เมื่อปรายตามองดูคนในครอบครัวทุกสายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความอบอุ่น ซูอินก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เมื่อชาติที่แล้วนางไม่มีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้เลย ไม่รู้ว่าตอนที่ครอบครัวสวี่ได้รับเงินพระราชทานจากฮ่องเต้ 1000 ตำลึงจะเป็นเช่นไรนะ จวนเสนาบดีเสิ่น ทุกคนล้วนมีแผนให้กับตัวเองจางซูอินที
ตอนที่ 9 หลักฐาน เหตุการณ์ในห้องหนังสือ ล้วนถูกถ่ายทอดให้กับนายหญิงของจวน หลังจากได้รับฟังก็ทำให้เกาฮูหยินหัวเราะเยาะด้วยน้ำเสียงเบิกบาน “ฮ่า ฮ่า ..คำกล่าวที่ว่า คนโง่ที่ย่อมไม่รู้ว่าตนเองโง่..นั่นมีจริง ๆ ไม่ประเมินตนเอง หากใครก็สามารถเข้าไปเรียนที่สำนักศึกษาได้อย่างเชิดหน้าชู
รถม้าจากตระกูลใหญ่ล้วนดึงดูดสายตาให้จับจ้องมา เผื่อบางครั้งจะได้ยลโฉมของผู้สูงศักดิ์ เมื่อล้อเริ่มนิ่งจอดสนิท บ่าวรับใช้ก็ลงมาผู้คนก็เริ่มชะโงกเอียงคอมาดู นิ้วมือเรียวเล็กขาวเนียนหมดจดโผล่พ้นออกมาจากม่าน ยิ่งทำให้เกิดจินตนาการถึงความงามของคนข้างใน ชิงชิงยื่นมือออกไปรับมืออันบ
ช่วงเวลาก่อนเข้าเรียน ย่อมเป็นเวลาเสวนาของเหล่าบัณฑิต องค์หญิงต้าเหยาเอ่ยพูดพร้อมกับแววตาวับวาบ “ซูอินหลังเลิกเรียนข้าได้จองห้องที่หอซูซูไว้ แล้วเจ้าจะตกตะลึงกับภาพแบบชุดอาภรณ์ที่ข้าออกแบบไว้” ซูอินมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเอ็นดู “แม้หม่อมฉันจะยังไม่เห็นกับตา ก็มั่นใจว่าแ
ภายใจหอซูซูแม้จะแขกเข้าออกเป็นจำนวนมาก แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์ จึงไร้เสียงอึกทึกครึกโครม ทว่าก็มีเสียงสตรีผู้หนึ่ง แผดเสียงแหวกขึ้น รบกวนความสงบนั้น “บังอาจนัก เจ้ากล้าขวางทางข้างั้นรึ!” แขกที่อยู่บริเวณชั้นล่างของหอซูซูต่างปรายตามองมาเพียงเล็กน้อยคล้ายกับไม
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่สำนักศึกษาจะเปิดสอนปกติก่อนที่หยุดให้บัณฑิตเตรียมตัวและสอบซิ่วไฉ ทว่าคุณหนูสามเสิ่นจือกลับไม่ไปเรียนบอกว่าตนรู้สึกเวียนหัวรู้สึกไม่ค่อยสบาย เกาฮูหยินย่อมรู้จักบุตรของตนเองเป็นอย่างดีเมื่อเปิดม่านเดินเข้ามาให้นั่งลงขอบเตียงแล้วพูดขึ้น “ลุกขึ้นมาได้แล้ว” เด็กสาวโผล่ห
ซูอินเดินใจลอยออกมาจากสำนักศึกษาเห็นรถม้าคันใหญ่ของตระกูลหลี่จอดอยู่หน้าร้าน พี่ชายนางหลี่ซานในชาติที่แล้วกำลังรอประคองผู้ที่อยู่ในรถม้า นางจึงหยุดฝีเท้าแล้วเดินเข้าไปนั่งรอในร้าน เอียงหูฟังเสียงทุ้มต่ำของพี่ชาย “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล เราบริจาคเงินค่าธูปและน้ำมันตะเกียงเป็นจำนวนม
“อยู่ รอประเดี๋ยวข้ากำลังจะไปเปิดประตูเดี๋ยวนี้” “องค์หญิงไยต้องลำบากมาหาหม่อมฉันถึงที่นี่เจ้าค่ะ ให้ใครมาตามก็ได้” องค์หญิงต้าเหยาเดินลงมาจากรถม้าเรียบร้อยก็ปรี่เดินมากุมมือซูอิน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ซูอินท่านพ่อทรงอนุญาตและยังชมเชยข้าด้วย”
ผลประกาศทำให้ เด็กสาวตาแดงกร่ำด้วยความดีใจ ครอบครัวก็กล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า สักพักก็มีเจ้าหน้าเชิญไปยืนหลักฐานที่โต๊ะข้าง ๆ ให้กรอกข้อมูลเป็นบัณฑิตน้อยของสำนักศึกษาต่อไป เมื่อมีคนสมหวังก็ต้องมีคนไม่สมหวัง เสียงยินดีผิดหวังคละปนกันไป กว่าจะครบตามจำนวนก็ทำให้เจ้าหน้าของสำน
ฮองเฮาทราบเรื่องที่องค์หญิงใหญ่จัดงานชมบุปผาขึ้น แม้จะทรงทราบว่าหญิงสาวมีแผนการบางอย่างแต่ก็ไม่ทรงห้ามปราม เพียงแค่ตรัสเตือนเล็กน้อย “องค์หญิงใหญ่ อย่าทรงทำสิ่งใดร้ายแรงเกินไปได้หรือไม่” “ตอนนี้เสด็จพ่อไม่โปรดลูก แต่ก็ไม่ทรงห้ามให้ลูกจัดงานเลี้ยงกระมัง” ฮองเฮาวางจอกชา
จงถังแทบอยากจะเอามือปิดหน้าร้องไห้ ท่านอ๋องท่านจะเก็บอาการบ้างได้หรือไม่ ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นรอยยิ้มนี้ย่อมราวถูกมนต์สะกด ซูอินเองก็ไม่หลุดพ้นในการถูกล่อลวงครั้งนี้ นางไม่อาจจะเฉไฉได้อีกว่ารอยยิ้มนั้นยิ้มให้นาง เฉิงอ๋องรู้สึกว่าตนเองออกอาการมากเกินไป จึงรีบตวัดชายเส
แสงยามอรุณฉายส่องเข้ามาบริเวณบ้าน เป็นยามปกติที่ครอบครัวจะร่วมทานข้าวเช้าด้วยกัน สวีซื่อมองบุตรสาวคนเล็กด้วยสายตาปลื้มปริม ทว่ายังแฝงความกังวลใจ “ซูเอ๋อร์ เจ้าต้องไปงานเลี้ยงในวัง เงินขายภาพวาดที่ขายได้ครั้งที่แล้วยังมีเหลือ เจ้าเอาไปซื้ออาภรณ์เครื่องประดับ ถึงไม่อาจสู้เหล่าคุณหนูสูงศั
หลายวันที่ผ่านมา เสิ่นอินได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นคนผู้มีอำนาจ แม้กระทั่งบิดานางเสนาบดีเสิ่นผู้ยิ่งใหญ่ยังผูกไมตรีองค์รัชทายาท นางเองก็ย่อมมีหนทางของตนเองเช่นเดียวกัน “ดี...หลังจากวันนี้เจ้าจงมาฝึก 4 จรรยาต้องไม่บกพร่อง” ภายในใจเสิ่นอินกำลังเคร่งเครียด พอได้ยินเช่นนี้ก็ผ
ชีวิตที่เรียบง่ายหาใช่หาได้ง่าย แม้ในภายในใจผู้คนล้วนหาใช่สงบดั่งสายลมใบไม้ผลิ ตำหนักฮองเฮา กัวฮองเฮาหลุบตาเล็กน้อยก่อนจะตรัสเตือนบุตรชาย “องค์รัชทายาท ช่วงนี้ได้กระทำสิ่งใดที่ไม่ได้บอกกล่าวแม่หรือไม่” จอกชาในมือรัชทายาทหยุดชะงักเล็กน้อย พระองค์ยิ้มละมุมพร้อมตรัสเสียงอ
เมื่อทุกคนลงจากรถม้ากำลังจะเตรียมเดินขึ้น วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก จึงมีบรรดาคุณหนูฮูหยินและชาวบ้านมากหน้าหลายตาพากันมากราบไหว้ขอพร จางซูอินมองเห็นกู้ฟางเสียนยืนปะปนอยู่กับชาวบ้านที่ถอยห่างรอให้พวกนางเดินขึ้นไปก่อน ชายหนุ่มประครองสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งอยู่ หญิงสาวคาดว่าจะเป็นมารดา
เสิ่นอินมองออกไปเห็นเพียงแผ่นหลังของชายหนุ่ม นางพยักหน้าเห็นด้วยกับเสิ่นอิน อย่างไรก็ควรต้องลงไปคารวะ สวีซื่อมองดูเฉิงอ๋องอย่างตกตะลึง นางจำได้ว่าบุคคลตรงหน้าเป็นแม่ทัพที่นำทัพกลับเมืองหลวงหลังชนะศึก แม้จะมองเห็นไกล ๆ นางก็จำได้ไม่ลืม แม่ทัพปีศาจ เทพสงคราม บุรุษที่ใบหน้าดุจกับเทพบุตรทว
ครอบครัวสกุลจางตื่นตั้งแต่เช้า วันนี้เหล่าสตรีตั้งใจจะไปไหว้พระขอพรที่วัดเส้าหลาง “ซูเอ๋อร์ เจ้าบอกแม่ว่าคุณหนูเสิ่นจะไปไหว้พระด้วยใช่หรือไม่” “ท่านแม่ ไม่เพียงคุณหนูเสิ่น องค์หญิงก็จะเสด็จด้วยเจ้าค่ะ” สวีซื่อเอามือทาบอกเล็กน้อย แม้กระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่สามารถทำตั