บทที่ 10 แม่ทัพคนใหม่
ภายในท้องพระโรงของแคว้นเจี้ยนเต็มไปด้วยความตึงเครียด หานอี้หลงรายงานความคืบหน้าของงานก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำในเมืองเตียงอันที่อยู่ข้างเคียงด้วยท่าทีที่เคร่งเครียด ปัญหาการก่อสร้างที่ขลุกขลักมากกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ฮ่องเต้หงจูเหลียงถึงกับหัวเสียขึ้นมาในทันที หานอี้หลงถูกตำหนิเป็นอันมากจนแทบจะเข้าหน้าหงจูเหลียงไม่ติด
“ขอประทานอภัยฝ่าบาท...หม่อมฉันจะเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงเป็นกังวลพระทัย”
“เจ้ารีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ข้ามิต้องการได้ยินคำแก้ตัวใดอีก” หงจูเหลียงตวาดออกมาในทันที
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หานอี้หลงได้แต่รับคำด้วยความรู้สึกตึงเครียดและกดดัน
หลังจากนั้นการประชุมราชกิจก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งเวลาล่วงเลยอย่างยาวนาน ก่อนที่หงจูเหลียงผู้กุมอำนาจใหญ่ในแคว้นเจี้ยนได้หันไปหาขันทีคู่ใจอย่างให้สัญญาณ
“เชิญใต้เท้าจางลู่เหวินเข้าเฝ้า” เสียงขันทีประกาศดังก้องไปทั่วท้องพระโรง
จางลู่เหวินก้าวเท้าเข้ามาภายในท้องพระโรงด้วยท่าทางที่สุขุมและเยือกเย็น หน้าตาคมคายแต่กลับดูแข็งกร้าว ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่แข็งแรงจากการเคี่ยวกรำในศึกสงครามมาอย่างนับไม่ถ้วน
สายตาคมกริบของจางลู่เหวินปรายตามองไปยังหานอี้หลงเพียงชั่วแวบหนึ่งก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาหานอี้หลงถึงกับขมวดคิ้วอย่างรู้สึกแปลกประหลาดใจกับท่าทีดังกล่าว สัญชาตญาณของเขาบ่งบอกอยู่ในที ว่าการปรากฏตัวของจางลู่เหวินนั้นมิใช่มีท่าทีเยี่ยงมิตรเป็นแน่
“ข้าน้อยจางลู่เหวิน ขอถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์จงพระเจริญยิ่งยืนนาน” จางลู่เหวินคุกเข่าลงตรงหน้าหงจูเหลียงพร้อมก้มลงคำนับอย่างนอบน้อม
“เจ้าลุกขึ้นเถิด” หงจูเหลียงกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มที่เย็นเยือกจนให้ความรู้สึกสะท้านไปทั่วทั้งท้องพระโรง
“ด้วยผลงานการรบที่ได้รับชัยชนะจากการทำศึกที่ผ่านมาของจางลู่เหวิน...ฮ่องเต้มีราชโองการ แต่งตั้งจางลู่เหวินให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น ประทานกองทัพสี่หมื่นนาย จวนสกุลจางหนึ่งหลัง พร้อมหีบทองสิบหีบเป็นรางวัลในครั้งนี้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” จางลู่เหวินโขกศีรษะลงกับพื้น ก่อนจะลุกขึ้นรับราชโองการดังกล่าว
สิ้นเสียงของขันทีที่ประกาศก้องกับการแต่งตั้งจางลู่เหวินเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นสร้างความตกตะลึงให้แก่ขุนนางน้อยใหญ่เป็นอันมาก ขุนนางในท้องพระโรงต่างกระซิบกระซาบถึงการปรากฏตัวของเขา ไม่เพียงแต่เพราะตำแหน่งที่สูงส่งดังกล่าว แต่จางลู่เหวินกลับเป็นเพียงบุรุษนิรนามที่มิเคยมีผู้ใดได้ยินชื่อเสียงมาก่อน แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้หงจูเหลียงเป็นอย่างมากอีกด้วย
จางลู่เหวินยังคงยืนด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง แววตาแข็งกร้าวของเขากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทั้งสิ้น
“แม่ทัพจาง...ต่อไปเจ้าก็เข้าร่วมประชุมในราชสำนักนับแต่นี้เถิด” หงจูเหลียงกล่าวในทันทีที่เริ่มได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังกล่าว เขากล่าวตัดบทอย่างต้องการแสดงอำนาจให้ผู้คนได้เห็นว่าจางลู่เหวินนั้นได้รับความโปรดปรานจากเขาอย่างที่ทุกคนคาดเดากันถูกต้องแล้ว
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” จางลู่เหวินกล่าวเสียงหนักแน่นและมั่นคง
หงจูเหลียงยิ้มบางออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมกับโบกมือให้จางลู่เหวินไปยืนด้านข้าง ในตอนนี้ทุกคนต่างจับจ้องไปที่จางลู่เหวินอย่างระแวดระวัง บางคนก็แฝงไปด้วยความสงสัย บางคนก็มองเขาด้วยความริษยา ในขณะที่บางคนก็พยายามขบคิดถึงการเข้าหาขั้วอำนาจใหม่ตรงหน้าอย่างรู้งาน แต่ถึงกระนั้นกลับมิมีผู้ใดกล้ากล่าวคำทัดทานออกมาอย่างเปิดเผยให้เป็นที่ขัดหูขัดตาแก่หงจูเหลียง
“ในเมื่อท่านแม่ทัพจางเพิ่งกลับจากศึกสงคราม เช่นนั้นข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าในฐานะวีรบุรุษแห่งแคว้น” หงจูเหลียงยังคงเอ่ยปากจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อเป็นการเสริมอำนาจและบารมีให้กับจางลู่เหวินอย่างมิปิดบังพร้อมเชิญขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้อีกด้วย
“เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน” หงจูเหลียงกล่าวจบ ก็สะบัดกายเดินออกจากท้องพระโรงไป
ภายหลังจากหงจูเหลียงออกจากท้องพระโรงแล้ว เสียงเซ็งแซ่ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
จางลู่เหวินมิได้สนใจเสียงนกเสียงกาอันใด เขาทำเพียงหันกายเดินออกจากท้องพระโรงไปด้วยท่าทางสงบนิ่งเฉกเช่นเดิม
หานอี้หลงมองตามจางลู่เหวินที่เดินออกไปด้วยความรู้สึกหวาดระแวงเพิ่มมากขึ้น ความวิตกกังวลฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาอย่างมิอาจปิดบัง แม้เขาจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นซึ่งมิค่อยข้องเกี่ยวกับขุนนางฝ่ายบู๊มากสักเท่าใดนัก แต่ท่าทีของจางลู่เหวินกลับทำให้เขาอดนึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างช่วยมิได้
ในขณะที่หานอี้หลงก้าวเดินออกจากวังหลวง พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับจางลู่เหวินที่ยืนตระหง่านดังกำลังรอคอยใครบางคนอยู่
เมื่อหานอี้หลงเดินผ่านจางลู่เหวิน เขาจึงทำตามมารยาทอย่างมิอาจหลบเลี่ยง “ยินดีกับท่านแม่ทัพด้วย”
จางลู่เหวินยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตร “ต่อไปพวกเราคงได้พบกันอีกหลายครา...ข้าคงต้องรบกวนให้ใต้เท้าหานชี้แนะแล้ว”
คำพูดที่ดูมีเลศนัยทำให้หานอี้หลงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เขายังคงเก็บอาการไว้อย่างมั่นคง “หามิได้ ข้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ท่านเป็นขุนนางฝ่ายบู๊จะมีสิ่งใดให้ข้าชี้แนะเล่า”
“ได้ยินมาว่าฮูหยินของท่านช่างงดงามยิ่งนัก ท่านทั้งสองรักใคร่ผูกพันสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก หากวันหน้าข้าได้เห็นกับตาคงนับเป็นวาสนายิ่ง”
หานอี้หลงถึงกับขมวดคิ้วกับคำสนทนาดังกล่าว “แม่ทัพจางกล่าวเกินจริงเสียแล้ว ข้าทั้งสองเป็นเพียงสามีภรรยาคู่หนึ่งมิได้นับว่าพิเศษอันใด”
“หึ...หึ...” จางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาพร้อมสายตาที่ดูหม่นหมองลงไป ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างแฝงความเคืองแค้นอยู่ในที “เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
จางลู่เหวินเดินจากมาโดยมิรอให้หานอี้หลงกล่าวคำอำลา เขาก้าวเท้าขึ้นบนรถม้า ก่อนจะปรายสายตาจ้องมองหานอี้หลงอีกครั้ง “ชิวเหยา...ข้ากลับมาแล้ว...ด้ายแดงที่ผูกพันเจ้ากับข้า...ข้าย่อมมิยอมปล่อยวางเป็นแน่”
บทที่ 11 งานเลี้ยงหานอี้หลงกลับมายังจวนในเวลาพลบค่ำด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด เขาเดินเข้ามาภายในห้องพร้อมนั่งลงที่เก้าอี้กลางห้องอย่างรู้สึกเหนื่อยอ่อน หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยื่นมือไปบีบนวดให้เขาอย่างเอาใจ“ท่านพี่วันนี้มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ...ข้าเห็นท่านทำสีหน้าเคร่งเครียดอยู่เป็นนาน”หานอี้หลงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เขาดึงแขนของหยางชิวเหยามานั่งที่ด้านข้างพร้อมจ้องมองใบหน้านวลอย่างมิคิดจะเบื่อหน่าย ดวงตาสุกสกาวตรงหน้าทำให้ความเหนื่อยล้าที่มีลดทอนลงไปเป็นอันมาก“งานของข้าก็วุ่นวายเช่นนี้อยู่เป็นประจำ เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไปเลย” หานอี้หลงพูดพลางปรบมือเบาๆ ไปที่มือบางอย่างมิต้องการให้นางกลัดกลุ้มไปด้วย“ท่านก็อย่าเคร่งเครียดมากนักเลย ท่านพี่เก่งกล้าสามารถ ปัญหาต้องคลายลงไปได้แน่”คำกล่าวเยินยอของหญิงคนรักทำเอาหานอี้หลงถึงกับยิ้มไม่หุบ “ฮูหยินของข้าปากหวานเช่นนี้ ข้าจะหนีรอดจากเจ้าไปได้เช่นใดกัน”เมื่อหานอี้หลงกลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง ทำเอาหยางชิวเหยาถึงกับค้อนขวับเข้าให้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ทั้งสายตาและคำพูดกรุ้มกริ่มของเขาก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิมมิเปลี่ยนไปเลยหานอี้หลงห
บทที่ 12 เผชิญหน้าขณะที่งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างครึกครื้น จางลู่เหวินกลับทำเพียงยกสุราเข้าปากอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาของเขายังคงจ้องมองไปที่หยางชิวเหยาไม่หยุด แม้จะมีเสียงพูดคุยจากคนรอบข้างแต่ความสนใจของเขากลับไม่เคยลดน้อยลงไปจากนางเลยแม้แต่น้อย คิ้วหนาเข้มขมวดเป็นปมอย่างเคร่งเครียด ยิ่งได้เห็นท่าทางเอาอกเอาใจของหยางชิวเหยาที่มีต่อหานอี้หลงก็ยิ่งทำให้เขาแทบอยากลุกไปฉุดกระชากนางออกจากงานเลี้ยงโดยทันทีหยางชิวเหยารู้สึกถึงการจับจ้องดังกล่าวจนนางรู้สึกอึดอัดอย่างมิอาจห้าม ความรู้สึกสับสนประเดประดังเข้ามาภายในหัวของนางอย่างไม่หยุดหย่อน ด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นจนแทบเอ่อทะลักออกมาทำให้หยางชิวเหยานึกอยากจะหลีกหนีออกจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจเช่นนี้“ท่านพี่...ข้าขอตัวสักครู่” หยางชิวเหยากล่าวออกมาอย่างมิอาจข่มกลั้น“เจ้าจะไปที่ใด...ให้ข้าไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่” หานอี้หลงหันมามองหยางชิวเหยาอย่างเพ่งพิจ ความรู้สึกกังวลฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าอย่างนึกห่วงนางจับใจหยางชิวเหยายังมิทันตอบสิ่งใด จู่ๆก็มีขุนนางผู้หนึ่งเข้ามาทักทายหานอี้หลงอย่างถือวิสาสะ“คารวะใต้เท้าหาน...ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วมีเรื่องพู
บทที่ 13 กระอักกระอ่วนหยางชิวเหยากำสองมือแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือให้ความเจ็บแต่กลับมิเท่ากับหัวใจของนางในเวลานี้ สายตาจ้องมองตอบกลับจางลู่เหวินอย่างนึกเจ็บปวดและขุ่นเคือง “ข้ามีสิ่งใดต้องเสียดายกันเล่า ในเมื่อท่านกับข้ามิได้ข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว”คำพูดประชดประชันและถากถางยิ่งกรีดลึกเข้าไปกลางใจของจางลู่เหวิน เขาถือวิสาสะยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้านวลของหยางชิวเหยาราวกับแกะน้อยในเกามือราชสีห์“หึ...หึ...” จางลู่เหวินแค่นหัวเราะออกมาอย่างนึกสะเทือนใจ “ชิวเหยา...เจ้าช่างเลือดเย็นมิเปลี่ยนแปลงไปเลย...เจ้าเป็นเช่นนี้ก็ดี ข้าจะได้สนุกกับเกมครั้งนี้เสียมากหน่อย” หยางชิวเหยารีบปัดมือหนาออกจากใบหน้าของตนอย่างหวาดหวั่น คำพูดแค้นเคืองของจางลู่เหวินทำเอานางถึงกับขนลุกชันไปทั้งตัว “ลู่เหวิน...ท่านอย่าได้คิดทำอันใดกับท่านพี่เป็นอันขาด ข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่” “ท่านพี่งั้นหรือ...ดูท่าเจ้ากับใต้เท้าหานจะรักใคร่กันดียิ่งนัก ข้าชักอยากรู้แล้วว่าหัวใจรักของเจ้าเป็นเช่นใดกัน” จางลู่เหวินใบหน้าเข้มขึ้นในทันทีที่ได้ยินหยางชิวเหยาปกป้องสามีของนางเช่นนี้ “ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว...ท่านพี่
บทที่ 14 เคลือบแคลงใจหานอี้หลงกุมมือของหยางชิวเหยาเอาไว้แน่น เขาลากจูงนางออกจากงานเลี้ยงพร้อมตรงขึ้นรถม้าไปในทันที ทั้งสองยังคงนั่งนิ่งอยู่ภายในรถม้าด้วยความคิดที่สับสนและวุ่นวายใจหยางชิวเหยาเบือนหน้าหลบสายตาของหานอี้หลงอย่างรู้สึกยากลำบากใจ ในขณะที่หานอี้หลงก็คอยชำเลืองมองหยางชิวเหยาอย่างต้องการลอบสังเกตอาการของนางด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ทั้งคู่นิ่งเงียบกันไปอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งรถม้าจอดเทียบที่หน้าจวนสกุลหาน หานอี้หลงเข้าประคองร่างของหยางชิวเหยาก้าวลงจากรถม้าด้วยท่าทางที่สงบนิ่งราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองกลับเข้ามาถึงในเรือนนอน หยางชิวเหยาก็ทำเพียงหยิบชุดลำลองมาให้หานอี้หลง พร้อมผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาเฉกเช่นเคย สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉยมีแต่เพียงสายตาที่ดูเหม่อลอยอย่างมิอาจปิดบัง“เหยาเอ๋อร์...เจ้ามีสิ่งใดปิดบังข้าหรือไม่” หานอี้หลงกลั้นใจกล่าวถามออกมาด้วยความใคร่รู้เป็นอันมาก ความอึดอัดใจที่มีตลอดระยะเวลาดังกล่าวทำให้เขามิอาจข่มกลั้นความเคลือบแคลงนี้เอาไว้ได้อีกหยางชิวเหยาชะงักค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบสายตาของหานอี้หลง และเบือนหน้าหนีสายตาที่จ้องจับผิดคู่นั
บทที่ 15 ปะทะฝีปากท้องพระโรงในวันนี้ยังคงมีความตึงเครียดเฉกเช่นเคย หัวข้อที่กำลังถกเถียงกันยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการงานก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำในเมืองเตียงอัน หานอี้หลงยื่นฎีกาถวายแก่หงจูเหลียง เมื่อเขาได้อ่านฎีกาดังกล่าวก็แสดงสีหน้าบึ้งตึงและมีโทสะเป็นอันมาก หงจูเหลียงโยนฎีกาลงบนพื้นด้วยความโมโหอย่างหนัก“ใต้เท้าหาน ข้าสั่งให้เจ้าจัดการความเรียบร้อย เหตุใดจึงมีฎีกาเช่นนี้อีก”หานอี้หลงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเป็นอันมาก “กราบทูลฝ่าบาท บัดนี้เหล่าชาวบ้านต่างไม่พอใจเกี่ยวกับเงินเบี้ยหวัดที่ได้รับ ดังนั้นหม่อมฉันจึงอยากทูลเสนอให้เพิ่มเบี้ยหวัดแก่พวกเขาเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ” หานอี้หลงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในการก่อสร้างครั้งนี้ต้องเกณฑ์ผู้คนเป็นจำนวนมาก เบี้ยหวัดที่ได้รับจัดสรรจึงแจกจ่ายไม่เพียงพอต่อจำนวนชาวบ้านที่มี หานอี้หลงที่เล็งเห็นความสำคัญของเขื่อนกั้นน้ำที่จะช่วยมิให้เกิดน้ำท่วมแก่เมืองเตียงอันและเมืองข้างเคียงจนลุกลามปัญหามาสู่เมืองหลวงได้ เขาจึงตัดสินใจยื่นฎีกาดังกล่าวแม้จะถูกทัดทานมากเพียงใดก็ตาม“เหลวไหลสิ้นดี เจ้าคิดว่าเงินท้องพระคลังมีจำนวนม
บทที่ 16 รื้อฟื้นหานอี้หลงกลับมาที่จวนด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดฟุ้งซ่าน เขาเดินเข้ามาภายในเรือนก็พบกับหยางชิวเหยาที่กำลังนั่งปักเย็บถุงหอมอยู่หยางชิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองหานอี้หลง นางสังเกตเห็นสีหน้าที่มิสู้ดีมากนักจึงเดินเข้าไปประคองแขนมานั่งที่เก้าอี้ด้านข้างนาง“ท่านพี่...ท่านดูเหน็ดเหนื่อยนะเจ้าคะ” หยางชิวเหยาพูดพลาง สองมือก็รินน้ำชายื่นยกให้เขาอย่างเอาใจหานอี้หลงถอนหายใจออกมาขจัดความฟุ้งซ่านในใจออกไป ก่อนจะยิ้มบางให้หยางชิวเหยา พร้อมรับน้ำชาขึ้นมาจิบ“เหยาเอ๋อร์...เจ้าทำอันใดอยู่หรือ” หานอี้หลงเปลี่ยนบทสนทนาขึ้นมาสอบถามนางอย่างสนใจหยางชิวเหยายื่นถุงหอมให้หานอี้หลงชม “ถุงหอมนี่ข้าตั้งใจปักเย็บให้ท่านเอาไว้พกติดกาย”หานอี้หลงยิ้มกว้างขึ้นมาในทันที “เจ้าช่างดีนัก” เขายกมือขึ้นลูบศีรษะนางด้วยความเอ็นดู ก่อนสายตาจะพลันสังเกตเห็นปิ่นปักผมเล่มหนึ่งที่ดูเรียบง่ายและแสนธรรมดา เขานึกขึ้นได้ว่าหยางชิวเหยามักชอบปักปิ่นเล่มนี้อยู่เป็นประจำ“เหยาเอ๋อร์...ปิ่นปักเล่มนี้ข้าเห็นเจ้าใช้มานานแล้ว เอาไว้ข้าจะหาซื้อปิ่นปักเล่มใหม่ให้เจ้าดีหรือไม่” หานอี้หลงนึกอยากตอบแทนน้ำใจให้กับหยางชิวเหยาบ้าง ปิ่นปัก
บทที่ 17 ทวงสิทธิ์หยางชิวเหยาอุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง หานอี้หลงยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าของนาง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดจนแทบจะเป็นปมเข้าหากัน“เหยาเอ๋อร์...เจ้ามาทำอันใดที่นี่” หานอี้หลงกล่าวถามด้วยความแปลกใจ สภาพของหยางชิวเหยาที่วิ่งออกมาจากห้องด้านข้างดูมีท่าทางลุกลี้ลุกลน อีกทั้งผมเผ้ายังหลุดลุ่ยจนเป็นที่ผิดสังเกตหยางชิวเหยายังไม่ทันได้ตอบสิ่งใดออกมา จางลู่เหวินก็เดินตามออกมาจากห้องนั้นเช่นกัน หานอี้หลงหันมองหน้าจางลู่เหวินที่เดินออกจากห้องในเวลาไล่เลี่ยกับฮูหยินของตนก็แทบจะกระอักเลือดตรงหน้า ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะจ้องมองจางลู่เหวินด้วยความโกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก “พวกเจ้า...”จางลู่เหวินเห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาด้วยความเจ้าเล่ห์ มือหนึ่งยกขึ้นลูบริมฝีปากที่บัดนี้มีรอยแดงปื้นปรากฏบนแก้มของเขาเล็กน้อยหยางชิวเหยาแทบอยากกลั้นใจตายตรงหน้า หรือไม่ก็มุดตัวดำดินหนีหายออกจากสถานการณ์ที่น่าคลุมเครือเช่นนี้ นางได้แต่เม้มปากแน่นอย่างไม่รู้จะแก้ต่างให้ตนเองเช่นใด“คารวะใต้เท้าหาน ช่างบังเอิญยิ่งนัก” จางลู่เหวินกล่าวทำลายความเงียบตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกวนประสาทออกมาหานอี้
บทที่ 18 ตัวแทนหานอี้หลงเดินโซซัดโซเซออกจากห้องด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง เขาตรงไปยังเรือนรับรองที่อยู่ด้านข้างก่อนจะสั่งให้สาวใช้นำสุราเข้ามาให้ตนโม่ป่ายหรูยกขวดสุราเข้ามาภายในห้องนอนที่บัดนี้หานอี้หลงกำลังนั่งคอตกที่ด้านข้างเตียงด้วยความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก นางคุกเข่าลงตรงหน้าหานอี้หลงพร้อมรินสุรายื่นให้กับเขาอย่างประจบเอาใจ“นายท่าน...สุราเจ้าค่ะ”เสียงอ่อนหวานพร้อมกับสายตาที่ชม้ายชายตามายังหานอี้หลง ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองโม่ป่ายหรู ก่อนจะตวัดมือคว้าขวดสุรายกเทเข้าปาก สุราเป็นสายไหลรินเข้าปากหกเลอะไปตามลำคอและชายเสื้อจนเปรอะเปื้อนไปทั่วโม่ป่ายหรูรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับสุราตรงบริเวณแผงอกของหานอี้หลงอย่างรวดเร็วหานอี้หลงใช้มือข้างหนึ่งสะบัดมือของโม่ป่ายหรูออกจากกายของตนอย่างนึกรำคาญ “ออกไป...ออกไปเดี๋ยวนี้”เสียงตวาดทำเอาโม่ป่ายหรูถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าของหานอี้หลงด้วยท่าทางตัวสั่นงันงก “ขออภัยนายท่าน...บ่าวเพียงต้องการรับใช้นายท่านเท่านั้น”หานอี้หลงแค่นยิ้มออกมาอย่างนึกสังเวชใจ เขาเชยคางของโม่ป่ายหรูขึ้นมามองอย่างเพ่งพินิจ สายตาที่เศร้าหมองจับจ้องของหญิงสาวตรงห
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน
บทที่ 58 ตัดสัมพันธ์หานอี้หลงและหยางชิวเหยาดึงรั้งขัดขืนกันไปมาอย่างอลหม่าน ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทันใดนั้นบานประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง จางลู่เหวินปรากฏกายขึ้นตรงด้านหน้าพร้อมกับสายตาที่คุกรุ่นราวกับเปลวไฟ “หานอี้หลง...เจ้า...”จางลู่เหวินตวาดออกมาด้วยความเดือดดาลก่อนจะปรี่เข้ามากระชากตัวหานอี้หลงออกห่างจากหยางชิวเหยาอย่างรุนแรง ตามมาด้วยกำปั้นหนักที่ซัดเข้าหน้าของหานอี้หลงจนร่างของเขาเซถลาถอยหลังไปกระแทกกับขอบโต๊ะ“หานอี้หลง...เจ้าช่างต่ำช้ายิ่งนัก” จางลู่เหวินตวาดด้วยน้ำเสียงกร้าว สองมือกำหมัดแน่น สายตาคมดุดันของเขาจ้องมองหานอี้หลงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะหันไปหาหยางชิวเหยาที่อยู่ด้านหลัง “ชิวเหยา...เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”หยางชิวเหยาน้ำตาเอ่อล้นออกมาอาบแก้มแต่นางก็ทำเพียงส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอื้อฉาวอันใดขึ้นมาอีกหานอี้หลงทรงตัวยืนขึ้นอีกครั้ง มือหนายกขึ้นกุมแก้มที่บวมแดงจากแรงชก แต่สายตายังคงจ้องจางลู่เหวินด้วยความคั่งแค้น ในขณะที่สายตากลับทอดมองหยางชิวเหยาด้วยความเจ็บปวดและนึกน้อยใจยิ่งนัก “จางลู่เหวิน...เจ้ายังกล้ามาพูดเช่นนี้กับข้าหรือ...เจ้าเป็นคนพราก
บทที่ 57 ข้ารักเจ้าตลาดในยามสายคึกคักด้วยเสียงผู้คนที่เดินสวนกัน เสียงหัวเราะของเด็กเล็กผสานกับเสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขาย กลิ่นหอมของอาหารทอดลอยมาตามลม ชวนให้ผู้คนหยุดมองหาแหล่งที่มาของกลิ่น ร่มผ้าหลากสีปกคลุมแผงลอย เรียงรายไปตามถนนหินกรวดที่สะอาดสะอ้านและเปล่งประกายเมื่อแสงแดดตกกระทบหยางชิวเหยากำลังเลือกดูผ้าแพรพรรณจากร้านค้าที่มีชื่อในเมืองหลวง นางตั้งใจตัดเย็บชุดใหม่ให้จางลู่เหวินผลัดเปลี่ยนเสียบ้าง หยางชิวเหยาใส่ชุดผ้าแพรบางเบาสีฟ้าครามที่ทำให้นางดูโดดเด่นกว่าใครในหมู่ลูกค้าทั้งหลาย นางดูงดงามราวกับบุปผาที่หมู่มวลภมรต่างหมายปองดอมดม ดวงตาคู่งามกวาดมองพับผ้าที่เถ้าแก่เนี้ยพยายามแนะนำด้วยรู้ดีว่าการค้าครั้งนี้ย่อมหมายถึงกำไรอันมากโข หยางชิวเหยาจ้องมองผืนผ้าพร้อมยกมือขึ้นลูบสัมผัสไปทีละผืนอย่างใส่ใจ“เหยาเอ๋อร์” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง หยางชิวเหยาชะงักค้างก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียกดังกล่าวหานอี้หลงหยุดยืนอยู่ด้านหลังของหยางชิวเหยา พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขาสวมใส่ชุดสีขาวปักลายเมฆสีน้ำเงินที่ทำให้ดูภูมิฐานและสง่างามอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าคมค
บทที่ 56 ตบแต่งฮูหยินรองข่าวการตกแต่งฮูหยินรองเข้าจวนสกุลหานแพร่กระจายออกไปอีกครั้ง พร้อมกับงานแต่งที่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว จวนสกุลหานถูกประดับประดาอย่างงดงาม เสียงขลุ่ยและกลองดังสนั่นหวั่นไหว ขุนนางต่างพากันมาร่วมแสดงความยินดี ทว่ากลับมีเสียงโจษจันขึ้นในเรื่องการแต่งงานที่กะทันหันและไล่เลี่ยกันเช่นนี้ รวมถึงเสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหานอี้หลงและหงอวิ๋นชิวในเวลานี้หานอี้หลงยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่หงอวิ๋นชิวกลับแสดงสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นเรื่องยินดีเพิ่มขึ้น นางมิได้มีความรู้สึกฉันชายหญิงกับหานอี้หลงแม้แต่น้อย ตราบใดที่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของตนยังคงมั่นคงอยู่ ดังนั้นการรับเจียงอันเล่อเข้ามาเป็นฮูหยินรองของจวนหรือแม้กระทั่งหญิงสาวคนใดเข้ามาในจวนก็มิได้ทำให้นางรู้สึกสะเทือนใจอันใด แต่เพราะหงอวิ๋นชิวนั้นมีความฉลาดอยู่มากทำให้นางรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเจียงอันเล่อนั้นนับเป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานของหานอี้หลงในการแย่งชิงอำนาจในอนาคตอันใกล้นี้ นั่นยิ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับตนยิ่งนักเจียงอันเล่อในชุดเจ้าสาวสีแดงสด ก้าวลงจากเกี้ยวด้วยรอยยิ้มหวานอย่างรู้สึกมีความส