึ่งมาจากมือของหนิงตงแล้วเปิดออก นั่นคือกล่องหมึกสีชาดกล่องหนึ่งเมิ่งจิ่นเหยากล่าวอีกว่า “เฉียวหมอมอ ผู้ดูแลหลี่ ประทับรอยนิ้วมือบนนี้เถิด”เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เฉียวหมอมอกับหลี่เฉิงก็ตะลึงงัน พากันลุกขึ้นยืน มองไปบนกระดาษสองแผ่นที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่รู้เหตุผลเฉียวหมอมอกล่าวอย่างงงัน “คุณหนูใหญ่ นี่คือ?”เมิ่งจิ่นเหยายิ้มอย่างใจเย็น พลางกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “ข้าจะให้เงินหกพันตำลึงแก่พวกเจ้า หากพวกเจ้ากลับคำไ
“คุณหนูใหญ่ ในที่สุดท่านก็มาเสียที เชิญเข้ามาโดยเร็วเถิดขอรับ”เมื่อหลี่เฉิงมองเห็นเมิ่งจิ่นเหยา ก็เหมือนดังได้เห็นที่พึ่งสุดท้าย เป็นแสงสว่างในความมืดมิด ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งประกาย รีบหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกทางเชิญเมิ่งจิ่นเหยาและสาวใช้สองคนเข้ามาเมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเล็กน้อย พลางย่างเท้าเข้าไปในห้องส่วนตัวหนิงตงกับชิงชิวติดตามไปอย่างใกล้ชิดเมื่อเฉียวหมอมอมองเห็นเมิ่งจิ่นเหยากับสาวใช้อีกสองคนเข้ามา ก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน พลางรินน้ำชาให้กับเมิ่งจิ่นเหยา “คุณหนูใหญ่ เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”ก่อนหน้านี้ตอนที่เมิ่งจิ่นเหยายังไม่ออกเรือน เฉียวหมอมอคือคนสนิทที่อยู่ข้างกายของฮูหยิน สำหรับสตรีที่ไม่ได้รับความรักอย่างเมิ่งจิ่นเหยาแล้ว นางไม่จำเป็นต้องจะต้องใส่ใจ ทว่าตอนนี้นางกลับมีเรื่องที่ต้องขอร้องต่อหน้านาง ความรู้สึกเช่นนี้ทั้งน่ากระอักกระอ่วนและซับซ้อนเมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองดูเฉียวหมอมออยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เงินหกพันตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อย ข้าต้องการเห็นคุณค่าถึงจะสามารถช่วยเหลือผู้ดูแลหลี่ได้ เฉียวหมอมอลองบอกมาก่อนเถิดว่ามีอันใดที่คุ้มค่ากับเงินหกพัน
จนกระทั่งปลายปีที่แล้ว แม่สามีของนางในตอนนี้ได้จัดงานเลี้ยงขึ้น จึงได้เชิญท่านย่าของนางไปที่ตระกูลกู้เพื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงาน ท่านย่าของนางจึงวางใจได้เสียที และจัดเตรียมการแต่งงานให้กับนางกู้จิ่งซีดูเหมือนจะไม่เข้าใจความหมายที่นางกล่าวออกมา จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยินก็เป็นแม่คนแล้วเช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยา “…”หากเป็นลูกอกตัญญูเหมือนเช่นกู้ซิวหมิงก็ช่างเถิด นางไม่ต้องการ มีลูกอย่างกู้ซิวหมิง อายุคงสั้นลงไปอีกหลายปี……วันรุ่งขึ้น ใบหน้าของเฉียวหมอมอเต็มไปด้วยความกังวล นางติดตามหลี่เฉิงบุตรชายมารออยู่ที่ห้องส่วนตัวของโรงน้ำชาที่ตกลงกันไว้ ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าบุตรชายไม่เคยติดหนี้การพนัน ทว่าก็ไม่เคยติดหนี้มากมายถึงเพียงนี้ไม่ต้องถึงห้าพันตำลึงของโรงบ่อน ต่อให้เป็นรายได้ของที่ดินที่ขาดดุลหนึ่งพันตำลึงนั่น นางก็ไม่สามารถเอามาคืนได้เช่นกันนางเป็นหมอมอคนสนิทที่อยู่ข้างกายฮูหยิน แต่กลับกำลังจะทำข้อตกลงกับคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่กับฮูหยินมีบุญคุณความแค้นต่อกัน นางทำเช่นนี้เป็นการทรยศฮูหยินที่เคยมีบุญคุณต่อนางอย่างไม่ต้องสงสัยความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจทรมานไม่หยุดหย่อน ตอนนี้ถึงเวลา
เมื่อมองเห็นท่าทางที่เตรียมพร้อมเป็นอย่างดีแล้วของแม่นางน้อย กู้จิ่งซีก็ถามอย่างสนใจว่า “ฮูหยินมีแผนอย่างไรงั้นหรือ?”เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาหันมามองเขา ก็เห็นบุรุษผู้นี้กำลังมองดูตนเองด้วยสีหน้าอ่อนโยน ก็ไม่รู้ว่าเหตุใด ถึงได้มีความรู้สึกไว้วางใจเขาอย่างแปลกประหลาด ลังเลเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ก็เล่าแผนทั้งหมดให้เขาฟังกู้จิ่งซีฟังแม่นางน้อยพูดจนจบ อันที่จริงแผนของแม่นางน้อย สำหรับเขาแล้วยังไม่ประสีประสายิ่งนัก ทว่าสตรีที่อยู่แต่ในเรือน สิ่งที่สามารถทำได้มีข้อจำกัด จึงสามารถทำได้แค่นี้เท่านี้เขาพยักหน้าแผ่วเบา พลางตอบไปสองคำ “ไม่เลว”เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟังคำยืนยันจากเขา รอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าก็กว้างขึ้น ยันข้อศอกไว้บนโต๊ะ มือทั้งสองเท้าคาง ยิ้มหวานพลางถามว่า “ท่านพี่มีแผนที่ดีกว่านี้หรือไม่เจ้าคะ?”กู้จิ่งซีหันมามองนาง พยักหน้าแล้วตอบว่า “มี ทว่าไม่เหมาะกับเจ้า”เมิ่งจิ่นเหยาส่งเสียง ‘หืม?’ อย่างไม่เข้าใจ เงยหน้ามองเขาด้วยความสับสน หมายจะสอบถามกู้จิ่งซีกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “เป็นสตรี อย่าใช้วิธีการเปื้อนเลือดจะดีกว่า”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็เบ้ปาก สุดท้ายก็ไม่
เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าแผ่วเบา ครุ่นคิดอย่างลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามอีกว่า “ที่ดินในเขตชานเมืองของข้าขาดผู้ดูแล เจ้ายินดีไปหรือไม่?”ทุกวันนี้ นางรู้สึกว่าความสามารถของหลินรุ่ยค่อนข้างใช้ได้ บังเอิญในสินเดิมของมารดานางมีที่ดินอยู่และต้องการเปลี่ยนผู้ดูแล หลินรุ่ยเหมาะสมที่จะไปทำหน้าที่ผู้ดูแลได้พอดีประการแรกเป็นเพราะว่าหลินรุ่ยมีความสามารถประการที่สองเป็นเพราะว่าหลินรุ่ยเป็นคนของนาง สามารถเชื่อใจได้ รายได้ของที่ดินนั่นดีมาก เขาไม่มีทางทำบัญชีเท็จและปิดบังเงินรายได้ที่ดินกับร้านค้าพวกนั้นอยู่ในสินเดิมของมารดานาง ถูกนางซุนดูแลมานานหลายปี ผู้ดูแลเดิมได้ถูกนางซุนเปลี่ยนตัวไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ผู้ดูแลพวกนั้นล้วนแต่เป็นคนที่นางซุนปลูกฝังมา หรือไม่ก็เป็นพวกคนไม่ซื่อสัตย์ที่ไปพึ่งพานางซุนตอนนี้นางรับกลับมาดูแลต่อ คนของนางซุนย่อมต้องเปลี่ยนออกไปเป็นธรรมดา เปลี่ยนออกไปทั้งหมด ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่สามารถหาคนที่เชื่อใจได้มากมายขนาดนั้น ช่วงนี้สามารถทำได้เพียงเปลี่ยนคนที่ไม่เข้าตาที่สุดออกไป ส่วนคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ สังเกตกันไป ค่อยเป็นค่อยไป คนที่นางสามารถใช้ประโยชน์ได้ก็เก็บเอาไว้ก่อนหลินรุ่ย