บทที่ 2 สมใจท่านหรือยัง
หยางชิวเหยาเมื่อเดินเข้ามาภายในจวน นางถึงกับทรุดตัวลงพร้อมก้มหน้าร้องไห้ออกมาจวนเจียนจะขาดใจ เสี่ยวเว่ยสาวใช้คู่กายของนางรีบเข้ามาประคองร่างบางเอาไว้พร้อมพยายามปลอบโยนนายหญิงของตน “คุณหนู...ท่านต้องเข้มแข็งไว้นะเจ้าคะ”
ในระหว่างนั้นหยางจ้าวเสียนฮูหยินใหญ่ของจวนสกุลหยาง และเป็นมารดาเลี้ยงของหยางชิวเหยาก็เดินกรีดกรายมาตรงด้านหน้า พร้อมมือข้างหนึ่งที่ถือพัดโบกสะบัดไปมาอย่างไม่มีทีท่าร้อนใจ
“ชิวเหยา...ในเมื่อเจ้าตัดขาดจากเจ้าคนจรผู้นั้นแล้ว เจ้าก็จงเตรียมตัวแต่งงานเสีย...สินสอดที่สกุลหานนำมามอบให้มิใช่น้อยๆ...จริงๆ เจ้าควรขอบใจข้าเสียด้วยซ้ำที่จัดหาสามีที่มีเกียรติเช่นนี้ให้เจ้าได้” หยางจ้าวเสียนพูดจีบปากจีบคอ พร้อมกล่าวอ้างอย่างลำเลิกบุญคุณ
หยางชิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองหยางจ้าวเสียนพร้อมทั้งใบหน้าที่นองน้ำตา ดวงตาที่แดงก่ำฉายแววความคับแค้นที่สุมแน่นอยู่ภายในใจ
“ข้าได้ทำตามที่ท่านต้องการแล้ว...ขอท่านจงทำตามสัญญา...อย่าได้ทำอันตรายอันใดกับลู่เหวินเป็นอันขาด” หยางชิวเหยากล่าวออกมาด้วยความเจ็บปวด
“เชอะ...คนกระจอกเช่นนั้น หากมิมาให้รกหูรกตาข้า ข้าก็มิคิดจะเกี่ยวพันอันใดให้เป็นเสนียดติดกายข้าหรอก” หยางจ้าวเสียนพูดพร้อมสะบัดหน้าอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย “เด็กๆ จัดการพาชิวเหยากลับเรือนให้เรียบร้อย อีกห้าวันข้างหน้าจะถึงงานแต่งแล้ว พวกเจ้าดูแลนางให้ดี อย่าให้มีเรื่องผิดพลาดอันใดได้เล่า” หยางจ้าวเสียนหันไปสั่งสาวใช้ก่อนจะสะบัดกายเดินจากไปโดยไม่คิดจะเหลียวมองลูกเลี้ยงตรงหน้าแม้เพียงสักนิด
หยางชิวเหยาถูกประคองกลับเรือนด้วยสภาพหมดอาลัยตายอยาก นางได้แต่นั่งเหม่อลอยพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างรู้สึกเจ็บช้ำ
“คุณหนู...เหตุใดท่านไม่บอกความจริงกับท่านจางเล่า...ทำเช่นนี้ท่านจางจะเข้าใจท่านผิดเอาได้นะเจ้าคะ” เสี่ยวเว่ยรีบท้วงขึ้นมาทันทีที่มีโอกาสอยู่กันตามลำพัง
เสี่ยวเว่ยนึกย้อนไปในตอนที่หยางชิวเหยาถูกหยางจ้าวเสียนเรียกตัวเข้าไปพบในห้องโถงใหญ่เมื่อสองวันก่อน
“ชิวเหยา...สกุลหานส่งเทียบสู่ขอเจ้ามาที่จวน ข้าตกปากรับคำสกุลหานไปแล้ว เจ้าจงเตรียมตัวแต่งงานเสีย” คำพูดของหยางจ้าวเสียนดั่งสายฟ้าฟาดเข้ามากลางใจของหยางชิวเหยาอย่างแรง
“ท่านทำเช่นนี้ได้เช่นใด ท่านก็รู้ว่าข้ารักใคร่กับลู่เหวิน ข้ามิอาจแต่งงานตามที่ท่านต้องการได้” หยางชิวเหยาตอบกลับในทันทีอย่างไม่คิดจะยอมรับการคลุมถุงชนครั้งนี้
“เพี๊ยะ...” เสียงฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าของหยางชิวเหยาอย่างเต็มแรง “เหลวไหล...เจ้านี่ช่างใฝ่ต่ำยิ่งนัก เหมือนแม่ของเจ้ามิมีผิด” หยางจ้าวเสียนตวาดออกมาอย่างสุดกลั้น นางจ้องมองหยางชิวเหยา บุตรสาวคนโตของสกุลหยางที่เกิดจากอนุอย่างรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ ถ้าไม่เป็นเพราะคนสกุลหานต้องการเกี่ยวดองกับหยางชิวเหยาแล้วละก็นางก็มิคิดจะยุ่งเกี่ยวอันใดกับหยางชิวเหยาให้รู้สึกระคายเคืองใจเป็นอันขาด ซ้ำยังอยากให้นางได้ตบแต่งกับคนจรผู้นั้นไปเสียให้พ้น แต่เพราะสกุลหานนั้นมีบารมีมากล้นในราชสำนักอีกทั้งคุณชายหานอี้หลงผู้ส่งเทียบแต่งงานมาให้ก็เป็นถึงรองเจ้ากรมโยธา หากได้เกี่ยวดองกับสกุลหานแล้วย่อมเป็นการส่งเสริมสกุลหยางให้มั่นคงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้หยางเป่าจงบุตรชายคนเดียวของนางได้รับประโยชน์จากการแต่งงานในครั้งนี้อย่างมากล้นทีเดียว
“ข้ามิได้รักใคร่กับคุณชายหาน ทั้งข้ายังได้สัญญาแต่งงานกับลู่เหวินแล้ว ขอท่านได้โปรดตัดสินใจใหม่ด้วยเถิด” หยางชิวเหยากล่าวอ้อนวอนต่อหยางจ้าวเสียน
“ข้าจะพูดกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจงไปบอกเลิกกับคนจรผู้นั้นเสีย แล้วเตรียมตัวแต่งงานตามที่ข้าสั่ง...หากเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีกละก็...เจ้าคงได้เห็นศพของคนรักเจ้านอนตายอยู่ข้างถนนเป็นแน่” หยางจ้าวเสียนยกมือขึ้นบีบคางของหยางชิวเหยาจนเกิดเป็นรอยแดงเรื่อขึ้นมา พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มฉายความอำมหิตอยู่ในที ดวงตาคมกริบจ้องมองหยางชิวเหยาอย่างข่มขู่พร้อมประกายตาที่วาววับ
“ท่าน...” หยางชิวเหยามองหน้าหยางจ้าวเสียนอย่างรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง คำพูดที่เปล่งออกมานั้นบ่งบอกมิได้เป็นเพียงแค่คำขู่ หากแต่นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหยางจ้าวเสียนนั้นทำได้จริงเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น
“ออกไปได้แล้ว เกะกะรำคาญตาข้ายิ่งนัก” หยางจ้าวเสียนขับไล่หยางชิวเหยาออกไปในทันทีอย่างรู้สึกรำคาญใจ
เสี่ยวเว่ยสะบัดหน้าขับไล่ความทรงจำในคราวก่อนออกไป ก่อนจะหันกลับมาสนใจนายหญิงของตน นางได้แต่ทอดถอนหายใจอย่างรู้สึกสงสารหยางชิวเหยา
เสี่ยวเว่ยเป็นสาวรับใช้ติดตามหยางชิวเหยาตั้งแต่ยังเล็ก แม้หยางชิวเหยาจะเป็นบุตรสาวคนโตของสกุลหยาง หากแต่เพราะนางเกิดจากอนุ ซ้ำมารดาของหยางชิวเหยาก็ได้ด่วนจากไปก่อนวัยอันควร ทำให้หยางชิวเหยานั้นมิได้รับความเหลียวแลอันใดจากใต้เท้าหยางกวงโหล ประมุขของสกุลหยาง อีกทั้งหยางจ้าวเสียน ฮูหยินใหญ่ของสกุลหยางก็นึกรังเกียจและเจ็บแค้นที่มารดาของหยางชิวเหยาที่เป็นเพียงอนุ แต่กลับได้รับความโปรดปรานอย่างมากตอนยังมีชีวิตอยู่ ซ้ำยังเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรคนแรกของสกุลหยางอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของหยางชิวเหยาในจวนแห่งนี้นั้นต้องลำบากอยู่มิใช่น้อย แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีอยู่บ้างที่หยางชิวเหยานั้นเกิดเป็นหญิงทำให้หยางจ้าวเสียนมิได้มองนางเป็นคู่แข่งกับหยางเป่าจงบุตรชายของตน หยางชิวเหยาจึงมีโอกาสใช้ชีวิตค่อนข้างอิสระพอสมควร แต่บัดนี้ชีวิตของหยางชิวเหยากลับกลายเป็นเพียงเครื่องมือในการเสริมอำนาจของสกุลหยางไปเสียแล้ว
“เสี่ยวเว่ย...ข้าจะกล่าวความจริงให้ลู่เหวินฟังได้เยี่ยงใด เจ้าก็รู้ดีแก่ใจด้วยนิสัยลู่เหวิน หากเขารู้ความจริงขึ้นมา ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตย่อมไม่ยอมปล่อยมือข้าเป็นแน่” หยางชิวเหยากล่าวออกมาอย่างรู้สึกท้อแท้และจนใจ
“เช่นนั้นท่านจะยอมแต่งงานกับคุณชายหานหรือเจ้าคะ”
“ข้ามิมีทางเลือกอื่น เพื่อชีวิตของลู่เหวินข้าเพียงยอมรับโชคชะตาดังกล่าว...หากข้าทำเช่นนี้คงสมใจท่านพ่อและฮูหยินใหญ่แล้ว”
บทที่ 3 แต่งงานแสงตะวันยามเช้าส่องผ่านม่านบางเข้ามาภายในเรือนหลังเล็ก สวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยดอกพุดซ้อนขาวสะอาดมอบกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับบรรยากาศที่กำลังอบอวลด้วยความหวานและความขมขื่นในเวลาเดียวกัน ภายในจวนถูกตกแต่งประดับประดาอย่างงดงามด้วยผ้าสีแดงสด อีกทั้งโคมไฟที่ลวดลายวิจิตรถูกจัดเตรียมไว้อย่างสมฐานะของเจ้าบ่าวผู้เป็นบุตรชายตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินหานอี้หลง เป็นบุตรชายคนเดียวของสกุลหาน บิดาของเขา หานอ้าวเว่ย เป็นเสนาบดีเจ้ากรมโยธา ในขณะที่หานอี้หลงเป็นรองเสนาบดีเจ้ากรมโยธา ด้วยหานอ้าวเว่ยนั้นมีบุตรชายค่อนข้างช้า ทำให้หานอี้หลงนั้นนับว่าเป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูล อีกทั้งหานอ้าวเว่ยก็ใกล้จะเกษียณอายุเต็มที ตำแหน่งเสนาบดีเจ้ากรมโยธานั้นอีกไม่นานย่อมตกทอดเป็นของหานอี้หลงในไม่ช้าทีเดียวหยางชิวเหยายืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องแต่งตัว นางสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดปักลวดลายด้วยไหมทอง ด้านหน้าของผ้าคลุมหน้าสีแดงสดพาดอยู่บนศีรษะ ทว่าใบหน้าของนางกลับซีดเซียวราวกับคนไร้ชีวิต ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและอ่อนล้า“คุณหนู... เอ่อ...หลังจากแต่งงาน ท่านก็จะได้เป็นฮูหยินของคุณชายหาน นับไ
บทที่ 4 คืนเข้าหอหานอี้หลงเดินเข้ามาภายในห้องหอ เขาทอดสายตามองไปยังหยางชิวเหยาด้วยความรู้สึกปลื้มปีติยิ่งนัก นับตั้งแต่คราวที่เขาได้มีโอกาสพบกับนางในงานเลี้ยงภายในวังหลวง หัวใจของเขาก็รู้สึกสั่นไหวและได้มอบหัวใจให้นางไปจนหมดสิ้นแม้หานอี้หลงจะพอรู้ข่าวคราวอยู่บ้างเรื่องหยางชิวเหยานั้นมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อเขาสืบจนแน่ใจว่าบุรุษผู้นั้นมิคู่ควรนางแม้แต่เพียงน้อย เขาจึงตัดสินใจขอร้องบิดามารดาเพื่อสู่ขอนางมาเป็นภรรยาของตนเสียหานอี้หลงนั่งลงตรงด้านข้างของหยางชิวเหยา เขาเอื้อมมือขึ้นมายกผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามของหยางชิวเหยา ดวงตาของเขาจ้องมองนางด้วยสายตาที่ลึกซึ้งและอ่อนโยนหยางชิวเหยาที่ตกใจเป็นอันมาก นางรีบลุกขึ้นพร้อมคุกเข่าลงตรงหน้าของหานอี้หลงด้วยเนื้อตัวสั่นเทา“คุณชายหาน...ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย...ข้าน้อยต่ำต้อยยิ่งนัก มิคู่ควรแก่ท่านเลยสักนิด...ข้า...ข้า...” หยางชิวเหยากล่าวออกมาอย่างร้อนใจ นางยังมิพร้อมจะตกเป็นภรรยาของผู้ใด บัดนี้ในใจของนางมีเพียงจางลู่เหวินเพียงผู้เดียวเท่านั้นหานอี้หลงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดตรงหน้าเป็นอันมาก แต่เมื่อเขาได้สติ หานอี้หลงก็รีบประ
บทที่ 5 ฮูหยินจวนสกุลหานหานอี้หลงและหยางชิวเหยาแต่งกายอย่างสุภาพเรียบร้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังโถงใหญ่เพื่อคำนับหานอ้าวเว่ยและหานเซียงหนิง บิดาและมารดาของหานอี้หลงหานอ้าวเว่ยและหานเซียงหนิงนั่งรอคนทั้งสองที่โต๊ะกลางโถงอยู่ก่อนแล้ว เมื่อหานอี้หลงและหยางชิวเหยาย่างเท้าเข้ามาภายในห้องโถง ทั้งสองเดินตรงมายังด้านหน้า ก่อนจะย่อกายคำนับผู้อาวุโสอย่างสุภาพ“คารวะท่านพ่อ...คารวะท่านแม่”จากนั้นสาวใช้จึงนำแก้วชามายื่นให้หยางชิวเหยา นางยื่นแก้วชาให้หานอ้าวเว่ย จากนั้นจึงหยิบแก้วชาอีกถ้วยยื่นให้หานเซียงหนิงตามพิธี“ข้าน้อยชิวเหยา ขอคารวะท่านพ่อ...ท่านแม่”หานเซียงหนิงยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะรีบเข้ามาประคองหยางชิวเหยาอย่างเอ็นดู หญิงสาวตรงหน้าทั้งหน้าตางดงามหมดจด มารยาทและการวางตัวก็มิได้ด้อยไปกว่าคุณหนูตระกูลใด ทำให้หานเซียงหนิงรู้สึกยินดียิ่ง“ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เกรงใจพวกข้าเลย...ต่อไปพวกข้าทั้งสองก็เป็นดั่งบิดามารดาของเจ้าแล้ว...ขอให้พวกเจ้าทั้งสองรักใคร่ปรองดองและรีบมีหลานหลายๆ คนให้ข้าอุ้มในเร็ววันก็พอ”คำกล่าวเช่นนั้นทำให้หยางชิวเหยายิ้มเจื่อนขึ้นมา นางรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนักที่ได้รับการต้อนรับ
บทที่ 6 หลบลี้ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์เสี้ยวลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า เมฆหมอกเบาบางปกคลุมแสงจันทร์ทำให้ทุกสิ่งดูมืดมัว บริเวณรอบเรือนหลังเล็กที่ดูเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดและเสียงใบไม้เสียดสีกันไปมาชวนให้รู้สึกวังเวงจางลู่เหวินนั่งอยู่ภายในเรือนที่เขาเช่าอาศัยจากชาวบ้าน เสื้อผ้าที่เคยเรียบร้อยบัดนี้ดูซอมซ่อและเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินและคราบสุรา ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาเต็มไปด้วยหนวดเครายาวรกรุงรัง ดวงตาของเขาแดงก่ำไปด้วยฤทธิ์สุราและอาการนอนไม่หลับมาเป็นเวลาหลายคืนโต๊ะไม้เก่ากลางห้องเต็มไปด้วยขวดสุราที่วางกระจัดกระจายไปทั่ว จางลู่เหวินหยิบขวดสุราขวดหนึ่งขึ้นมากระดกเข้าปากอย่างไม่สนใจสิ่งใด แต่เขากลับพบว่ามันว่างเปล่าไปเสียแล้ว“เพล้ง...” จางลู่เหวินโยนขวดสุราไปที่มุมห้องอย่างรู้สึกขัดใจ เสียงขวดกระเบื้องตกกระทบลงบนพื้นดังสะท้อนขึ้นมาในความเงียบสงัด“ชิวเหยา...” จางลู่เหวินพึมพำชื่อของหญิงคนรักที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวใจของเขาอย่างไม่จบสิ้น “เจ้าทิ้งข้าไปได้เช่นใดกัน...”จางลู่เหวินเอนตัวพิงเก้าอี้ ดวงตาเหม่อลอยมองเพดานไม้เก่าๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง เขาไม่สามารถลืมความรู้สึ
บทที่ 7 เสียงเล่าลือนับจากวันนั้นเป็นต้นมาหยางชิวเหยาก็มิได้ข่าวคราวอันใดจากจางลู่เหวินอีกเลย นางพยายามให้เสี่ยวเว่ยไปสืบดูที่ลานสอบจอหงวนแต่กลับมิพบจางลู่เหวินที่นั่น แม้แต่นางให้เสี่ยวเว่ยไปดูที่เรือนพักของจางลู่เหวินกลับได้พบเพียงชาวบ้านที่บอกกล่าวว่าคนเช่าดังกล่าวได้ย้ายออกไปที่อื่นแล้วนับเป็นเวลาผ่านมาถึงห้าปีเต็มนับตั้งแต่วันที่หยางชิวเหยาแต่งเข้ามาในจวนสกุลหาน บัดนี้หานอี้หลงได้เลื่อนเป็นเสนาบดีเจ้ากรมโยธาแทนที่บิดาของตน ในขณะที่หานอ้าวเว่ยและหานเซียงหนิงเมื่อได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกจากบ่า เขาทั้งสองก็เลือกจะย้ายไปอยู่ต่างเมืองกับญาติคนหนึ่งและใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขหานอี้หลงนับได้ว่าเป็นขุนนางผู้มีชื่อเสียงในความสุภาพและปัญญาเลิศล้ำ ความฉลาดเฉลียวและความสุขุมทำให้เขาได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้และราชสำนักไม่น้อยไปกว่าบิดาของตนเลยทีเดียวหานอี้หลงยังคงปฏิบัติต่อหยางชิวเหยาอย่างให้เกียรติเสมอมา ในขณะที่หยางชิวเหยาก็ทำหน้าที่ฮูหยินของเขาอย่างมิขาดตกบกพร่อง แต่ทว่าการแต่งงานของพวกเขาทั้งสองกลับมิได้สร้างสายใยแห่งครอบครัวตามที่คนอื่นคาดหวัง หยางชิวเหยาแม้จะนอนร่วมห้องกับหานอี้ห
บทที่ 8 หาอนุ“ดึกมากแล้ว พวกเราเข้านอนเถิด พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าเฝ้าแต่เช้า” หานอี้หลงรีบตัดบทอย่างไม่ต้องการให้หยางชิวเหยารู้สึกอึดอัดอีกต่อไปทั้งคู่ก้าวขึ้นเตียงนอนดั่งที่เคย ก่อนที่หยางชิวเหยาจะผล็อยหลับลงไปในที่สุด ในค่ำคืนที่มืดมิดสายตาของหานอี้หลงยังคงเบิกกว้าง เขาหันกายไปจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างรู้สึกรักใคร่ยิ่งนัก เพียงไม่นานร่างบางก็ขยับกายเข้าโอบกอดเขาไว้เฉกเช่นทุกคืนราวกับเป็นความเคยคุ้นชินไปเสียแล้วหานอี้หลงยิ้มกว้างออกมาพร้อมกระชับร่างบางเข้ามาสวมกอดไว้แน่น “ชิวเหยา...ขอเพียงข้ามีเจ้าอยู่ข้างกาย ต่อให้ข้าต้องรอเจ้าไปชั่วชีวิตข้าก็ยินดี” หานอี้หลงเพ้อออกมาก่อนจะจรดริมฝีปากลงที่หน้าผากมนด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจในวันถัดมาเสียงเล่าลือเกี่ยวกับพวกเขายังคงเซ็งแซ่ไปทั่ว ด้วยหานอี้หลงนั้นนับได้ว่าเป็นบุรุษที่หญิงสาวหลายคนต่างพากันหมายปองและอิจฉาในความรักความเอาใจใส่ที่มีให้กับหยางชิวเหยานั่นยิ่งกระพือคำเล่าลือต่างๆ นานา จนกลายเป็นเรื่องชวนให้ขบขันยิ่งนักในขณะที่หานอี้หลงกลับยังคงใช้ชีวิตเหมือนมิมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เขาเดินทางไปว่าเข้าเฝ้าภายในวังหลวงและในทุกการประชุม เขา
บทที่ 9 อย่าผลักไสข้าจนกระทั่งช่วงเย็นของวัน หานอี้หลงกลับมาจากการทำงานที่หนักอึ้ง แม้ใบหน้าจะฉายความเหนื่อยล้าอยู่ในที แต่เมื่อได้เห็นหยางชิวเหยาที่ยืนรอเขาอยู่ในจวน หานอี้หลงก็ยิ้มกว้างออกมาในทันทีทั้งสองเดินกลับไปที่เรือนพัก ก่อนที่หานอี้หลงจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดลำลอง โดยมีหยางชิวเหยาคอยปรนนิบัติหานอี้หลงตามหน้าที่เป็นอย่างดีอย่างเช่นที่เคยเป็นมา“ข้าขอตัวไปจัดการเรื่องเอกสารเสียหน่อย งานราชการมากล้นจนข้ามิอาจอยู่ทานข้าวร่วมกับเจ้าได้...เจ้าอย่าได้นึกโกรธเคืองข้าเลยนะ” หานอี้หลงกล่าวอย่างขอตัวกลับไปทำงานที่ห้องอักษรสักชั่วครู่หนึ่ง ด้วยก่อนหน้านี้ที่สำนักโยธามีงานสร้างเขื่อนกั้นน้ำที่ฮ่องเต้ทรงมอบหมายมาให้ ทำให้หานอี้หลงนั้นยุ่งวุ่นวายกับเรื่องดังกล่าวจนแทบมิอาจมีเวลาได้พัก แต่เพราะเขาอยากเห็นหน้าหยางชิวเหยาเสียหน่อย สุดท้ายหานอี้หลงจึงกลับมาที่จวนพร้อมกองเอกสารที่มีติดตัวมาด้วย“ท่านพี่...ท่านจะรับอาหารรองท้องเสียหน่อยหรือไม่เจ้าคะ” หยางชิวเหยาพูดพลาง สองมือก็ยังคงจัดการเสื้อผ้าของหานอี้หลงไปพลางอย่างใส่ใจ“ตามใจเจ้าเถิด...”หานอี้หลงตอบกลับพร้อมจ้องมองหยางชิวเหยาด้วยสายตารั
บทที่ 10 แม่ทัพคนใหม่ภายในท้องพระโรงของแคว้นเจี้ยนเต็มไปด้วยความตึงเครียด หานอี้หลงรายงานความคืบหน้าของงานก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำในเมืองเตียงอันที่อยู่ข้างเคียงด้วยท่าทีที่เคร่งเครียด ปัญหาการก่อสร้างที่ขลุกขลักมากกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ฮ่องเต้หงจูเหลียงถึงกับหัวเสียขึ้นมาในทันที หานอี้หลงถูกตำหนิเป็นอันมากจนแทบจะเข้าหน้าหงจูเหลียงไม่ติด“ขอประทานอภัยฝ่าบาท...หม่อมฉันจะเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงเป็นกังวลพระทัย”“เจ้ารีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ข้ามิต้องการได้ยินคำแก้ตัวใดอีก” หงจูเหลียงตวาดออกมาในทันที“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หานอี้หลงได้แต่รับคำด้วยความรู้สึกตึงเครียดและกดดันหลังจากนั้นการประชุมราชกิจก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งเวลาล่วงเลยอย่างยาวนาน ก่อนที่หงจูเหลียงผู้กุมอำนาจใหญ่ในแคว้นเจี้ยนได้หันไปหาขันทีคู่ใจอย่างให้สัญญาณ“เชิญใต้เท้าจางลู่เหวินเข้าเฝ้า” เสียงขันทีประกาศดังก้องไปทั่วท้องพระโรงจางลู่เหวินก้าวเท้าเข้ามาภายในท้องพระโรงด้วยท่าทางที่สุขุมและเยือกเย็น หน้าตาคมคายแต่กลับดูแข็งกร้าว ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่แข็งแรงจากการเคี่ยวกรำในศึกสงครามมาอ
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน
บทที่ 58 ตัดสัมพันธ์หานอี้หลงและหยางชิวเหยาดึงรั้งขัดขืนกันไปมาอย่างอลหม่าน ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทันใดนั้นบานประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง จางลู่เหวินปรากฏกายขึ้นตรงด้านหน้าพร้อมกับสายตาที่คุกรุ่นราวกับเปลวไฟ “หานอี้หลง...เจ้า...”จางลู่เหวินตวาดออกมาด้วยความเดือดดาลก่อนจะปรี่เข้ามากระชากตัวหานอี้หลงออกห่างจากหยางชิวเหยาอย่างรุนแรง ตามมาด้วยกำปั้นหนักที่ซัดเข้าหน้าของหานอี้หลงจนร่างของเขาเซถลาถอยหลังไปกระแทกกับขอบโต๊ะ“หานอี้หลง...เจ้าช่างต่ำช้ายิ่งนัก” จางลู่เหวินตวาดด้วยน้ำเสียงกร้าว สองมือกำหมัดแน่น สายตาคมดุดันของเขาจ้องมองหานอี้หลงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะหันไปหาหยางชิวเหยาที่อยู่ด้านหลัง “ชิวเหยา...เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”หยางชิวเหยาน้ำตาเอ่อล้นออกมาอาบแก้มแต่นางก็ทำเพียงส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอื้อฉาวอันใดขึ้นมาอีกหานอี้หลงทรงตัวยืนขึ้นอีกครั้ง มือหนายกขึ้นกุมแก้มที่บวมแดงจากแรงชก แต่สายตายังคงจ้องจางลู่เหวินด้วยความคั่งแค้น ในขณะที่สายตากลับทอดมองหยางชิวเหยาด้วยความเจ็บปวดและนึกน้อยใจยิ่งนัก “จางลู่เหวิน...เจ้ายังกล้ามาพูดเช่นนี้กับข้าหรือ...เจ้าเป็นคนพราก
บทที่ 57 ข้ารักเจ้าตลาดในยามสายคึกคักด้วยเสียงผู้คนที่เดินสวนกัน เสียงหัวเราะของเด็กเล็กผสานกับเสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขาย กลิ่นหอมของอาหารทอดลอยมาตามลม ชวนให้ผู้คนหยุดมองหาแหล่งที่มาของกลิ่น ร่มผ้าหลากสีปกคลุมแผงลอย เรียงรายไปตามถนนหินกรวดที่สะอาดสะอ้านและเปล่งประกายเมื่อแสงแดดตกกระทบหยางชิวเหยากำลังเลือกดูผ้าแพรพรรณจากร้านค้าที่มีชื่อในเมืองหลวง นางตั้งใจตัดเย็บชุดใหม่ให้จางลู่เหวินผลัดเปลี่ยนเสียบ้าง หยางชิวเหยาใส่ชุดผ้าแพรบางเบาสีฟ้าครามที่ทำให้นางดูโดดเด่นกว่าใครในหมู่ลูกค้าทั้งหลาย นางดูงดงามราวกับบุปผาที่หมู่มวลภมรต่างหมายปองดอมดม ดวงตาคู่งามกวาดมองพับผ้าที่เถ้าแก่เนี้ยพยายามแนะนำด้วยรู้ดีว่าการค้าครั้งนี้ย่อมหมายถึงกำไรอันมากโข หยางชิวเหยาจ้องมองผืนผ้าพร้อมยกมือขึ้นลูบสัมผัสไปทีละผืนอย่างใส่ใจ“เหยาเอ๋อร์” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง หยางชิวเหยาชะงักค้างก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียกดังกล่าวหานอี้หลงหยุดยืนอยู่ด้านหลังของหยางชิวเหยา พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขาสวมใส่ชุดสีขาวปักลายเมฆสีน้ำเงินที่ทำให้ดูภูมิฐานและสง่างามอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าคมค
บทที่ 56 ตบแต่งฮูหยินรองข่าวการตกแต่งฮูหยินรองเข้าจวนสกุลหานแพร่กระจายออกไปอีกครั้ง พร้อมกับงานแต่งที่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว จวนสกุลหานถูกประดับประดาอย่างงดงาม เสียงขลุ่ยและกลองดังสนั่นหวั่นไหว ขุนนางต่างพากันมาร่วมแสดงความยินดี ทว่ากลับมีเสียงโจษจันขึ้นในเรื่องการแต่งงานที่กะทันหันและไล่เลี่ยกันเช่นนี้ รวมถึงเสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหานอี้หลงและหงอวิ๋นชิวในเวลานี้หานอี้หลงยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่หงอวิ๋นชิวกลับแสดงสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นเรื่องยินดีเพิ่มขึ้น นางมิได้มีความรู้สึกฉันชายหญิงกับหานอี้หลงแม้แต่น้อย ตราบใดที่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของตนยังคงมั่นคงอยู่ ดังนั้นการรับเจียงอันเล่อเข้ามาเป็นฮูหยินรองของจวนหรือแม้กระทั่งหญิงสาวคนใดเข้ามาในจวนก็มิได้ทำให้นางรู้สึกสะเทือนใจอันใด แต่เพราะหงอวิ๋นชิวนั้นมีความฉลาดอยู่มากทำให้นางรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเจียงอันเล่อนั้นนับเป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานของหานอี้หลงในการแย่งชิงอำนาจในอนาคตอันใกล้นี้ นั่นยิ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับตนยิ่งนักเจียงอันเล่อในชุดเจ้าสาวสีแดงสด ก้าวลงจากเกี้ยวด้วยรอยยิ้มหวานอย่างรู้สึกมีความส