ฝ่ามือค่อยๆ วางเป้ที่สะพายมาตลอดชั่วโมงอย่างเบามือ เสื้อผ้าลุยๆ สำหรับเดินป่าบนร่างแกร่งถูกถอดทิ้งไม่ไยดี ดวงตาคมเข้มมองจับแต่เพียงเรือนร่างงดงามที่สะกดสายตาเขาจนไม่อาจหลีกหนีไปทางไหนได้ และสายน้ำเย็นจัดก็ไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนใจเพราะทั่วทั้งกายเนื้อในขณะนี้มันร้อนรุ่มรุมเร้าราวคนมีไข้ และมันคงจะไข้หนักถึงตายหากไม่ได้ความงดงามตรงหน้านี้มาเติมเต็ม
“น้องปลาจ๋าจะหนีไปไหน หนีนักนะ เดี๋ยวจะไม่ให้กินข้าวด้วย”
หญิงสาวหันซ้ายหันขวามองหาเจ้าปลาตัวน้อยที่ดำผุดดำว่ายอยู่รอบๆ ตัว ทุกเย็นเมื่อมีเศษข้าวหรือเศษผักเหลือ เธอก็ไม่ลืมที่จะนำมาเผื่อแผ่ให้กับเจ้าของสถานที่ที่เธอมาพึ่งพา เช่นเหล่ามดเหล่าแมลงที่เป็นเจ้าของพื้นดินที่พัก และในลำธารแห่งนี้ที่เธอใช้เป็นที่ชำระล้างร่างกายให้สะอาด เธอก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันเศษอาหารนั้นให้แก่หมู่ปลา
ความเพลิดเพลินอันเป็นสิ่งที่กระทำอยู่ทุกวันทำให้ละเว้นจากสิ่งระแวดระวังตัว ลืมเสียสิ้นว่าพ่อให้กลับก่อนพลบค่ำ แต่แม้จะนึกได้ในยามนี้ก็คงจะสายเสียแล้ว
เมื่อหมู่ปลาที่อยู่รอบร่างเปล่าเปลือยต่างว่ายวนแตกฮือราวกับหนีอะไรบางอย่าง และระลอกน้ำที่กระเพื่อมไหวกว่าปกติก็ทำให้ดวงตากลมโตต้องเบิกกว้างเมื่อระลึกถึงภัยใกล้ตัว
เนื้อตัวสะท้านสั่นไหว ความหนาวเหน็บเข้าเกาะกุมหัวใจดวงน้อย ใบหน้างดงามค่อยๆ ผินมองผู้บุกรุก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายอันใด จะ ‘หมี’ หรือ ‘เสือ’ เธอก็คงทำได้แค่เผชิญหน้าเท่านั้น เสียใจแต่เพียงชีวิตไม่น่ามาจบลงเพียงเพราะไม่เชื่อฟังคำของพ่อ
ร่างทะมึนใกล้ตัวทำให้ดวงตาเบิกกว้างพร้อมจะกรีดร้องในสิ่งน่าสะพรึงกลัว แต่ก่อนที่ริมฝีปากจะเปล่งเสียงด้วยความตื่นกลัวกลับถูกทาบทับไว้ด้วยฝ่ามืออ่อนนุ่มของตนเอง เพราะสิ่งที่เธอกำลังเห็นอยู่ตรงหน้านี้คือ...
“เธอเป็นคน หรือนางฟ้า หรือเธอเป็นนางไม้”
‘ชบา’ ยังไม่ทันได้พูดได้ถามอะไร ‘เขา’ ผู้ชายคนนั้นก็ชิงถามเสียก่อน เขาเป็นผู้ชาย ผู้ชายจริงๆ มีเลือด มีเนื้อ มีร่างกาย มีกล้ามเนื้อ และก็มี...
รับรู้ได้ถึงลำคอที่แห้งผากกระหายน้ำอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นปลาช่อนตัวเขื่องกำลังว่ายวนอยู่ข้างหน้าเธอไม่ห่าง เขาเป็นผู้ชายจริงๆ แต่ไม่ได้เด็กอย่างเจ้าจ้อย ไม่ได้สูงวัยอย่างพ่อ แต่เป็นคนหนุ่มเหมือนพี่ดำที่พาพี่ลำดวนหนีไปจากหมู่บ้านเมื่อหลายปีก่อน เขาดูดี ดูสวยงามไปทุกสัดส่วน สวยงามจนเธออยากจะแตะต้อง
“พูดกับฉันสิ... เธอเป็นคน นางฟ้า หรือว่านางไม้”
ดวงตากลมโตสวยหวานและงดงามมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาช้อนขึ้นมองสบสายตาของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ที่เขาต้องถามย้ำ เพราะเธอไม่ได้ปัดป้องปกปิดของสงวนอย่างที่ควรจะเป็น แต่เธอกลับจ้องมองเขาราวกับไม่เคยเห็นผู้ชาย และยังทำท่าราวกับจะสัมผัสเนื้อกายของเขาเสียอีก สิ่งที่เธอแสดงออกมันกำลังทำให้ตัวตนของเขาแทบจะระเบิดออก นี่เขากำลังค้นพบความมหัศจรรย์ของป่าหรือยังไง
“พูดกับฉันสิ เธอพูดได้ ฉันได้ยินเธอพูดกับปลา”
“เอ่อ...” ชบาหันรีหันขวางและเหมือนจะนึกอะไรได้ สองมือยกขึ้นปกปิดเต้าอวบก่อนจะทรุดร่างลงในน้ำ เพื่อหลบเร้นจากสายตาของเขา แต่มันช้าไปเสียแล้ว เขาเห็นทุกสัดส่วนทั้งด้านหลังและด้านหน้า จะเหลือก็เพียงด้านในเท่านั้นที่ยังไม่เห็น
“เธอเป็นคนใช่ไหม” คำถามที่ไม่น่าจะออกจากปากของเขาแต่ก็ออกไปแล้ว เพราะไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีเท่า
หญิงงามกลางป่าไม่ตอบแต่พยักหน้าน้อยๆ ใบหน้าก้มต่ำชำเลืองมองด้านข้างคล้ายจะหาทางหนีทีไล่และแค่เธอขยับตัว นิธิตก็ไม่รอช้าที่จะตวัดรัดเอาเรือนร่างเปล่าเปลือยนั้นแนบร่างเปลือยเปล่าของเขาในทันที ได้ผลหญิงสาวร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจเพียงครู่ ก่อนจะหยุดนิ่งให้เขาโอบประคองแต่โดยดี เพราะเต้าอวบของเธอนั้นเข้ามาอยู่ในอุ้งมือของเขาแล้ว
นิธิตลูบไล้เนื้อตัวอวบอิ่มเย็นเฉียบจากกระแสน้ำและอุ่นจัดจากกระแสเลือดที่วิ่งวนอยู่ในตัว เขายิ่งแน่ใจได้ว่าสาวน้อยนี้เป็นคนแน่นอน โดยเฉพาะที่เธอสะท้านเฮือกในทุกครั้งที่เขาลงน้ำหนักมือแค่เพียงแผ่วเบา ใบหน้าหญิงสาวก็แปรเปลี่ยนด้วยความรู้สึกหนึ่งที่เขาเข้าใจได้ดี
“เธอสวย... สวยเหลือเกิน... สวยจนฉัน...”
เธอหยุดดิ้นรน เพราะตกใจ สงสัย หรืออะไรเขาก็ไม่รู้ได้ รู้แต่ว่าใบหน้างดงามอยู่ใกล้เพียงก้มลงหาเท่านั้น และเขาก็อยากจะสัมผัสเธอให้มากยิ่งกว่ามาก ฝ่ามือหยาบใหญ่ลูบไล้ผิวบริเวณพวงแก้มสีชมพูระเรื่อเต็มไปด้วยเลือดฝาดแห่งวัยสาวก่อนจะลูบไล้ไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ดวงตากลมโตสวยงามของหญิงสาวมองดูเขาราวกับจะสำรวจตรวจตราความเป็นผู้ชายเช่นเดียวกัน เธอคล้ายหญิงสาวใคร่รู้ ซุกซน เธอทำเหมือนไม่เคยเห็นผู้ชายอย่างเขามาก่อน และเขาสาบานได้ว่าในวันนี้เธอจะไม่แค่เพียงเห็นเท่านั้น แต่เธอจะได้สัมผัสความเป็นผู้ชายของเขาทั่วทั้งเนื้อทั้งตัว
“ชื่ออะไร”หญิงสาวยังไม่ตอบ เธอนิ่งเหมือนครุ่นคิดทั้งที่เขาได้ยินชัดเจนว่าเธอพูดได้“ฉันจะทำให้เธอพูดให้ได้”ฝ่ามือประคองสองแก้มให้ใบหน้างดงามแหงนขึ้นรับสัมผัสปรารถนาจากเขา จนกายสาวสั่นสะท้านต่อต้านเล็กน้อยตามสัญชาตญาณแต่มันก็ไม่ทันแล้ว เพราะในเวลานี้ต่อให้มีช้างทั้งโขลงมาฉุดเขาก็คงจะหยุดไม่ได้กลีบปากบอบบางละมุนนุ่มราวกับกลีบดอกไม้ ทว่าช่างงดงามอ่อนหวานเสียจนทำให้เขาหลงละเมอไปกับความไม่ประสานั้น เธอโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ว่าปลายลิ้นของเขาจะแตะตรงไหน จะกวาดต้อนไปที่ใด กลีบปากบอบบางและเรียวลิ้นเล็กๆ นั้นก็คล้ายสะท้านและสั่นไหวไปมาราวดอกไม้กลีบบางกำลังแตะต้องแรงลมทันทีที่เขาถอนริมฝีปากออกและไล่ลงมาตามลำคอระหงขณะที่ฝ่ามือแกร่งโอบประคองสองเต้าอวบอัดและบีบเคล้นแต่เบามือ ใบหน้างามก็แหงนไปด้านบนให้เขาซุกไซ้จมูกโด่งลงที่โนมเนื้อได้อย่างถนัดก่อนเสียงน้อยๆ นั้นจะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างบางเบา อ่อนหวาน ทว่าเขายังได้ยิน“อา... อื้อ...”"อืม... ดีมาก ปลดปล่อยออกมา ร้องอย่างที่เธออยากร้อง พูดตามที่เธอรู้สึกและต้องการ อา... เธอสวยเหลือเกิน”นิธิตย่อกายชันเข่าลงในน้ำ ใช้ท่อนแขนช้อนเบื้องหลังของเธอแนบชิดทำให
นิธิตก้มมองความสวยงามอย่างตกตะลึง ความงดงามที่เห็นอยู่ใต้สายน้ำเย็นเฉียบว่างดงามแล้วนั้น ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เห็นอยู่นี้เมื่อเส้นไหมแพรดำอ่อนละมุนนิ้วมือ เปียกเรียบลู่ไปกับดอกไม้ที่ยังคงปิดสนิท ราวกับจะบอกว่า ดอกไม้แสนงามนี้ยังไม่เคยมีแมลงตัวใดได้เชยชม และเขาก็เป็นแมลงตัวแรกที่กำลังอาจหาญเด็ดดอกไม้งดงามแห่งผืนป่า ไม่รอช้า นิธิตใช้ปลายนิ้วแตะสัมผัสทันที“อื้อ... พี่จะทำอะไรฉัน... พี่...”“พี่จะทำให้น้องมีความสุขยังไงครับ นะครับคนดี เชื่อพี่นะครับ”ชบาพยักหน้ายอมรับอย่างว่าง่าย ไม่ใช่ว่าเชื่อตามที่เขาบอก แต่สัมผัสจากน้ำหนักนิ้วมือที่แตะไต่ลงมาทำให้เธอต้องแหงนหน้ามองผนังหินด้านบนอย่างไม่รู้จะต้องทำยังไงดี เพราะในใจร้องสั่งให้เธอนอนราบและปล่อยให้เขามอบความสุขให้ตามปากว่าอย่างเต็มที่ แต่อีกใจหนึ่งนั้นก็ร้องประท้วงให้ดวงตาจ้องมองการกระทำของเขาไม่กะพริบ เพราะเขากำลังทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอ“อูย... พี่จ๋า... พี่จะทำอะไร นั่น... ไม่ได้นะ ไม่ได้... นั่นมัน...”ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอีก เมื่อเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเกินกว่าผู้ชายทุกคนที่เธอเคยเห็น ก้มลงหาส่วนนั้น... เธอย่อมร
“พี่จ๋า... พี่จ๋า... อา... ซี้ด...”เสียงละล่ำละลักร้องเรียกเขาไม่หยุด เมื่อปลายจมูกซุกไซ้อยู่ในต้นขาด้านใน เขารู้ว่าเธอกำลังใจจะขาด สัญชาตญาณของหญิงสาวเรียกร้องให้เขาไปถึงยังจุดนั้น แต่เขาก็ยังไม่อยากไป เขาอยากจะทรมานดอกไม้แสนจะบอบบางของเขาดอกนี้เล่น อยากเห็นเธอครวญคราง อยากเห็นเธอร่ำร้องด้วยสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตที่ต้องการผสมพันธุ์ อยากรู้ว่าเธอจะเรียกหาตัวตนของเขาทั้งที่ไม่เคยรู้ว่ามันมีไว้ใช้ทำอะไรหรือเปล่า“อา... พี่จ๋า... ช่วยฉันด้วย... พี่จ๋า... อา... พี่จ๋า... โอย... พี่... ฉันจะตายแล้ว... พี่... ฮือ...”ร่างน้อยสะอื้นฮึกฮักจากความอัดอั้นที่ร่างกายประท้วงเรียกร้อง เธอกำลังทรมาน เธอกำลังร่ำร้องหาอะไรก็ไม่รู้ที่จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการที่มากล้น อะไรบางอย่างที่เธอรู้ดีว่าเขามี บางสิ่งที่เขาให้เธอได้แต่ไม่ยอมให้“ฮือ... พี่ทำฉันทำไม... ฮือ...”“โอ๋... พี่กำลังจะให้เดี๋ยวนี้ แต่น้องต้องสัญญานะว่าจะไม่ถอยหนี จะต้องสู้กับมัน แล้วน้องจะได้ขึ้นสวรรค์หลายๆ ครั้ง”ชบาพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ดวงตาเบิกกว้างมองเรือนร่างเปล่าเปลือยของเขาที่เคลื่อนกายมาอยู่กึ่งกลางร่างกายของเธอ ต้นขาขาวนวลถู
ฝ่ามือแกร่งปาดไล่หยาดเหงื่อที่ไหลซึมผ่านคอเสื้อลงมาเป็นทาง ก่อนจะปลดรังดุมเสื้อเชิ้ตออกและกระพือเรียกลมเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะแผงอกด้านใน กว่า 2 ชั่วโมงที่เดินเท้าเข้ามาในป่าทำให้เหงื่อไหลโทรมกายไม่ต่างจากอาบน้ำ ทว่ามันไม่ใช่ความเย็นสดชื่นของสายน้ำ แต่มันเป็นความร้อนรุ่มของอุณหภูมิร่างกายที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะ ซึ่งทั้งหมดจะไม่เป็นอย่างนี้หากเขาตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ของรถมาเป็นอย่างดีรถจี๊ปสีเขียวไพลที่ใช้สำหรับสัญจรไปมาระหว่างปางไม้กับพื้นราบเกิดขัดข้องจนไม่สามารถแก้ไขได้ ทำให้เขาต้องจอดทิ้งไว้ที่แนวป่า ก่อนจะตัดสินใจเดินเท้าไปที่หมู่บ้านที่ใกล้กับปางไม้มากที่สุด เพราะหากจะเลือกเดินกลับลงไปที่ด้านล่างก็จะทำให้การเดินทางในวันนี้เสียเปล่า และหากจะเลือกเดินตรงไปยังปางไม้ก็อาจจะไปไม่ทันพลบค่ำ ทางที่ดีเขาควรเลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านป่าที่เคยเห็นว่าอาศัยอยู่แถวนี้จะดีกว่าเสียงน้ำตกที่ดังซู่อยู่ไม่ไกลทำให้ ‘นิธิต’ แน่ใจว่าอีกไม่นานคงถึงจุดหมาย เพราะน้ำเป็นสัญญาณของการมีชีวิต ที่ใดมีน้ำที่นั่นย่อมมีชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีกลุ่มชาวบ้านอาศัยอยู่แถวนี้แน่ฝีเท้าที่พยายามเร่งเดินเพื
“พี่จ๋า... พี่จ๋า... อา... ซี้ด...”เสียงละล่ำละลักร้องเรียกเขาไม่หยุด เมื่อปลายจมูกซุกไซ้อยู่ในต้นขาด้านใน เขารู้ว่าเธอกำลังใจจะขาด สัญชาตญาณของหญิงสาวเรียกร้องให้เขาไปถึงยังจุดนั้น แต่เขาก็ยังไม่อยากไป เขาอยากจะทรมานดอกไม้แสนจะบอบบางของเขาดอกนี้เล่น อยากเห็นเธอครวญคราง อยากเห็นเธอร่ำร้องด้วยสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตที่ต้องการผสมพันธุ์ อยากรู้ว่าเธอจะเรียกหาตัวตนของเขาทั้งที่ไม่เคยรู้ว่ามันมีไว้ใช้ทำอะไรหรือเปล่า“อา... พี่จ๋า... ช่วยฉันด้วย... พี่จ๋า... อา... พี่จ๋า... โอย... พี่... ฉันจะตายแล้ว... พี่... ฮือ...”ร่างน้อยสะอื้นฮึกฮักจากความอัดอั้นที่ร่างกายประท้วงเรียกร้อง เธอกำลังทรมาน เธอกำลังร่ำร้องหาอะไรก็ไม่รู้ที่จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการที่มากล้น อะไรบางอย่างที่เธอรู้ดีว่าเขามี บางสิ่งที่เขาให้เธอได้แต่ไม่ยอมให้“ฮือ... พี่ทำฉันทำไม... ฮือ...”“โอ๋... พี่กำลังจะให้เดี๋ยวนี้ แต่น้องต้องสัญญานะว่าจะไม่ถอยหนี จะต้องสู้กับมัน แล้วน้องจะได้ขึ้นสวรรค์หลายๆ ครั้ง”ชบาพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ดวงตาเบิกกว้างมองเรือนร่างเปล่าเปลือยของเขาที่เคลื่อนกายมาอยู่กึ่งกลางร่างกายของเธอ ต้นขาขาวนวลถู
นิธิตก้มมองความสวยงามอย่างตกตะลึง ความงดงามที่เห็นอยู่ใต้สายน้ำเย็นเฉียบว่างดงามแล้วนั้น ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เห็นอยู่นี้เมื่อเส้นไหมแพรดำอ่อนละมุนนิ้วมือ เปียกเรียบลู่ไปกับดอกไม้ที่ยังคงปิดสนิท ราวกับจะบอกว่า ดอกไม้แสนงามนี้ยังไม่เคยมีแมลงตัวใดได้เชยชม และเขาก็เป็นแมลงตัวแรกที่กำลังอาจหาญเด็ดดอกไม้งดงามแห่งผืนป่า ไม่รอช้า นิธิตใช้ปลายนิ้วแตะสัมผัสทันที“อื้อ... พี่จะทำอะไรฉัน... พี่...”“พี่จะทำให้น้องมีความสุขยังไงครับ นะครับคนดี เชื่อพี่นะครับ”ชบาพยักหน้ายอมรับอย่างว่าง่าย ไม่ใช่ว่าเชื่อตามที่เขาบอก แต่สัมผัสจากน้ำหนักนิ้วมือที่แตะไต่ลงมาทำให้เธอต้องแหงนหน้ามองผนังหินด้านบนอย่างไม่รู้จะต้องทำยังไงดี เพราะในใจร้องสั่งให้เธอนอนราบและปล่อยให้เขามอบความสุขให้ตามปากว่าอย่างเต็มที่ แต่อีกใจหนึ่งนั้นก็ร้องประท้วงให้ดวงตาจ้องมองการกระทำของเขาไม่กะพริบ เพราะเขากำลังทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอ“อูย... พี่จ๋า... พี่จะทำอะไร นั่น... ไม่ได้นะ ไม่ได้... นั่นมัน...”ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอีก เมื่อเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเกินกว่าผู้ชายทุกคนที่เธอเคยเห็น ก้มลงหาส่วนนั้น... เธอย่อมร
“ชื่ออะไร”หญิงสาวยังไม่ตอบ เธอนิ่งเหมือนครุ่นคิดทั้งที่เขาได้ยินชัดเจนว่าเธอพูดได้“ฉันจะทำให้เธอพูดให้ได้”ฝ่ามือประคองสองแก้มให้ใบหน้างดงามแหงนขึ้นรับสัมผัสปรารถนาจากเขา จนกายสาวสั่นสะท้านต่อต้านเล็กน้อยตามสัญชาตญาณแต่มันก็ไม่ทันแล้ว เพราะในเวลานี้ต่อให้มีช้างทั้งโขลงมาฉุดเขาก็คงจะหยุดไม่ได้กลีบปากบอบบางละมุนนุ่มราวกับกลีบดอกไม้ ทว่าช่างงดงามอ่อนหวานเสียจนทำให้เขาหลงละเมอไปกับความไม่ประสานั้น เธอโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ว่าปลายลิ้นของเขาจะแตะตรงไหน จะกวาดต้อนไปที่ใด กลีบปากบอบบางและเรียวลิ้นเล็กๆ นั้นก็คล้ายสะท้านและสั่นไหวไปมาราวดอกไม้กลีบบางกำลังแตะต้องแรงลมทันทีที่เขาถอนริมฝีปากออกและไล่ลงมาตามลำคอระหงขณะที่ฝ่ามือแกร่งโอบประคองสองเต้าอวบอัดและบีบเคล้นแต่เบามือ ใบหน้างามก็แหงนไปด้านบนให้เขาซุกไซ้จมูกโด่งลงที่โนมเนื้อได้อย่างถนัดก่อนเสียงน้อยๆ นั้นจะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างบางเบา อ่อนหวาน ทว่าเขายังได้ยิน“อา... อื้อ...”"อืม... ดีมาก ปลดปล่อยออกมา ร้องอย่างที่เธออยากร้อง พูดตามที่เธอรู้สึกและต้องการ อา... เธอสวยเหลือเกิน”นิธิตย่อกายชันเข่าลงในน้ำ ใช้ท่อนแขนช้อนเบื้องหลังของเธอแนบชิดทำให
ฝ่ามือค่อยๆ วางเป้ที่สะพายมาตลอดชั่วโมงอย่างเบามือ เสื้อผ้าลุยๆ สำหรับเดินป่าบนร่างแกร่งถูกถอดทิ้งไม่ไยดี ดวงตาคมเข้มมองจับแต่เพียงเรือนร่างงดงามที่สะกดสายตาเขาจนไม่อาจหลีกหนีไปทางไหนได้ และสายน้ำเย็นจัดก็ไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนใจเพราะทั่วทั้งกายเนื้อในขณะนี้มันร้อนรุ่มรุมเร้าราวคนมีไข้ และมันคงจะไข้หนักถึงตายหากไม่ได้ความงดงามตรงหน้านี้มาเติมเต็ม“น้องปลาจ๋าจะหนีไปไหน หนีนักนะ เดี๋ยวจะไม่ให้กินข้าวด้วย”หญิงสาวหันซ้ายหันขวามองหาเจ้าปลาตัวน้อยที่ดำผุดดำว่ายอยู่รอบๆ ตัว ทุกเย็นเมื่อมีเศษข้าวหรือเศษผักเหลือ เธอก็ไม่ลืมที่จะนำมาเผื่อแผ่ให้กับเจ้าของสถานที่ที่เธอมาพึ่งพา เช่นเหล่ามดเหล่าแมลงที่เป็นเจ้าของพื้นดินที่พัก และในลำธารแห่งนี้ที่เธอใช้เป็นที่ชำระล้างร่างกายให้สะอาด เธอก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันเศษอาหารนั้นให้แก่หมู่ปลาความเพลิดเพลินอันเป็นสิ่งที่กระทำอยู่ทุกวันทำให้ละเว้นจากสิ่งระแวดระวังตัว ลืมเสียสิ้นว่าพ่อให้กลับก่อนพลบค่ำ แต่แม้จะนึกได้ในยามนี้ก็คงจะสายเสียแล้วเมื่อหมู่ปลาที่อยู่รอบร่างเปล่าเปลือยต่างว่ายวนแตกฮือราวกับหนีอะไรบางอย่าง และระลอกน้ำที่กระเพื่อมไหวกว่าปกติก็ทำให้ดวงตากล
ฝ่ามือแกร่งปาดไล่หยาดเหงื่อที่ไหลซึมผ่านคอเสื้อลงมาเป็นทาง ก่อนจะปลดรังดุมเสื้อเชิ้ตออกและกระพือเรียกลมเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะแผงอกด้านใน กว่า 2 ชั่วโมงที่เดินเท้าเข้ามาในป่าทำให้เหงื่อไหลโทรมกายไม่ต่างจากอาบน้ำ ทว่ามันไม่ใช่ความเย็นสดชื่นของสายน้ำ แต่มันเป็นความร้อนรุ่มของอุณหภูมิร่างกายที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะ ซึ่งทั้งหมดจะไม่เป็นอย่างนี้หากเขาตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ของรถมาเป็นอย่างดีรถจี๊ปสีเขียวไพลที่ใช้สำหรับสัญจรไปมาระหว่างปางไม้กับพื้นราบเกิดขัดข้องจนไม่สามารถแก้ไขได้ ทำให้เขาต้องจอดทิ้งไว้ที่แนวป่า ก่อนจะตัดสินใจเดินเท้าไปที่หมู่บ้านที่ใกล้กับปางไม้มากที่สุด เพราะหากจะเลือกเดินกลับลงไปที่ด้านล่างก็จะทำให้การเดินทางในวันนี้เสียเปล่า และหากจะเลือกเดินตรงไปยังปางไม้ก็อาจจะไปไม่ทันพลบค่ำ ทางที่ดีเขาควรเลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านป่าที่เคยเห็นว่าอาศัยอยู่แถวนี้จะดีกว่าเสียงน้ำตกที่ดังซู่อยู่ไม่ไกลทำให้ ‘นิธิต’ แน่ใจว่าอีกไม่นานคงถึงจุดหมาย เพราะน้ำเป็นสัญญาณของการมีชีวิต ที่ใดมีน้ำที่นั่นย่อมมีชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีกลุ่มชาวบ้านอาศัยอยู่แถวนี้แน่ฝีเท้าที่พยายามเร่งเดินเพื