“พี่จ๋า... พี่จ๋า... อา... ซี้ด...”
เสียงละล่ำละลักร้องเรียกเขาไม่หยุด เมื่อปลายจมูกซุกไซ้อยู่ในต้นขาด้านใน เขารู้ว่าเธอกำลังใจจะขาด สัญชาตญาณของหญิงสาวเรียกร้องให้เขาไปถึงยังจุดนั้น แต่เขาก็ยังไม่อยากไป เขาอยากจะทรมานดอกไม้แสนจะบอบบางของเขาดอกนี้เล่น อยากเห็นเธอครวญคราง อยากเห็นเธอร่ำร้องด้วยสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตที่ต้องการผสมพันธุ์ อยากรู้ว่าเธอจะเรียกหาตัวตนของเขาทั้งที่ไม่เคยรู้ว่ามันมีไว้ใช้ทำอะไรหรือเปล่า
“อา... พี่จ๋า... ช่วยฉันด้วย... พี่จ๋า... อา... พี่จ๋า... โอย... พี่... ฉันจะตายแล้ว... พี่... ฮือ...”
ร่างน้อยสะอื้นฮึกฮักจากความอัดอั้นที่ร่างกายประท้วงเรียกร้อง เธอกำลังทรมาน เธอกำลังร่ำร้องหาอะไรก็ไม่รู้ที่จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการที่มากล้น อะไรบางอย่างที่เธอรู้ดีว่าเขามี บางสิ่งที่เขาให้เธอได้แต่ไม่ยอมให้
“ฮือ... พี่ทำฉันทำไม... ฮือ...”
“โอ๋... พี่กำลังจะให้เดี๋ยวนี้ แต่น้องต้องสัญญานะว่าจะไม่ถอยหนี จะต้องสู้กับมัน แล้วน้องจะได้ขึ้นสวรรค์หลายๆ ครั้ง”
ชบาพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ดวงตาเบิกกว้างมองเรือนร่างเปล่าเปลือยของเขาที่เคลื่อนกายมาอยู่กึ่งกลางร่างกายของเธอ ต้นขาขาวนวลถูกแยกออกจากกันจนสุด ก่อนจะวางพาดอยู่บนต้นขาของเขา และ ณ ที่ตรงนั้น ชบาก็ต้องลอบกลืนน้ำลายพร้อมเลียไล้ริมฝีปากที่แห้งผากอย่างไม่รู้ตัว เมื่อปลาช่อนตัวโตที่เห็นอยู่ในน้ำเมื่อครู่มันกำลังอยู่ชิดติดกับตัวเขา
ปลายหัวมันวาบสีม่วงคล้ำ ผงกหัวขึ้นทักทายเธอราวกับมีชีวิต ชบาตาโตมองเขาอย่างหวาดหวั่น และรอยยิ้มปลุกปลอบใจที่ได้รับกลับทำให้ต้องพยักหน้าว่าพร้อมแล้ว เธอไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร รู้แต่ว่ามันจะต้องทำให้เธอได้ขึ้นสวรรค์ตามที่เขาบอกแน่ๆ และเจ้าปลาช่อนตัวนี้แหละที่จะว่ายน้ำพาเธอไป
“ปะ... ปลาช่อนของพี่... เอ่อ...”
“มันจะทำให้น้องมีความสุขไงจ๊ะ”
ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ปนอยากของเธอทำให้เขาลังเลใจ ปลาช่อนตัวเขื่องของเขาขนาดแหม่มสาวๆ ยังร้องโฮก แล้วนับประสาอะไรกับสาวน้อยบ้านป่า เธอจะทนได้เชียวเหรอ
หัวปลาสีม่วงเข้มถูไถไปมาแต่ภายนอก ทำให้ชบาลำคอแห้งผากรู้สึกกระหายน้ำเป็นอย่างมาก เธอรับรู้ได้ถึงความร้อนที่วิ่งวนอยู่ที่ดอกไม้ของเธอ มันกำลังคลุ้มคลั่งใกล้จะระเบิด มันกำลังเรียกร้องให้เธอทำอะไรสักอย่างเพื่อลดความอัดอั้นนั้น
“อื้อ... พี่จ๋า... ฉัน... ฉันอยาก... ฉันอยาก! พี่ทำฉันที! พี่ทำฉันที! ทำฉันสักที! อะ! กรี๊ดดดดด...”
พรวด...
อะไรบางอย่างที่กดแทงลงมาอย่างเร็วทั้งที่เมื่อครู่ยังคาอยู่บนดอกไม้ทำให้ชบาต้องกรีดร้องออกมาสุดเสียง ความเจ็บปวดวิ่งร้าวตั้งแต่ดอกไม้กลีบบางไปจนถึงปลายเท้า ตลอดจากปลายเท้ากระจายวาบไปทั่วทุกอณูเนื้อผิว ความเจ็บปวดซ่านลึกเสียจนทำให้เสียงร้องต่อๆ มาถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ
‘เจ็บจนร้องไม่ออก’ มันเป็นแบบนี้เอง ความเจ็บปวดนั้นมากกว่าถูกมีดบาดเป็นไหนๆ มันเหมือนราวมีใครมาแล่เนื้อบริเวณนั้น แล่ กรีดเนื้อ และปักมีดลงลึกเข้ามาในร่างกายของเธอ
“อูย... แน่นเหลือเกิน... โอย... แน่นที่สุด... อูย...”
นิธิตสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สะกดเก็บความเร่งเร้าที่เกิดขึ้นตามจังหวะที่เนื้อกายของสาวบ้านป่าขยับไปมา แรงตอดรัดจากด้านในโพรงดอกไม้แทบทำให้เขาพุ่ง ถ้าไม่ติดที่ว่าเขาจะต้องพาเธอให้ถึงสวรรค์เพื่อลดทอนความเจ็บปวดในขณะนี้ เขาก็คงจะปลดปล่อยตัวตนทั้งหมดออกมาทั้งที่ยังเข้าไปได้เพียงแค่ปลายหัว เพราะแรงบีบรัดนั้นมันมหาศาลจริงๆ
“อื้อ... เจ็บ... ฉันเจ็บ... โอย... เอาออกไป... เอาออกไป... เจ็บ... จะตายอยู่แล้ว... โอย...”
“ไม่ตายหรอก ใครๆ เขาก็ทำกัน มันจะเจ็บแค่ครั้งนี้เท่านั้น ถ้าน้องผ่านไปได้ น้องจะได้ขึ้นสวรรค์ น้องจะไม่เจ็บอีก อืม... อย่าดิ้น... พี่จะไปต่อ”
นิธิตกัดฟันกรอดเมื่อหญิงสาวพยายามพาตัวเองดิ้นรนจากเขา ฝ่ามือกดกระชับสะโพกผายก่อนจะค่อยๆ พาตัวตนขนาดใหญ่ออกมาจนเกือบสุด ปล่อยให้หญิงสาวถอนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาทำตามคำขอ แต่ผิดคาด
“อะ! อื้อ.... อื้อ....”
ชบาตาเหลือกโพลงเมื่อเขาอัดเจ้าปลาช่อนตัวโตเข้ามาในร่างของเธออย่างแรง เสียงกรีดร้องถูกปิดกั้นไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่ ร่างกายชาวาบไร้แรงดิ้นรนให้หลุดพ้น เมื่อเขาไม่เพียงกดกระหน่ำลงมาครั้งเดียวแต่ยังคงสาวเข้าสาวออกไม่หยุด ดั่งจะพาปลาตัวใหญ่ให้มุดลงไปในโพรงน้ำของเธอจนสุดทาง
แม้ความเจ็บจะแสนสาหัสแต่ความสงสัยใคร่รู้ก็มีมาก ชบาอดไม่ได้ที่จะผงกศีรษะขึ้นดูในยามที่เจ้าปลาช่อนมุดเข้ามุดออกในโพรงของเธอ ร่างกายบอบบางไร้ไขมันหน้าท้องกับดอกไม้กลีบบางที่บานโล่รอคอย ทำไมถึงได้มีที่ให้เจ้าปลาช่อนเข้ามาซุกซ่อนได้จนมิด ทั้งเจ้าปลายังทำเหมือนกับว่ายวนอยู่ภายในร่างกายของเธอได้อีกด้วย
ฝ่ามือแกร่งปาดไล่หยาดเหงื่อที่ไหลซึมผ่านคอเสื้อลงมาเป็นทาง ก่อนจะปลดรังดุมเสื้อเชิ้ตออกและกระพือเรียกลมเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะแผงอกด้านใน กว่า 2 ชั่วโมงที่เดินเท้าเข้ามาในป่าทำให้เหงื่อไหลโทรมกายไม่ต่างจากอาบน้ำ ทว่ามันไม่ใช่ความเย็นสดชื่นของสายน้ำ แต่มันเป็นความร้อนรุ่มของอุณหภูมิร่างกายที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะ ซึ่งทั้งหมดจะไม่เป็นอย่างนี้หากเขาตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ของรถมาเป็นอย่างดีรถจี๊ปสีเขียวไพลที่ใช้สำหรับสัญจรไปมาระหว่างปางไม้กับพื้นราบเกิดขัดข้องจนไม่สามารถแก้ไขได้ ทำให้เขาต้องจอดทิ้งไว้ที่แนวป่า ก่อนจะตัดสินใจเดินเท้าไปที่หมู่บ้านที่ใกล้กับปางไม้มากที่สุด เพราะหากจะเลือกเดินกลับลงไปที่ด้านล่างก็จะทำให้การเดินทางในวันนี้เสียเปล่า และหากจะเลือกเดินตรงไปยังปางไม้ก็อาจจะไปไม่ทันพลบค่ำ ทางที่ดีเขาควรเลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านป่าที่เคยเห็นว่าอาศัยอยู่แถวนี้จะดีกว่าเสียงน้ำตกที่ดังซู่อยู่ไม่ไกลทำให้ ‘นิธิต’ แน่ใจว่าอีกไม่นานคงถึงจุดหมาย เพราะน้ำเป็นสัญญาณของการมีชีวิต ที่ใดมีน้ำที่นั่นย่อมมีชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีกลุ่มชาวบ้านอาศัยอยู่แถวนี้แน่ฝีเท้าที่พยายามเร่งเดินเพื
ฝ่ามือค่อยๆ วางเป้ที่สะพายมาตลอดชั่วโมงอย่างเบามือ เสื้อผ้าลุยๆ สำหรับเดินป่าบนร่างแกร่งถูกถอดทิ้งไม่ไยดี ดวงตาคมเข้มมองจับแต่เพียงเรือนร่างงดงามที่สะกดสายตาเขาจนไม่อาจหลีกหนีไปทางไหนได้ และสายน้ำเย็นจัดก็ไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนใจเพราะทั่วทั้งกายเนื้อในขณะนี้มันร้อนรุ่มรุมเร้าราวคนมีไข้ และมันคงจะไข้หนักถึงตายหากไม่ได้ความงดงามตรงหน้านี้มาเติมเต็ม“น้องปลาจ๋าจะหนีไปไหน หนีนักนะ เดี๋ยวจะไม่ให้กินข้าวด้วย”หญิงสาวหันซ้ายหันขวามองหาเจ้าปลาตัวน้อยที่ดำผุดดำว่ายอยู่รอบๆ ตัว ทุกเย็นเมื่อมีเศษข้าวหรือเศษผักเหลือ เธอก็ไม่ลืมที่จะนำมาเผื่อแผ่ให้กับเจ้าของสถานที่ที่เธอมาพึ่งพา เช่นเหล่ามดเหล่าแมลงที่เป็นเจ้าของพื้นดินที่พัก และในลำธารแห่งนี้ที่เธอใช้เป็นที่ชำระล้างร่างกายให้สะอาด เธอก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันเศษอาหารนั้นให้แก่หมู่ปลาความเพลิดเพลินอันเป็นสิ่งที่กระทำอยู่ทุกวันทำให้ละเว้นจากสิ่งระแวดระวังตัว ลืมเสียสิ้นว่าพ่อให้กลับก่อนพลบค่ำ แต่แม้จะนึกได้ในยามนี้ก็คงจะสายเสียแล้วเมื่อหมู่ปลาที่อยู่รอบร่างเปล่าเปลือยต่างว่ายวนแตกฮือราวกับหนีอะไรบางอย่าง และระลอกน้ำที่กระเพื่อมไหวกว่าปกติก็ทำให้ดวงตากล
“ชื่ออะไร”หญิงสาวยังไม่ตอบ เธอนิ่งเหมือนครุ่นคิดทั้งที่เขาได้ยินชัดเจนว่าเธอพูดได้“ฉันจะทำให้เธอพูดให้ได้”ฝ่ามือประคองสองแก้มให้ใบหน้างดงามแหงนขึ้นรับสัมผัสปรารถนาจากเขา จนกายสาวสั่นสะท้านต่อต้านเล็กน้อยตามสัญชาตญาณแต่มันก็ไม่ทันแล้ว เพราะในเวลานี้ต่อให้มีช้างทั้งโขลงมาฉุดเขาก็คงจะหยุดไม่ได้กลีบปากบอบบางละมุนนุ่มราวกับกลีบดอกไม้ ทว่าช่างงดงามอ่อนหวานเสียจนทำให้เขาหลงละเมอไปกับความไม่ประสานั้น เธอโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ว่าปลายลิ้นของเขาจะแตะตรงไหน จะกวาดต้อนไปที่ใด กลีบปากบอบบางและเรียวลิ้นเล็กๆ นั้นก็คล้ายสะท้านและสั่นไหวไปมาราวดอกไม้กลีบบางกำลังแตะต้องแรงลมทันทีที่เขาถอนริมฝีปากออกและไล่ลงมาตามลำคอระหงขณะที่ฝ่ามือแกร่งโอบประคองสองเต้าอวบอัดและบีบเคล้นแต่เบามือ ใบหน้างามก็แหงนไปด้านบนให้เขาซุกไซ้จมูกโด่งลงที่โนมเนื้อได้อย่างถนัดก่อนเสียงน้อยๆ นั้นจะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างบางเบา อ่อนหวาน ทว่าเขายังได้ยิน“อา... อื้อ...”"อืม... ดีมาก ปลดปล่อยออกมา ร้องอย่างที่เธออยากร้อง พูดตามที่เธอรู้สึกและต้องการ อา... เธอสวยเหลือเกิน”นิธิตย่อกายชันเข่าลงในน้ำ ใช้ท่อนแขนช้อนเบื้องหลังของเธอแนบชิดทำให
นิธิตก้มมองความสวยงามอย่างตกตะลึง ความงดงามที่เห็นอยู่ใต้สายน้ำเย็นเฉียบว่างดงามแล้วนั้น ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เห็นอยู่นี้เมื่อเส้นไหมแพรดำอ่อนละมุนนิ้วมือ เปียกเรียบลู่ไปกับดอกไม้ที่ยังคงปิดสนิท ราวกับจะบอกว่า ดอกไม้แสนงามนี้ยังไม่เคยมีแมลงตัวใดได้เชยชม และเขาก็เป็นแมลงตัวแรกที่กำลังอาจหาญเด็ดดอกไม้งดงามแห่งผืนป่า ไม่รอช้า นิธิตใช้ปลายนิ้วแตะสัมผัสทันที“อื้อ... พี่จะทำอะไรฉัน... พี่...”“พี่จะทำให้น้องมีความสุขยังไงครับ นะครับคนดี เชื่อพี่นะครับ”ชบาพยักหน้ายอมรับอย่างว่าง่าย ไม่ใช่ว่าเชื่อตามที่เขาบอก แต่สัมผัสจากน้ำหนักนิ้วมือที่แตะไต่ลงมาทำให้เธอต้องแหงนหน้ามองผนังหินด้านบนอย่างไม่รู้จะต้องทำยังไงดี เพราะในใจร้องสั่งให้เธอนอนราบและปล่อยให้เขามอบความสุขให้ตามปากว่าอย่างเต็มที่ แต่อีกใจหนึ่งนั้นก็ร้องประท้วงให้ดวงตาจ้องมองการกระทำของเขาไม่กะพริบ เพราะเขากำลังทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอ“อูย... พี่จ๋า... พี่จะทำอะไร นั่น... ไม่ได้นะ ไม่ได้... นั่นมัน...”ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอีก เมื่อเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเกินกว่าผู้ชายทุกคนที่เธอเคยเห็น ก้มลงหาส่วนนั้น... เธอย่อมร
“พี่จ๋า... พี่จ๋า... อา... ซี้ด...”เสียงละล่ำละลักร้องเรียกเขาไม่หยุด เมื่อปลายจมูกซุกไซ้อยู่ในต้นขาด้านใน เขารู้ว่าเธอกำลังใจจะขาด สัญชาตญาณของหญิงสาวเรียกร้องให้เขาไปถึงยังจุดนั้น แต่เขาก็ยังไม่อยากไป เขาอยากจะทรมานดอกไม้แสนจะบอบบางของเขาดอกนี้เล่น อยากเห็นเธอครวญคราง อยากเห็นเธอร่ำร้องด้วยสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตที่ต้องการผสมพันธุ์ อยากรู้ว่าเธอจะเรียกหาตัวตนของเขาทั้งที่ไม่เคยรู้ว่ามันมีไว้ใช้ทำอะไรหรือเปล่า“อา... พี่จ๋า... ช่วยฉันด้วย... พี่จ๋า... อา... พี่จ๋า... โอย... พี่... ฉันจะตายแล้ว... พี่... ฮือ...”ร่างน้อยสะอื้นฮึกฮักจากความอัดอั้นที่ร่างกายประท้วงเรียกร้อง เธอกำลังทรมาน เธอกำลังร่ำร้องหาอะไรก็ไม่รู้ที่จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการที่มากล้น อะไรบางอย่างที่เธอรู้ดีว่าเขามี บางสิ่งที่เขาให้เธอได้แต่ไม่ยอมให้“ฮือ... พี่ทำฉันทำไม... ฮือ...”“โอ๋... พี่กำลังจะให้เดี๋ยวนี้ แต่น้องต้องสัญญานะว่าจะไม่ถอยหนี จะต้องสู้กับมัน แล้วน้องจะได้ขึ้นสวรรค์หลายๆ ครั้ง”ชบาพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ดวงตาเบิกกว้างมองเรือนร่างเปล่าเปลือยของเขาที่เคลื่อนกายมาอยู่กึ่งกลางร่างกายของเธอ ต้นขาขาวนวลถู
นิธิตก้มมองความสวยงามอย่างตกตะลึง ความงดงามที่เห็นอยู่ใต้สายน้ำเย็นเฉียบว่างดงามแล้วนั้น ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เห็นอยู่นี้เมื่อเส้นไหมแพรดำอ่อนละมุนนิ้วมือ เปียกเรียบลู่ไปกับดอกไม้ที่ยังคงปิดสนิท ราวกับจะบอกว่า ดอกไม้แสนงามนี้ยังไม่เคยมีแมลงตัวใดได้เชยชม และเขาก็เป็นแมลงตัวแรกที่กำลังอาจหาญเด็ดดอกไม้งดงามแห่งผืนป่า ไม่รอช้า นิธิตใช้ปลายนิ้วแตะสัมผัสทันที“อื้อ... พี่จะทำอะไรฉัน... พี่...”“พี่จะทำให้น้องมีความสุขยังไงครับ นะครับคนดี เชื่อพี่นะครับ”ชบาพยักหน้ายอมรับอย่างว่าง่าย ไม่ใช่ว่าเชื่อตามที่เขาบอก แต่สัมผัสจากน้ำหนักนิ้วมือที่แตะไต่ลงมาทำให้เธอต้องแหงนหน้ามองผนังหินด้านบนอย่างไม่รู้จะต้องทำยังไงดี เพราะในใจร้องสั่งให้เธอนอนราบและปล่อยให้เขามอบความสุขให้ตามปากว่าอย่างเต็มที่ แต่อีกใจหนึ่งนั้นก็ร้องประท้วงให้ดวงตาจ้องมองการกระทำของเขาไม่กะพริบ เพราะเขากำลังทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอ“อูย... พี่จ๋า... พี่จะทำอะไร นั่น... ไม่ได้นะ ไม่ได้... นั่นมัน...”ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอีก เมื่อเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเกินกว่าผู้ชายทุกคนที่เธอเคยเห็น ก้มลงหาส่วนนั้น... เธอย่อมร
“ชื่ออะไร”หญิงสาวยังไม่ตอบ เธอนิ่งเหมือนครุ่นคิดทั้งที่เขาได้ยินชัดเจนว่าเธอพูดได้“ฉันจะทำให้เธอพูดให้ได้”ฝ่ามือประคองสองแก้มให้ใบหน้างดงามแหงนขึ้นรับสัมผัสปรารถนาจากเขา จนกายสาวสั่นสะท้านต่อต้านเล็กน้อยตามสัญชาตญาณแต่มันก็ไม่ทันแล้ว เพราะในเวลานี้ต่อให้มีช้างทั้งโขลงมาฉุดเขาก็คงจะหยุดไม่ได้กลีบปากบอบบางละมุนนุ่มราวกับกลีบดอกไม้ ทว่าช่างงดงามอ่อนหวานเสียจนทำให้เขาหลงละเมอไปกับความไม่ประสานั้น เธอโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ว่าปลายลิ้นของเขาจะแตะตรงไหน จะกวาดต้อนไปที่ใด กลีบปากบอบบางและเรียวลิ้นเล็กๆ นั้นก็คล้ายสะท้านและสั่นไหวไปมาราวดอกไม้กลีบบางกำลังแตะต้องแรงลมทันทีที่เขาถอนริมฝีปากออกและไล่ลงมาตามลำคอระหงขณะที่ฝ่ามือแกร่งโอบประคองสองเต้าอวบอัดและบีบเคล้นแต่เบามือ ใบหน้างามก็แหงนไปด้านบนให้เขาซุกไซ้จมูกโด่งลงที่โนมเนื้อได้อย่างถนัดก่อนเสียงน้อยๆ นั้นจะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างบางเบา อ่อนหวาน ทว่าเขายังได้ยิน“อา... อื้อ...”"อืม... ดีมาก ปลดปล่อยออกมา ร้องอย่างที่เธออยากร้อง พูดตามที่เธอรู้สึกและต้องการ อา... เธอสวยเหลือเกิน”นิธิตย่อกายชันเข่าลงในน้ำ ใช้ท่อนแขนช้อนเบื้องหลังของเธอแนบชิดทำให
ฝ่ามือค่อยๆ วางเป้ที่สะพายมาตลอดชั่วโมงอย่างเบามือ เสื้อผ้าลุยๆ สำหรับเดินป่าบนร่างแกร่งถูกถอดทิ้งไม่ไยดี ดวงตาคมเข้มมองจับแต่เพียงเรือนร่างงดงามที่สะกดสายตาเขาจนไม่อาจหลีกหนีไปทางไหนได้ และสายน้ำเย็นจัดก็ไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนใจเพราะทั่วทั้งกายเนื้อในขณะนี้มันร้อนรุ่มรุมเร้าราวคนมีไข้ และมันคงจะไข้หนักถึงตายหากไม่ได้ความงดงามตรงหน้านี้มาเติมเต็ม“น้องปลาจ๋าจะหนีไปไหน หนีนักนะ เดี๋ยวจะไม่ให้กินข้าวด้วย”หญิงสาวหันซ้ายหันขวามองหาเจ้าปลาตัวน้อยที่ดำผุดดำว่ายอยู่รอบๆ ตัว ทุกเย็นเมื่อมีเศษข้าวหรือเศษผักเหลือ เธอก็ไม่ลืมที่จะนำมาเผื่อแผ่ให้กับเจ้าของสถานที่ที่เธอมาพึ่งพา เช่นเหล่ามดเหล่าแมลงที่เป็นเจ้าของพื้นดินที่พัก และในลำธารแห่งนี้ที่เธอใช้เป็นที่ชำระล้างร่างกายให้สะอาด เธอก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันเศษอาหารนั้นให้แก่หมู่ปลาความเพลิดเพลินอันเป็นสิ่งที่กระทำอยู่ทุกวันทำให้ละเว้นจากสิ่งระแวดระวังตัว ลืมเสียสิ้นว่าพ่อให้กลับก่อนพลบค่ำ แต่แม้จะนึกได้ในยามนี้ก็คงจะสายเสียแล้วเมื่อหมู่ปลาที่อยู่รอบร่างเปล่าเปลือยต่างว่ายวนแตกฮือราวกับหนีอะไรบางอย่าง และระลอกน้ำที่กระเพื่อมไหวกว่าปกติก็ทำให้ดวงตากล
ฝ่ามือแกร่งปาดไล่หยาดเหงื่อที่ไหลซึมผ่านคอเสื้อลงมาเป็นทาง ก่อนจะปลดรังดุมเสื้อเชิ้ตออกและกระพือเรียกลมเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะแผงอกด้านใน กว่า 2 ชั่วโมงที่เดินเท้าเข้ามาในป่าทำให้เหงื่อไหลโทรมกายไม่ต่างจากอาบน้ำ ทว่ามันไม่ใช่ความเย็นสดชื่นของสายน้ำ แต่มันเป็นความร้อนรุ่มของอุณหภูมิร่างกายที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะ ซึ่งทั้งหมดจะไม่เป็นอย่างนี้หากเขาตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ของรถมาเป็นอย่างดีรถจี๊ปสีเขียวไพลที่ใช้สำหรับสัญจรไปมาระหว่างปางไม้กับพื้นราบเกิดขัดข้องจนไม่สามารถแก้ไขได้ ทำให้เขาต้องจอดทิ้งไว้ที่แนวป่า ก่อนจะตัดสินใจเดินเท้าไปที่หมู่บ้านที่ใกล้กับปางไม้มากที่สุด เพราะหากจะเลือกเดินกลับลงไปที่ด้านล่างก็จะทำให้การเดินทางในวันนี้เสียเปล่า และหากจะเลือกเดินตรงไปยังปางไม้ก็อาจจะไปไม่ทันพลบค่ำ ทางที่ดีเขาควรเลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านป่าที่เคยเห็นว่าอาศัยอยู่แถวนี้จะดีกว่าเสียงน้ำตกที่ดังซู่อยู่ไม่ไกลทำให้ ‘นิธิต’ แน่ใจว่าอีกไม่นานคงถึงจุดหมาย เพราะน้ำเป็นสัญญาณของการมีชีวิต ที่ใดมีน้ำที่นั่นย่อมมีชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีกลุ่มชาวบ้านอาศัยอยู่แถวนี้แน่ฝีเท้าที่พยายามเร่งเดินเพื