บทที่ 23 ข้ายินดีร่วมหอกับท่านในช่วงเช้าสายของวันหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความปวดหัวอย่างรุนแรง ฤทธิ์สุราที่สะสมในร่างกายทำให้เขาถึงกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมศีรษะ เขาพยายามขยับตัวลุกขึ้นแต่ก็พบว่ามืออีกข้างถูกกอบกุมไว้โดยมือบางหยางชิวเหยาฟุบหลับลงที่ด้านข้างของเตียง สองมือบางยังคงกอบกุมมือหนาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย หานอี้หลงทอดสายตามองหยางชิวเหยาตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสนและวุ่นวายใจ เขานึกอยากจะกระชากนางเข้ามาหาพร้อมระบายโทสะที่มีในใจใส่นางให้หมดสิ้น แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าที่หลับตาพริ้มกับท่าทางที่ดูไม่สบายนักที่ต้องนั่งในท่านั้นเกือบทั้งคืนก็ทำให้หัวใจของเขาอ่อนวูบลงไปหานอี้หลงยกมือขึ้นลูบไล้ไปที่ใบหน้าของหยางชิวเหยา “ข้าควรทำเช่นใดกัน”ในขณะนั้นหยางชิวเหยาขยับกายตื่นขึ้น เมื่อเห็นว่าหานอี้หลงตื่นอยู่ก่อนแล้ว นางก็รีบประคองร่างของหานอี้หลงลุกขึ้นในทันที “ท่านพี่...ท่านเป็นเช่นใดบ้าง”หยางชิวเหยารีบลุกขึ้นเตรียมรินน้ำชามาให้หานอี้หลง แต่เพราะความขบเมื่อยและจังหวะที่นางลุกอย่างรวดเร็ว ทำให้หยางชิวเหยาถึงกับซวนเซไปเล็กน้อยหานอี้หลงรีบปรี่เข้ามาประคองร่างของหยางชิวเหยาด้วยความห่วงใย แม้เขา
บทที่ 24 จับกุมหานอี้หลงรีบเร่งเดินทางไปยังวังหลวงด้วยท่าทางและอารมณ์ที่แจ่มใส คำพูดของหยางชิวเหยายังคงดังกึกก้องในหัวของเขาไม่หยุดหย่อน รอยยิ้มกว้างปรากฏชัดขึ้นบนใบหน้าอย่างมิอาจปิดบังเมื่อหานอี้หลงเดินเข้ามาในท้องพระโรง เขาคุกเข่าลงตรงหน้าหงจูเหลียงอย่างนอบน้อม “ถวายพระพรฝ่าบาท”หงจูเหลียงกลับมีใบหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด “ลุกขึ้นเถิด”จากนั้นจึงหันไปหาขันทีข้างกาย “เรียกตัวแม่ทัพจาง”จางลู่เหวินก้าวเท้าเข้ามาภายในท้องพระโรงด้วยท่าทางที่มุ่งมั่น หานอี้หลงหันไปสบตากับจางลู่เหวินที่เป็นศัตรูหัวใจด้วยแววตาขุ่นเคืองยิ่งนัก“ฝ่าบาทเรียกหม่อมฉันเข้าเฝ้ามีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” หานอี้หลงเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัยเมื่อภายในท้องพระโรงกลับมีเพียงหงจูเหลียงและจางลู่เหวินเท่านั้น“แม่ทัพจาง...ท่านมีอะไรจะกล่าวก็ว่ามา” หงจูเหลียงมิได้ตอบคำถามหานอี้หลง เขาเพียงหันไปหาจางลู่เหวินแทนอย่างลำบากใจ“ทูลฝ่าบาท...หม่อมฉันพบหลักฐานเรื่องใต้เท้าหานฉ้อโกงเงินเสบียงคลังพ่ะย่ะค่ะ” จางลู่เหวินกล่าวพร้อมยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้หงจูเหลียงในทันที“เหลวไหล...เจ้าพูดสิ่งใดออกมา...ข้ารับใช้ฝ่าบาทด้วยความภักดี..
บทที่ 25 คุมขังภายในคุกหลวงอันมืดทึบและอับชื้น แสงสว่างลอดผ่านลงมาเพียงเล็กน้อย หานอี้หลงนั่งลงอยู่ที่มุมห้องด้วยความคิดอันสับสน ใบหน้าที่เคยเกลี้ยงเกลาบัดนี้เต็มไปด้วยหนวดเคราขึ้นเป็นบริเวณเขียวครึ้ม ผมเผ้ายาวหลุดลุ่ยปรกเสื้อผ้าที่สกปรกมอมแมมหานอี้หลงยังคงนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิดและเมื่อเขาได้มีเวลาไตร่ตรองและพิจารณาเรื่องราวอย่างถ้วนถี่ก็ได้ตระหนักว่านี่เป็นแผนการร้ายของจางลู่เหวินที่ต้องการทำลายตน แต่สิ่งที่หานอี้หลงยังคงขบคิดอย่างไม่ตกนั่นคือท่าทีของหงจูเหลียง ตระกูลหานต่างรับใช้ราชสำนักด้วยความซื่อสัตย์เสมอมา เรื่องดังกล่าวต่างเป็นที่ประจักษ์แจ้ง แต่เหตุใดองค์ฮ่องเต้กลับหูเบาเชื่อคำของจางลู่เหวินโดยง่ายอย่างมิคิดจะไต่สวนอันใดหานอี้หลงได้แต่ทอดถอนใจออกมา ในใจได้แต่กลัดกลุ้มและเป็นห่วงหยางชิวเหยาที่อยู่ภายนอก ค่ำคืนที่พวกเขาทั้งสองต่างคิดจะร่วมเรียงเคียงหมอนกัน บัดนี้ได้พลันสลายลงไปในพริบตาหานอี้หลงหายตัวไปนับจากวันที่เดินทางเข้าวังเป็นเวลากว่าห้าวันแล้ว หยางชิวเหยาได้แต่ร้อนใจจนแทบนั่งไม่ติด นางพยายามสอบถามกับขุนนางต่างๆ ที่พอรู้จักอยู่บ้างแต่กลับมิมีใครทราบเรื่องของหานอี้หลงแม
บทที่ 26 ข้อเสนอจางลู่เหวินยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากด้วยท่าทางยั่วยวนกวนประสาทพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างต้องการยั่วยุหยางชิวเหยา“ลู่เหวิน...ข้ามิได้มีเวลามาล้อเล่นกับเจ้า...ข้าต้องการพบท่านพี่” หยางชิวเหยาเชิดหน้าพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเข้ม“คุกหลวงมิใช่สถานที่ที่เจ้าจะเข้าออกได้โดยง่าย” จางลู่เหวินพูดพร้อมยกมือขึ้นลูบไล้เส้นผมของนางอย่างหยอกเย้า“ท่านเลิกเล่นลิ้นกับข้าได้แล้ว...ปล่อยตัวท่านพี่ของข้าเดี๋ยวนี้” หยางชิวเหยาปัดมือหนาออกห่างจากตัว นางแทบอยากปรี่เข้าไปทุบตีจางลู่เหวินอีกสักหนให้หายเจ็บแค้น แต่เพราะเรี่ยวแรงของนางมิอาจสู้เขาได้ อีกทั้งที่ผ่านมาก็เป็นนางที่มักถูกฉวยโอกาสโดยมิอาจขัดขืนอยู่เสมอ หยางชิวเหยาจึงได้แต่ข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้“ชิวเหยา...ในเมื่อเจ้าต้องการให้ข้าปล่อยตัวสามีของเจ้า...เรื่องเช่นนั้นข้าย่อมทำได้” จางลู่เหวินชะงักพร้อมมองหน้าหยางชิวเหยาอย่างเป็นต่อ “แต่ว่า...ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”หยางชิวเหยาที่เดิมทีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นกลับต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมา “เงื่อนไขอันใดของท่าน”จางลู่เหวินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงกระซิบข้าง
บทที่ 27 หนังสือหย่าในวันต่อมาหยางชิวเหยานำตะกร้าอาหารที่นางลงมือทำเองกับมือพร้อมกับม้วนกระดาษฉบับหนึ่งเดินทางมายังเรือนของจางลู่เหวิน ใบหน้าที่เรียบเฉยกลับฉายแววตาที่ดูเศร้าหมองยิ่งนัก“ชิวเหยา...เจ้ามาเร็วยิ่งนัก...ดูท่าเจ้าจะรีบร้อนกว่าที่ข้าคิด” จางลู่เหวินกล่าวคำทักทายที่ชวนให้รู้สึกโกรธขึ้งขึ้นมาในทันที“แม่ทัพจาง...ท่านเลิกเล่นลิ้นกับข้าได้แล้ว...เชิญท่านนำทางเสียเถิด” หยางชิวเหยาตอบกลับด้วยท่าทางที่ดูเหินห่าง คำกล่าวขานในอดีตแปรเปลี่ยนเป็นคำเรียกขานอย่างเป็นทางการและถือตัวจางลู่เหวินพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดกับคำกล่าวนั้น แต่เขาจำเป็นต้องอดทนอย่างไม่ต้องการให้เสียเรื่อง ในเมื่อเขาเฝ้ารอคอยนางมาถึงห้าปีเต็ม แค่เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น ขอเพียงเขาได้นางกลับคืนมา จางลู่เหวินเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะสามารถรื้อฟื้นและกลับคืนความรักที่มีดังเดิมให้จงได้หยางชิวเหยานั่งนิ่งไปตลอดทาง ใบหน้าที่เชิดและมองตรงไปด้านหน้าอย่างมิได้สนใจบุรุษที่นั่งด้านข้างนางแม้แต่น้อย สองมือบางกอบกุมตะกร้าเอาไว้แน่นราวกับเป็นสิ่งของหวงแหนที่กลัวใครจะแย่งชิงไป“ชิวเหยา...เจ้ามิคิดจะพูดจาอันใดกับข้าหรือ”
บทที่ 28 คั่งแค้นหยางชิวเหยายกมือขึ้นเกาะกุมลำแขนของหานอี้หลงเอาไว้แน่น “ท่านพี่...นี่เป็นหนทางเดียวที่ข้าจะช่วยท่านได้” นางตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“เหลวไหล...ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด...เหยาเอ๋อร์...เจ้าอย่าได้กังวลใจไป ฮ่องเต้รับสั่งจะตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง หากความจริงปรากฏข้าย่อมถูกปล่อยตัวในไม่ช้า” หานอี้หลงเกาะกุมลำแขนของหยางชิวเหยาเอาไว้แน่น พร้อมกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่ร้อนรนแต่ยังคงเชื่อมั่นในความจริงที่เขามิได้กระทำเรื่องผิดอันใดหยางชิวเหยาน้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง พร้อมกับส่ายหน้าไปมา “ท่านพี่...ข้าเชื่อท่าน...ข้าเชื่อว่าท่านจะมิมีวันทำเรื่องเช่นนั้น...แต่ว่า...” หานอี้หลงยังมิทันได้กล่าวสิ่งใดออกมา จางลู่เหวินก็ก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องขังพร้อมดึงร่างของหยางชิวเหยาเข้ามายืนด้านข้างของตนอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ“เจ้า...เจ้าคนต่ำช้า...เจ้าใส่ความข้า...ข้าจะต้องเอาเรื่องเจ้าให้ถึงที่สุด” หานอี้หลงที่เห็นจางลู่เหวินตรงหน้าก็บันดาลโทสะขึ้น เขาชี้หน้าจางลู่เหวินด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาแดงก่ำจ้องมองศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเคียดแค้นที่ฝังแน่นในใจจางลู่เหวินยกยิ้มขึ้นมาอย่างคนที่
บทที่ 29 งานแต่งงานแต่งงานของหยางชิวเหยาและจางลู่เหวินถูกประกาศขึ้นอย่างกะทันหันและฉุกละหุก สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้คนเป็นจำนวนมาก ฎีกาถูกถวายขึ้นร้องเรียนการกระทำดังกล่าวอย่างไม่ขาดสายภายในท้องพระโรงที่มีบรรยากาศเคร่งเครียดอย่างยิ่ง จางลู่เหวินยังคงยืนนิ่งด้วยท่าทางผ่าเผยไร้ความกังวลใจอันใด ใบหน้าของเขายังเรียบเฉยและไม่สะทกสะท้านต่อสายตาของเหล่าขุนนางที่จับจ้องเขาอย่างไม่วางตา“เรียนฝ่าบาท...เรื่องงานแต่งงานของแม่ทัพจางและ...เอ่อ...อดีตฮูหยินหานนั้น หม่อมฉันเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมยิ่งนัก อีกทั้งหลายวันมานี้ใต้เท้าหานก็มิได้ออกมานอกจวน ซ้ำยังมิได้เข้าเฝ้าตามปกติที่เคยพ่ะย่ะค่ะ”“ใต้เท้า...เรื่องข้าแต่งงานหาใช่ธุระอันใดของใครไม่” จางลู่เหวินหันไปกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบต่ำแต่กลับเน้นต่ำอย่างไม่สบอารมณ์“แม่ทัพจาง...เดิมทีฮูหยินหานนั้นมิได้มีข่าวคราวเรื่องการหย่าร้างมาก่อน บัดนี้อยู่ๆ ท่านก็แจ้งว่าข่าวแต่งงานอย่างกะทันหัน หนำซ้ำใต้เท้าหานเองก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องนี้แม้เป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน แต่ความขัดแย้งของขุนนางย่อมสร้างความระคายเคืองต่อฝ่าบาทได้” ใต้เท้าคนดังกล่
บทที่ 30 เข้าหอเสียงประทัดดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณถึงงานพิธีที่เสร็จสิ้นลง หานอี้หลงทรุดกายลงกับพื้นด้วยความสิ้นหวังอย่างแรง น้ำตาไหลซึมจากปลายหางตาพร้อมใบหน้าที่ดูซีดเซียว ดวงตาหม่นแสงลงราวกับความหวังและความฝันที่พังครืนลงตรงหน้าอย่างไร้ซึ่งหนทางไปต่อได้พ่อบ้านพยายามเข้ามาพยุงร่างของหานอี้หลงอีกครั้งแต่เขากลับสะบัดมือจากการเหนี่ยวรั้ง สายตายังคงจับจ้องไปที่ประตูจวนอย่างเฝ้ารอคอยอยู่เช่นเดิมด้วยความหวังอันริบหรี่หลังจากพิธีเสร็จสิ้น หยางชิวเหยาถูกพาตัวไปยังเรือนนอนที่ตระเตรียมเอาไว้ ใบหน้าของนางราบเรียบไร้ซึ่งความรู้สึกอันใด สองมือบีบเคล้นกันไปมาด้วยความคิดในหัวของนาง หยางชิวเหยายังคงนั่งนิ่งเงียบโดยมิได้ปริปากอันใด ส่งผลให้เสี่ยวเว่ยรู้สึกหวาดหวั่นใจและเป็นห่วงนายหญิงของตนยิ่งนักในขณะที่จางลู่เหวินเมื่อเสร็จสิ้นพิธี เขาคำนับแขกเหรื่อที่มาในงานเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหันไปหาองครักษ์ข้างกาย พร้อมเร่งฝีเท้าไปยังด้านหน้าจวนซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเสียอารมณ์ในงานแต่งงานอันน่ายินดีเช่นนี้จางลู่เหวินก้าวเท้าเข้ามายืนตรงหน้าของหานอี้หลงที่บัดนี้ยังคงนั่งนิ่งอยู่ด้านหน้าจวนอย่างหมดสภาพ
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน
บทที่ 58 ตัดสัมพันธ์หานอี้หลงและหยางชิวเหยาดึงรั้งขัดขืนกันไปมาอย่างอลหม่าน ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทันใดนั้นบานประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง จางลู่เหวินปรากฏกายขึ้นตรงด้านหน้าพร้อมกับสายตาที่คุกรุ่นราวกับเปลวไฟ “หานอี้หลง...เจ้า...”จางลู่เหวินตวาดออกมาด้วยความเดือดดาลก่อนจะปรี่เข้ามากระชากตัวหานอี้หลงออกห่างจากหยางชิวเหยาอย่างรุนแรง ตามมาด้วยกำปั้นหนักที่ซัดเข้าหน้าของหานอี้หลงจนร่างของเขาเซถลาถอยหลังไปกระแทกกับขอบโต๊ะ“หานอี้หลง...เจ้าช่างต่ำช้ายิ่งนัก” จางลู่เหวินตวาดด้วยน้ำเสียงกร้าว สองมือกำหมัดแน่น สายตาคมดุดันของเขาจ้องมองหานอี้หลงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะหันไปหาหยางชิวเหยาที่อยู่ด้านหลัง “ชิวเหยา...เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”หยางชิวเหยาน้ำตาเอ่อล้นออกมาอาบแก้มแต่นางก็ทำเพียงส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอื้อฉาวอันใดขึ้นมาอีกหานอี้หลงทรงตัวยืนขึ้นอีกครั้ง มือหนายกขึ้นกุมแก้มที่บวมแดงจากแรงชก แต่สายตายังคงจ้องจางลู่เหวินด้วยความคั่งแค้น ในขณะที่สายตากลับทอดมองหยางชิวเหยาด้วยความเจ็บปวดและนึกน้อยใจยิ่งนัก “จางลู่เหวิน...เจ้ายังกล้ามาพูดเช่นนี้กับข้าหรือ...เจ้าเป็นคนพราก
บทที่ 57 ข้ารักเจ้าตลาดในยามสายคึกคักด้วยเสียงผู้คนที่เดินสวนกัน เสียงหัวเราะของเด็กเล็กผสานกับเสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขาย กลิ่นหอมของอาหารทอดลอยมาตามลม ชวนให้ผู้คนหยุดมองหาแหล่งที่มาของกลิ่น ร่มผ้าหลากสีปกคลุมแผงลอย เรียงรายไปตามถนนหินกรวดที่สะอาดสะอ้านและเปล่งประกายเมื่อแสงแดดตกกระทบหยางชิวเหยากำลังเลือกดูผ้าแพรพรรณจากร้านค้าที่มีชื่อในเมืองหลวง นางตั้งใจตัดเย็บชุดใหม่ให้จางลู่เหวินผลัดเปลี่ยนเสียบ้าง หยางชิวเหยาใส่ชุดผ้าแพรบางเบาสีฟ้าครามที่ทำให้นางดูโดดเด่นกว่าใครในหมู่ลูกค้าทั้งหลาย นางดูงดงามราวกับบุปผาที่หมู่มวลภมรต่างหมายปองดอมดม ดวงตาคู่งามกวาดมองพับผ้าที่เถ้าแก่เนี้ยพยายามแนะนำด้วยรู้ดีว่าการค้าครั้งนี้ย่อมหมายถึงกำไรอันมากโข หยางชิวเหยาจ้องมองผืนผ้าพร้อมยกมือขึ้นลูบสัมผัสไปทีละผืนอย่างใส่ใจ“เหยาเอ๋อร์” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง หยางชิวเหยาชะงักค้างก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียกดังกล่าวหานอี้หลงหยุดยืนอยู่ด้านหลังของหยางชิวเหยา พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขาสวมใส่ชุดสีขาวปักลายเมฆสีน้ำเงินที่ทำให้ดูภูมิฐานและสง่างามอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าคมค
บทที่ 56 ตบแต่งฮูหยินรองข่าวการตกแต่งฮูหยินรองเข้าจวนสกุลหานแพร่กระจายออกไปอีกครั้ง พร้อมกับงานแต่งที่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว จวนสกุลหานถูกประดับประดาอย่างงดงาม เสียงขลุ่ยและกลองดังสนั่นหวั่นไหว ขุนนางต่างพากันมาร่วมแสดงความยินดี ทว่ากลับมีเสียงโจษจันขึ้นในเรื่องการแต่งงานที่กะทันหันและไล่เลี่ยกันเช่นนี้ รวมถึงเสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหานอี้หลงและหงอวิ๋นชิวในเวลานี้หานอี้หลงยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่หงอวิ๋นชิวกลับแสดงสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นเรื่องยินดีเพิ่มขึ้น นางมิได้มีความรู้สึกฉันชายหญิงกับหานอี้หลงแม้แต่น้อย ตราบใดที่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของตนยังคงมั่นคงอยู่ ดังนั้นการรับเจียงอันเล่อเข้ามาเป็นฮูหยินรองของจวนหรือแม้กระทั่งหญิงสาวคนใดเข้ามาในจวนก็มิได้ทำให้นางรู้สึกสะเทือนใจอันใด แต่เพราะหงอวิ๋นชิวนั้นมีความฉลาดอยู่มากทำให้นางรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเจียงอันเล่อนั้นนับเป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานของหานอี้หลงในการแย่งชิงอำนาจในอนาคตอันใกล้นี้ นั่นยิ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับตนยิ่งนักเจียงอันเล่อในชุดเจ้าสาวสีแดงสด ก้าวลงจากเกี้ยวด้วยรอยยิ้มหวานอย่างรู้สึกมีความส