สิ้นวาจานี้ บรรยากาศรอบข้างพลันจมดิ่งสู่ความตึงเครียด กู้ซิวหมิงและกู้ซิวเหวินเป็นพี่น้องกันมาหลายปี สมานฉันท์ปรองดองกันมาตลอด ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง แต่วันนี้กลับไม่สนหน้าของอีกฝ่าย มีปากเสียงปะทะคารมต่อกันโดยตรง พวกเขาขึงตาจ้องกันด้วยโทสะ ท้ายที่สุดก็เป็นกู้ซิวหมิงผู้ซึ่งเป็นฝ่ายผิดก่อนต้องยอมถอย ด้วยเรื่องนี้ การกระทำของเขาทำให้ชื่อเสียงของพี่น้องในตระกูลต้องได้รับผลกระทบไปด้วยจริง และเพราะเหตุผลนี้ ท่านพ่อถึงได้เรียกเขาไปตำหนิที่ห้องหนังสือเมื่อตอนก่อน ทว่าบัดนี้เขาเองก็ได้ให้หว่านเอ๋อร์ย้ายออกจากห้องหลักซึ่งต้องเป็นภรรยาเอกเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์อาศัยแล้ว ยังต้องการให้เขาทำอย่างไรอีก? เมิ่งเฉิงจางผงะไป มองสองพี่สองที่ไม่ยอมลดราวาศอก เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะบานปลายไปถึงขั้นทำให้พวกเขาสองคนพี่น้องต้องทะเลาะกัน หลี่หว่านเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า บัดนี้ไม่อาจอดทนกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกแล้ว เสี้ยวพริบตาหยาดน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมาในทันที สะอื้นไห้เสียงเบา กู้ซิวเหวินเห็นนางร้องไห้น้ำตานองหน้า ท่าทางเหมือนอนุภรรยาของท่านพ่อของเขาไม่มีผิด ความรู้สึกชิงชังรังเกียจยิ่งผุดขึ้นในใจ ก็เสริมขึ้นประโยค
“บริสุทธิ์?” กู้ซิวหมิงแค่นเสียงหัวเราะ “ตอนแรกที่ข้าหนีงานวิวาห์ นางเกือบจะได้สมรสกับเจ้าแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อข้ายังมิได้สมรสภรรยาเอก ตัวเจ้าก็มีความเป็นไปได้ถึงห้าส่วนที่จะได้เป็นสามีของนาง” และทันทีที่เขาพูดจบ ก็ถูกเมิ่งเฉิงจางที่อยู่ด้านข้างยกเท้าถีบเข้าอย่างรุนแรง เขาไม่ทันตั้งตัวก็ล้มลงไป ทำให้กู้ซิวเหวินได้โอกาสพลิกตัวกลับมา เดิมทีเมิ่งเฉิงจางไม่พร้อมจะเข้าร่วม แต่เมื่อได้ยินกู้ซิวหมิงกล่าวหาว่าร้ายทำลายความบริสุทธิ์ของพี่หญิงใหญ่อย่างโจ่งแจ้ง ก็ทนไม่ไหว เข้าร่วมกับกู้ซิวเหวินทันที เมื่อเป็นสองรุมหนึ่ง ก็ทำให้กู้ซิวหมิงซึ่งเดิมเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไป เมิ่งเฉิงจางและกู้ซิวเหวินต่างฉลาดเฉียบแหลมทั้งคู่ เลือกลงมือเฉพาะส่วนที่มีเสื้อผ้าปกปิดเท่านั้น กระทั่งมีสาวใช้คนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมา เห็นภาพฉากนี้เข้า ก็ตกใจรีบหมุนตัวเดินหนีไปทันที วิ่งโร่ไปยังโถงโซ่วอันเพื่อนำเรื่องไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็สั่งให้เฝิงหมอมอหญิงรับใช้คนสนิทเข้ามาห้ามปรามการทะเลาะทันที และพาตัวพวกเขาทุกคนกลับมาที่โถงโซ่วอัน ขณะเดียวกันก็สั่งให้ส
อีกฟากนั้น เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีได้รับข่าวอย่างไม่ตั้งตัว แจ้งว่าให้พวกเขามุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอัน สองคนสามีภรรยาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็รีบมุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอันทันที กู้จิ่งเซิ่งและนางจางสองคนสามีภรรยาเองก็เช่นกัน เมื่อได้รับข่าวแล้ว ก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอันทันที โดยปกติท่านแม่ไม่เคยเรียกพวกเขาเข้าพบอย่างกะทันหันเช่นนี้ ในเมื่อเรียกพวกเขาให้ไปเข้าพบก็หมายความว่าต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้สึกวิตกกังวล แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าสามและภรรยาก็มาถึงแล้วเช่นกัน ก็ค่อยรู้สึกเบาใจลงมาได้สักหน่อย กู้จิ่งเซิ่งชะงักฝีเท้า ถามไถ่อย่างสงสัย “น้องสาม น้องสะใภ้สาม พวกเจ้าเองก็ถูกท่านแม่เรียกพบเหมือนกันหรือ?” เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีพยักหน้าเบา ๆ กู้จิ่งเซิ่งยังถามอีกว่า “เช่นนั้นท่านแม่ได้แจ้งหรือไม่ว่าท่านเรียกให้พวกข้ามาด้วยเหตุผลอันใด?” กู้จิ่งซีตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ “เรื่องนี้ท่านแม่มิได้แจ้ง เพียงแต่ระยะนี้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น คงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรกระมัง พี่ใหญ่วางใจเถิด” ได้ยินวาจานี้แล้ว กู้จิ่งเซิ่งเองก็ไม่คิดอะไรมากไปกว่าน
ได้ยินเช่นนั้น นางจางก็เหลือบสายตามองกู้จิ่งซีด้วยความพรั่นพรึงปราดหนึ่ง บัดนี้กลับเป็นบุตรชายของนางที่เป็นฝ่ายคนมากรุมรังแกคนน้อย หากว่าบุตรชายของตนเองเป็นฝ่ายผิดก่อนขึ้นมาจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร? อาสามยึดมั่นในความยุติธรรมชื่นชมลงโทษล้วนละเอียดรอบคอบมาตลอด เมื่อลงโทษผู้น้อยที่ทำความผิดแล้วก็ไม่เคยใจอ่อนปรานีแม้เพียงครั้งเดียว “ท่านแม่” ในตอนนั้นเอง เสียงของกู้จิ่งเซิ่งก็ดังขึ้นมา เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีเองก็ทำความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่” นางจางเหลือบสายตามองขึ้นไป ก็เห็นว่าแม่สามีเข้ามาแล้ว จึงผละออกจากบุตรชาย และร้องเรียก “ท่านแม่” จากนั้นจึงเดินเข้าไปอย่างกระตือรือร้นประคองแม่สามีไปนั่งประจำตำแหน่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองนางปราดหนึ่ง ปล่อยให้นางช่วยประคองเดินไป รู้ดีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ คงเป็นเพราะกลัวว่าบุตรชายจะถูกลงโทษ ฉะนั้นถึงได้รีบร้อนเข้ามาเอาอกเอาใจผู้อาวุโสก่อนใคร หวังว่าโทษจะเบาลงได้บ้าง แต่หนนี้ดูนางจะคิดมากเกินไป เพราะคนที่ผิดก่อนอย่างไรก็เป็นซิวหมิง หากจะลงโทษก็ต้องลงโทษซิวหมิงก่อน ฮูหยินผู้เฒ่ากู้นั่งประจำตำแหน่งแล้ว ก
ฮูหยินผู้เฒ่ากู้เผยสีหน้าบึ้งตึง และถามเสียงทุ้มต่ำว่า “ซิวหมิง ที่ซิวเหวินกล่าวล้วนเป็นเรื่องจริงหรือ?”กู้ซิวหมิงไม่กล้าสบตากับผู้อาวุโส และก้มหน้าไม่พูดไม่จาเมื่อเห็นเขาไม่พูด สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าตกไปอยู่ที่หลี่หว่านเอ๋อร์ และกล่าว “หลี่อี๋เหนียง เจ้าคือพยานผู้เห็นเหตุการณ์ของเรื่องราวทั้งหมด เจ้ากล่าวมา สิ่งที่ซิวเหวินกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”หลี่หว่านเอ๋อร์ถูกเรียกชื่อกะทันหัน ก็เงยหน้าอย่างตกใจ พลางสบเข้ากับดวงตาที่น่าเกรงขามของผู้อาวุโส หัวใจนางสั่นสะท้าน และไม่กล้ากล่าวโกหกแม้แต่คำเดียว จึงพยักหน้าเบา ๆ “เรียน เรียนฮูหยินผู้เฒ่า สิ่งที่คุณชายสี่กล่าวล้วนเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ”เมื่อกล่าวจบ นางก็มองชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เป็นนางที่ไม่ดีเอง แต่นางไม่กล้าบิดเบือนความจริงต่อหน้าผู้อาวุโส มิเช่นนั้นถึงเวลานั้นเมิ่งจิ่นเหยาจะไม่ปล่อยนางไป นายท่านกับฮูหยินใหญ่ก็จะไม่ปล่อยนางไปเช่นกันนางจางเหลือบมองกู้ซิวหมิงที่ก้มหน้า และกล้าโกรธแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก จึงถือโอกาสกล่าวแทรกว่า “ท่านแม่ ท่านต้องเป็นผู้ตัดสินใจให้ซิวเหวินกับคุณชายรองเมิ่งนะเจ้าคะ เด็กที
หากหลานชายคนอื่น ๆ อายุไม่เกินเกณฑ์ นางก็เต็มใจไขว่คว้ามาเพื่อหลานชายคนอื่น ๆ เช่นกัน แต่อายุเกินเกณฑ์แล้ว ส่งเข้าไปจะดูเหมือนเป็นอะไร? แล้วคนอื่นจะคิดอย่างไรกับสกุลกู้ของพวกเขา? กู้ซิวหมิงกล่าวอีกว่า “เช่นนั้นเมิ่งเฉิงจางเล่า? ท่านพ่อเป็นพี่เขยของเขา มีพี่เขยที่มีความรู้กว้างขวางเช่นนี้ เขาแค่มาอาศัยที่จวนพวกเรา มีคำถามที่ไม่เข้าใจก็ถามท่านพ่อเอาก็ได้แล้ว เหตุใดยังต้องส่งเข้าสำนักศึกษาหลิงซานด้วยขอรับ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ฟังจนสับสน จึงถามอย่างสงสัยว่า “ซิวหมิง นี่มันเกี่ยวข้องอะไรกับเฉิงจางหรือ?”กู้ซิวหมิงแค่รู้สึกน่าขันมาก จึงหัวเราะเยาะ และระบายความไม่พอใจออกมา “ท่านพ่อช่างลำเอียงยิ่งนัก ส่งหลานชายเข้าสำนักศึกษาหลิงซานก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นหลานชายแท้ ๆ และมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่เมิ่งเฉิงจางไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขาเลย แต่เพราะคลั่งรักเมิ่งจิ่นเหยา จึงส่งเมิ่งเฉิงจางเข้าสำนักศึกษาหลิงซาน ท่านพ่อทิ้งข้าไว้เพียงลำพัง ยังไม่ใช่เพราะข้าไม่ได้เป็นบุตรชายแท้ ๆ ของเขาหรอกหรือ? หากข้าเป็นบุตรชายแท้ ๆ ไยท่านพ่อจะลำเอียงเช่นนี้ขอรับ?”“ซิวหมิง เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร?” กู้
กู้ซิวหมิงสีหน้าซีดเผือด คำกล่าวของบิดาดังจนสะเทือนโสตประสาท เขาคิดไม่ถึงว่าบิดาจะปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้เขาถูกบิดาลงโทษให้คัดคัมภีร์กตัญญูก็เท่ากับถูกตัดสินความผิดโทษฐานอกตัญญู บุตรอกตัญญู หากข่าวแพร่ออกไป ชื่อเสียงของเขาคงเพิ่มความอัปยศมาอีกหนึ่งอย่างบุตรอกตัญญู…กู้จิ่งซีถามเสียงทุ้มต่ำ “ซิวหมิง เจ้ายอมรับโทษหรือไม่?”แม้ในใจกู้ซิวหมิงจะไม่ยินยอม แต่กลับไม่กล้าต่อต้าน บิดาที่ดีของเขานี้เที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น หากเขาไม่ยอมรับโทษ จะต้องมีโทษที่หนักยิ่งกว่ารอเขาอยู่ในภายหลังอย่างแน่นอน เขาจึงพยักหน้าและตอบกลับว่า “ลูกยอมรับโทษขอรับ”กู้จิ่งซีไม่อยากจะคุยกับเขามากนัก จึงกล่าวเสียงราบเรียบว่า “เช่นนั้นก็กลับไปที่เรือนของเจ้า ในช่วงกักบริเวณห้ามก้าวเท้าออกจากประตูแม้แต่ครึ่งก้าว”กู้ซิวหมิงขานรับเสียงหนึ่ง และทำความเคารพผู้อาวุโส หลังจากนั้นก็ออกจากโถงโซ่วอันอย่างสิ้นหวัง ราวกับสุนัขที่ไร้บ้าน หลี่หว่านเอ๋อร์ก็เดิมตามหลังมาอย่างใกล้ชิด พยายามจะกล่าวอะไร แต่กลับไม่กล้าเพราะเกรงจะไปทำร้ายความรู้สึกของเขาให้แย่ลงไปอีกในตอนนี้นางจางกับกู้จิ่งเซิ่งพึงพอใจต่อบทลงโทษนี้มาก แต่
ทันทีที่คำกล่าวนี้หลุดออกมา เมิ่งจิ่นเหยาก็มองเด็กหนุ่มด้วยความตกตะลึง เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบาง กลับยืนตัวตรง และเห็นได้ชัดว่าเขาประหม่าจนกำหมัดแน่น แต่ยังคงใช้น้ำเสียงที่สงบนิ่งบรรยายถึงความอยุติธรรมของนาง เด็กชายตัวน้อยที่เมื่อก่อนเดินตามหลังนางต้อยๆ ได้เติบโตขึ้นในตอนที่นางยังไม่ทันได้รู้สึกตัวเสียแล้ว แถมเติบโตจนกลายเป็นชายชาตรีที่สามารถปกป้องนางได้อีกเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ฟังจบ ก็ชะงักอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มนี้จะมีความกล้าหาญ และกล้าพูดคำเหล่านี้ต่อหน้าพวกเขาได้ถึงเพียงนี้ เมื่อมองชายหนุ่ม ราวกับนางจะเห็นอาเหยาในพิธีแต่งงานในวันนั้น พี่สาวน้องชายยังคงมีส่วนที่คล้ายกันอยู่ นางจึงกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “เฉิงจาง เจ้าไม่ต้องกังวล อาเหยาเป็นผู้อาวุโส ซิวหมิงรังแกนางไม่ได้หรอก และหากซิวหมิงไม่เคารพนาง ก็จะใช้กฎของสกุลลงโทษ วันนี้เจ้าก็เห็นแล้ว ว่าพี่เขยเจ้าไม่ใช่คนลำเอียง”“เช่นนั้นก็ดีขอรับ”เมิ่งเฉิงจางขานรับพลางพยักหน้าเบา ๆ เดิมเขาคิดว่าซิวหมิงก่อเรื่องเช่นนั้นออกมา จะมีความละอายใจกับพี่หญิงใหญ่ของเขา และคงจะไม่ทำให้พี่หญิงใหญ่ลำบากใจอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าเพราะคู่หมั้นกล
ดังนั้น อู่อันป๋อฮูหยินถึงคิดจะให้บุตรชายคนโตสายตรงที่ขึ้นเป็นซื่อจื่อแล้วแต่งงานกับเซวียนอี๋ เช่นนี้อู่อันป๋อซื่อจื่อก็จะได้รับการสนับสนุนจากจวนฉางซินโหวแห่งนี้ และบรรเทาความกดดันของเรือนใหญ่ได้ แถมเซวียนอี๋ฐานะต่ำกว่าก็ง่ายที่จะควบคุม อู่อันป๋อฮูหยินถูกแม่สามีควบคุมมานานเช่นนั้น เป็นลูกสะใภ้อดทนจนกลายเป็นแม่สามี จะต้องควบคุมลูกสะใภ้อย่างแน่นอน แต่นางจางกลับแยกแยะไม่ได้ และดูไม่ออก บรรยากาศเงียบไปนานมาก นางจางถึงจะกล่าวอย่างอึกอักว่า “ท่านแม่ ลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้ไม่ได้คิดไกลถึงขนาดนั้น ขอบคุณท่านแม่ที่ตักเตือน แต่ลูกสะใภ้นัดกับอู่อันป๋อฮูหยินไว้แล้วว่าจะไปล่องเรือ นี่ควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้เห็นท่าทางโง่เขลาแยกแยะไม่ออกของนางก็โมโห และดุด่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ความยุ่งเหยิงที่เจ้าเป็นคนก่อก็จัดการเอาเอง แต่อย่าผลักเด็กเข้าไปในหลุมไฟ เรื่องแต่งงานของซิวหย่วนก่อนหน้านี้เจ้าก็เกือบจะทำอะไรเลอะเลือน ตอนนี้ถึงตาเซวียนอี๋ เจ้ายังมาทำแบบเดิมอีก ข้าว่าเจ้าไม่เคยสำนึกตนเลย”นางจางถูกดุจนก้มหน้าไม่กล้าพูดขัด เพียงแค่ไม่พอใจเล็กน้อยเท่านั้น เพราะน้องสะใภ้ทั้งสองยังอยู่ แม่สามีก
ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ฟังสะใภ้ใหญ่พูดถึงคุณชายจากตระกูลเหล่านี้ ไม่มีพึงพอใจเลยสักคน และคนที่ไม่พอใจมากที่สุดคืออู่อันป๋อซื่อจื่อ แต่ลูกสะใภ้กลับพึงพอใจอู่อันป๋อมากที่สุด เมื่อเห็นท่าทีที่ลำพองใจของลูกสะใภ้ใหญ่ นางก็ตอบกลับอย่างราบเรียบ “ข้าคิดว่าไม่เท่าใดนัก โดยเฉพาะอู่อันป๋อซื่อจื่อ”ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา สีหน้าของนางจางแข็งทื่อในชั่วพริบตา และรู้สึกว่าแม่สามีไม่เห็นด้วยกับนาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทนเห็นเรือนใหญ่ดีไม่ได้ หรือทนเห็นเซวียนอี๋แต่งงานได้ดีไม่ได้กันแน่ จึงถามกลับ “ท่านแม่ ลูกสะใภ้เห็นว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อก็ดี เหตุใดท่านถึงไม่พอใจเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวด้วยเสียงเรียบ “อู่อันป๋อซื่อจื่อดีมาก ฐานะครอบครัวก็ดี ในอนาคตหากอู่อันป๋อเสียชีวิต เขายังสามารถสืบทอดตำแหน่งขุนนางได้ หากเซวียนอี๋แต่งเข้าไป อนาคตก็คือฮูหยินของท่านป๋อ”เมื่อได้ยิน สีหน้าของนางจางก็อ่อนลง และกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นท่านแม่เหตุใดถึงคิดว่าไม่ดีเล่าเจ้าคะ? เซวียนอี๋แต่งเข้าไปก็ดีแล้ว ภายหลังจะได้ช่วยสนับสนุนบ้านมารดาด้วย”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “สะใภ้ใหญ่ เซวียนอ
แต่โดยรวมแล้ว หลานสาวคนโตก็ไม่ใช่คนเลวร้ายจนไม่อาจให้อภัยได้ นอกจากรังแกเซวียนหลิงแล้ว ก็ไม่เคยเป็นฝ่ายทำร้ายใคร เพียงแต่คนเป็นบิดามารดาไม่ได้อบรมสั่งสอนให้ดี เลยเลี้ยงเด็กดีในทางที่ผิด หากต่อไปไม่พบเจอกับเรื่องอะไร นิสัยนี้เกรงว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วหลังจากนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ชักสายตากลับ และกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เซวียนอี๋ เซวียนหลิงกลับไปก่อนเถอะ”ทันทีที่กู้เซวียนอี๋กับกู้เซวียนหลิงได้ยิน ก็รู้ว่าเหล่าอาวุโสมีเรื่องต้องพูดคุยกัน จึงตอบรับอย่างเชื่อฟัง และออกจากโถงโซ่วอันไปหลังจากนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ไล่สาวใช้ที่ปรนนิบัติให้ออกไป จึงเหลือเพียงเฝิงหมอมอ รวมทั้งลูกสะใภ้อีกสามคนเท่านั้นนางจางอดสงสัยไม่ได้ จึงถาม “ท่านแม่ ท่านมีเรื่องสำคัญอะไรจะปรึกษากับพวกเราหรือเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง เซวียนอี๋กับเซวียนหลิงเด็กทั้งสองถึงวัยปักปิ่น และถึงวัยที่จะพูดคุยเรื่องแต่งงานได้แล้ว พวกเจ้าเป็นมารดามีบุคคลที่ถูกใจหรือยัง?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางเฉินก็รีบกล่าวทันที “ท่านแม่ เรื่องงานแต่งของเซวียนหลิง ปีนี้ลูกสะใภ้ให้ความสำคัญอยู่ตลอด
ยามดึกสงัด ผู้คนกำลังพักผ่อน เมิ่งจิ่นเหยานอนอยู่บนเตียง เตียงของฤดูร้อนเปลี่ยนเป็นเสื่อหยก เสื่อหยกไม่ได้ทำจากหยก แต่เป็นเสื่อเย็นที่ทำมาจากไม้ไผ่ สามารถลดอุณหภูมิได้ ฤดูร้อนนอนอยู่บนนั้นจะรู้สึกสบายเล็กน้อย หน้าต่างก็เปิดเอาไว้ ลมฤดูร้อนพัดเข้ามาจะได้ขับไล่ความร้อน และภายในห้องไม่ต้องวางกระจกน้ำแข็งก็ไม่รู้สึกร้อนเช่นกันสบโอกาสตอนที่กู้จิ่งซีไปอาบน้ำยังไม่กลับมา เมิ่งจิ่นเหยาคิดสักพัก จึงขยับตัวนอนยังตำแหน่งของกู้จิ่งซี ถึงอย่างไรกู้จิ่งซีก็ยังไม่กลับมา นางถูตัวกับความเย็น ทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความเย็นของเสื่อหยกที่แพร่กระจายออกมา นางสบายตัวจึงหรี่ตาขี้นมาผ่านไปไม่นาน กู้จิ่งซีกลับมา พบว่าแม่นางน้อยที่อยู่บนเตียงหลับไปแล้ว แถมยังนอนอยู่ตรงตำแหน่งของเขาอีกด้วยแม่นางน้อยสวมเสื้อเสื้อผ้าไหมตัวบาง แม้แต่เสื้อด้านในเป็นสีอะไรล้วนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเขาเห็นแล้ว ก็ละสายตาด้วยสีหน้าที่อึดอัด แต่สุดท้ายกลับไม่กล้าหยิบผ้าห่มไปคลุมให้แม่นางน้อย เพราะครั้งก่อนคลุมให้แล้ว กลับทำให้แม่นางน้อยร้อนจนตื่น แถมยังโกรธและโทษที่เขารบกวนการนอนหลับอีกพวกเขาเป็นสามีภรรยาที่ต้องใช
เมิ่งจิ่นเหยามองนางด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้านางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น และราวกับมีความแค้นอะไรกับกู้ซิวหมิง จึงสับสนเล็กน้อย “เจ้าดูเหมือนดีใจมากเมื่อเห็นเขาโชคร้าย?”ท่านหญิงจิ้งหนิงเชิดริมฝีปาก ด้วยสีหน้าที่ดูแคลน “ข้าก็แค่ไม่ชอบขี้หน้าเขา ชอบทำท่าวางมาดทั้งวัน ดูเหมือนจะเป็นคนดี แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม คนอื่นกลับบอกว่าเขาสุภาพอ่อนโยน และมีท่าทางแบบท่านโหว”เมิ่งจิ่นเหยาตกใจ “อาเหยียนสายตาเฉียบคมมาก”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างเขินอาย “ก็พอได้ แต่เพราะข้าเคยเห็นด้านที่ไม่ดีของเขา จึงรู้สึกว่าเขาแตกต่างกับพฤติกรรมที่แสดงออกมาอย่างมาก”ขณะที่นางพูด ก็ดื่มน้ำเชื่อมอีกหนึ่งอึก น้ำเชื่อมที่เย็นหอมหวานเข้าไปในปาก ทำให้รู้สึกสดชื่นไปทั่วทั้งตัว และกล่าวอีกว่า “อย่าเพิ่งกล่าวถึงเขาเลย ดื่มตอนที่มันยังเย็น อีกเดี๋ยวมันร้อนคาดว่าจะไม่อร่อยมากแล้ว”หลังดื่มน้ำเชื่อม ท่านหญิงจิ้งหนิงก็อยู่อีกกว่าครึ่งชั่วยามจึงจะกลับจวนเหลียงอ๋อง ......กู้จิ่งซีเลิกงานกลับมาเมิ่งจิ่นเหยาเห็นเขา ก็เรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านพี่”จากนั้น นางก็สั่งให้หนิงตงยกน้ำเชื่อมลิ้นจี่
เวลาเที่ยง ท่านหญิงจิ้งหนิงยังอยู่ที่จวนท่านโหว กินอาหารกลางวันด้วยกันกับเมิ่งจิ่นเหยาเมื่อกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้กำชับสาวใช้ให้ทำลิ้นจี่แห้วเย็นในน้ำเชื่อม เมื่อทำเสร็จแล้วก็ส่งไปให้บ้านใหญ่กับบ้านรองสักหน่อยลิ้นจี่ทำให้ร้อนในได้ ทว่าแห้วแก้ร้อนใน ทำน้ำเชื่อมให้อร่อยหวานสดชื่น แช่เย็นก็ยิ่งดี เมื่อกินลงไปทำให้เย็นสดชื่นและหอมหวาน ทั้งยังสามารถดับร้อนได้ด้วย เหมาะที่จะดื่มสิ่งนี้ตอนอากาศร้อนยิ่งนักท่านหญิงจิ้งหนิงดื่มไปหนึ่งคำก็ส่งเสียงถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ “ไม่เลวเลยจริง ๆ ทำไมก่อนหน้านี้ข้าจึงคิดไม่ถึงว่าควรเอามันมาทำเป็นน้ำเชื่อมนะ?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับ “อยู่ ๆ ข้าก็เพิ่งนึกได้เช่นเดียวกัน”“ก่อนหน้านี้เจ้ากินลิ้นจี่เช่นนี้ตลอดเลยหรือ?” ท่านหญิงจิ้งหนิงเหลือบมองนางอย่างประหลาดใจ แล้วพยักหน้าอีกครั้ง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเสพสุข เช่นนี้อร่อยมากทีเดียว”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะ ตอบกลับด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยกิน เพียงแค่ฉุกคิดขึ้นมาได้จึงอยากลองทำดูเท่านั้น ตอนที่ท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าเคยกินลิ้นจี่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็เมื่อวานซืนกับเม
ท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นนางมองดูลิ้นจี่อย่างตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด จึงกล่าวอย่างไม่ได้สนใจว่า “เจ้าบอกว่าชอบมิใช่หรือ? ข้าได้รับมาจากเสด็จย่าเมื่อวานตอนบ่าย ให้เจ้าทั้งหมดเลย”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย มิน่าเล่าเมื่อวานนางกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วจึงรีบร้อนจากไป ที่แท้ก็เข้าไปในวังนี่เอง ไปหาไทเฮาเพื่อขอลิ้นจี่มาให้นาง ดูแล้วลิ้นจี่นี้น่าจะสักสี่ห้าชั่งได้ ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่ขุนนางเพียงแค่หนึ่งชั่งกว่าเท่านั้น สี่ห้าชั่งนี้ช่างล้ำค่ายิ่งนักเมิ่งจิ่นเหยาจ้องมองไปที่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกอยู่ในภวังค์ หัวใจถูกปกคลุมไปด้วยไออุ่น ภายในใจรู้สึกอบอุ่นนัก จึงถามด้วยเสียงอ่อนโยน “อาเหยียน ให้ข้าหมดแล้ว เจ้ากินอันใด?”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้ากินทุกปี ปีนี้กินไปหลายลูกแล้ว กินจนหายอยาก ตอนนี้ไม่ได้สนใจเท่าใดแล้ว พอดีเจ้าชื่นชอบ จึงเอามามอบให้เจ้า”เมิ่งจิ่นเหยาเม้มริมฝีปาก “ขอบใจมากนะอาเหยียน”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างขัดเขิน “ไม่ต้องเกรงใจ ก่อนที่ข้าจะนำมา ได้ใช้น้ำแข็งรักษาความสดไว้ด้วย เจ้าให้คนไปเอาน้ำแข็งมาสักหน่อย มิเช่นนั้นอากาศร้อนแล้ว มันจะเสียได้ง
ถือโอกาสที่ตอนนี้แสงอาทิตย์ยังไม่แรงเกินไป เมิ่งจิ่นเหยาพาท่านหญิงจิ้งหนิงไปเดินเล่นภายในจวนเพียงแต่ ดูเหมือนกับท่านหญิงจิ้งหนิงจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวน จึงรู้ว่าด้านใดมีสะพาน ด้านใดมีศาลา และริมสระน้ำด้านใดเย็นมากกว่ากันเมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจเล็กน้อย “อาเหยียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับจวนท่านโหวอยู่บ้าง”ท่านหญิงจิ้งหนิงตอบตามความจริง “ข้ามาที่จวนฉางซินโหวหลายครั้งแล้ว ตอนที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนอยู่บ้าง” นางกล่าว แล้วหันไปมองเมิ่งจิ่นเหยา “ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าแต่งงาน ข้าก็อยู่ด้วย ข้ามาดื่มสุรามงคลกับท่านแม่”เมิ่งจิ่นเหยาเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอีกว่า “วันนี้ข้ามาอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเลย”มาเป็นแขกที่เรือนของผู้อื่น ไปทักทายผู้อาวุโสเสียหน่อย เป็นมารยาทพื้นฐานเมิ่งจิ่นเหยากล่าวตอบ “เช่นนั้นเจ้าก็มาผิดจังหวะแล้วละ เมื่อวานแม่สามีของข้าไปพักอยู่ที่วัดเป็นการชั่วคราว คาดว่าอีกสองสามวันถึงจะกลับมา”ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ไม่ได้แปลกใจ เพียงแค่พยักหน
กู้จิ่งซีมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบของแม่นางน้อย ท่าทางไร้การป้องกันแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป เดิมทีพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ทำตามใจชอบบ้างก็ไม่เป็นไร ระมัดระวังตัวมากเกินไปกลับไม่เหมือนสามีภรรยากันเสียด้วยซ้ำ แม่นางน้อยคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาตลอดไปจริง ๆ ถึงได้เป็นเช่นนี้……วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยาเพิ่งจะกินข้าวเช้าเสร็จได้ไม่นาน กำลังเตรียมตัวไปอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลาเสียหน่อย ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่นี่นางตะลึงเล็กน้อย รู้สึกจับต้นจนปลายไม่ถูกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ท่านหญิงจิ้งหนิงมาหานางทำไม จึงรีบกำชับว่า “รีบไปเชิญท่านหญิงจิ้งหนิงเข้ามาเร็วเข้า”ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ก็พาท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเมื่อเมิ่งจิ่นเหยามองเห็นท่านหญิงจิ้งหนิง ก็มองสำรวจอย่างละเอียด เห็นนางดูท่าทางสบายดี และก็ดูไม่ได้มีเรื่องอันใดเช่นกันเมื่อเห็นดังนั้น ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสงสัย “นั่นมันสายตาอันใดของเจ้า? ไม่ยินดีต้อนรับข้ากระนั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาเกรงว่านางจะเข้าใจผิด จึงรีบส่าย