เปลือกตาบางค่อยๆ ขยับปรือ กลิ่นเนื้อบางอย่างย่างลอยเข้าจมูกทำให้ต้องรีบลืมตา
“บนสวรรค์มีปลาย่างหรือ”
“นรกต่างหาก”
เสียงเข้มดุ ทว่าราบเรียบดังไม่ห่างตัวนักทำให้นางหันไปมอง แม้จะจำเสียงได้ทว่าเห็นใบหน้าคมเข้มก็ยิ่งมั่นใจ ริมฝีปากเล็กระบายยิ้มกว้าง
“พี่ชาย ท่านกลับมาแล้ว”
ร่างเล็กพยายามลุกขึ้นไปใกล้เจ้าของร่างสูงโปร่ง ทว่าใบหน้าดุดันกับน้ำเสียงเข้มของเขาทำเอาเท้าเล็กชะงัก
“เจ้าเป็นสตรีคนแรกที่ทำให้ข้าอยากฆ่าให้ตายคามือนัก”
หันมองนางด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากคำพูดแล้วก็หันกลับไปมองสิ่งที่เขากำลังย่างอยู่
รอยยิ้มกว้างของเสี่ยวเม่ยค่อยๆ ลดลงเมื่อคิดว่าตนคงถูกพี่ชายโกรธจนเกลียดไปแล้ว ทว่ากลิ่นของเนื้อปลาย่างก็หอมเชิญชวนจนท้องร้องประท้วง นางยืนมองปลาสองตัวที่ชายหนุ่มย่างโดยไม่ละสายตาหากก็ไม่กล้าเอ่ยขอ นานครู่หนึ่งเขาก็ยื่นปลาที่เสียบไม้หนึ่งตัวมาทางนาง
“เอาไปสิ หิวแล้วไม่ใช่หรือ”
เสี่ยวเม่ยกลืนน้ำลาย ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แล้วรับปลามาอย่างไม่ปฏิเสธ เวลานี้มืดแล้วไม่แปลกที่นางจะหิวจัด ด้วยไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า
ร่างเล็กนั่งลงใกล้ๆ กองไฟไม่ห่างจากร่างสูงโปร่งนัก เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มกินปลาของเขานางก็กินบ้าง ขณะเดียวกันก็คิดย้อนกลับไปด้วยความแปลกใจว่าตนรอดจากหน้าผาน้ำตกนั่นมาได้อย่างไร เพราะหากตกลงไปร่างของนางก็น่าจะแหลกกระดูกหัก หรือไหลตามน้ำไปกระแทกโขดหินจนเลือดแดงเต็มลำธาร
ภาพน่ากลัวผุดขึ้นมาในหัวของเสี่ยวเม่ยเต็มไปหมด หรือว่าความจริงนางจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเพียงสิ่งที่นางปรารถนาหลังจากความตาย เด็กสาวลองหยิกแขนตัวเองเต็มแรงก่อนจะหลุดอุทานด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย...”
“เหอะ”
เยี่ยนเฉินส่งเสียงประชดพลางเหลือบมองคนที่กินปลาแล้วอยู่ๆ ก็บิดแขนตนเองตาขุ่น รู้ว่าแม่หนูน้อยนี่กำลังพิสูจน์ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
“ใช่ เจ้ายังไม่ตายสมใจเจ้า”
“ข้ารอดมาได้ยังไง”
เด็กสาวถามอย่างแสนซื่อ แปลกใจนักที่ตนยังรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์
“ข้ารู้สึกว่าตัวเองอยู่กลางอากาศ น่ากลัวมาก ตัวหวิวสั่นไปหมด ก่อนจะ...”
นางจำสิ่งที่ต่อจากนั้นไม่ได้แล้ว เพราะกลัวจนหมดสติไปเลย
“เจ้าโชคดีหล่นลงน้ำ ที่ไกลโขดหิน แล้วข้าก็บังเอิญอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นจึงเห็นเข้า เจ้ายังไม่ถูกน้ำพัดไปไกล”
ชายหนุ่มบอกด้วยสีหน้าราวเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ร่างกายบอบบางของเสี่ยวเม่ยจะรับแรงกระแทกเมื่อหล่นจากที่สูงได้ แม้จะเป็นน้ำก็ตาม นางคิดตามแล้วรู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้
“จะเป็นได้หรือ ข้าไม่รู้สึกเจ็บตรงส่วนใดเลย”
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร”
เยี่ยนเฉินย้อนถามเด็กสาวที่มาอวดฉลาดในเวลาเช่นนี้ เมื่อตอนเขาปล่อยให้หนีไปยังไม่ยอมหนี เลือกจะฆ่าตัวตายอย่างโง่งม ชายหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางลงเขาได้โดยปลอดภัย หลังแอบออกมาจากค่ายพักก่อนก็คอยลอบจับตาดู และตามสังเกตว่าเมื่อเขาไม่อยู่แล้วเจ้าตัวจะทำอย่างไร ทว่ากลายเป็นนางไม่คิดมีชีวิตอย่างที่เคยบอกเอาไว้จริง ทำเอาเขาโมโหยิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าช่วยอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้เยี่ยนเฉินหงุดหงิดตัวเองไปด้วยที่สุดท้ายแล้วก็ทิ้งภาระนี้ไม่ลง ทั้งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดต่อกัน
เขามองอีกฝ่ายเป็นภาระชิ้นใหญ่ ด้วยเป้าหมายของตนนั้นไม่ควรมีเด็กมาติดสอยห้อยตาม
เด็กผู้หญิงที่ใช้งานไม่ได้จะมีประโยชน์ใดกันเล่า
เยี่ยนเฉินคิดอย่างฉุนเฉียวประชดประชั้น แม้จะไม่ได้มองเด็กสาวในทางไม่ดี แต่สตรีสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงสิ่งมอบความสุขทางกายเท่านั้น และไม่เคยต้องการผู้ใดไว้ใกล้ตัว ไม่ต้องการพันธะหรือการผูกพันทางใจ
“ข้าไม่รู้ จึงได้ถามท่าน”
เสี่ยวเม่ยตอบอุบอิบ หลุบตาลงต่ำเมื่อถูกดุ
“ถ้าถามข้า ข้าก็ตอบไปแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า”
“ข้าเชื่อพี่ชาย”
เจ้าตัวรีบสวนขึ้นแล้วกลับมาสบตากับเขาอีกครั้ง เยี่ยนเฉินรู้ว่าเสี่ยวเม่ยเพียงต้องการพูดเอาใจ ไม่อยากให้เขาทิ้งนางไปอีก เขาจึงเพียงยิ้มหยันมุมปากแล้วสนใจปลาของตนต่อ
เสี่ยวเม่ยลอบมองผู้ที่ช่วยชีวิตตนเป็นครั้งที่สองแล้วก็ก้มลงแกะปลาที่กลิ่นหอมเย้ายวนอย่างไม่ซักไซ้ให้มากความอีก มาคิดดูแล้วแม้จะแปลกมหัศจรรย์เกินความจริง ทว่านับแต่ที่ได้พบชายหนุ่ม นางก็เจอแต่เรื่องประหลาดเกินความคาดหมาย ทั้งเขาพานางขึ้นมาหน้าผาสูงในเวลาไม่นาน ไม่ลำบากแต่อย่างใด ทั้งยังได้เห็นเขาสังหารผู้คนมากมายในเวลาชั่วอึดใจ ส่วนครั้งนี้ไม่ว่านางจะรอดด้วยเหตุใดชายผู้นี้ก็คือคนที่ช่วยนาง เป็นผู้มีพระคุณของนาง
เมื่อเห็นแม่หนูน้อยไม่อยากรู้อยากเห็นอีกเยี่ยนเฉินก็เงียบไปเช่นกัน กระทั่งปลาของทั้งสองคนหมดเขาก็เอ่ยขึ้น
“เจ้าพักเสีย ตรงนั้นไม่ห่างจากกองไฟมากนัก พอนอนได้”
“ข้าไม่ง่วง”
“ข้าไม่ไปไหนหรอกน่า”
เยี่ยนเฉินเสียงดุอย่างรู้ทันว่าอีกฝ่ายกลัวเขาทิ้งไปอีก
“หากจะหายไปอีกครั้ง จะรอเจ้าตื่นขึ้นมาทำไม”
เสี่ยวเม่ยหน้าหงอย แต่ชายหนุ่มพูดมีเหตุผล นางจึงขยับตัวไปนอนที่เดิมตรงที่ชายหนุ่มชี้บอก ความจริงก็ยังไม่ง่วงนัก ทว่าหากไม่ยอมทำตามที่พี่ชายหน้าดุสั่งเกรงเขาจะไม่พอใจตน
เมื่อเหลือบมองแล้วเห็นร่างเล็กนอนลงโดยง่ายเยี่ยนเฉินก็นั่งเขี่ยไฟแล้วเติมฟืนพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนต้องการ แม้เวลานี้เข้าใกล้จุดเริ่มต้นมากเข้าไปทุกที และแม้มีภาระเพิ่มเข้ามาเขาก็ต้องก้าวต่อไป
เยี่ยนเฉินตั้งใจเดินทางมาสำนักเซียนชิงเฉิง แล้วก็รับรู้ได้ถึงปราณเซียนขององค์ชายชุนเทียน เขาต้องการปราณค่อนข้างสูงเพื่อกลบกลิ่นอายปีศาจของตน และใช้สถานะองค์ชายแห่งแคว้นจ้าวเป็นใบเบิกทาง เยี่ยนเฉินได้สารที่เจ้าอาวาสฝากฝังองค์ชายกับญาติผู้พี่มาอยู่ในมือแล้ว ในตอนแรกคิดว่าเพียงปลอมแปลงเป็นองค์ชายกระทั่งขบวนส่งเสด็จเดินทางถึงสำนักชิงเฉิง ทว่าเขากลับค้นพบสารนั้นในกล่องของใช้ส่วนตัวองค์ชายพร้อมทองจำนวนมาก
เขาไม่ได้ตื่นตาตื่นใจด้วยตนเองก็มีเงินทองไม่น้อยจากการทำงานในหอโคมเขียว ทั้งจากเงินค่าตัวและได้พิเศษจากผู้ว่าจ้างรวมถึงนายหญิงผู้ซึ่งโปรดปรานเขามากด้วย ทว่าเงินมากมายของเขาก็ไม่อาจรักษาชีวิตมารดาไว้ได้
เยี่ยนเฉินออกจากที่นั่นเมื่อสูญเสียมารดา โดยใช้เล่ห์กลว่าตนป่วยด้วยโรคร้ายแล้วตายโดยใช้ร่างของผู้อื่นสร้างรูปโฉมให้เหมือนตน ส่วนเขาก็ใช้หน้าตาของคนผู้นั้นแทน เป็นวิชาที่เขาใช้เป็นวิชาแรกหลังได้รับการถ่ายทอดพลังจากมารดา
ความจริงแล้วมารดาของเขาไม่เคยชอบหากเขาลงเขา ทุกครั้งที่แอบหนีมาทำงานกลับไปเขาก็มักจะถูกทำโทษ ทั้งตีและคุกเข่าทั้งคืน หากเยี่ยนเฉินก็ยังต้องหาเงินเพื่อซื้อยากับเนื้อไปปรุงอาหารดีๆ บำรุงร่างกายให้มารดาโดยไม่กลัวเจ็บหรือลำบาก
‘เจ้าจะให้แม่ขาดใจตายจริงๆ ใช่ไหม เหตุใดจึงดื้อไม่เชื่อฟังแม่’
มารดาตีเขาไปก็ร้องไห้น้ำตาไหล เรี่ยวแรงของท่านน้อยนิด และเยี่ยนเฉินก็ยอมยืนนิ่งให้ตีไม่ขยับหนี
‘ท่านตีข้า ทำโทษข้าอย่างไรก็ได้ท่านแม่ แต่ท่านต้องกินยา’
เขาต่อรองกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นคง แรกๆ มารดาไม่ยอมกิน แต่เพราะรู้ว่าเขาลำบากทำงานหนักท่านจึงยอม หากก็ยังห้ามเขาลงเขาทุกครั้ง
‘ดูมือเจ้าสิ ทั้งพองทั้งแตก งานหนักพวกนั้นเกินแรงของเด็กอย่างเจ้า และแม่ห่วงเจ้า อย่าได้ไปอีกทำงานอีกเลย แค่หาสมุนไพรในป่ามาต้มรักษาไปวันๆ ก็พอแล้ว’
สมุนไพรในป่ามีมากมายแต่ไม่อาจรักษามารดาเขาให้หายได้ แม้แต่ยาที่ซื้อมาต้มให้ท่านก็ช่วยไม่ได้มากนัก หากเยี่ยนเฉินก็พยายามดูแลมารดาของตนให้ดีที่สุด ช่วงที่เขาทำงานในหอโคมเขียวเป็นเวลาที่มารดาไม่ดุหรือตีเขาแล้วเพราะร่างกายอ่อนแอ แต่เห็นว่าเขาดูดีขึ้น บนร่างกายเนื้อตัวไม่มีบาดแผลท่านก็เหมือนจะสบายใจขึ้น และเมื่อถูกถามว่าทำงานอะไรเขาก็บอกไปว่าเป็นงานต้อนรับในโรงเตี๊ยมใหญ่ ท่านจึงไม่สงสัย
กระนั้นมารดาก็ยังขอให้เขาเลิกลงเขาอยู่บ่อยครั้ง เยี่ยนเฉินไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านจึงคิดว่าการที่ตนลงจากเขาจะมีอันตราย ทว่าก่อนมารดาเมื่อจากไปเขาก็ได้รู้ทุกสิ่งอย่าง ตอนนั้นเป็นช่วงที่เขากลับมาเยี่ยมท่าน เยี่ยนเฉินทำงานสามวันจะกลับไปหามารดาหนึ่งวันหนึ่งคืน เป็นแบบนี้เสมอ ในวันนั้นราวกับมารดานอนรอให้เขากลับไป
‘ลูกเฉิน เจ้ากลับมาแล้ว’
มือบางเหี่ยวย่นยกแทบไม่ขึ้น ทำให้เยี่ยนเฉินต้องรีบเข้าไปคุกเข่าข้างเตียงเพื่อจับมือท่าน
เขาเคยจำได้ว่ามารดาเป็นสตรีที่งดงามที่สุดเท่าที่ตนเคยเห็น ทว่าผมกลับขาวโพลน กระทั่งเวลาผันนานท่านก็ค่อยๆ แก่ชราลงรวดเร็วนักในความรู้สึกของเขา
‘แม่มีสิ่งจะมอบให้เจ้า’
มารดาให้เขาพยุงท่านขึ้นนั่ง แล้วให้เขานั่งลงตรงหน้าท่าน จากนั้นก็ถ่ายทอดบางอย่างเข้ามาในร่างกายของเขา เยี่ยนเฉินจำได้ว่าตนทรมานมากที่สุดในชีวิต แต่ไม่นานก็เหมือนตนแข็งแกร่งอย่างมาก และเมื่อหันกลับไปก็เห็นร่างของมารดากำลังซวนเซล้มลง
‘ท่านแม่’
‘ลูกเฉิน นี่คือพลังปราณทั้งหมดของแม่ แม่มอบให้เจ้า แม่ทำเพื่อเจ้าได้เพียงเท่านี้’
‘ท่านแม่ ท่านหมายถึงสิ่งใดกัน’
‘กล่องใต้เตียง’
มารดาเขาเอ่ยแทบไม่ได้ยินเสียงก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงแล้วหมดลมหายใจในที่สุด
‘ท่านแม่! อย่าจากข้าไป ข้ายินดีทำงานน่าอับอายเพื่อหาเงินมารักษาท่าน ข้ากำลังจะพาหมอที่เก่งที่สุดมาตรวจอาการท่าน ท่านแม่...’
เยี่ยนเฉินกอดร่างบอบบางของมารดาแน่นพลางร้องไห้ออกมาเป็นครั้งแรกในชีวิต ความเจ็บปวดทางร่างกายที่ผ่านมาทั้งหมดเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดเสียใจในครั้งนี้ หัวใจของเขาราวถูกควักออกมาก็ไม่ปาน
หลังจากฝังศพมารดาและจมอยู่กับความเสียใจนานสามวันสามคืนเต็มเยี่ยนเฉินก็เอากล่องใต้เตียงที่มารดาสั่งไว้ออกมา แล้วเขาก็ได้รับรู้ความเป็นมาที่แท้จริงเกี่ยวกับตนเองผ่านจดหมายที่มารดาเขียนบอกเล่าไว้ให้เขา
‘แม่กลัวจากไปก่อนเจ้าจะกลับมา’
ยิ่งได้อ่านจดหมายหลายแผ่นของมารดาเยี่ยนเฉินก็ยิ่งสงสารท่านนัก
‘แม่หวังว่าเจ้าจะไม่คิดแค้น ไม่พาตัวเองกลับเข้าไปอยู่ในเพลิงแค้น แม่อยากให้เจ้าอยู่เงียบๆ เก็บตัวให้ห่างจากอันตรายทั้งปวง’
เขาจะลืมได้อย่างไร ในเมื่อได้เห็นมารดาของตนทุกข์ทรมานทางร่างกายมานานแสนนาน และต้องลำบากเลี้ยงดูเขาเพียงลำพังเพราะบิดาของเขาถูกสังหาร มารดาพาเขาที่ยังเป็นเพียงทารกหลบหนี แม้กระทั่งผนึกพลังของตนเอาไว้เพื่อมอบให้เขา เพื่อปกป้องเขา จนท่านทรุดโทรมแก่ชราและโรคภัยรุมเร้ามากมาย
เขาต้องทำอย่างไรไฟที่สุมอยู่ในใจนี้จึงจะมอดดับ
=====
“หนาว”เสียงเล็กแผ่วเบาหากเยี่ยนเฉินก็ได้ยิน หันไปก็เห็นว่าเด็กสาวหลับไปแล้ว แต่นอนกอดตัวเองละเมอออกมา ในป่าเย็นเกินกว่าผู้ที่ไม่แข็งแรงจะนอนโดยไร้ผ้าห่มได้ แม้มีกองไฟอยู่แต่ก็ไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้ดีนักถึงจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเสี่ยวเม่ยคือภาระที่ตนไม่ต้องการ ทว่าเยี่ยนเฉินก็ไม่อาจปล่อยอีกฝ่ายไปตามยถากรรมได้ ราวได้ยื่นมือข้างหนึ่งไปในกับดักของใยแมงมุมหนาที่พัวพันยุ่งเหยิงยากจะแกะออกโดยง่ายร่างสูงโปร่งลุกขึ้นพร้อมปลดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเอาไปคลุมให้ร่างเล็กแล้วกลับมานั่งใกล้กองไฟเช่นเดิม มองเข้าไปในกองไฟที่ตนสุมใหม่ให้ลุกโชนยิ่งขึ้นเผื่อแผ่ไอร้อนไปถึงเสี่ยวเม่ยที่นอนห่างออกไป ต้องการให้นางพักผ่อนให้มากเพราะนับจากนี้การเดินทางไปสำนักชิงเฉิงนั้นไม่ง่ายอีกแล้วเยี่ยนเฉินไม่ได้อยากเป็นเซียน แต่ต้องการพลังปราณเซียนเพื่อก้าวขึ้นไปยังจุดที่ผู้ใดก็ไม่อาจเหยียบย่ำได้‘บิดาของเจ้าคือจอมมารผู้ยิ่งใหญ่’นี่คือสิ่งที่มารดาเขียนเอาไว้ บิดาของเขาต้องการครอบครองหกพิภพ เป็นใหญ่เหนือดินแดนทั้งปวง ต้องการให้ดินแดนปีศาจหลุดพ้นจากการอยู่ภายใต้การปกครองของสวรรค์ ในเมื่อบิดาเขาก็มีพลังยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากจัก
“ลาก่อนพี่ชาย”นางไม่ได้กรีดร้องหรือตะโกนเพราะไร้แรงแม้แต่จะส่งเสียง หากก็พึมพำออกไปขณะที่รู้สึกว่าตนตกลงไปด้านล้างเพียงชั่วอึดใจก็หยุดชะงัก กายนางถูกโอบอุ้มเหาะเหินพาไต่ขึ้นไปตามหน้าผายังชะง่อนหินซึ่งสามารถวางเท้าเหยียบได้ด้วยความรวดเร็ว เสี่ยวเม่ยอึ้งตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนตัวแข็ง ใช้เวลาพักหนึ่งร่างสูงโปร่งก็พานางกระโจนขึ้นมายืนบนจุดสูงสุดของหน้าผาร่างเล็กถูกปล่อยลงแล้วแต่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ ทว่าดวงตาคู่เรียวงามมองมายังเขาด้วยสายตาประหลาดใจ“อยู่กับข้า ต้องไม่พูดมาก ไม่ถามมาก จำได้หรือไม่”ดวงหน้าเล็กพยักขึ้นลงช้าๆ เยี่ยนเฉินก็ถอนหายใจ สุดท้ายแล้วตนก็ช่วยนางอีกจนได้ แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ตะโกนหากเขาก็ได้ยินเพราะบริเวณนี้ค่อนข้างก้อง ยังดีที่ไหวตัวทันเสี่ยวเม่ยจึงไม่ตกถึงพื้นเสียก่อนแม้ชายหนุ่มสามารถใช้วรยุทธ์ไต่ขึ้นมาได้แต่แรก ทว่าต้องการวัดใจกับเด็กสาวด้วยว่าเจ้าตัวจะถอดใจหรือไม่ และก็ได้เห็นชัดกับตาว่านางใจสู้แม้ร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็ตาม มาคิดดูแล้วจิตใจที่แข็งแกร่งและไม่กลัวตายของอีกฝ่ายก็น่าสนใจไม่น้อย อีกอย่างนางอายุยังน้อย ไม่ยากที่เขาจะค่อยๆ สอนให้นางฝึกฝนวิชาอย่างไรนางก็โดดเ
“เจ้าเป็นใคร มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”ชายตรงหน้ามีใบหน้าดุเข้ม ตั้งทวนในมือลงพื้นอย่างแรง ยืนจังก้าด้วยท่าทางมั่นคงขวางทางเข้าสำนัก“ข้าชื่อจ้าวชุนเทียน ไต้ซือหลี่อันเจ้าอาวาสวัดต๋าฉือแคว้นจ้าว ส่งข้ามาบำเพ็ญเพียรที่นี่”อีกฝ่ายกวาดมองเขาอย่างไม่เชื่อถือนัก ทั้งยังเหลือบมองเด็กสาวที่อยู่บนหลังเขาอย่างสงสัย เยี่ยนเฉินจึงล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมตนหยิบสารของเจ้าอาวาสยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย“ท่านเจ้าอาวาสมีสารมาถึงท่านหลี่เหวินแห่งสำนักชิงเฉิงด้วย”เพราะตนอ่านเนื้อหาภายในแล้วจึงรู้ชื่อผู้ส่งแล้วผู้รับ สารไม่ได้ปิดผนึกเก็บเป็นความลับสำคัญแต่อย่างใด เป็นเพียงการฝากฝังศิษย์เท่านั้น และจ้าวชุนเทียนเก็บไว้กับสมบัติส่วนตัวของตนด้วยมั่นใจว่านั่นคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ทว่ามันจะปลอดภัยเมื่อผู้เป็นเจ้าของยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น“เช่นนั้นหรือ”“หากท่านต้องการความมั่นใจ เพียงแค่นำสารนี้ส่งให้ถึงมือท่านหลี่เหวินเท่านั้น”อีกฝ่ายคิดตามแล้วก็พยักหน้า“ได้ ข้าจะไปส่งสารนี้ให้ ส่วนเจ้ารออยู่นี่”พร้อมพูดก็กระแทกทวนลงพื้นและปักนิ่งไม่ขยับ“อย่าใจร้อน เพราะเจ้าไม่อาจหลุดรอดจากทวนของข้าไปได้แน่”เยี่ยนเฉินไม่แสดงสีหน้
จากนั้นเยี่ยนเฉินก็แบกเสี่ยวเม่ยไปกับผู้นำทาง ซึ่งเป็นเส้นทางภายในถ้ำ ขณะที่อีกฝ่ายอธิบายไปด้วย“อาจารย์ของเราบำเพ็ญในถ้ำแห่งนี้ ภายในมีศิษย์พี่น้องอยู่ห้าคนรวมข้าด้วย ข้าชื่อสือเจาฉิน”ขณะที่อีกฝ่ายพูดเยี่ยนเฉินรู้สึกเหมือนเสี่ยวเม่ยเริ่มขยับเขาจึงเหลือบไปมองด้านหลังแล้วเอ่ย“เจ้าฟื้นแล้วหรือ รู้สึกอย่างไรบ้าง”เจาฉินเองก็มองตามเขาขณะที่ศีรษะเล็กค่อยๆ ขยับพร้อมเสียงพึมพำ“น้ำ”“นางคงเพลียมากจึงกระหายน้ำ นี่ใกล้ถึงที่พักของข้าหรือยัง”“เดินอีกหน่อย”อีกฝ่ายตอบพลางเร่งฝีเท้า เยี่ยนเฉินเองก็ก้าวขายาวขึ้นเช่นกัน กระทั่งไปถึงยังโถงหนึ่งที่เล็กกว่าอาจารย์ลงมาก หากก็กว้างขวางไม่ดูอึดอัดนัก เขารีบพาร่างเล็กของเสี่ยวเม่ยไปวางลงบนแท่นหินทันใด“ที่นี่ยังไม่ได้ทำความสะอาดเพราะเจ้ามากะทันหัน เอ...หรือข้าต้องเรียกว่าท่าน ในเมื่อท่านเป็นองค์ชาย”เจาฉินถามหน้าตาย ไม่ได้ดูเอาอกเอาใจ หากก็ไม่ได้มีทีท่าถือดีว่าอยู่มาก่อน“ข้าไม่สนใจยศศักดิ์ใดอีกแล้ว เวลานี้ข้าก็นับได้ว่าเป็นศิษย์น้องของท่าน”ผู้ฟังพยักหน้าราวพอใจกับคำตอบของเขาก่อนบอกต่อ“ที่พักนี้เคยเป็นที่พักของศิษย์พี่ใหญ่ของเรา แต่เวลานี้เขาสำเร็จเซี
“เหตุใดข้าจึงอยู่ที่นี่ไม่ได้”“อาจารย์รับเพียงศิษย์ผู้ชาย และเจ้าเป็นหญิง ชายหญิงไม่ควรอยู่ร่วมห้อง”เยี่ยนเฉินนั่งกอดอกเอ่ยเสียงเรียบ สีหน้านิ่ง เหลือบมองเจ้าของดวงหน้าเล็กที่ดวงตาคู่เรียวงามหม่นมองโดยไม่คิดเห็นใจ“ข้าพักในกระโจมท่าน นอนในรถม้ากับท่านมาตั้งหลายคืน”“นั่นมันเหตุสุดวิสัย ต่อไปเจ้าก็ต้องโตขึ้น หากคิดอยู่ที่นี่เจ้าต้องไปอยู่กับอาจารย์อาหญิง ที่นั่นมีศิษย์พี่ผู้หญิงมากมายเป็นเพื่อนเจ้า”“ข้าไม่ต้องการเพื่อน ข้าไม่เคยมีเพื่อนมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่มีใครอยากคบหาเด็กไม่มีพ่อแม่เช่นข้า”ผู้พูดน้ำเสียงเศร้าสร้อยอย่างเจียมตน“ข้าเป็นผู้ติดตามท่าน หากไปอยู่ที่อื่น ข้าจะทำอาหาร ทำความสะอาดที่พักให้ท่านได้อย่างไร”“แรกทีเดียวข้าก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำสิ่งใด เป็นเจ้าขอติดตามข้าเอง และเมื่อพาเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว นับว่าเป็นโชคดีของเจ้า อาจารย์ฝากฝังเจ้ากับอาจารย์อาหญิง ท่านก็ยินดีรับเจ้าไว้เป็นศิษย์ แม้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร”เสี่ยวเม่ยฟังที่อีกฝ่ายพูดแล้วนางก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เพราะได้เห็นกับตาว่าพี่ชายหน้าดุนั้นมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ เขาแตกต่างจากนาง“ผู้บำเพ็
“บะหมี่เป็นอย่างไรบ้าง อร่อยหรือไม่”เจ้าของดวงตาคู่เรียวงามจ้องอย่างรอคอยเยี่ยนเฉินมองอีกฝ่ายขณะเคี้ยวอย่างช้าๆ ราวละเลียดรสชาติกว่าจะยอมบอก“รสชาติดี”“อย่างนั้นหรือ ดีใจจังที่ถูกใจท่าน”อีกฝ่ายกุมมืออย่างพออกพอใจ ดวงตาเป็นประกายอย่างดีใจกับคำชมของเขา ทว่าเยี่ยนเฉินกลับถอนหายใจ“สามเดือนแล้ว เจ้าฝึกฝนคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง”ผู้ที่ทำบะหมี่มาให้เขาชิมถึงถ้ำหน้าเจื่อนแล้วหลุบตาลงต่ำราวรู้ว่าจะถูกเขาดุ“สิ่งที่เจ้าควรใส่ใจคือการฝึกฝนบำเพ็ญเพียร”เสี่ยวเม่ยทำอาหารมาให้เขาทุกวัน นั่นทำให้เขาต้องย้ำแล้วย้ำอีกให้นางใส่ใจการบำเพ็ญตน หากอีกฝ่ายก็มักแก้ตัวว่าตนเองไม่เก่ง หัวทึบ เรียนรู้ช้า“ศิษย์พี่ซ่งบอกว่าข้าหัวไม่ดี ฝึกฝนบำเพ็ญตนร้อยปีหรือห้าร้อยปีก็คงไม่บรรลุเซียนขั้นต้น ข้าก็คิดว่าเช่นนั้น”“เช่นนั้นเจ้ายิ่งต้องฝึกฝน ไม่ใช่เอาเวลามาทำอาหาร”“ก็ตอนฝึกบำเพ็ญเพียรในหัวข้าตันไปหมด นั่งนิ่งๆ ก็ง่วงหลับไปทุกที ต่างจากเวลาทำอาหาร ข้าสนุกและมีความสุขมาก”“เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อฝึกทำอาหาร หากอยากติดตามข้า เจ้าต้องสำเร็จปราณเซียน”เยี่ยนเฉินเสียงเข้มอย่างกดดัน อยากให้เสี่ยวเม่ยขยันฝึกฝนมากกว่านี
สองมือเล็กส่งตะกร้าที่มีฝาปิดใส่อาหารมาให้ เยี่ยนเฉินรับไปแล้วเดินนำเสี่ยวเม่ยไปนั่งยังโต้ะหินที่ประจำด้านหน้าถ้ำ“ทำไมวันนี้ทำมาเยอะจริง”อีกฝ่ายช่วยเขาเปิดตะกร้าและจัดวางอาหารสามสี่อย่างจนกลายเป็นเต็มโต๊ะ“วันนี้ข้าจะมากินข้าวกับท่าน”“ไม่เห็นจำเป็นต้องเสียเวลาทำมากมายเช่นนี้”เขาดุทำให้คนที่ยิ้มสดใสส่งมาหน้าสลดลง“ทำมาอย่างเดียวก็กินด้วยกันได้”ดวงตาคู่เรียวงามของเสี่ยวเม่ยมีแววเศร้าจนเขารู้สึกได้ แต่เจ้าตัวก็ยิ้มขึ้นอีกครั้ง“ข้าอยากทำ เพราะต่อจากนี้คงไม่ได้ทำอาหารมาให้ท่านทุกวันอีกแล้ว”เยี่ยนเฉินขยับคิ้วขึ้นสูง ในใจวูบโหวงประหลาด หากยังไม่ได้ถามอีกฝ่ายก็พูดต่อ“ข้าคิดว่าจะมุ่งมั่นกับการบำเพ็ญเพียร อาจารย์เห็นว่าเวลานี้ข้าควรเริ่มบำเพ็ญตบะ แต่ศิษย์พี่บอกว่าใจข้ายังไม่นิ่ง ไม่มีสมาธิยากจะกำหนดจิตใจให้สงบเพื่อบำเพ็ญได้ ข้าไม่อยากคนอื่นต้องกังวลไปกับข้า รวมทั้งท่านด้วย ข้าจะพยายามให้มากกว่านี้”เยี่ยนเฉินฟังเด็กสาวพูดแล้วก็ยิ้มบางมุมปาก รู้สึกราวอีกฝ่ายโตขึ้นภายในเวลาเพียงข้ามคืนอย่างไรอย่างนั้น“ดีนัก เจ้าคิดได้เช่นนี้นับว่าดีต่อตัวเจ้าเอง ข้าเห็นด้วย”พร้อมพูดมือหนาก็ยื่นมาวางลงอย่
การประลองฝีมือครั้งนี้อินกวางอวี่เข้าร่วมด้วย รวมทั้งสือเจาฉินและเยี่ยนเฉินในนามจ้าวชุนเทียน เขาเป็นผู้ที่เข้ามาในสำนักได้เพียงสามเดือนทำให้หลายคนจับตามอง ไม่ใช่ชื่นชม ทว่าสบประมาทว่าไม่น่าจะผ่านรอบแรกต่างหากทว่าศิษย์คนใหม่กลับผ่านรอบแรกไปได้ชนิดที่ขยับตัวเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ผู้ฝึกมาสามปีกระเด็นออกนอกลานประลองได้ ทั้งที่อีกฝ่ายบุกก่อนแต่กลับไม่สามารถซัดพลังใส่เขาได้เลยสักครั้ง“ดี มีฝีมือ”อาจารย์ใหญ่เหลียงเฟิ่งปรบมือให้อย่างชื่นชม อีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสผมสีทอง มีความสัมพันธ์ชิดใกล้กับเผ่าวิหค ดูแลสำนักเซียนแห่งนี้มานานจนไม่อาจจำได้แล้ว เนื่องด้วยผู้ก่อตั้งขึ้นไปเป็นเทพเซียนชั้นสูงบนสวรรค์ เรื่องนี้เยี่ยนเฉินได้ยินจากเจาฉิน เขามีอีกฝ่ายเป็นเหมือนสหายแล้วในเวลานี้“จ้าวชุนเทียนคงได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนัก ท่านหลี่เหวินได้ศิษย์ที่เก่งกาจเพิ่มอีกคนแล้วสิ”“ศิษย์พี่กล่าวเกินไปแล้ว”อาจารย์ของเขาเอ่ยพร้อมยิ้มบางจากนั้นกวางอวี่ก็ทำการต่อสู้ต่อจากเขาและเอาชนะมาอย่างง่ายดายเช่นกัน เจาฉินเองก็ผ่านมาจนถึงรอบที่สามและแพ้ในรอบต่อมาให้กับศิษย์ของอาจารย์อามู่อิงอินอี้โหรว“นางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของศิษ
“ได้โปรดเถิด ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”ดวงหน้างดงามสะบัดอย่างทุรนทุราย เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก จนเมื่อร่างสูงใหญ่กระตุกสั่นรุนแรงพร้อมโถมกายมาเต็มตัว อวี้หลันก็ผวาอีกครั้งทั้งกรีดร้องแหบพร่าอย่างสุดกลั้น ขณะหูแว่วเสียงเข้มคำรามดังไม่ต่างจากตนก่อนร่างหนาหนักจะทิ้งลงมาซุกซบนาง แขนเรียวโอบกอดเรือนกายใหญ่โตไว้อย่างเต็มอกเต็มใจพลางยิ้มบางทั้งที่น้ำตาซึมเป็นครั้งแรกที่ได้รับบทรักในฐานะอวี้หลัน หากก็สุขล้นหัวใจเหมือนได้กลับมาโอบกอดคนที่ตนรักดังเช่นเมื่อครั้งเป็นเสี่ยวเม่ย“ข้ารักท่าน พี่เยี่ยนเฉิน”นางเอ่ยกับอีกฝ่ายเสียงเบา“ข้าก็รักเจ้ามากอวี้หลัน”เยี่ยนเฉินเอ่ยตอบแล้วจูบหน้าผากชื้นเหงื่อ หัวใจชุ่มฉ่ำกับคำรักของผู้เป็นดั่งดวงใจเพียงนางเดียวของตนอวี้หวันยิ้มปลาบปลื้มกับคำรักจากอีกฝ่ายมือบางลูบไหล่กับแผ่นหลังกว้างแล้วก็รู้สึกได้ถึงรอยแผลหลายรอยที่ดูคล้ายแซ่ ทำให้ยิ่งขอบตาร้อนผ่าวชายหนุ่มต้องเจ็บปวดทรมานเพียงไหนหนอเมื่อรับทัณฑ์สายฟ้า และผู้ที่ไม่เคยยอมอยู่ภายใต้ผู้ใดกลับต้องเป็นทหารยามในวังสวรรค์ หัวใจแกร่งหยิ่งทระนงของบุรุษที่นางชื่นชมต้องทุกข์ทนเพียงใด“พี่เยี่ยนเฉิน ข้าขอบคุณท่านนักที่ไม่ละทิ้ง
“อื้ม หอมชื่นใจ”ร่างสูงใหญ่ที่โอบกอดจากด้านหลังพร้อมกับหอมลงมาบนแก้มตนทำให้อวี้หลันที่กำลังจะเข้านอนสะดุ้ง ส่วนม่านม่านซึ่งจัดเตรียมที่นอนอยู่ก็ตาโตรีบเลี่ยงหลบหนีทันใด เพราะกลัวว่าจะถูกทำให้หายไปอีก“อ้าว ม่านม่าน ไปไหนล่ะ”“คงกลัวจะหายไปน่ะสิ”เยี่ยนเฉินบอกพร้อมยิ้มมุมปากแล้วก็ต้องร้องเบาๆ“โอ๊ย นิ้วเล็กแค่นี้พิษร้ายแรงจริงเชียว”พร้อมพูดชายหนุ่มก็จับมือบางมาจุมพิตส่งสายตาคมกริบวาววามให้เจ้าของร่างนุ่มนิ่ม“ยังยิ้มอีก ปีศาจนิสัยไม่ดี”อวี้หลันเสียงขุ่น ไม่ชอบใจนักที่อีกฝ่ายนึกสนุกเมื่อทำให้ม่านม่านกลัวเยี่ยนเฉินเพียงหัวเราะในลำคอแล้วจูบแก้มนุ่มซ้ำอีกครั้งก่อนไต่ลงซอกคอหอม ขณะที่หญิงสาวย่นคอหลบเลี่ยง“อื้อ อย่า...”“โธ่...อวี้หลันคนดี ท่านพ่อเจ้าให้ข้าปลูกดอกไม้แทบจะทั้งภูเขากว่าจะเสร็จก็หลายเดือน มีอย่างที่ไหนให้องครักษ์ไปปลูกต้นไม้ดอกไม้ เจ้าจะทรมานข้าอีกคนหรืออย่างไร”เยี่ยนเฉินบ่นอุบ นับแต่มาถึงเผ่าบุปผา บิดาของนางก็เอาแต่มองเขาตาขวางแต่ไม่อาจไล่ได้เพราะเป็นราชโองการ แล้วเขาก็ถูกสั่งให้ปลูกต้นดอกอวี้หลันด้วยมือตนเอง จากด้านหลังกระท่อมริมเขาที่ตนอาศัยไปตามเส้นทางขึ้นเขา เหมือนเ
“เขาปกป้องข้า ไม่ผิดอันใด”หญิงสาวเอ่ยสวนพร้อมทั้งรีบขยับไปคุกเข่าต่อหน้าท่านปู่ของตนพลางส่งสายตาขอร้องให้เห็นใจ“ทูลฝ่าบาท ทหารผู้นี้เป็นทหารองครักษ์ที่ฮองเฮารับสั่งแต่งตั้งที่มีความชอบเมื่อวานนี้เพคะ เขาทำหน้าที่ระมัดระวังช่วยเหลืออวี้หลัน นับว่าเหมาะสมแล้วเพคะ”องค์จักรพรรดิรับรู้ในข้อนี้จากหัวหน้าองครักษ์แล้ว ราชินีสวรรค์ไม่ได้รู้เห็นว่าเยี่ยนเฉินผู้นี้คือปีศาจผู้มีดาวชะตามาร ทั้งกายยังมีปราณเทพเซียนกลบไอปีศาจ หากมีความชอบจะได้รับการแต่งตั้งก็คงไม่ผิดนัก พระองค์เองก็ได้รับรายงานถึงพฤติกรรมที่ตรงเผงและอยู่ในรูปในรอยไม่เคยผิดวินัยของอีกฝ่ายเสมอ ทั้งฝีมือยังเก่งกาจหาตัวจับยาก หากจะแต่งตั้งเป็นองครักษ์ก็ย่อมได้“เทพธิดา ท่านเอ่ยราวรู้จักทหารยามผู้นี้เป็นอย่างดี น่าแปลกนัก”ชิงหลุนมองด้วยสายตาสงสัยอวี้หลันเม้มปาก รู้ว่ากำลังถูกหยั่งเชิง หากยอมรับว่ารู้จักคุ้นเคยทหารยามเป็นอย่างดี ก็จะทำให้ตำแหน่งเทพธิดาบุปผาเสียหาย นางสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะเอ่ยขึ้น“ไม่รู้จักได้อย่างไร ในเมื่อฮองเฮาแต่งตั้งทหารผู้นี้เป็นทหารองครักษ์ แล้วรับสั่งให้ดูแลคุ้มกันข้ากลับเผ่าบุปผา”นางพยายามส่งสายตาขอกั
“เยี่ยนเฉินหรือ?”ราชินีสวรรค์มองทหารยามอย่างพินิจ ท่าทางองอาจดูไม่หวั่นเกรงต่อผู้ใด สายตามั่นคงไม่วอกแวก ทั้งยังปราดเข้ามาสยบสัตว์เวทที่แม้แต่เทพเซียนผู้เป็นเจ้าของยังไม่อาจปราบได้ในชั่วพริบตา ทำให้รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย“ความชอบของเจ้าครั้งนี้ ข้าคงต้องมีรางวัลเสียแล้ว”“เป็นหน้าที่กระหม่อมอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนเฉินเอ่ยเสียงเรียบอวี้หลันจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่ละสายตา พยายามจะสบตาอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ ทว่าเขากลับมองต่ำเพียงอย่างเดียว ทำให้นึกขัดใจนัก“ถึงอย่างไรข้าก็อยากตอบแทนน้ำใจเจ้า”“กระหม่อมไม่...”“เอาอย่างนี้ไหมเพคะ ในเมื่อเขาบอกว่าเป็นหน้าที่ ฮองเฮาก็แต่งตั้งเขาเป็นองครักษ์ให้เป็นรางวัลแทนสิ่งของ”อวี้หลันถือโอกาสเสนอ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่มองตนหญิงสาวเคืองจนแอบถอนหายใจ“อืม นั่นสินะ เช่นนั้นข้าจะบอกกับหัวหน้าองครักษ์ให้แต่งตั้งเจ้าเป็นองครักษ์สวรรค์ก็แล้วกัน”“เป็นพระมหากรุณาพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนเฉินจำต้องรับไว้ แต่ก็ยังก้มหน้าราวเจียมตนเช่นเดิมผู้เป็นเทพธิดาบุปผาเม้มริมฝีปาก กรุ่นโกรธคนที่หมางเมินต่อตนราวไม่สนใจไยดีเมื่อมีโอกาสอยู่ในที่พักของตนยังตำหนักราชิ
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดหนี”ไท่จื่อซึ่งเป็นผู้คุมตัวตนมาเอ่ยขึ้น ทำให้เยี่ยนเฉินเหลือบมองอย่างหงุดหงิด หากก็ไม่เอ่ยสิ่งใด“แต่เจ้าอาจหลงลืมไปว่าเทพธิดาบุปผาก็มักจะขึ้นมาบนสวรรค์อยู่เนืองๆ ในโอกาสต่างๆ”คำบอกนี้ทำให้เยี่ยนเฉินหยุดเดิน ขณะที่ผู้เป็นไท่จื่อเพียงก้าวเดินต่อไปไม่หันกลับ“อะแฮ่ม”ผู้ที่กระแอมคือหวังหย่งผู้ติดตามไท่จื่อแล้วผายมือให้ปีศาจหนุ่มเดินต่อเยี่ยนเฉินจำต้องก้าวต่อเพื่อไปยังแท่นรับสายฟ้า หากก็ครุ่นคิดไปด้วย แม้แปลกใจที่ไท่จื่อสวรรค์เอ่ยกับตนเช่นนี้ แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าถ้าหนีเขาอาจไม่ได้พบเจอกับอวี้หลันอีก สวรรค์คงต้องหาทางคุ้มกันเทพธิดาเผ่าบุปผาเข้มงวดกว่าก่อนหน้านี้ ทว่าหากอยู่บนสวรรค์ก็ยังมีโอกาสได้เห็นคนที่ตนรักเมื่อมาถึงยังแท่นรับสายฟ้า ไท่จื่อก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง“หญิงสาวที่เจ้ารักอยู่ไกลเกินเอื้อม หากเจ้าจริงใจต่อนาง ย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไร ความรักอาจไม่จำเป็นต้องครอบครอง เพียงได้เห็นผู้ที่ตนรักใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขก็เพียงพอ ทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเจ้า”จิ่นลี่นั้นไม่ได้ต้องการให้หลานสาวตนลงเอยกับปีศาจตนนี้ แต่ก็รู้ดีว่าหัวใจไม่อาจบังคับได้ ทั้งยัง
ร่างสูงใหญ่ก้าวตามผู้เป็นอาเข้าประตูสวรรค์มาด้วยใบหน้านิ่งขรึม แม้ไม่เต็มใจและมีแผนในหัว หากก็พยายามตีสีหน้าเฉยเข้าไว้เพื่อที่ราชาปีศาจจะได้อ่านความในใจตนไม่ออก พลางสายตาก็กวาดมองสวรรค์ชั้นฟ้าที่งดงามด้วยสายตาดูแคลน ไม่มีความชื่นชมหรือตื่นตาตื่นใจแต่อย่างใด กระทั่งมาถึงยังท้องพระโรงที่มีร่างขององค์จักรพรรดินั่งอยู่บนบัลลังก์และไท่จื่อยืนอยู่ด้านหนึ่ง“องค์จักรพรรดิ”ราชาปีศาจเอ่ยขึ้นพร้อมก้มหัวคำนับเล็กน้อยขณะที่เยี่ยนเฉินยืนเฉย ผู้เป็นอาจึงเอ่ย“เยี่ยนเฉิน”ผู้ถูกเรียกถอนหายใจ ก่อนจะจำใจเอ่ยเสียงดังทั้งที่ยืนนิ่ง“เยี่ยนเฉินคำนับองค์จักรพรรดิ”“เจ้ายอมมาถึงที่นี่ คงเตรียมใจไว้แล้วสินะ”จักรพรรดิจินหวงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ หากสายตาที่มองชายหนุ่มรูปร่างองอาจทว่าหน้าตางามล้ำโดดเด่นนั้นบอกชัดว่าไม่ชอบใจ เพราะอีกฝ่ายทำให้หลานสาวสุดรักต้องเสียศักดิ์ศรี“จะทำอย่างไรก็เชิญ”เยี่ยนเฉินเชิดหน้ามองตรงไม่หลบเลี่ยง“ความผิดเจ้าใหญ่หลวงนัก ทั้งยึดสำนักชิงเชิง ปลุกระดมบังคับศิษย์ในสำนักให้แข็งข้อก่อกบฏต่อขุนเขากลางเวหา แล้วยัง...”“ลอบเข้าไปอุ้มเทพธิดาบุปผา...”“บังอาจ!”ร่างสูงขององค์จักพรรดิลุกขึ้นห
“ความรักหัวใจของเรากำหนด เราไม่อาจเลือกเองได้ว่าจะรักหรือไม่รัก”นางเอ่ยพลางจับหน้าอกของตัวเอง“หัวใจของลูกเจ็บปวดที่เขาจะจากไป ลูกห้ามใจตัวเองไม่ได้ และหากไม่ทำสิ่งใดเลย ลูกคงอยู่ไม่ได้ ท่านพ่อเห็นใจลูกเถิด”หนิงเฟิ่งสงสารลูก ทั้งปวดใจตามจนทนไม่ได้ นางจับมือของสวามีพร้อมเอ่ยขอ“ท่านพี่ หลันเอ๋อร์เพียงขอชีวิต ไม่ได้ขอให้ละเว้นโทษ ช่วยลูกของเราเถิด”เจิ้งหานสบตากับชายาตน อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมส่งสายตาขอร้อง เพราะหากเขาไม่รับปากบุตรสาวก็คงดื้อรั้นอยู่เช่นนี้“จะฟื้นขึ้นมาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่เอาเถิด พ่อรับปากว่าจะขอให้ท่านปู่เว้นโทษตายก็ได้ แต่โทษเป็นก็คงสาหัสไม่ต่างกับตายทั้งเป็นเช่นกัน”เอ่ยจบเขาก็เดินจากไปด้วยความไม่พอใจ ไม่อยากตามใจอวี้หลันจนเกินควร แต่ไม่อาจใจแข็งกับบุตรสาวได้อวี้หลันได้แต่มองตามบิดาตนแล้วก็สะอึกสะอื้นเบาๆ เพราะไม่รู้ว่าผลสุดท้ายแล้วชายหนุ่มจะเป็นอย่างไร จะฟื้นหรือไม่“หลันเอ๋อร์”หนิงเฟิ่งพยุงบุตรสาวตนอีกครั้ง อีกฝ่ายก็โผเข้ามากอดแทนที่จะยอมลุกขึ้น“ท่านแม่ ลูกผิดหรือเจ้าคะ ลูกผิดที่ผูกพันใจกับปีศาจใช่ไหมเจ้าคะ”“โถ...ลูกแม่”ผู้เป็นแม่ทำได้เพียงโอบกอดบุ
จิตใจอวี้หลันไม่เป็นสุขแม้กลับมายังเผ่าบุปผาหลายวันแล้ว การไม่มีม่านม่านอยู่ด้วยทำให้นางไม่อาจบอกเล่าความในใจกับผู้ใดได้ บิดาของนางไม่เอ่ยถึงข่าวคราวใดจากทางสวรรค์หรือเผ่าปีศาจ ส่วนมารดานั้นแม้จะคอยมาอยู่ด้วยอย่างเป็นห่วงกระทั่งนางเข้านอนจึงกลับไป ทว่าอวี้หลันรู้สึกราวกำลังถูกจับตามองมากกว่านางนอนไม่หลับพลิกไปพลิกมาจนสุดท้ายก็ลุกขึ้นนั่ง มองมือสองข้างของตนที่กดกระบี่ใส่ปีศาจตนนั้นแล้วก็น้ำตาเอ่อคลอ“เจ้าคือพี่เยี่ยนเฉินจริงหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร”แม้คิดว่ายากจะเป็นไปได้ แต่กลับไม่มั่นใจเอาเสียเลย เพราะอีกฝ่ายรู้จักชื่อ ‘เสี่ยวเม่ย’ ของนาง ราชาปีศาจเองก็เรียกเขาว่า‘เยี่ยนเฉิน’ หากเป็นเรื่องจริงเท่ากับนางลงมือสังหารคนรักในชาติมนุษย์ด้วยมือตนเอง อวี้หลันอดปวดร้าวใจกับความกลัวนี้ไม่ได้นางอยากรู้คำตอบ อยากรู้ความจริง แต่ไม่รู้จะได้มาอย่างไร“ถ้ำนั้นอยู่ที่ใดข้าก็ไม่รู้”ถึงอยากไปที่นั่นด้วยตนเองอีกครั้ง อยากรู้ว่าชายหนุ่มดีขึ้นหรือยังพร้อมสอบถามเรื่องที่สงสัย แต่บิดามารดาคงไม่ยอมให้นางคลาดสายตา อวี้หลันรู้สึกได้ถึงสายตาเคร่งเครียดจากบิดาทว่าท่านกลับไม่ถามสิ่งใดแน่นอนว่าสตรีที่อยู่กับบ
“เขายังมีชีวิตอยู่”“จริงหรือ”อวี้หลันหันถามอย่างมีความหวังขึ้นมา และก็ได้รับการพยักหน้าตอบกลับจากราชาปีศาจ ทว่าสะดุดใจชื่อที่อีกฝ่ายเรียกชายหนุ่ม“แต่กระบี่นี้สามารถทำลายวิญญาณอมตะได้ไม่ใช่หรือ”นางเอ่ยด้วยความแปลกใจ แต่ชายหนุ่มยังไม่สูญสลายไปหลังจากถูกนางแทง นั่นเท่ากับว่าเขาอาจยังพอมีทางรอด“กระบี่นี้ ดูเหมือนจะเป็นกระบี่อินทรีไร้พ่ายที่ท่านเทพอาจารย์ของเจ้าสำนักชิงเฉิงสร้างขึ้น ข้าจำได้ตอนไปพบเทพอาจารย์พร้อมท่านเหลียงเฟิ่ง”แม่ทัพสือเฟิ่งก้าวเข้ามาดูใกล้ๆ ด้วยการจะเข้าประตูสวรรค์นั้นไม่ใช่ผู้ใดก็เข้าได้ ตนจึงต้องพาเจ้าสำนักเหลียงเฟิ่งไปพบเทพอาจารย์แห่งสำนักชิงเฉิง“ใช่เจ้าค่ะท่านตา”อวี้หลันรีบสำทับแม่ทัพแห่งเผ่าวิหค ซึ่งเป็นน้องชายราชาวิหคท่านตาของนาง“แต่เท่าที่รู้ กระบี่นี้จะไม่สังหารผู้ที่เป็นเจ้าของกระบี่”คำบอกของผู้ที่นับได้ว่าเป็นตาของตนอีกคนทำให้อวี้หลันหันมองผู้เจ็บอย่างเต็มตา ใบหน้าคมคายที่ล้ำเลิศหาผู้ใดเทียมยากนี้ต่างจากเยี่ยนเฉินโดยสิ้นเชิง ทว่าแม้แต่ราชาปีศาจก็ยังเรียกชายหนุ่มด้วยชื่อนี้ มันหมายความว่าอย่างไร นางได้แต่ครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ“หากยังไม่ตาย ก็ต้องควบคุ