จวนท่านแม่ทัพหวงหยางหมิง
หลังจากที่หวงหยางหมิงกลับมาถึงจวนของตัวเอง เขาก็ให้คนไปเตรียมของเพื่อที่จะอาบน้ำชำระร่างกายทันที
จวนหลังนี้เป็นจวนพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ ตอนที่เขาได้ขึ้นเป็นแม่ทัพพอได้จวนนี้มา หวงหยางหมิงก็ย้ายออกมาจากจวนหลักทันที เพราะเดิมทีหวงหยางหมิงเองก็ไม่ต้องการที่จะอยู่จวนเดิมอยู่แล้วตั้งแต่ที่มารดาของตัวเองเสียชีวิตไป จวนที่มากไปด้วยเล่ห์อุบายของผู้คนในนั้น หวงหยางหมิงสะอิดสะเอียดเกินทน หากให้เขาทนอยู่ในนั้น หวงหยางหมิงเกรงว่าคงได้ฆ่าคนในจวนนั้นหมดอย่างแน่นอน
จวนที่ได้รับพระราชทานนี้ค่อนข้างใหญ่ มีเรือนใหญ่และเรือนเล็กแบ่งเป็นสัดส่วน เรือนที่หวงหยางหมิงพักนั้นมีชื่อว่าเรือนจันทรา เป็นเรือนใหญ่ที่สุดและเขาเองก็ชื่นชอบที่สุดด้วย เพราะด้านหลังเรือนนั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่เอาไว้ให้เขาได้อาบน้ำชำระร่างกาย สระน้ำนี้ล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่เขียวและดอกไม้นานาพรรณ ทำให้สระนี้งดงามเป็นอย่างมาก ที่เด่นชัดเลยในยามค่ำคืน พระจันทร์จะสาดส่องลงมากระทบเป็นเงากับสระน้ำนี้พอดี ทำให้คนที่พบเห็นนั้นเกิดความสบายใจ หวงหยางหมิงเลยตั้งชื่อเรือนจันทรานี้ด้วยตนเอง
ร่างกำยำค่อย ๆ ปลดเสื้อผ้าและอาภรณ์ต่าง ๆ ออกจากร่างกาย ในขณะที่ขาแกร่งก้าวเดินไปยังสระน้ำ ไหล่กว้างขยับไปมาเพื่อบรรเทาความปวดเมื่อย ร่างที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อทำให้เวลาขยับได้ยินเสียงกระดูกดังลั่นบริเวณที่เขาขยับ ขาของหวงหยางหมิงก้าวลงสระที่มีหมอกจาง ๆ ปกคลุม กล้ามหน้าท้องนูนเป็นรูปเด่นชัด หากไม่มีแผลเป็นด้านข้างที่เกิดขึ้นเพราะเขาถูกพิษในตอนนั้น ย่อมถือได้ว่ากล้ามหน้าท้องของหวงหยางหมิงนั้นงดงามอย่างไม่มีที่ติ หลังจากที่ลงไปนั่งในสระน้ำแล้ว มือขวาก็ยกขึ้นมาเพื่อถอดหน้ากากที่ปิดใบหน้าเอาไว้ ตอนนี้ในสระน้ำสะท้อนใบหน้าบุรุษคนหนึ่งที่เป็นเงาคู่กับพระจันทร์ที่กำลังสาดส่องลงมาพอดี ใบหน้าคมคายรูปงามเกินกว่าบุรุษ กำลังนั่งหลับตาในสระอย่างเงียบ ๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา หวงหยางหมิงก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้
“ถึงเวลาแล้วสินะ” เสียงทุ้มบ่นกับตัวเอง
ขณะที่กำลังแช่น้ำอย่างสำราญใจ พ่อบ้านโจวก็เข้ามาหานายตัวเองเงียบ ๆ แต่เดิมพ่อบ้านโจวนั้นเคยรับใช้อยู่ที่จวนหลัก จนกระทั่งหวงหยางหมิงย้ายออกมา เขาก็ขอออกมารับใช้นายของตนเอง
“คุณชายขอรับ ผิงอี๋เหนียงต้องการเข้ามาปรนนิบัติคุณชายขอรับ”
“สตรีที่เมียรักของบิดาข้าส่งมาน่ะรึ” ท้ายเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ “ให้นางกลับเรือนไป”
พ่อบ้านโจวน้อมรับพร้อมกับออกจากห้องนี้ไปเงียบ ๆ เพราะเขานั้นรู้จักนิสัยคุณชายของตัวเองดีว่าเป็นเช่นไร
ด้านนอกเรือนจันทรามีสตรีทรวดทรงเย้ายวนยืนรออยู่ด้วยท่าทีกระวนกระวาย เพราะจะบุกเข้าไปก็เข้าไม่ได้เนื่องจากทางเข้าเรือนนั้นมีทหารคอยเฝ้าอยู่ แม้ว่าอยากจะบุกเข้าไปเพียงใด แต่ทหารที่เฝ้านั้นไม่ยอมอ่อนข้อให้นางเลยแม้แต่น้อย
รอไม่นาน พ่อบ้านโจวก็เดินออกมาหาสตรีที่ยืนรออยู่ด้านนอก ผิงอันเห็นพ่อบ้านโจวออกมา ก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความตื่นเต้นทันที
“พ่อบ้านโจว ท่านแม่ทัพให้ข้าเข้าไปปรนนิบัติได้ใช่หรือไม่”
“คุณชายแจ้งว่าให้อี๋เหนียงกลับเรือนไปขอรับ”
ผิงอันได้ยินเช่นนั้นใบหน้างามก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธทันที ก่อนจะหันหลังกระทืบเท้ากลับเรือนของตัวเองไปด้วยความไม่พอใจ พ่อบ้านโจวได้แต่ส่ายหัวให้กับความวุ่นวายนี้ หากไม่ใช่เพราะฮูหยินหวงคนปัจจุบันส่งอนุมาให้หวงหยางหมิงจวนนี้คงสงบไม่น้อย
แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อคุณชายของเขาก็ถูกมัดมือชกเช่นกัน เพราะฮูหยินเอกนั้นใช้วิธีสกปรก แต่งอนุมาตอนที่หวงหยางหมิงไปออกรบ โดยให้เหตุผลว่าจะได้มีคนมาช่วยดูแลงานในจวน ซึ่งนายท่านหวงเองก็เห็นดีเห็นงามด้วย
ความจริงแล้วฮูหยินเอกคนนั้นต้องการแต่งภรรยาให้หวงหยางหมิงเลยต่างหาก แต่เพราะหวงหยางหมิงนั้นได้เอ่ยคำพูดที่เป็นเหมือนกับคำมั่นสัญญาระหว่างมารดาของเขาที่เสียไปกับท่านพ่อของเขาว่าจะให้หวงหยางหมิงนั้นเลือกฮูหยินด้วยตนเอง หนิงซูหรือว่าฮูหยินเอกประจำตระกูลหวงคนปัจจุบันจึงทำได้เพียงแต่งอนุเท่านั้น
อนุที่นางแต่งให้กับหวงหยางหมิงมีหน้าที่ช่วยสอดส่องและรายงานเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้นางได้รับรู้
แต่หนิงซูนั้นคิดตื้นเกินไป นางคิดว่าหวงหยางหมิงจะมีนิสัยใจคอเหมือนกับบิดา เจอสาวงามก็ลุ่มหลงและโปรดปรานดั่งเช่นบิดาของตน แต่เปล่าเลย เพราะตั้งแต่ที่หวงหยางหมิงกลับมา นอกจากจะไม่สนใจนางแล้วแม้แต่จะพูดด้วยสักคำก็ยังไม่เคย ยามเห็นหน้าผิงอันก็มองเห็นแต่ไกล ๆ เวลาจะเข้าใกล้ก็จะมีบ่าวรับใช้คอยกันท่าไม่ให้นางเข้าใกล้ จนนางเองก็อดโมโหไม่ได้ เพราะจนตอนนี้ ผิงอันยังไม่ได้เขียนรายงานนายหญิงของตนเองแม้แต่ฉบับเดียว
ผิงอันเดินกลับมายังเรือนตนที่อยู่เกือบท้ายจวนด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว มาถึงเรือนตน ผิงอันก็กวาดสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะทันที
“เจ้าอัปลักษณ์นั่นถือดีอย่างไร ถึงกล้าปฏิเสธข้า!” ผิงอันสบถออกมาอย่างอดไม่ได้
“อี๋เหนียงเบา ๆ เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวคนอื่นได้ยิน จะนำไปฟ้องท่านพ่อบ้านนะเจ้าคะ” สาวใช้ประจำตัวเอ่ยตักเตือนนายของตน ก่อนจะรีบปิดประตูเรือนเพื่อไม่ให้คนข้างนอกได้ยิน
ผิงอันได้ยินอย่างนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมสงบแม้แต่น้อย นางหันหน้ามาหาสาวใช้ด้วยแววตาที่แดงก่ำ
“แล้วอย่างไรอยากฟ้องก็ไปฟ้องเลย ข้าก็เบื่อเจ้าอัปลักษณ์นั่นเต็มทนแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ข้าจะรายงานฮูหยินได้อย่างไรกัน!”
ผิงอันครุ่นคิดถึงแผนการ หากทำแผนการไม่สำเร็จ หนิงซูอาจจะส่งคนอื่นมาเป็นอนุอีก ถึงตอนนั้นนางก็จะเป็นตัวไร้ประโยชน์ หนิงซูต้องไม่เก็บนางไว้แน่นอน
“หรือว่าท่านแม่ทัพอายเกินกว่าจะกล้าพบหน้าอี๋เหนียงเจ้าคะ อี๋เหนียงรูปโฉมงดงามปานนี้ ท่านแม่ทัพอาจจะละอายตนเองก็ได้เจ้าค่ะ”
สาวใช้บีบนวดร่างกายผิงอันพร้อมกับพูดปลอบเพื่อไม่ให้นายตนอาละวาดมากไปกว่านี้
“เจ้าคิดเช่นนั้นรึ”
“บ่าวก็แค่สงสัยเจ้าค่ะ หากท่านแม่ทัพไม่ละอายตนเอง หรือว่า...”
“หรือว่าอะไร”
“หรือว่า...ท่านแม่ทัพเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อเจ้าคะ”
ทันทีที่ได้ยินดวงตาผิงอันเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“อาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่าก็ได้ แต่ข้าไม่สนใจหรอกนะ ท่านแม่ทัพจะอัปลักษณ์หรือเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ สิ่งเดียวที่ข้าสนใจคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ข้าได้เข้าใกล้แม่ทัพ ไม่อย่างนั้น ข้าก็คงเป็นแค่อนุที่อยู่ท้ายจวนเช่นนี้ และถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ฮูหยินไม่ปล่อยข้าไว้แน่นอน”
ผิงอันกำมือแน่น ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องส่งข่าวคราวให้หนิงซูได้รับรู้และความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ภายในจวนนี้
จริงอยู่ที่หวงหยางหมิงจะแยกจวนออกมา แต่อย่างไรหนิงซูก็ยังไม่ไว้วางใจ เพราะกว่าที่นางจะขึ้นมาเป็นฮูหยินเอกประจำตระกูลหวงได้ นางลงทุนลงแรงไปไม่น้อย อีกอย่างนางไม่ยอมให้บรรดาบุตรของนางต้องด้อยไปกว่าหวงหยางหมิงอย่างแน่นอน
ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากันอยู่นั้น ไม่ได้รับรู้เลยว่าคำพูดที่พวกนางพูดคุยกันได้ถ่ายทอดให้อีกบุคคลฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คำเดียว
หวงหยางหมิงที่สวมเสื้อผ้าไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไรนัก เพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ชุดที่มัดไม่เรียบร้อยทำให้ท่อนบนเห็นแผ่นอกที่เปลือยเปล่า ดวงตาเข้มจ้องมองดูพระจันทร์ที่ส่องแสงทั่วนภา มือหนึ่งข้างกำลังถือจอกสุราส่วนอีกข้างก็พาดไว้ที่ขอบเก้าอี้อย่างเกียจคร้านขณะที่กำลังนั่งฟังรายงานจากองครักษ์ของตนเอง
“ท่านแม่ทัพจะทำเช่นไรต่อไปหรือขอรับ” องครักษ์เอ่ยถามนายของตนเองหลังจากที่รายงานเรื่องทุกอย่างให้ฟังเรียบร้อยแล้ว
หวงหยางหมิงหลับตาลงอย่างเกียจคร้าน แม้ว่ามือข้างหนึ่งจะถือจอกสุราอยู่แต่ก็ไม่ยอมปล่อย
“จะฆ่าทิ้งคงจะไวเกินไป อีกอย่างนางก็ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียของบิดาข้า แม้ว่านางจะไม่ชอบข้าแต่นางก็ยังทำหน้าที่ภรรยาและฮูหยินของจวนได้ดี คงรักบุตรชายตนเองมากเกินไปถึงทำเช่นนี้...”
“แล้วท่านแม่ทัพ....”
“ปล่อยไปก่อน ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าสตรีที่นางแต่งมาให้ข้าจะมีความสามารถขนาดไหน อีกอย่างตอนนี้ข้ามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ”
มุมปากหวงหยางหมิงยกขึ้นอย่างอดมิได้ เมื่อคิดถึงเรื่องสำคัญที่เขาจะต้องทำในไม่ช้า
หลายวันต่อมา....
เซียวเหม่ยอิงออกมาตรวจกิจการของตระกูลตนเอง ปกติแล้วนางจะมีหลงจู๊ที่ไว้วางใจช่วยดูแลกิจการต่าง ๆ ของนางได้เป็นอย่างดี ทำให้นางไม่ต้องคอยออกมาตรวจเท่าใดนัก มีเพียงครั้งคราวเท่านั้นหรือหากรู้สึกเบื่อหน่ายเซียวเหม่ยอิงถึงจะมา
ขณะที่กำลังเดินเข้าไปในร้านอาหารของตนเอง ก็พบกับน้องสาวของนางที่กำลังพากันทานอาหารกันอยู่กับเหล่าบรรดาสหาย เซียวเหม่ยอิงถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
น้องสาวของนางเป็นคนจิตใจดีชาวบ้านชาวเมืองนั้นรับรู้ได้ เพราะเซียวลี่หงชอบนำอาหารที่ร้านไปแจกทานแก่คนจนคนจรโดยมีบรรดาสหายของนางไปร่วมด้วย ครั้งนี้เองก็เช่นกัน นางกับบรรดาสหายคงเพิ่งกลับมาจากแจกทาน ถึงได้พาสหายมานั่งทานอาหารเช่นนี้
หลงจู๊เห็นเซียวเหม่ยอิงมาที่ร้านก็มีสีหน้าหนักใจ รีบเดินเข้ามาหาเซียวเหม่ยอิงทันที
“คุณหนูใหญ่ขอรับ เอ่อ...คุณหนูเล็ก...”
“ไม่เป็นไรท่านลุงฉี ให้หงเอ๋อร์กับสหายทานอาหารเหมือนเช่นเคยเถิดเจ้าค่ะ”
ฉีห่าวอี้หรือหลงจู๊ประจำร้านแห่งนี้ เขาทำหน้าที่ของตนได้อย่างขยันขันแข็งไม่ขาดตกบกพร่อง เขียนรายงานและสรุปยอดขายที่เกี่ยวกับร้านไม่ตกหล่นรวมถึงเรื่องที่เซียวลี่หงทำ ฉีห่าวอี้ก็เขียนลงบัญชีด้วยเช่นกันแม้ว่าตระกูลเซียวจะร่ำรวยแต่เซียวเหม่ยอิงก็ไม่ปล่อยปละละเลยเรื่องเงินทองในส่วนที่ควรเป็นกำไรของตระกูล กำไรจากการค้ากิจการนั้นจะเข้าคลังกองกลาง ทำให้บ่อยครั้งที่เซียวเหม่ยอิงต้องยอมควักเงินตำลึงของตัวเองที่ได้จากเบี้ยหวัด ใส่เข้าไปในกองกลางแทนกำไรที่ขาดหายไปจากการกระทำของเซียวลี่หงน้องสาวของตนเอง
หลังจากดูความเรียบร้อยภายในร้านแล้ว เซียวเหม่ยอิงก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นสองเพื่อไปตรวจบัญชีที่หลงจู๊ได้ทำไว้ ขณะที่นางกำลังจะเดินขึ้นบันได ก็มีเสียงที่คุ้นเคยทักนางเสียก่อน
“พี่ใหญ่... ท่านมาถึงนานหรือยังเจ้าคะ” เป็นเซียวลี่หงที่เอ่ยทัก นางยืนอยู่ตรงกลางบรรดาสหายของตน
“ข้าเพิ่งมาถึง ว่าจะขึ้นไปตรวจบัญชีเสียหน่อย” เซียวเหม่ยอิงยิ้มให้น้องสาวของตนเอง กำลังจะก้าวขึ้นบันได ทว่าโดนมือน้องสาวตัวเองฉุดดึงไว้เสียก่อน
“ท่านพี่ ท่านอย่าตำหนิข้าเลยนะ ที่ข้าพาสหายมาที่ร้านของเรา เพราะพวกนางช่วยข้าแจกทานแก่ผู้ยากไร้ ข้าเลยอยากเลี้ยงอาหารพวกนางเพื่อเป็นการขอบคุณ”
บรรดาคนที่ได้ยินต่างพากันรู้สึกเห็นใจเซียวลี่หง เพราะน้ำเสียงของนางไม่สู้ดีเท่าใดนัก ต่างจากเซียวเหม่ยอิงที่ถอนหายใจรอบแล้วรอบเล่ากับคำพูดน้องสาวตนเอง คำพูดนางช่างดึงดูดให้คนสงสารเก่งเสียจริง
เซียวเหม่ยอิงเห็นว่าพวกนางเริ่มเป็นจุดสนใจของคนในร้าน นางก็เดินขึ้นไปยังชั้นสองทันที โดยไม่ได้สนใจกลุ่มน้องสาวตนเลยแม้แต่น้อย เพราะนางคิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องราวให้คนอื่นฟัง
นี่ฮวานั้นเป็นคนรักสหาย นางรู้สึกว่าเซี่ยวลี่หงกำลังหวาดกลัวก็เข้าไปกุมมือเป็นการปลอบพร้อมกับเอ่ยคำปลอบโยนสหายตนเอง
“หงเอ๋อร์พวกข้าขอโทษนะ ที่ทำให้เจ้าต้องโดนพี่สาวเจ้าตำหนิ เป็นเพราะพวกข้าแท้ ๆ เลย”
เซียวลี่หงยิ้มบางให้สหายของตนเอง “ไม่ใช่ความผิดพวกเจ้าเสียหน่อย อีกอย่างท่านพี่ยังไม่ได้ตำหนิข้า พวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“เจ้ายังปกป้องพี่สาวเจ้าอยู่อีกรึ ข้าว่าพี่สาวเจ้ากำลังไม่พอใจเจ้าอยู่เป็นแน่ ถึงได้เดินหนีไปเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าพอเจ้ากลับไปถึงจวนแล้วโดนพี่สาวเจ้าเรียกไปตำหนินะ”
เซียวลี่หงได้แต่มองไปยังชั้นสอง ชั้นที่พี่สาวนางเดินขึ้นไป ก่อนจะหันมาคุยกับสหายของตัวเอง
“ไปเดินเล่นกันเถิด”
ทุกคนยอมตามเซียวลี่หงไปแต่โดยดี ไม่ได้พูดหรือเอ่ยถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แล้ว หากเซียวลี่หงไม่อยากเอ่ยให้ฟัง พวกนางก็ไม่ซักไซ้ถามต่อเช่นกัน เพราะไม่อยากให้เซียวลี่หงรู้สึกไม่ดีจนเกินไป
ตั้งแต่ที่ไปตรวจร้านค้าในวันนั้น ก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์ที่เซียวเหม่ยอิงไม่ได้ออกไปไหน นางยังคงนั่งจิบชาอยู่ที่ศาลาเช่นเคย
ขณะที่เซียวเหม่ยอิงกำลังนั่งจิบชาเพื่อฆ่าเวลา เพราะอีกไม่กี่ชั่วยาม นางต้องไปเตรียมมื้อเย็นให้บิดามารดาของตัวเอง เซียวเหม่ยอิงกำลังจิบชาเพลิน ๆ อยู่นั้น ลี่จินก็วิ่งมาหาคุณหนูของตนด้วยสีหน้าที่แตกตื่น
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูมีราชโองการมาเจ้าค่ะ” ลี่จินที่วิ่งมาหายใจด้วยความลำบาก
เซียวเหม่ยอิงได้ยินว่ามีราชโองการมายังจวนก็รีบเดินไปยังเรือนรับรองทันที เดินมาถึงก็เห็นว่าบิดามารดาและน้องสาวตนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว พร้อมกับมีรถม้าของพระราชวังจอดอยู่หน้าจวน เซียวเหม่ยอิงก็เดินเข้าไปใกล้ ๆ บิดามารดาทันที
กงกงท่านหนึ่งเดินมาพร้อมกับพานที่มีราชโองการมาด้วย กงกงกางราชโองการนั้นออกมาพร้อมกับอ่านด้วยน้ำเสียงดังกังวาน
“ตระกูลเซียวรับพระราชโองการ...”