ความงามของนางกำลังล่อลวงเขา ทั้งริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้ม ทั้งยามที่นางโกหกยิ่งชวนให้เขานึกเอ็นดู ถึงนางจะเติบโตและงดงามขึ้นมา ทว่ายามที่เอ่ยโกหกนั้นกลับเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยที่คอยเดินตามเขาไปทุกที่เฉกเช่นในวันวานทว่าเมื่อคิดขึ้นได้ว่าเรื่องของพวกเขาไม่ได้สวยงามอีกต่อไปแล้ว จูชางหลางจึงปล่อยปลายคางของนา
นางเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ซื่อจื่อดึกมากแล้ว ไยไม่รีบนอนเจ้าคะ ท่านไม่ต้องห่วงคืนนี้อี้หงจะคุ้มภัยให้ซื่อจื่อสุดความสามารถเจ้าค่ะ”จูชางหลางชำเลืองมองนางเล็กน้อย หยางอี้หงยังไม่ยอมถอดหน้ากาก นางจะถอดออกเฉพาะตอนที่อาบน้ำชำระร่างกายเท่านั้นตามคำสั่งของเขาทว่าวันนี้จู่ ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า“หน้
เขาดึงร่างบางมากอดเอาไว้ แล้วตบแผ่นหลังปลอบเบา ๆ หยางอี้หงกำลังฝันร้ายว่ามารดาของนางกำลังสังหารซื่อจื่อก็ค่อย ๆ สงบลง ฝันร้ายเปลี่ยนเป็นฝันดี ในฝันนี้ช่างแสนหวานยิ่งนัก ซื่อจื่อพานางไปที่ป่าดอกไม้ เขาหยิบดอกไม้มาทัดหูให้นางและยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนเขาทั้งยังเรียกนางด้วยน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนว่า อาหง
หยางอี้หงตื่นขึ้นมาในยามเหม่า[1] ด้วยความเคยชิน เมื่อคืนหลับสบายยิ่งนัก ร่างกายยังเบาสบายกว่าที่ผ่านมาราวกับว่ากำลังนอนอยู่บนฟูกอันแสนอบอุ่นในจวนอ๋องแสงตะเกียงริบหรี่แทบจะดับลงแล้ว นางขยับตัวเล็กน้อยฉับพลันคล้ายกับปะทะเข้ากับของแข็งบางอย่างที่อยู่ข้างกายของแข็งนี่อุ่นยิ่งนัก นางยังสัมผัสได้ถึงอากา
ช่วงเวลานี้นางจึงไม่คิดถึงโทษที่จะได้รับแล้วต่อให้ซื่อจื่อลงโทษนางก็คงยอมรับโดยไม่คิดโต้แย้ง ขอเพียงได้สัมผัสอ้อมกอดของซื่อจื่อเช่นนี้ นางก็คิดว่าคุ้มค่ายิ่งนักตลอดชีวิตของนางที่ผ่านมา ล้วนมีซื่อจื่ออยู่ในสายตา เมื่อเติบโตขึ้นกลายเป็นบุปผางามความรู้สึกภักดีชื่นชมก็กลายเป็นอื่นไปแล้วเขาทำให้หัวใจดว
จั่วเจี้ยนลุกขึ้นส่งผ้าเช็ดตัวให้ซื่อจื่อและยังเอาชุดทหารของตนเองให้จูชางหลางผลัดเปลี่ยน คนสองคนรูปร่างสูงใหญ่ไม่แตกต่างกัน จูชางหลางจึงใส่เสื้อผ้าของจั่วเจี้ยนได้พอดีตัวยิ่งนักเมื่ออยู่กันเพียงลำพังจั่วเจี้ยนจึงตัวตามสบายดุจสหายผู้หนึ่ง เขารินชาร้อนให้ซื่อจื่ออย่างคล่องแคล่วคิ้วหนาเลิกขึ้นสูงมองผู
จั่วเจี้ยนจึงเอ่ยว่า“คนของเสนาบดีฝ่ายขวาเรากำจัดไปได้ทั้งหมดแล้ว ล้วนให้พวกเขาตายในสนามรบ ซื่อจื่อคิดว่าเสนาบดีฝ่ายขวาจะสงสัยหรือไม่ว่าเรารู้เรื่องมือสังหารแล้ว”จูชางหลางแค่นเสียงเย็น“รู้แล้วอย่างไร ยามนี้เขากำลังควบคุมฝ่าบาท ท่านพ่อแจ้งข่าวว่าตั้งแต่เราออกจากวังหลวง ฝ่าบาทเสด็จไปพักร้อนที่ตำหนัก
นอนต่อจนตะวันสายโด่งหยางอี้หงจึงลืมตาตื่น นางบิดขี้เกียจทั้งยังหาวหวอด ทว่าเมื่อหันไปมองรอบ ๆ ก็ต้องตกใจจนเด้งตัวตื่นขึ้นมาไร้เงาของซื่อจื่ออยู่ข้างกายของนางแล้ว ไม่รู้ว่าซื่อจื่อตื่นตั้งแต่ยามใด และยังไม่ปลุกนางเพื่อรับโทษที่ปีนขึ้นมานอนที่เตียงของซื่อจื่ออีกด้วยหยางอี้หงรู้สึกร้อนรน ใจไม่สงบ รีบ
ปีค.ศ.1970คุณนายสกุลฉางให้กำเนิดบุตรีคนแรก ผิวขาวราวหยกใบหน้าจิ้มลิ้ม ซินแสทำนายวาสนาสูงส่งยิ่งนัก ทำให้กิจการค้าขายของบิดามารดาเจริญรุ่งเรืองในยามนั้นบิดาได้หมั้นหมายเด็กหญิงเอาไว้กับบุตรชายคนโตของเพื่อนรักแห่งสกุลต้วนต้วนชางหลางเด็กชายอายุราวหกขวบกำลังจ้องมองทารกตัวน้อยที่นอนอยู่ในเปลด้วยความสน
จูชางหลางอุ้มสตรีร่างผอมขึ้นมาวางนางเอาไว้บนตักของเขาโถมร่างกายก้มกอดนางแนบแน่นจนลึกสุดหัวใจ เส้นผมของนางกลายเป็นสีขาวโพลน รวมทั้งผมของเขาเช่นกัน ยามนี้เมื่อใกล้ชิดเส้นผมขาวของคนทั้งคู่กำลังเคลียคลอซึ่งกันและกันโดยไม่อาจแยกแยะว่าเป็นผมของผู้ใดกันแน่จูชางหลางเข้าใจชีวิต มิมีผู้ใดฝืนสังขารของร่างกาย
ตอนพิเศษ ตอนที่ 1ยี่สิบปีต่อมา“ท่านตา ท่านยายแย่แล้วขอรับ”จู่ ๆ ก็มีเด็กผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาบอกเขาในเรือนสมุนไพร จูชางหลางที่กำลังนั่งยอง ๆ พร้อมกับใช้พัดโหมไฟให้ลุกโชนเพื่อต้มสมุนไพรให้กับหยางอี้หงถึงกับมือสั่นระริกทำพัดที่อยู่ในมือหลุดลงทันใดเขาวิ่งไปที่เรือนของนางอย่างรวดเร็ว หลายปีมานี้หยางอี้
มู่เหยาทอดสายตามองแผ่นน้ำเบื้องหน้าที่คล้ายกำลังเต้นรำระริกไหวไปตามแสงจันทราแล้วยิ้มงดงาม“ท่านแม่ ขอให้ท่านคุ้มครองให้ข้ามีความสุขด้วยนะเจ้าคะ”เอ่ยคำนี้แล้วนางจึงโปรยดอกไม้ลงไปเบื้องล่าง ก่อนจะเดินกลับลงมายังหมู่บ้านก่อนจะถึงทางเข้าหมู่บ้านนั่นเอง จู่ ๆ มู่เหยาก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของค
มู่เหยายิ้มไม่หุบ คำชมเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเอาใจนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะส่งผลต่อนางเพียงนี้ "หลานชายช่างปากหวานยิ่งนัก เช่นนี้สตรีใดได้พบคงไม่อาจถอนใจได้ ด้วยใบหน้างดงามเช่นนี้ต่อไปคงทำให้สตรีเสียใจอีกหลายคน"จูอี้หลางส่ายหน้า"ข้าไม่คิดหลอกสตรีใด จิตใจของข้าจะมอบให้กับสตรีที่ข้ารักเพียงผู้เดียวเช่นท่านพ่
เมื่ออยู่กันเพียงลำพังจูชางหลางจึงเอ่ยขึ้นว่า“เจ้าได้พบนางแล้วใช่หรือไม่”จูอี้หลางพยักหน้า“ท่านพ่อ เป็นท่านแม่จริงหรือ”จูชางหลางพยักหน้า“ที่นี่ไกลจากหน้าผาที่แม่เจ้าตกลงมายิ่งนัก พ่อไม่คิดว่านางจะรอดกระทั่งมีคนของหมู่บ้านนายพรานไปพบเข้าระหว่างที่นางลอยไปตามกระแสน้ำ ท่านแม่ของเจ้าลืมทุกเรื่องไปจ
จูอี้หลางขมวดคิ้ว เขาแน่ใจว่านางย่อมคือมารดาของเขา อยากจะบอกออกไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร ดูเหมือนว่าสตรีนางนั้นจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น จูอี้หลางถอนหายใจยาวเขาต้องสนิทกับเด็กคนนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อสืบถามเรื่องราวเอาไปบอกบิดา“แล้วพ่อแม่ของเจ้าเล่า”“ท่านพ่อท่านแม่ของข้าหรือ
"ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ต้องรีบปล่อยเขาออกจากเขตหมู่บ้านตามกฎ มิใช่จับเขามามัดเอาไว้เช่นนี้ เห็นท่าแล้วเจ้าอยากได้ม้าของเขาใช่หรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตราประจำตัวม้าเป็นตราราชสำนัก เจ้ากำลังนำความเดือดร้อนมาให้คนในหมู่บ้านแล้ว”มู่เยี่ยนลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป ดวงตากลมโตตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ท่านน้าของนางจ
จูอี้หลางเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ ตั้งแต่เกิดมาทุกคนล้วนนอบน้อมกับเขา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกเขาว่าเจ้าหน้าขาว ทั้งยังกล้าจับเขามัดอย่างไม่กลัวเกรง ทว่าเห็นท่าทางน่ารักของเด็กหญิงผู้นี้แล้วเขากลับไม่นึกโกรธ ยังนึกชื่นชมในความกล้าหาญของนางด้วยซ้ำ“เช่นนั้นบอกข้ามาก่อนว่าข้าอยู่ที่ใด แล้วเจ