บทที่ 7 เสียงเล่าลือ
นับจากวันนั้นเป็นต้นมาหยางชิวเหยาก็มิได้ข่าวคราวอันใดจากจางลู่เหวินอีกเลย นางพยายามให้เสี่ยวเว่ยไปสืบดูที่ลานสอบจอหงวนแต่กลับมิพบจางลู่เหวินที่นั่น แม้แต่นางให้เสี่ยวเว่ยไปดูที่เรือนพักของจางลู่เหวินกลับได้พบเพียงชาวบ้านที่บอกกล่าวว่าคนเช่าดังกล่าวได้ย้ายออกไปที่อื่นแล้ว
นับเป็นเวลาผ่านมาถึงห้าปีเต็มนับตั้งแต่วันที่หยางชิวเหยาแต่งเข้ามาในจวนสกุลหาน บัดนี้หานอี้หลงได้เลื่อนเป็นเสนาบดีเจ้ากรมโยธาแทนที่บิดาของตน ในขณะที่หานอ้าวเว่ยและหานเซียงหนิงเมื่อได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกจากบ่า เขาทั้งสองก็เลือกจะย้ายไปอยู่ต่างเมืองกับญาติคนหนึ่งและใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข
หานอี้หลงนับได้ว่าเป็นขุนนางผู้มีชื่อเสียงในความสุภาพและปัญญาเลิศล้ำ ความฉลาดเฉลียวและความสุขุมทำให้เขาได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้และราชสำนักไม่น้อยไปกว่าบิดาของตนเลยทีเดียว
หานอี้หลงยังคงปฏิบัติต่อหยางชิวเหยาอย่างให้เกียรติเสมอมา ในขณะที่หยางชิวเหยาก็ทำหน้าที่ฮูหยินของเขาอย่างมิขาดตกบกพร่อง แต่ทว่าการแต่งงานของพวกเขาทั้งสองกลับมิได้สร้างสายใยแห่งครอบครัวตามที่คนอื่นคาดหวัง หยางชิวเหยาแม้จะนอนร่วมห้องกับหานอี้หลงในทุกค่ำคืน แต่คนทั้งคู่กลับมิเคยร่วมหอกันแม้เพียงสักครั้งหนึ่ง
ภายในท้องตลาดกลุ่มชาวบ้านต่างโจษจันเกี่ยวกับเรื่องราวของหานอี้หลงเป็นจำนวนมาก “ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินหานมิสามารถให้กำเนิดบุตรได้...เจ้าคิดว่านางมีปัญหาอันใดหรือไม่” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งกระซิบ
“อาจจะมิใช่เพราะฮูหยินแต่เป็นใต้เท้าหานก็เป็นได้ ใครจะรู้เล่า” หญิงชาวบ้านอีกคนพูดเสริมขึ้นมา
“บางทีทั้งสองคนอาจไม่เคยรักกันจริงก็เป็นได้” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นแทรกอย่างสนุกสนาน
“แต่ข้ามิเคยเห็นใต้เท้าหานชายตามองผู้ใดในเมืองหลวงแห่งนี้เลยสักคน ฮูหยินหานช่างน่าอิจฉายิ่งนัก เป็นแม่ไก่ที่มิอาจฟักไข่ได้ แต่กลับได้รับความรักความโปรดปรานมากถึงเพียงนี้” หญิงสาวอีกคนกล่าวตอบอย่างรู้สึกอิจฉา
“ข้าว่าฮูหยินหานช่างร้ายกาจยิ่งนัก ตนเองมิอาจให้กำเนิดบุตรสืบสกุลได้ แต่กลับใจแคบมิยอมให้ใต้เท้าหานรับอนุผู้ใดเข้ามาในจวน” อีกคนเสริมขึ้นมาอย่างออกรสออกชาติ
ภายในจวนสกุลหาน หยางชิวเหยานั่งอยู่ในศาลาไม้กลางสวน นางกำลังปักเย็บถุงหอมที่ใส่ดอกไม้นานาชนิดด้วยความตั้งใจ ใบหน้าที่ยังคงงดงามนั้นดูนิ่งเฉย แต่สายตากลับแฝงความเศร้าหมองเอาไว้อยู่ภายใน ลมเย็นพัดเส้นผมยาวของนางปลิวไหวยิ่งทำให้ใบหน้านวลนั้นดูดึงดูดและน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น
เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ทำให้หยางชิวเหยาเงยหน้ามอง เสี่ยวเว่ยรีบก้าวเท้าเข้ามาภายในศาลาด้วยท่าทางโมโหยิ่งนัก
“คุณหนู...ข้าได้ยินคำนินทากล่าวร้ายท่านที่ตลาด ได้ฟังก็ยิ่งขัดเคืองยิ่งนัก ข้านึกอยากจะเดินเข้าไปตบปากพวกปากมากเหล่านั้นให้เข็ดหลาบไปเสีย” เสี่ยวเว่ยโวยวายออกมาอย่างรู้สึกหงุดหงิดใจ นางได้ยินคำเล่าลือที่สาดโคลนใส่นายหญิงของตนจนแทบจะระงับตนเองไม่อยู่ หากแต่หยางชิวเหยามักจะห้ามปรามตนมิให้มีเรื่องกับผู้ใดให้รู้สึกขัดเคืองใจ
“เจ้าได้ยินสิ่งใดมาอีกเล่า” หยางชิวเหยากล่าวออกมาอย่างนึกขบขันในท่าทีของสาวใช้ของตน
“ก็เรื่องที่ท่านเป็นแม่ไก่ที่มิอาจฟักไข่ออกมาได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
หยางชิวเหยาได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา นับเป็นครั้งที่เท่าใดกันที่นางได้ยินเรื่องพวกนี้ แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะพูดสิ่งใดผิดไม่ เวลากว่าห้าปีที่ตบแต่งเข้ามาในสกุลหาน แต่นางกลับมิอาจให้กำเนิดบุตรหลานสืบสกุลได้ ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกผิดอยู่ภายในใจมากขึ้นไปอีก
ในค่ำคืนดังกล่าว หลังจากหานอี้หลงเดินกลับเข้ามาด้านในด้วยท่าทีอ่อนโยนเหมือนเคย หานอี้หลงสวมชุดขุนนางสีเข้มที่สะท้อนถึงความสง่างามของเขา
หยางชิวเหยาเดินเข้ามาด้านหน้าของหานอี้หลง ก่อนจะบรรจงปลดเสื้อผ้าและผลัดเปลี่ยนเสื้อนอนให้เขาอย่างคุ้นเคย
“ท่านพี่...ท่านได้ยินคำเล่าลือภายนอกหรือไม่” หยางชิวเหยาถามออกมาโดยไม่สบตาเขา สองมือยังคงบรรจงจัดแจงชายเสื้อต่อไปด้วยท่าทางสงบนิ่ง
หานอี้หลงหัวเราะเบาๆ ออกมา ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างของหยางชิวเหยาพร้อมดึงมือบางมานั่งด้านข้าง สองมือหนายังคงเกาะกุมมือบางเอาไว้แน่น “คำเล่าลือผู้ใดก็ล้วนกล่าวอ้างได้ ข้ากับเจ้ารักใคร่กันดีย่อมมีแต่ผู้อื่นอิจฉา เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจคำพูดไร้สาระพวกนั้นหรอก”
หยางชิวเหยาชะงักค้างไปชั่วขณะ นางรีบดึงมือออกจากการเกาะกุม แล้วหันไปสบสายตาของหานอี้หลงอย่างจริงจัง “แต่พวกเขาไม่ได้พูดถึงข้าเพียงเท่านั้น ชื่อเสียงของท่านต้องมาแปดเปื้อนเพราะข้า...ข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก”
หานอี้หลงยิ้มกริ่มขึ้นมา ก่อนจะทอดสายตาหวานเยิ้มไปที่ใบหน้านวลที่เขายังคงหลงใหลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน “เช่นนั้นพวกเราก็ทำให้คำเล่าลือเหล่านั้นหายไปดีหรือไม่”
หยางชิวเหยาสะอึกก้อนน้ำลายเหนียวในทันที ทั้งสายตาและคำพูดหยอกเย้าที่หานอี้หลงมักทำกับนางอย่างสม่ำเสมอทำเอาหยางชิวเหยาถึงกับเสียอาการไปในทันที
“ท่านพี่...ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่นะ...เหตุใดท่านต้องแกล้งข้าเช่นนี้ด้วย”
หานอี้หลงหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบไล้เส้นผมของหยางชิวเหยาอย่างนึกเอ็นดู “ข้าเป็นขุนนาง...ย่อมต้องเผชิญคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งดีและร้ายเสมอ ที่ข้าใส่ใจคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้ และสิ่งนั้นก็คือเจ้า”
คำพูดของหานอี้หลงทำให้หัวใจของหยางชิวเหยานึกสั่นไหว แม้นางจะรู้ว่าหานอี้หลงเป็นบุรุษที่ดีอย่างหาได้ยากยิ่ง แต่ลึกๆ ภายในใจของนางกลับมิอาจเปิดรับเขาได้อย่างสนิทใจ
“ท่านพี่...ท่านไม่เคยถามข้าเลยว่าทำไมข้าถึงไม่สามารถมอบหัวใจให้ท่านได้” หยางชิวเหยากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
หานอี้หลงยิ้มเจื่อนขึ้นมาในทันที สายตาที่ทอดมองมายังหยางชิวเหยานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและลึกซึ้ง “ข้าเคยสัญญากับเจ้าแล้ว...ตัวข้ามิคิดจะเร่งรัดอันใดเจ้าสักนิด...ข้าพร้อมจะรอจนกว่าเจ้าจะเปิดรับข้าอย่างเต็มหัวใจ”
คำพูดนั้นทำให้หยางชิวเหยาถึงกับเงียบไป นางมิรู้จะตอบเขาเช่นใดดี หยางชิวเหยารู้สึกซาบซึ้งในความรักและความอบอุ่นที่เขามีให้ แต่ก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างเสียมิได้ที่ยังมิอาจตอบแทนความรักของเขาได้ในเวลานี้
บทที่ 8 หาอนุ“ดึกมากแล้ว พวกเราเข้านอนเถิด พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าเฝ้าแต่เช้า” หานอี้หลงรีบตัดบทอย่างไม่ต้องการให้หยางชิวเหยารู้สึกอึดอัดอีกต่อไปทั้งคู่ก้าวขึ้นเตียงนอนดั่งที่เคย ก่อนที่หยางชิวเหยาจะผล็อยหลับลงไปในที่สุด ในค่ำคืนที่มืดมิดสายตาของหานอี้หลงยังคงเบิกกว้าง เขาหันกายไปจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างรู้สึกรักใคร่ยิ่งนัก เพียงไม่นานร่างบางก็ขยับกายเข้าโอบกอดเขาไว้เฉกเช่นทุกคืนราวกับเป็นความเคยคุ้นชินไปเสียแล้วหานอี้หลงยิ้มกว้างออกมาพร้อมกระชับร่างบางเข้ามาสวมกอดไว้แน่น “ชิวเหยา...ขอเพียงข้ามีเจ้าอยู่ข้างกาย ต่อให้ข้าต้องรอเจ้าไปชั่วชีวิตข้าก็ยินดี” หานอี้หลงเพ้อออกมาก่อนจะจรดริมฝีปากลงที่หน้าผากมนด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจในวันถัดมาเสียงเล่าลือเกี่ยวกับพวกเขายังคงเซ็งแซ่ไปทั่ว ด้วยหานอี้หลงนั้นนับได้ว่าเป็นบุรุษที่หญิงสาวหลายคนต่างพากันหมายปองและอิจฉาในความรักความเอาใจใส่ที่มีให้กับหยางชิวเหยานั่นยิ่งกระพือคำเล่าลือต่างๆ นานา จนกลายเป็นเรื่องชวนให้ขบขันยิ่งนักในขณะที่หานอี้หลงกลับยังคงใช้ชีวิตเหมือนมิมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เขาเดินทางไปว่าเข้าเฝ้าภายในวังหลวงและในทุกการประชุม เขา
บทที่ 9 อย่าผลักไสข้าจนกระทั่งช่วงเย็นของวัน หานอี้หลงกลับมาจากการทำงานที่หนักอึ้ง แม้ใบหน้าจะฉายความเหนื่อยล้าอยู่ในที แต่เมื่อได้เห็นหยางชิวเหยาที่ยืนรอเขาอยู่ในจวน หานอี้หลงก็ยิ้มกว้างออกมาในทันทีทั้งสองเดินกลับไปที่เรือนพัก ก่อนที่หานอี้หลงจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดลำลอง โดยมีหยางชิวเหยาคอยปรนนิบัติหานอี้หลงตามหน้าที่เป็นอย่างดีอย่างเช่นที่เคยเป็นมา“ข้าขอตัวไปจัดการเรื่องเอกสารเสียหน่อย งานราชการมากล้นจนข้ามิอาจอยู่ทานข้าวร่วมกับเจ้าได้...เจ้าอย่าได้นึกโกรธเคืองข้าเลยนะ” หานอี้หลงกล่าวอย่างขอตัวกลับไปทำงานที่ห้องอักษรสักชั่วครู่หนึ่ง ด้วยก่อนหน้านี้ที่สำนักโยธามีงานสร้างเขื่อนกั้นน้ำที่ฮ่องเต้ทรงมอบหมายมาให้ ทำให้หานอี้หลงนั้นยุ่งวุ่นวายกับเรื่องดังกล่าวจนแทบมิอาจมีเวลาได้พัก แต่เพราะเขาอยากเห็นหน้าหยางชิวเหยาเสียหน่อย สุดท้ายหานอี้หลงจึงกลับมาที่จวนพร้อมกองเอกสารที่มีติดตัวมาด้วย“ท่านพี่...ท่านจะรับอาหารรองท้องเสียหน่อยหรือไม่เจ้าคะ” หยางชิวเหยาพูดพลาง สองมือก็ยังคงจัดการเสื้อผ้าของหานอี้หลงไปพลางอย่างใส่ใจ“ตามใจเจ้าเถิด...”หานอี้หลงตอบกลับพร้อมจ้องมองหยางชิวเหยาด้วยสายตารั
บทที่ 10 แม่ทัพคนใหม่ภายในท้องพระโรงของแคว้นเจี้ยนเต็มไปด้วยความตึงเครียด หานอี้หลงรายงานความคืบหน้าของงานก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำในเมืองเตียงอันที่อยู่ข้างเคียงด้วยท่าทีที่เคร่งเครียด ปัญหาการก่อสร้างที่ขลุกขลักมากกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ฮ่องเต้หงจูเหลียงถึงกับหัวเสียขึ้นมาในทันที หานอี้หลงถูกตำหนิเป็นอันมากจนแทบจะเข้าหน้าหงจูเหลียงไม่ติด“ขอประทานอภัยฝ่าบาท...หม่อมฉันจะเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงเป็นกังวลพระทัย”“เจ้ารีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ข้ามิต้องการได้ยินคำแก้ตัวใดอีก” หงจูเหลียงตวาดออกมาในทันที“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หานอี้หลงได้แต่รับคำด้วยความรู้สึกตึงเครียดและกดดันหลังจากนั้นการประชุมราชกิจก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งเวลาล่วงเลยอย่างยาวนาน ก่อนที่หงจูเหลียงผู้กุมอำนาจใหญ่ในแคว้นเจี้ยนได้หันไปหาขันทีคู่ใจอย่างให้สัญญาณ“เชิญใต้เท้าจางลู่เหวินเข้าเฝ้า” เสียงขันทีประกาศดังก้องไปทั่วท้องพระโรงจางลู่เหวินก้าวเท้าเข้ามาภายในท้องพระโรงด้วยท่าทางที่สุขุมและเยือกเย็น หน้าตาคมคายแต่กลับดูแข็งกร้าว ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่แข็งแรงจากการเคี่ยวกรำในศึกสงครามมาอ
บทที่ 11 งานเลี้ยงหานอี้หลงกลับมายังจวนในเวลาพลบค่ำด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด เขาเดินเข้ามาภายในห้องพร้อมนั่งลงที่เก้าอี้กลางห้องอย่างรู้สึกเหนื่อยอ่อน หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยื่นมือไปบีบนวดให้เขาอย่างเอาใจ“ท่านพี่วันนี้มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ...ข้าเห็นท่านทำสีหน้าเคร่งเครียดอยู่เป็นนาน”หานอี้หลงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เขาดึงแขนของหยางชิวเหยามานั่งที่ด้านข้างพร้อมจ้องมองใบหน้านวลอย่างมิคิดจะเบื่อหน่าย ดวงตาสุกสกาวตรงหน้าทำให้ความเหนื่อยล้าที่มีลดทอนลงไปเป็นอันมาก“งานของข้าก็วุ่นวายเช่นนี้อยู่เป็นประจำ เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไปเลย” หานอี้หลงพูดพลางปรบมือเบาๆ ไปที่มือบางอย่างมิต้องการให้นางกลัดกลุ้มไปด้วย“ท่านก็อย่าเคร่งเครียดมากนักเลย ท่านพี่เก่งกล้าสามารถ ปัญหาต้องคลายลงไปได้แน่”คำกล่าวเยินยอของหญิงคนรักทำเอาหานอี้หลงถึงกับยิ้มไม่หุบ “ฮูหยินของข้าปากหวานเช่นนี้ ข้าจะหนีรอดจากเจ้าไปได้เช่นใดกัน”เมื่อหานอี้หลงกลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง ทำเอาหยางชิวเหยาถึงกับค้อนขวับเข้าให้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ทั้งสายตาและคำพูดกรุ้มกริ่มของเขาก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิมมิเปลี่ยนไปเลยหานอี้หลงห
บทที่ 12 เผชิญหน้าขณะที่งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างครึกครื้น จางลู่เหวินกลับทำเพียงยกสุราเข้าปากอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาของเขายังคงจ้องมองไปที่หยางชิวเหยาไม่หยุด แม้จะมีเสียงพูดคุยจากคนรอบข้างแต่ความสนใจของเขากลับไม่เคยลดน้อยลงไปจากนางเลยแม้แต่น้อย คิ้วหนาเข้มขมวดเป็นปมอย่างเคร่งเครียด ยิ่งได้เห็นท่าทางเอาอกเอาใจของหยางชิวเหยาที่มีต่อหานอี้หลงก็ยิ่งทำให้เขาแทบอยากลุกไปฉุดกระชากนางออกจากงานเลี้ยงโดยทันทีหยางชิวเหยารู้สึกถึงการจับจ้องดังกล่าวจนนางรู้สึกอึดอัดอย่างมิอาจห้าม ความรู้สึกสับสนประเดประดังเข้ามาภายในหัวของนางอย่างไม่หยุดหย่อน ด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นจนแทบเอ่อทะลักออกมาทำให้หยางชิวเหยานึกอยากจะหลีกหนีออกจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจเช่นนี้“ท่านพี่...ข้าขอตัวสักครู่” หยางชิวเหยากล่าวออกมาอย่างมิอาจข่มกลั้น“เจ้าจะไปที่ใด...ให้ข้าไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่” หานอี้หลงหันมามองหยางชิวเหยาอย่างเพ่งพิจ ความรู้สึกกังวลฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าอย่างนึกห่วงนางจับใจหยางชิวเหยายังมิทันตอบสิ่งใด จู่ๆก็มีขุนนางผู้หนึ่งเข้ามาทักทายหานอี้หลงอย่างถือวิสาสะ“คารวะใต้เท้าหาน...ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วมีเรื่องพู
บทที่ 13 กระอักกระอ่วนหยางชิวเหยากำสองมือแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือให้ความเจ็บแต่กลับมิเท่ากับหัวใจของนางในเวลานี้ สายตาจ้องมองตอบกลับจางลู่เหวินอย่างนึกเจ็บปวดและขุ่นเคือง “ข้ามีสิ่งใดต้องเสียดายกันเล่า ในเมื่อท่านกับข้ามิได้ข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว”คำพูดประชดประชันและถากถางยิ่งกรีดลึกเข้าไปกลางใจของจางลู่เหวิน เขาถือวิสาสะยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้านวลของหยางชิวเหยาราวกับแกะน้อยในเกามือราชสีห์“หึ...หึ...” จางลู่เหวินแค่นหัวเราะออกมาอย่างนึกสะเทือนใจ “ชิวเหยา...เจ้าช่างเลือดเย็นมิเปลี่ยนแปลงไปเลย...เจ้าเป็นเช่นนี้ก็ดี ข้าจะได้สนุกกับเกมครั้งนี้เสียมากหน่อย” หยางชิวเหยารีบปัดมือหนาออกจากใบหน้าของตนอย่างหวาดหวั่น คำพูดแค้นเคืองของจางลู่เหวินทำเอานางถึงกับขนลุกชันไปทั้งตัว “ลู่เหวิน...ท่านอย่าได้คิดทำอันใดกับท่านพี่เป็นอันขาด ข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่” “ท่านพี่งั้นหรือ...ดูท่าเจ้ากับใต้เท้าหานจะรักใคร่กันดียิ่งนัก ข้าชักอยากรู้แล้วว่าหัวใจรักของเจ้าเป็นเช่นใดกัน” จางลู่เหวินใบหน้าเข้มขึ้นในทันทีที่ได้ยินหยางชิวเหยาปกป้องสามีของนางเช่นนี้ “ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว...ท่านพี่
บทที่ 14 เคลือบแคลงใจหานอี้หลงกุมมือของหยางชิวเหยาเอาไว้แน่น เขาลากจูงนางออกจากงานเลี้ยงพร้อมตรงขึ้นรถม้าไปในทันที ทั้งสองยังคงนั่งนิ่งอยู่ภายในรถม้าด้วยความคิดที่สับสนและวุ่นวายใจหยางชิวเหยาเบือนหน้าหลบสายตาของหานอี้หลงอย่างรู้สึกยากลำบากใจ ในขณะที่หานอี้หลงก็คอยชำเลืองมองหยางชิวเหยาอย่างต้องการลอบสังเกตอาการของนางด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ทั้งคู่นิ่งเงียบกันไปอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งรถม้าจอดเทียบที่หน้าจวนสกุลหาน หานอี้หลงเข้าประคองร่างของหยางชิวเหยาก้าวลงจากรถม้าด้วยท่าทางที่สงบนิ่งราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองกลับเข้ามาถึงในเรือนนอน หยางชิวเหยาก็ทำเพียงหยิบชุดลำลองมาให้หานอี้หลง พร้อมผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาเฉกเช่นเคย สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉยมีแต่เพียงสายตาที่ดูเหม่อลอยอย่างมิอาจปิดบัง“เหยาเอ๋อร์...เจ้ามีสิ่งใดปิดบังข้าหรือไม่” หานอี้หลงกลั้นใจกล่าวถามออกมาด้วยความใคร่รู้เป็นอันมาก ความอึดอัดใจที่มีตลอดระยะเวลาดังกล่าวทำให้เขามิอาจข่มกลั้นความเคลือบแคลงนี้เอาไว้ได้อีกหยางชิวเหยาชะงักค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบสายตาของหานอี้หลง และเบือนหน้าหนีสายตาที่จ้องจับผิดคู่นั
บทที่ 15 ปะทะฝีปากท้องพระโรงในวันนี้ยังคงมีความตึงเครียดเฉกเช่นเคย หัวข้อที่กำลังถกเถียงกันยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการงานก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำในเมืองเตียงอัน หานอี้หลงยื่นฎีกาถวายแก่หงจูเหลียง เมื่อเขาได้อ่านฎีกาดังกล่าวก็แสดงสีหน้าบึ้งตึงและมีโทสะเป็นอันมาก หงจูเหลียงโยนฎีกาลงบนพื้นด้วยความโมโหอย่างหนัก“ใต้เท้าหาน ข้าสั่งให้เจ้าจัดการความเรียบร้อย เหตุใดจึงมีฎีกาเช่นนี้อีก”หานอี้หลงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเป็นอันมาก “กราบทูลฝ่าบาท บัดนี้เหล่าชาวบ้านต่างไม่พอใจเกี่ยวกับเงินเบี้ยหวัดที่ได้รับ ดังนั้นหม่อมฉันจึงอยากทูลเสนอให้เพิ่มเบี้ยหวัดแก่พวกเขาเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ” หานอี้หลงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในการก่อสร้างครั้งนี้ต้องเกณฑ์ผู้คนเป็นจำนวนมาก เบี้ยหวัดที่ได้รับจัดสรรจึงแจกจ่ายไม่เพียงพอต่อจำนวนชาวบ้านที่มี หานอี้หลงที่เล็งเห็นความสำคัญของเขื่อนกั้นน้ำที่จะช่วยมิให้เกิดน้ำท่วมแก่เมืองเตียงอันและเมืองข้างเคียงจนลุกลามปัญหามาสู่เมืองหลวงได้ เขาจึงตัดสินใจยื่นฎีกาดังกล่าวแม้จะถูกทัดทานมากเพียงใดก็ตาม“เหลวไหลสิ้นดี เจ้าคิดว่าเงินท้องพระคลังมีจำนวนม
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน
บทที่ 58 ตัดสัมพันธ์หานอี้หลงและหยางชิวเหยาดึงรั้งขัดขืนกันไปมาอย่างอลหม่าน ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทันใดนั้นบานประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง จางลู่เหวินปรากฏกายขึ้นตรงด้านหน้าพร้อมกับสายตาที่คุกรุ่นราวกับเปลวไฟ “หานอี้หลง...เจ้า...”จางลู่เหวินตวาดออกมาด้วยความเดือดดาลก่อนจะปรี่เข้ามากระชากตัวหานอี้หลงออกห่างจากหยางชิวเหยาอย่างรุนแรง ตามมาด้วยกำปั้นหนักที่ซัดเข้าหน้าของหานอี้หลงจนร่างของเขาเซถลาถอยหลังไปกระแทกกับขอบโต๊ะ“หานอี้หลง...เจ้าช่างต่ำช้ายิ่งนัก” จางลู่เหวินตวาดด้วยน้ำเสียงกร้าว สองมือกำหมัดแน่น สายตาคมดุดันของเขาจ้องมองหานอี้หลงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะหันไปหาหยางชิวเหยาที่อยู่ด้านหลัง “ชิวเหยา...เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”หยางชิวเหยาน้ำตาเอ่อล้นออกมาอาบแก้มแต่นางก็ทำเพียงส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอื้อฉาวอันใดขึ้นมาอีกหานอี้หลงทรงตัวยืนขึ้นอีกครั้ง มือหนายกขึ้นกุมแก้มที่บวมแดงจากแรงชก แต่สายตายังคงจ้องจางลู่เหวินด้วยความคั่งแค้น ในขณะที่สายตากลับทอดมองหยางชิวเหยาด้วยความเจ็บปวดและนึกน้อยใจยิ่งนัก “จางลู่เหวิน...เจ้ายังกล้ามาพูดเช่นนี้กับข้าหรือ...เจ้าเป็นคนพราก
บทที่ 57 ข้ารักเจ้าตลาดในยามสายคึกคักด้วยเสียงผู้คนที่เดินสวนกัน เสียงหัวเราะของเด็กเล็กผสานกับเสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขาย กลิ่นหอมของอาหารทอดลอยมาตามลม ชวนให้ผู้คนหยุดมองหาแหล่งที่มาของกลิ่น ร่มผ้าหลากสีปกคลุมแผงลอย เรียงรายไปตามถนนหินกรวดที่สะอาดสะอ้านและเปล่งประกายเมื่อแสงแดดตกกระทบหยางชิวเหยากำลังเลือกดูผ้าแพรพรรณจากร้านค้าที่มีชื่อในเมืองหลวง นางตั้งใจตัดเย็บชุดใหม่ให้จางลู่เหวินผลัดเปลี่ยนเสียบ้าง หยางชิวเหยาใส่ชุดผ้าแพรบางเบาสีฟ้าครามที่ทำให้นางดูโดดเด่นกว่าใครในหมู่ลูกค้าทั้งหลาย นางดูงดงามราวกับบุปผาที่หมู่มวลภมรต่างหมายปองดอมดม ดวงตาคู่งามกวาดมองพับผ้าที่เถ้าแก่เนี้ยพยายามแนะนำด้วยรู้ดีว่าการค้าครั้งนี้ย่อมหมายถึงกำไรอันมากโข หยางชิวเหยาจ้องมองผืนผ้าพร้อมยกมือขึ้นลูบสัมผัสไปทีละผืนอย่างใส่ใจ“เหยาเอ๋อร์” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง หยางชิวเหยาชะงักค้างก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียกดังกล่าวหานอี้หลงหยุดยืนอยู่ด้านหลังของหยางชิวเหยา พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขาสวมใส่ชุดสีขาวปักลายเมฆสีน้ำเงินที่ทำให้ดูภูมิฐานและสง่างามอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าคมค
บทที่ 56 ตบแต่งฮูหยินรองข่าวการตกแต่งฮูหยินรองเข้าจวนสกุลหานแพร่กระจายออกไปอีกครั้ง พร้อมกับงานแต่งที่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว จวนสกุลหานถูกประดับประดาอย่างงดงาม เสียงขลุ่ยและกลองดังสนั่นหวั่นไหว ขุนนางต่างพากันมาร่วมแสดงความยินดี ทว่ากลับมีเสียงโจษจันขึ้นในเรื่องการแต่งงานที่กะทันหันและไล่เลี่ยกันเช่นนี้ รวมถึงเสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหานอี้หลงและหงอวิ๋นชิวในเวลานี้หานอี้หลงยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่หงอวิ๋นชิวกลับแสดงสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นเรื่องยินดีเพิ่มขึ้น นางมิได้มีความรู้สึกฉันชายหญิงกับหานอี้หลงแม้แต่น้อย ตราบใดที่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของตนยังคงมั่นคงอยู่ ดังนั้นการรับเจียงอันเล่อเข้ามาเป็นฮูหยินรองของจวนหรือแม้กระทั่งหญิงสาวคนใดเข้ามาในจวนก็มิได้ทำให้นางรู้สึกสะเทือนใจอันใด แต่เพราะหงอวิ๋นชิวนั้นมีความฉลาดอยู่มากทำให้นางรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเจียงอันเล่อนั้นนับเป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานของหานอี้หลงในการแย่งชิงอำนาจในอนาคตอันใกล้นี้ นั่นยิ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับตนยิ่งนักเจียงอันเล่อในชุดเจ้าสาวสีแดงสด ก้าวลงจากเกี้ยวด้วยรอยยิ้มหวานอย่างรู้สึกมีความส