บทที่ 15 ปะทะฝีปากท้องพระโรงในวันนี้ยังคงมีความตึงเครียดเฉกเช่นเคย หัวข้อที่กำลังถกเถียงกันยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการงานก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำในเมืองเตียงอัน หานอี้หลงยื่นฎีกาถวายแก่หงจูเหลียง เมื่อเขาได้อ่านฎีกาดังกล่าวก็แสดงสีหน้าบึ้งตึงและมีโทสะเป็นอันมาก หงจูเหลียงโยนฎีกาลงบนพื้นด้วยความโมโหอย่างหนัก“ใต้เท้าหาน ข้าสั่งให้เจ้าจัดการความเรียบร้อย เหตุใดจึงมีฎีกาเช่นนี้อีก”หานอี้หลงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเป็นอันมาก “กราบทูลฝ่าบาท บัดนี้เหล่าชาวบ้านต่างไม่พอใจเกี่ยวกับเงินเบี้ยหวัดที่ได้รับ ดังนั้นหม่อมฉันจึงอยากทูลเสนอให้เพิ่มเบี้ยหวัดแก่พวกเขาเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ” หานอี้หลงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในการก่อสร้างครั้งนี้ต้องเกณฑ์ผู้คนเป็นจำนวนมาก เบี้ยหวัดที่ได้รับจัดสรรจึงแจกจ่ายไม่เพียงพอต่อจำนวนชาวบ้านที่มี หานอี้หลงที่เล็งเห็นความสำคัญของเขื่อนกั้นน้ำที่จะช่วยมิให้เกิดน้ำท่วมแก่เมืองเตียงอันและเมืองข้างเคียงจนลุกลามปัญหามาสู่เมืองหลวงได้ เขาจึงตัดสินใจยื่นฎีกาดังกล่าวแม้จะถูกทัดทานมากเพียงใดก็ตาม“เหลวไหลสิ้นดี เจ้าคิดว่าเงินท้องพระคลังมีจำนวนม
บทที่ 16 รื้อฟื้นหานอี้หลงกลับมาที่จวนด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดฟุ้งซ่าน เขาเดินเข้ามาภายในเรือนก็พบกับหยางชิวเหยาที่กำลังนั่งปักเย็บถุงหอมอยู่หยางชิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองหานอี้หลง นางสังเกตเห็นสีหน้าที่มิสู้ดีมากนักจึงเดินเข้าไปประคองแขนมานั่งที่เก้าอี้ด้านข้างนาง“ท่านพี่...ท่านดูเหน็ดเหนื่อยนะเจ้าคะ” หยางชิวเหยาพูดพลาง สองมือก็รินน้ำชายื่นยกให้เขาอย่างเอาใจหานอี้หลงถอนหายใจออกมาขจัดความฟุ้งซ่านในใจออกไป ก่อนจะยิ้มบางให้หยางชิวเหยา พร้อมรับน้ำชาขึ้นมาจิบ“เหยาเอ๋อร์...เจ้าทำอันใดอยู่หรือ” หานอี้หลงเปลี่ยนบทสนทนาขึ้นมาสอบถามนางอย่างสนใจหยางชิวเหยายื่นถุงหอมให้หานอี้หลงชม “ถุงหอมนี่ข้าตั้งใจปักเย็บให้ท่านเอาไว้พกติดกาย”หานอี้หลงยิ้มกว้างขึ้นมาในทันที “เจ้าช่างดีนัก” เขายกมือขึ้นลูบศีรษะนางด้วยความเอ็นดู ก่อนสายตาจะพลันสังเกตเห็นปิ่นปักผมเล่มหนึ่งที่ดูเรียบง่ายและแสนธรรมดา เขานึกขึ้นได้ว่าหยางชิวเหยามักชอบปักปิ่นเล่มนี้อยู่เป็นประจำ“เหยาเอ๋อร์...ปิ่นปักเล่มนี้ข้าเห็นเจ้าใช้มานานแล้ว เอาไว้ข้าจะหาซื้อปิ่นปักเล่มใหม่ให้เจ้าดีหรือไม่” หานอี้หลงนึกอยากตอบแทนน้ำใจให้กับหยางชิวเหยาบ้าง ปิ่นปัก
บทที่ 17 ทวงสิทธิ์หยางชิวเหยาอุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง หานอี้หลงยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าของนาง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดจนแทบจะเป็นปมเข้าหากัน“เหยาเอ๋อร์...เจ้ามาทำอันใดที่นี่” หานอี้หลงกล่าวถามด้วยความแปลกใจ สภาพของหยางชิวเหยาที่วิ่งออกมาจากห้องด้านข้างดูมีท่าทางลุกลี้ลุกลน อีกทั้งผมเผ้ายังหลุดลุ่ยจนเป็นที่ผิดสังเกตหยางชิวเหยายังไม่ทันได้ตอบสิ่งใดออกมา จางลู่เหวินก็เดินตามออกมาจากห้องนั้นเช่นกัน หานอี้หลงหันมองหน้าจางลู่เหวินที่เดินออกจากห้องในเวลาไล่เลี่ยกับฮูหยินของตนก็แทบจะกระอักเลือดตรงหน้า ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะจ้องมองจางลู่เหวินด้วยความโกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก “พวกเจ้า...”จางลู่เหวินเห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาด้วยความเจ้าเล่ห์ มือหนึ่งยกขึ้นลูบริมฝีปากที่บัดนี้มีรอยแดงปื้นปรากฏบนแก้มของเขาเล็กน้อยหยางชิวเหยาแทบอยากกลั้นใจตายตรงหน้า หรือไม่ก็มุดตัวดำดินหนีหายออกจากสถานการณ์ที่น่าคลุมเครือเช่นนี้ นางได้แต่เม้มปากแน่นอย่างไม่รู้จะแก้ต่างให้ตนเองเช่นใด“คารวะใต้เท้าหาน ช่างบังเอิญยิ่งนัก” จางลู่เหวินกล่าวทำลายความเงียบตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกวนประสาทออกมาหานอี้
บทที่ 18 ตัวแทนหานอี้หลงเดินโซซัดโซเซออกจากห้องด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง เขาตรงไปยังเรือนรับรองที่อยู่ด้านข้างก่อนจะสั่งให้สาวใช้นำสุราเข้ามาให้ตนโม่ป่ายหรูยกขวดสุราเข้ามาภายในห้องนอนที่บัดนี้หานอี้หลงกำลังนั่งคอตกที่ด้านข้างเตียงด้วยความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก นางคุกเข่าลงตรงหน้าหานอี้หลงพร้อมรินสุรายื่นให้กับเขาอย่างประจบเอาใจ“นายท่าน...สุราเจ้าค่ะ”เสียงอ่อนหวานพร้อมกับสายตาที่ชม้ายชายตามายังหานอี้หลง ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองโม่ป่ายหรู ก่อนจะตวัดมือคว้าขวดสุรายกเทเข้าปาก สุราเป็นสายไหลรินเข้าปากหกเลอะไปตามลำคอและชายเสื้อจนเปรอะเปื้อนไปทั่วโม่ป่ายหรูรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับสุราตรงบริเวณแผงอกของหานอี้หลงอย่างรวดเร็วหานอี้หลงใช้มือข้างหนึ่งสะบัดมือของโม่ป่ายหรูออกจากกายของตนอย่างนึกรำคาญ “ออกไป...ออกไปเดี๋ยวนี้”เสียงตวาดทำเอาโม่ป่ายหรูถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าของหานอี้หลงด้วยท่าทางตัวสั่นงันงก “ขออภัยนายท่าน...บ่าวเพียงต้องการรับใช้นายท่านเท่านั้น”หานอี้หลงแค่นยิ้มออกมาอย่างนึกสังเวชใจ เขาเชยคางของโม่ป่ายหรูขึ้นมามองอย่างเพ่งพินิจ สายตาที่เศร้าหมองจับจ้องของหญิงสาวตรงห
บทที่ 19 แต่งตั้งอนุหยางชิวเหยาตื่นมาในตอนเช้าด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนัก ค่ำคืนที่ผ่านมานางรู้สึกผิดต่อหานอี้หลงยิ่งนัก แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบค่อนคืนหยางชิวเหยาก็ยังคงมิอาจข่มตาหลับลงไปได้จนกระทั่งเกือบรุ่งสางหยางชิวเหยาลุกขึ้นจากเตียงโดยตั้งใจจะไปหาหานอี้หลงเพื่อขอโทษและปรับความเข้าใจกับเขาอีกครั้งในระหว่างนั้นเสี่ยวเว่ยก็รีบสาวเท้าเข้ามาภายในเรือนด้วยท่าทางร้อนรนใจยิ่งนัก “คุณหนู...เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวเว่ยที่มีท่าทางกระหืดกระหอบรีบโพล่งออกมาในทันที“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” หยางชิวเหยากล่าวถามด้วยความสงสัยขึ้นมา“เอ่อ...เมื่อคืน...เมื่อคืนใต้เท้าหานร่วมหลับนอนกับโม่ป่ายหรูเจ้าค่ะ” เสี่ยวเว่ยรีบรายงานนายหญิงของตนในทันที นางชำเลืองมองหยางชิวเหยาด้วยความเป็นห่วงความรู้สึกของนายหญิงของตนหยางชิวเหยาชะงักค้างไปเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว นางเม้มปากแน่นด้วยความรู้สึกที่หลากหลายก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เวลานี้ท่านพี่สบายดีหรือไม่”“คุณหนู...” เสี่ยวเว่ยรีบร้องประท้วงออกมาในทันที นางมิเข้าใจว่าเหตุใดนายหญิงของตนยังคงสงบนิ่งอยู่ได้เช่นนี้ แม้ว่าเดิมทีนายหญิงต้อ
บทที่ 20 ปั้นปึ่งนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา หานอี้หลงก็มิได้ย่างกรายมาที่เรือนของหยางชิวเหยาอีกเลย หยางชิวเหยาแม้รู้สึกผิดยิ่งนักแต่เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นนางมิอาจควบคุมอันใดได้ หยางชิวเหยาจึงยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติเฉกเช่นเคยเสี่ยวเว่ยเสียอีกที่ได้แต่ร้อนใจกับท่าทีเหินห่างของคนทั้งคู่ นางรีบปรี่เข้ามาทักท้วงนายหญิงของตนอย่างรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก “คุณหนู...ท่านจะมัวนิ่งเฉยเช่นนี้หรอกหรือ...เวลานี้ใต้เท้าหานเอาแต่คลุกตัวอยู่กับโม่ป่ายหรู หากท่านปล่อยไว้เช่นนี้ ข้าเกรงว่า...”“หยุดเถิดเสี่ยวเว่ย...เจ้าไม่ต้องพูดสิ่งใดอีก ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” คำสั่งอันเด็ดขาดทำให้เสี่ยวเว่ยได้แต่หน้าเจื่อนไป นางเพียงย่อตัวก่อนจะหันกายเดินออกจากห้องด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งอย่างไม่พอใจนักหยางชิวเหยาทอดถอนหายใจออกมาอีกครั้ง สองมือกุมถุงหอมที่นางตระเตรียมไว้ให้หานอี้หลงด้วยความรู้สึกชั่งใจเป็นอันมากความรู้สึกสับสนภายในใจทำให้นางมิกล้าแม้แต่จะเอ่ยปากทักท้วงสิ่งใดออกมา หากนางเพียงมีใจให้หานอี้หลงแม้แต่เพียงเล็กน้อย นางคงลุกขึ้นคัดค้านเรื่องดังกล่าวอย่างหัวชนฝา แต่ทว่าหัวใจของนางกลับมิอาจตอบรับน้ำใจของหานอี้หลงไปได้
บทที่ 21 คืนของคำพูดและแววตาของหานอี้หลงในวันนี้ทำเอาหยางชิวเหยาถึงกับนอนไม่หลับเลยทีเดียว ความสิ้นหวังที่หานอี้หลงแสดงออกมาต่อหน้านางทำเอาหยางชิวเหยาถึงกับเจ็บร้าวไปทั้งร่างกายหลังจากพลิกกายไปมาอยู่บนเตียงนอนอย่างมิอาจข่มตาหลับ หยางชิวเหยาก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะจุดเทียนให้ห้องส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง ในอีกสองวันจะเป็นงานเทศกาลโคมลอย หยางชิวเหยาอยากใช้โอกาสนี้ปรับความเข้าใจกับหานอี้หลงอีกครั้งหยางชิวเหยาตัดสินใจแล้วที่จะเปิดใจให้กับหานอี้หลง ความรักที่มีแต่เก่าก่อนถึงเวลาที่นางควรลืมเสียให้หมดสิ้นไปจากใจเสียที เมื่อคิดได้เช่นนั้นหยางชิวเหยาจึงบรรจงจรดปลายพู่กันเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่งเพื่อนัดหมายหานอี้หลงไปพบกันที่ริมฝั่งน้ำในคืนเทศกาลโคมลอยดังกล่าวเมื่อหยางชิวเหยาเขียนจดหมายเสร็จ นางก็ยกยิ้มขึ้นมาด้วยความหวังว่าต่อไปชีวิตของนางและหานอี้หลงจะกลับมาสุขสงบอีกครั้งหนึ่งวันเทศกาลโคมลอยมาถึง หยางชิวเหยารีบแต่งกายด้วยชุดที่เตรียมตัดเย็บขึ้นมาใหม่ หานอี้หลงยังคงไม่กลับมาที่จวน นางจึงให้คนส่งจดหมายฉบับดังกล่าวไปให้เขายังที่ว่าการหลังจากสำรวจตนเองจนเป็นที่เรียบร้อย หยางชิวเหยาก็ข
บทที่ 22 แตกสลายหานอี้หลงยืนตัวแข็งทื่อจ้องมองหยางชิวเหยา หญิงสาวที่ตนรักกอดรัดกับจางลู่เหวินในสถานที่ที่นางนัดเขามาพบ ภาพดังกล่าวบาดตาบาดใจเกินกว่าที่เขาจะทนรับได้ แม้หานอี้หลงจะพยายามหลอกตนเองอยู่หลายครั้ง แต่บัดนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นแจ่มชัดจนยากที่ตนเองจะปฏิเสธได้อีกเดิมทีที่หานอี้หลงได้รับจดหมายฉบับดังกล่าว หัวใจของเขาพองโตขึ้นด้วยความหวังอันล้นปรี่ หานอี้หลงเร่งรีบเดินทางมายังสถานที่นัดพบด้วยความตื่นเต้นและดีใจเป็นอันมาก แต่สุดท้ายเขากลับพบหยางชิวเหยากำลังพลอดรักอยู่กับคนรักเก่าของนางและคนผู้นั้นก็คือจางลู่เหวิน ชายหนุ่มที่เขามิถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็นนั่นเองหานอี้หลงสะบัดกายหันหลังกลับพร้อมน้ำตาที่เอ่อคลอออกมา หัวใจของเขาแตกสลายไปชั่วพริบตาเมื่อความสิ้นหวังเข้าครอบคลุมจิตใจจนหมดสิ้น เขาไม่อาจทนรับความจริงที่แสนเจ็บปวดนี้ได้อีกต่อไปร่างกายที่ซวนเซเดินไปตามถนนที่ทอดยาวอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งถึงโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง หานอี้หลงตรงเข้าไปด้านในก่อนจะสั่งสุรามาเป็นจำนวนมาก “เสี่ยวเอ้อ...เอาเหล้ามาให้ข้า”หานอี้หลงยกขวดสุราขึ้นกรอกปากจนแทบจะหมดขวด สุราเอ่อนองไหลรดไปตามลำคอจนหกเลอะค
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน
บทที่ 58 ตัดสัมพันธ์หานอี้หลงและหยางชิวเหยาดึงรั้งขัดขืนกันไปมาอย่างอลหม่าน ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทันใดนั้นบานประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง จางลู่เหวินปรากฏกายขึ้นตรงด้านหน้าพร้อมกับสายตาที่คุกรุ่นราวกับเปลวไฟ “หานอี้หลง...เจ้า...”จางลู่เหวินตวาดออกมาด้วยความเดือดดาลก่อนจะปรี่เข้ามากระชากตัวหานอี้หลงออกห่างจากหยางชิวเหยาอย่างรุนแรง ตามมาด้วยกำปั้นหนักที่ซัดเข้าหน้าของหานอี้หลงจนร่างของเขาเซถลาถอยหลังไปกระแทกกับขอบโต๊ะ“หานอี้หลง...เจ้าช่างต่ำช้ายิ่งนัก” จางลู่เหวินตวาดด้วยน้ำเสียงกร้าว สองมือกำหมัดแน่น สายตาคมดุดันของเขาจ้องมองหานอี้หลงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะหันไปหาหยางชิวเหยาที่อยู่ด้านหลัง “ชิวเหยา...เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”หยางชิวเหยาน้ำตาเอ่อล้นออกมาอาบแก้มแต่นางก็ทำเพียงส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอื้อฉาวอันใดขึ้นมาอีกหานอี้หลงทรงตัวยืนขึ้นอีกครั้ง มือหนายกขึ้นกุมแก้มที่บวมแดงจากแรงชก แต่สายตายังคงจ้องจางลู่เหวินด้วยความคั่งแค้น ในขณะที่สายตากลับทอดมองหยางชิวเหยาด้วยความเจ็บปวดและนึกน้อยใจยิ่งนัก “จางลู่เหวิน...เจ้ายังกล้ามาพูดเช่นนี้กับข้าหรือ...เจ้าเป็นคนพราก
บทที่ 57 ข้ารักเจ้าตลาดในยามสายคึกคักด้วยเสียงผู้คนที่เดินสวนกัน เสียงหัวเราะของเด็กเล็กผสานกับเสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขาย กลิ่นหอมของอาหารทอดลอยมาตามลม ชวนให้ผู้คนหยุดมองหาแหล่งที่มาของกลิ่น ร่มผ้าหลากสีปกคลุมแผงลอย เรียงรายไปตามถนนหินกรวดที่สะอาดสะอ้านและเปล่งประกายเมื่อแสงแดดตกกระทบหยางชิวเหยากำลังเลือกดูผ้าแพรพรรณจากร้านค้าที่มีชื่อในเมืองหลวง นางตั้งใจตัดเย็บชุดใหม่ให้จางลู่เหวินผลัดเปลี่ยนเสียบ้าง หยางชิวเหยาใส่ชุดผ้าแพรบางเบาสีฟ้าครามที่ทำให้นางดูโดดเด่นกว่าใครในหมู่ลูกค้าทั้งหลาย นางดูงดงามราวกับบุปผาที่หมู่มวลภมรต่างหมายปองดอมดม ดวงตาคู่งามกวาดมองพับผ้าที่เถ้าแก่เนี้ยพยายามแนะนำด้วยรู้ดีว่าการค้าครั้งนี้ย่อมหมายถึงกำไรอันมากโข หยางชิวเหยาจ้องมองผืนผ้าพร้อมยกมือขึ้นลูบสัมผัสไปทีละผืนอย่างใส่ใจ“เหยาเอ๋อร์” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง หยางชิวเหยาชะงักค้างก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียกดังกล่าวหานอี้หลงหยุดยืนอยู่ด้านหลังของหยางชิวเหยา พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขาสวมใส่ชุดสีขาวปักลายเมฆสีน้ำเงินที่ทำให้ดูภูมิฐานและสง่างามอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าคมค
บทที่ 56 ตบแต่งฮูหยินรองข่าวการตกแต่งฮูหยินรองเข้าจวนสกุลหานแพร่กระจายออกไปอีกครั้ง พร้อมกับงานแต่งที่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว จวนสกุลหานถูกประดับประดาอย่างงดงาม เสียงขลุ่ยและกลองดังสนั่นหวั่นไหว ขุนนางต่างพากันมาร่วมแสดงความยินดี ทว่ากลับมีเสียงโจษจันขึ้นในเรื่องการแต่งงานที่กะทันหันและไล่เลี่ยกันเช่นนี้ รวมถึงเสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหานอี้หลงและหงอวิ๋นชิวในเวลานี้หานอี้หลงยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่หงอวิ๋นชิวกลับแสดงสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นเรื่องยินดีเพิ่มขึ้น นางมิได้มีความรู้สึกฉันชายหญิงกับหานอี้หลงแม้แต่น้อย ตราบใดที่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของตนยังคงมั่นคงอยู่ ดังนั้นการรับเจียงอันเล่อเข้ามาเป็นฮูหยินรองของจวนหรือแม้กระทั่งหญิงสาวคนใดเข้ามาในจวนก็มิได้ทำให้นางรู้สึกสะเทือนใจอันใด แต่เพราะหงอวิ๋นชิวนั้นมีความฉลาดอยู่มากทำให้นางรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเจียงอันเล่อนั้นนับเป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานของหานอี้หลงในการแย่งชิงอำนาจในอนาคตอันใกล้นี้ นั่นยิ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับตนยิ่งนักเจียงอันเล่อในชุดเจ้าสาวสีแดงสด ก้าวลงจากเกี้ยวด้วยรอยยิ้มหวานอย่างรู้สึกมีความส