บทที่ 7 ณ ชนบทที่ห่างไกลในยุคราชวงค์ต้าหมิง ปี 1360
เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันก็จะครบ 5 วันตามที่เจ้ากระจกโบราณบอกเอาไว้ จ้าวเว่ยเว่ยนั้นเก็บของทุกอย่างหมดแล้ว ตอนนี้เธอเหลือเวลาอีกเพียง 1 วันเท่านั้นที่จะได้อยู่ยุคนี้ หลายวันที่ผ่านมานอกจากเก็บของเพื่อนำไปใช้ที่ยุคอดีต เธอก็โทรหาอาจารย์ที่เคยสั่งสอน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่รู้จักทั้งที่ทำงานและที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และวันนี้เธอก็ได้นัดกับแม่ๆ ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าว่าจะเข้าไปเยี่ยมพวกเขาด้วย
ดังนั้นวันนี้เธอจึงถือโอกาสเดินทางไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อพบกว่าน้องๆ และแม่ๆ ที่เลี้ยงดูเธอมาเป็นครั้งสุดท้าย แน่นอนว่าทุกครั้งที่เธอไป เธอจะขนขนม นม เนยเสื้อผ้ามากมายไปฝากน้องๆ ด้วย วันนี้ก็เช่นกัน ขณะที่เธอกำลังจอดรถนั้นเองเสี่ยวเปาเด็กชายอายุ5 ครบก็วิ่งมาหาเธออย่างรวดเร็วสีหน้าของเขานั้นตื่นตกใจมาก
“พี่สาว! พี่สาวมาแล้ว!! พี่สาวช่วยด้วย!! ช่วยแม่ใหญ่ด้วย” เจ้าเสี่ยวเปาเมื่อวิ่งมาถึงเธอก็พูดรัวเร็ว จนจ้าวเว่ยเว่ยนั้นฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบาง แต่จากนั้นมือของเธอก็ถูกเจ้าเสี่ยวเปาลากไปที่ห้องของแม่ใหญ่ทันที
เสียงฝีเท้าที่รีบเร่งดังก้องไปทั่ว จ้าวเว่ยเว่ยวิ่งอย่างเร็วตรงไปที่ห้องของแม่ใหญ่ทันที และมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความกังวล เสียงร้องไห้โหยหวนของแม่ๆ ดังก้องอยู่ในหู บ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
เมื่อเธอมาถึงห้องน้ำ ภาพที่เห็นก็ทำให้เธอตะลึง แม่ใหญ่ของเธอนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดไหลอาบจากศีรษะ จนแดงฉานไปทั่วห้องน้ำ ใบหน้าซีดเผือด ไร้ซึ่งสีสัน
"แม่ใหญ่!"
จ้าวเว่ยเว่ยร้องเสียงดัง รีบวิ่งเข้าไปประคองร่างของแม่ใหญ่ น้ำตาไหลรินอาบแก้ม
"เกิดอะไรขึ้นคะ?"
เธอเอ่ยถามด้วยความสั่นเครือ พยายามห้ามเลือดที่ไหลพรั่งพรูจากแผล แต่บาดแผลนั้นใหญ่โตเกินไป ยากที่จะควบคุม
"แม่ใหญ่ล้มในห้องน้ำลูก หมอเว่ย หมอเว่ย รีบช่วยแม่ใหญ่ด้วยนะ ฮื่ออออ"
เสียงร้องไห้ระงมไปทั่ว บรรยากาศเต็มไปด้วยความโกลาหล แม่ๆ ของเธอต่างรุมล้อม ส่งเสียงร้องไห้ บ้างก็พยายามช่วยห้ามเลือด บ้างก็โทรเรียกรถพยาบาล จ้าวเว่ยเว่ยพยายามตั้งสติ เธอรู้ดีว่าเวลาทุกวินาทีมีค่า เธอต้องรีบห้ามเลือด และพาแม่ใหญ่ไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
ด้วยความชำนาญจากอาชีพของหมอ จ้าวเว่ยเว่ยประคองศีรษะของแม่ใหญ่ ใช้ผ้าสะอาดกดทับแผล พยายามห้ามเลือดอย่างสุดความสามารถ เธอไม่สนใจเลือดที่เปื้อนเปรอะไปทั่วมือ ใจจดใจจ่ออยู่แต่กับการช่วยชีวิตแม่ใหญ่ แต่ด้วยแผลที่ใหญ่มากทำให้การห้ามเลือดนั้นเป็นไปด้วยความลำบาก
ในที่สุดรถพยาบาลก็มาถึงจ้าวเว่ยเว่ยรีบอุ้มแม่ใหญ่ขึ้นรถ มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลทันที ตลอดระยะทาง เธอไม่เคยหยุดห้ามเลือด สายตาของเธอจ้องมองใบหน้าของแม่ใหญ่ ภาวนาขอให้แม่ใหญ่ปลอดภัย
เสียงหวูดไซเรนดังก้องไปตลอดทาง บ่งบอกถึงความเร่งด่วน จ้าวเว่ยเว่ยภาวนาในใจ ขอให้แม่ใหญ่ฟื้นขึ้นมา ขอให้เธอรอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้ด้วย ทันใดนั้นเองสัญญาณชีพของแม่ใหญ่ก็หยุดลง..จ้าวเว่ยเว่ยตกใจมากมือของเธอนั้นสั่นขึ้นมาอย่างแรง
ทว่าทันใดนั้นเสียงในหัวของเธอก็ดังขึ้น
"เจ้าสามารถช่วยชีวิตแม่ใหญ่ได้ แต่เจ้าต้องแลกด้วยเศษกระจกวิเศษ 1 ชิ้น และหนึ่งวันชีวิตที่เหลืออยู่ของเจ้า เจ้าจะยอมแลกเปลี่ยนหรือไม่? "
จ้าวเว่ยเว่ยชะงัก หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตกตะลึง เธอรู้ดีว่าเศษกระจกวิเศษนั้นมีค่าเพียงใด และเธอตั้งใจมากว่าจะนำไปให้เจ้ากระจกโบราณ
แต่แม่ใหญ่...แม่ใหญ่ที่เปรียบเสมือนคนที่ให้ชีวิตแกเธอในโลกนี้ล่ะ..
ด้วยความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่แม่ใหญ่มีต่อเธอมาตั้งแต่จำความได้ ความรักความเมตตานั้นมันยิ่งใหญ่มากสำหรับเธอ แม่ใหญ่คือคนที่เลี้ยงดูเธอมา ไหนจะเป็นน้องๆ อีกเป็นร้อยชีวิตที่แม่ใหญ่โอบอุ้มเอาไว้ จ้าวเว่ยเว่ยนั้นตัดสินใจทันที เธอไม่คิดอะไรอีกแล้ว เธอยอมเสียสละจี้กระจกและเวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ 1 วันในโลกนี้ให้แม่ใหญ่ทันที
“ยอม!! ฉันยินยอมแลก โปรดช่วยแม่ใหญ่ของฉันด้วย”
สิ้นเสียงของจ้าวเว่ยเว่ยที่ยอมสละเวลา 1 วันที่เหลือ และจี้กระจกวิเศษ ทันใดนั้น แสงสีทองสว่างจ้าก็พุ่งออกมาจากจี้กระจกที่เธอห้อยคอ แสงสว่างนั้นแผ่กระจายไปทั่ว โอบล้อมร่างของเธอและแม่ใหญ่ จ้าวเว่ยเว่ยรู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างไหลผ่านตัวเธอ และถูกส่งไปยังร่างของแม่ใหญ่
แผลบนศีรษะของแม่ใหญ่ค่อยๆ ประสานกัน เลือดหยุดไหล สีสันกลับมาบนใบหน้าของเธออีกครั้ง สัญญาณชีพชีวาเริ่มกลับมา
แสงสีทองยังคงสว่างจ้า โอบล้อมร่างของจ้าวเว่ยเว่ยไว้ ร่างกายของเธอค่อยๆ เลือนหายไป เหมือนกับสายหมอกที่ค่อยๆ จางลง
ร่างที่นั่งกุมมือของแม่ใหญ่อยู่ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากตรงนั้น เหมือนไม่เคยมีใครนั่งอยู่ตรงนั้นมาก่อน เช่นเดียวกับความรู้สึกของทุกคนที่เคยรู้จักเธอนั้นก็ถูกลบเลือนออกไปเช่นกัน ประหนึ่งบนโลกใบไม่เคยมีหมอสาวยอดอัจฉริยะ จ้าวเว่ยเว่ย ที่เคยสร้างตำนานช่วยเหลือคนไข้มามากมาย เธอได้หายไปจากโลกนี้ตลอดกาล.....
ณ ในชนบทที่ห่างไกลในยุคราชวงค์หมิง ปี 1360
ภายในห้องเก่าโทรม และอับชื้น
เสียงร้องไห้ดังระงม สามเสียงประสานกัน เต็มไปด้วยความโศกเศร้า สิ้นหวัง
"ฮือฮือ เว่ยเว่ย ลูกแม่ ฟื้นสิลูก อย่าทำแบบนี้กับแม่เลย ฮือออ!!!"
เสียงร้องไห้โหยหวนของหญิงชรา ดังไปทั่วห้อง ร่างกายที่สั่นระริก ทรุดลงกับพื้น กอดร่างเด็กสาวที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้า น้ำตาอาบแก้ม เปื้อนไปทั่วใบหน้า
"พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ฟื้นสิ พี่ต้องฟื้นนะ ฮือออออ!!!!!!"
" พี่ใหญ่ พี่ฟื้นนะ เยว่เย่ว จะไม่ดือกับพี่อีกแล้ว พี่ พี่ฟื้นนะ ฮือออ"
เสียงร้องไห้ของเด็กชายและเด็กหญิงที่หดหู่ สิ้นหวังของสามคนแม่ลูกยังคงดังประสานกัน
พวกเขาทรุดตัวลงคุกเข่า ข้างๆ ร่างของเด็กสาว กุมมือที่เย็นเฉียบของพี่สาวและภาวนาให้เธอฟื้นขึ้นมา
แสงแดดส่องผ่านช่องว่างของหลังคา สาดลงมายังร่างของหญิงสาว เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดเผือด ไร้ซึ่งสีสัน ตรงศีรษะของเธอมีผ้าพันแผลเอาไว้ แต่ก็ยังมีเลือดไหลซึมออกมา
ทันใดนั้นดวงตาที่ปิดสนิทของเด็กสาวก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมา.....
****มาแบบเจ็บตัวเลยน้องเว่ย สงสารนางจังเสียสละอีกแล้ว ****
รีดที่รัก
ถ้าชื่นชอบอย่าลืมกดติดตาม เพิ่มเข้าชั้น กดหัวใจ หรือ แชร์นิยายเรื่องนี้เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ
ขอบคุณมาค่ะ
บทที่ 8 ทะลุมิติมาแล้วจ้าวเว่ยเว่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความอยากลำบาก ความรู้สึกเจ็บปวดที่ศีรษะนี้มันอะไรกัน ไม่ใช่ว่าแม่ใหญ่หรอกหรือที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ แต่ทำไมเธอถึงได้เจ็บด้วยล่ะ เธออยากจะรีบตื่นขึ้นมา แต่ก็ต้องสิ้นหวังเพราะร่างกายของตนกลับแข็งทื่อ เปลือกตาหนักอึ้งดั่งภูเขา อยากจะบอกให้เสียงร้องไห้เหล่านี้หยุดสักที แต่ปากของเธอกลับแข็งไม่มีแรงแม้แต่จะพูดอะไรออกมา ไม่มีแรงจะทำอะไรได้เลย ทำได้เพียงกลอกตามองไปรอบๆ ตัว และมองไปยังคนที่นั่งร้องไห้ข้างๆ เธอทีละคน“ท่านพี่! .. พี่ใหญ่ ..เว่ยเว่ยลูกแม่เจ้าฟื้นแล้ว…”สามเสียงของเด็กน้อยและผู้ใหญ่ช่างบีบคั้นหัวใจเหลือเกินทำไมเธอรู้สึกเจ็บปวดเสียใจนะ เธอไม่ได้รู้จักพวกเขาเสียหน่อยหัวใจของจ้าวเว่ยเว่ยเกิดบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้จนเจ็บแปล๊บเล็กน้อยและต้องการปลอบโยนคนเหล่านั้นจากใจจริง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีเรี่ยวแรงใด ๆ ที่จะทำเช่นนั้นได้มีมือมากมายที่ค่อยจับค่อยลูบไปตามเนื้อตัวและแขนขาของเธอเหมือนพยายามจะหาว่ามีบริเวณไหนบ้างที่เธอเจ็บปวดพวกเขาจะได้ช่วยคลายความเจ็บปวดให้ จ้าวเว่ยเว่ยมองไปรอบๆ ห้องที่เธอนอนอยู่อีกครั้งสิ่งแรกที่เห็นคือเพดา
บทที่ 9 ครอบครัวเจ้าสี่ได้รับความอยุติธรรม“เว่ยเว่ย ลูกแม่ / พี่ใหญ่ พี่ใหญ่” สามเสียงประสานกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จ้าวเม่ยตรงเข้าไปและมองดูลูกสาวใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าลูกสาวเพียงเป็นลมไปเท่านั้นก็ถอนหายใจ ให้เจ้าเด็กน้อยทั้งสองไปหาผ้าชุบน้ำเพื่อจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูกสาวของนางเมื่อได้ผ้ามานางก็ค่อยๆ เช็ดไปตามใบหน้าแห้งผอมของลูกสาวคนโต และมองไปที่ผ้าที่พันอยู่บนศีรษะที่มีเลือดซึมออกมานิดหน่อยแล้วถอนหายใจ พลางคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า.....เมื่อเช้าตัวนางออกไปทำงานที่นาแต่เช้าโดยให้ลูกชายและลูกสาวคนเล็กดูแลพี่สาวที่นอนป่วยไม่มีเรี่ยวแรงมา 3-4 วันแล้ว โดยนางได้บอกให้พวกเขาอยู่แต่ในห้องไม่ต้องออกมาทำงานบ้าน โดยนางจะกลับมาทำเองเมื่อทำงานที่นาเสร็จ เด็กๆ ก็ตกลงและเข้าไปนั่งข้างๆ เตียงของพี่สาวของพวกเขาขณะที่นางกำลังถอนหญ้าที่อยู่ในนานั้น ป้าถงป้าที่อยู่ข้างบ้านก็รีบเดินมาหานางเพียงตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงร้อนรน“จ้าวเม่ย จ้าวเม่ย เจ้ายังทำอะไรอยู่ที่นี่ บ้านของเจ้าเกิดเรื่องแล้ว ยังไม่รีบกลับไปอีก”จ้าวเม่ยนวดเอวที่กำลังปวดเมื่อยขึ้น ในมือถือยังมีหญ้าที่ถูกถอนออกจากแปลงนาอยู่กำใหญ่“ยังเหลืองานต
บทที่ 10 ถูกไล่ออกจากบ้าน“ไล่ออกจากบ้านอย่างนั้นหรือ?”เมื่อจ้าวเว่ยเว่ยฟื้นขึ้นมาจากการสลบจ้าวเม่ยก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวฟังว่า ทุกคนในครอบครัวตระกูลจ้าวก็ต่างโกรธแค้นนางตบหน้าสะใภ้ใหญ่ และต้องการขับไล่พวกนาง 4 แม่ลูกออกจากบ้านตระกูลจ้าวไปโดยทันที นางจ้าวเม่ยรู้สึกเสียใจและตกใจเป็นอย่างมากกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เธอรู้ดีว่าความใจร้อนของเธอสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวแล้ว แต่ในตอนนั้นที่เห็นลูกสาวนอนอยู่ด้านนอกเหมือนของไร้ค่า ไม่มีใครเหลียวแลเอาใจใส่ ความโกรธก็พลุ่งพล่านจนอดไม่ได้ที่จะลงมือตบสะใภ้ใหญ่ไปหลายฉาดแม้ต่อมานางจ้าวเม่ยพยายามอธิบายให้ครอบครัวตระกูลจ้าวฟังว่าเธอทำไปด้วยความโกรธและห่วงใยลูกสาว แต่ครอบครัวตระกูลจ้าวก็ไม่ฟัง พวกเขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะขับไล่พวกนางสี่แม่ลูกออกจากบ้านทันที“แม่ขอโทษนะลูกที่ทำให้พวกลูกต้องลำบากแล้ว"ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย ครอบครัวจ้าวต่างโกรธแค้นนางจ้าวเม่ยที่ลงมือตบหน้าสะใภ้ใหญ่โดยทำเป็นหลงลืมประเด็นที่ว่าทำไม สะใภ้ใหญ่และแม่เฒ่าจ้าวถึงได้เข้ามาค้นหาเงินในห้องของนางจ้าวเม่ย ซึ่งจ้าวเว่ยเว่ยที่เพิ่งฟื้นและตอนนี้เธอก็ได้รับรู้ความท
บทที่ 11 ต้องการตั้งตระกูลใหม่เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเดินมาถึงก็ได้ยินประโยคนั้นของแม่เฒ่าจ้าวพอดีเขาถึงกับก็ส่ายหน้า สตรีตระกูลนี้ทั้งอำมหิตและไร้ยางอายจริงๆ แบบนี้เขาคงต้องเตือนญาติๆ แล้วว่าห้ามเกี่ยวดองด้วยเด็ดขาด มิเช่นนั้นคงได้ปวดหัวและบ้านไม่สงบสุขแน่นอน เพราะแม่เป็นเช่นไร ลูก ๆ หลานๆ ก็ย่อมไม่หนีกันอยู่แล้วจ้าวเม่ยรู้สึกเจ็บใจมาก คนในบ้านหลังนี้นอกจากพี่สามจ้าวหลี่หยาง ที่เรียนอยู่ในเมืองแล้วนางไม่ไม่เคยรับรู้ถึงน้ำใจและความอบอุ่นแม้สักเสี้ยวเดียว ทุกคนล้วนเห็นนางต่างวัวต่างม้า ทว่านางก็ยึดที่แห่งนี้เป็นบ้านของตนมาโดยตลอด ดังนั้นถึงจะลำบากและเหนื่อยล้าเพียงใด ได้รับความไม่เป็นธรรมถึงเพียงไหน นางก็ไม่เคยบ่น และยังพยายามที่จะเอาใจพวกเขาด้วย เพราะกลัวว่าลูกๆ ของนางที่ไม่มีพ่อคอยปกป้องจะถูกรังแก แต่ว่ายิ่งนางยอมพวกเขาก็ยิ่งได้ใจและข่มเหงครอบครัวนางมากขึ้นอีก ทว่าวันนี้ ในที่สุดนางก็ฟื้นสติอย่างเต็มที่แล้วพร้อมกับบางสิ่งบางอย่างในตัวนางที่เริ่มฟื้นขึ้นมาเหมือนกัน บ้านหลังนี้ไม่ต้องการนางและลูกๆ ของนางถึงนางจะพยายามแทบตายก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ดังนั้นการจากไปอาจจะเป็นการเริ่
บทที่ 12หนังสือตัดขาดความสัมพันธ์“ไม่มีอะไรหรอกลูกสาม ครอบครัวของสะใภ้เล็กนั้นเกียจคร้าน ไม่ทำการทำงาน และตอนนี้ก็กำเริบเสิบสานถึงขนาดทำร้ายสะใภ้ใหญ่ จนหน้าตาเละเทะไปหมด แม่ทนไม่ได้ก็เลยให้พวกมันออกจากบ้านเราไป”นางจ้าวเล่าเรื่องราวในส่วนของตัวเองและทำให้ครอบครัวของจ้าวเม่ยนั้นดูเลวร้ายมากที่สุดในสายตาของลูกชาย จ้าวหลี่หยางนั้นรู้นิสัยแม่ของเขาและคนในครอบครัวดี มันเป็นไปไม่ได้ที่สะใภ้เล็กจ้าวเม่ยจะเกียจคร้าน เพราะที่บ้านนี้คนที่ทำงานมากที่สุดตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นก็คือ จ้าวเม่ยนั้นเอง ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อที่ท่านแม่ของเขาพูดมา เขาหันไปมองหน้าจ้าวเม่ยและหลานๆ และเมื่อสายตาของเขาไปถึงจ้าวเว่ยเว่ยก็เห็นผ้าพันแผลสีขาวที่พันเอาไว้ ความสงสัยยิ่งเพิ่มขึ้น เขาหันมามองหน้าแม่ของเขาอีกครั้ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม นางจ้าวเมื่อเห็นลูกชายที่รักมองมาที่ตนแบบนั้นก็เกิดอาการร้อนรนขึ้นมาทันที“เออ เออ ..ก็นังเด็กนั้นมันไม่เชื่อฟังแม่ แม่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแค่ตีสั่งสอนเล็กน้อยและนังเด็กนั้นก็ล้มลงไปหัวกระแทกเองนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับแม่เลย”คำพูดปัดสวะให้พ้นตัวที่นางจ้าวพูดออกมาแบบไม่อายปากนั้นทำใ
บทที่ 13 ของในพื้นที่มิติตามมาครบหรือเปล่านะ?หนังสือตัดความสัมพันธ์ถูกส่งให้ทั้งสองครอบครัวคนละหนึ่งชุดและสำหรับหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อนำไปแจ้งที่อำเภออีกหนึ่งชุดเป็นอันว่าเสร็จตอนนี้ทั้งสองครอบครัวถือไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป ขณะที่จ้าวเม่ยกับลูกๆ กำลังช่วยกันหอบข้าวของ และช่วยกันประคองจ้าวเว่ยเว่ยอยู่นั้น จ้าวหลี่หยางก็เดินตามมาช่วยหยิบของด้วยเช่นกันตอนนี้พวกเขาตกลงกันที่จะไปเช่าบ้านของน้องชายของหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ก่อนระหว่างที่รอการสร้างบ้านบนที่ดินร้างแห่งนี้ ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านนั้นด้วยความสงสารครอบครัวของเจ้าเม่ยเขาจึงคิดค่าเช่าเพียง 120 อีแปะต่อเดือน ซึ่งถ้าเป็นปรกติการเช่าบ้านเป็นหลังราคาจะอยู่ที่ 200-300 อีแปะต่อเดือนเลยทีเดียวซึ่งจ้าวเม่ยนั้นทราบราคาดีและนางก็ก้มขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านหลายครั้งเช่นกันที่ยื่นมือช่วยเหลือคราวนี้แต่ปัญหาต่อมาของครอบครัวจ้าวก็คือตอนนี้ทั้งครอบครัวพวกเขามีเงินอยู่เพียง 100 อีแปะที่จ้าวเม่ยพยายามเก็บสะสมมานานแต่ว่ามันยังขาดอยู่20 อีแปะ จ้าวเม่ยนั้นเครียดจัดตาแดงเพราะกลัวว่าจะไม่มีบ้านให้ลูกของเธออยู่ เพราะตอนนี้จ้าวเว่ยเว่ยก็ยังไม่หายดี ป้าถงที่มองดูเห
บทที่ 14 บอกความลับ“อะไรนะลูก วิญญาณออกจากร่างไปเช่นนั้นหรือ!” จ้าวเม่ยตะโกนขึ้นมาเมื่อจ้าวเว่ยเว่ยเล่าให้ทุกคนในครอบครัวฟ้งว่า ในตอนนั้นที่นางหัวกระแทกและสลบไปนั้น วิญญาณได้ออกจากร่างไปและได้ล่องลอยไปไกลถึงพันกว่าปีข้างหน้า จ้าวเม่ยนั้นไม่ทันได้สนใจว่าวิญญาณของจ้าวเว่ยเว่ยล่องลอยไกลแค่ไหน แต่ว่านางนั้นตกใจแล้วน้ำตาไหลตั้งแต่ที่ลูกสาวบอกว่าวิญญาณออกจากร่างแล้ว นางวางซาลาเปาที่อยู่ในมือลงและเดินมากอดลูกสาวคนโตเอาไว้แน่น จ้าวเม่ยรู้สึกเสียใจและกลัวมาก เมื่อคิดว่านางเกือบจะสูญเสียลูกสาวคนโตไป นางร้องไห้พลางโทษตัวเองไปด้วย“แม่ไม่ดีเองที่ไม่สามารถที่จะปกป้องลูกได้ โถลูกแม่” นางลูบผมลูบหน้าลูกสาวอยู่เช่นนั้น จ้าวเว่ยเว่ยนั้นตอนที่ตกอยู่ในอ้อมกอดที่แข็งแรงและอบอุ่นจากแขนเล็กๆ ผอมๆ ของจ้าวเม่ยในตอนแรกก็ตกใจเหมือนกัน เพียงไม่นานความอบอุ่นของอ้อมกอดของแม่ ก็ซึมซับเข้าสู้หัวใจของเธอ เมื่อเจ้ารองและเจ้าเล็กเห็นว่าท่านแม่กอดพี่ใหญ่พวกเขาก็รีบวางซาลาเปาลงและวิ่งมากอดพี่สาวด้วย จ้าวเว่ยเว่ยนั้นก็กอดตอบจ้าวเม่ยและน้องๆ แน่นทีเดียว เพราะความที่เธอเป็นเด็กกำพร้าทำให้รู้สึกโหยหาอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นขอ
บทที่ 15 ตอนนี้พวกเราต้องการเงิน“ท่านแม่ตอนที่พวกเขาเดินมาที่บ้านหลังนี้ ลุงสามแอบยัดเงินใส่มือข้า นี้เจ้าค่ะท่านแม่”จ้าวเว่ยหยิบเงิน 5 ตำลึงเงินที่จ้างหลี่หยางแอบให้นางมาและยื่นให้แม่ของนาง จ้าวเว่ยรับเงิน 5 ตำลึงมาพลางถอนหายใจ“เฮ้อ ลุงสามของพวกเจ้าใจดีกับพวกเรามาตลอด เงิน 5 ตำลึงนี้จะว่ามากก็มากจะน้อยก็น้อย แม่คิดว่าเขาคงจะเตรียมที่จะนำไปสอบที่เมืองหลวงด้วยแน่ๆ ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ ในครอบครัวตระกูลจ้าวจะไม่ดีกับพวกเรา แต่ว่าลุงสามนั้นไม่ใช่ พวกเจ้าจำการช่วยเหลือของลุงสามเอาไว้นะว่าภายหน้าให้หากมีโอกาสก็ให้ตอบแทนเขาด้วย”จ้าวเม่ยสอนลูกๆ ของนาง เพราะที่ผ่านมาจ้าวหลี่หยางนั้นเป็นคนเดียวในครอบครัวจ้าวที่ค่อยช่วยเหลือครอบครัวเธอมาตลอด“ท่านแม่ตอนนี้ครอบครัวเราต้องการเงินมาก ข้ามีของมากมายในจี้กระจกวิเศษ แต่ว่าถ้าเรานำออกมาใช้ชาวบ้านจะต้องสงสัยแน่นอนว่าพวกเรานำเงินมาจากไหน ข้าคิดว่าพรุ่งนี้พวกเขาลองขึ้นเขาดูดีหรือไม่ ในมิตินั้นของข้านั้นมีโสมอยู่หลายแปลง ข้าคิดว่าเรานำโสมไปขายดีหรือไม่ โดยให้ชาวบ้านเห็นว่าพวกเราขึ้นภูเขาและได้โชคมาก จากนั้นค่อยนำไปขายแบบนี้ชาวบ้านจะได้ไม่สงสัยและอีกอย่างถ้
บทที่ 30 โรงประมูลพยัคฆ์แดงหลังจากท่านแม่เดินไปหลังบ้านเพื่อดูเจ้าม้าเหงื่อโลหิตอยู่ครู่หนึ่งเมื่อนางเดินกลับมาจ้าวเว่ยเว่ยสังเกตเห็นหน้าผากของนางนั้นมีเหงื่อขึ้นมาตรงไรผมเล็กน้อยทั้งๆ ที่ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วก็ตาม นี่คงไม่ได้ไปทำอะไรมาอีกหรอกนะเจ้าค่ะท่านแม่! จ้าวเว่ยเว่ยคิด จากนั้นทั้งสี่แม่ลูกก็กระโดดขึ้นรถม้าที่ท่านแม่เตรียมจะขับออกจากบ้าน จ้าวเว่ยเว่ยเมื่อขึ้นมาบนรถม้าก็มองน้องๆ ที่ตอนนี้หาที่เกาะกันคนละมุมในรถม้าแล้วปากกระตุกนิดหน่อยพลางคิดว่าในใจว่า ไม่เหลือที่ให้พี่ใหญ่เกาะเลยนะเจ้าพวกนี้!แน่นอนด้วยการซิ่งแบบตีนผีของท่านแม่รถม้าของพวกเขามาถึงเมืองฟงในเวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วยามเท่านั้นซึ่งเป็นการทำลายสถิติเดิมที่ท่านแม่เคยทำเอาไว้เสียด้วยซ้ำ ในตอนที่เด็กๆ ลงจากรถม้า จ้าวเว่ยเว่ยและน้องๆ ถึงกับขาสั่นอยู่สักครู่ถึงได้ยืนกันได้แบบปรกติ พลางคิดกันในใจว่า สรุปว่าที่ผ่านมาคนอื่นเขาขับรถม้ากันไม่เป็นหรือว่าเป็นท่านแม่นั้นเข้าถึงศาตร์ด้านการขับรถม้าอย่างถ่องแท้กว่าพวกเขากันแน่!!!!ส่วนท่านแม่นั้นพอได้ออกมาซิ่งสีหน้าก็สดชื่นมากทีเดียว เพราะว่าตอนนี้อากาศเริ่มจะเย็นลงมากแล้ว ทำให้ตลา
บทที่ 29 ปรมาจารย์ผู้ลึกลับ(มาก) เมื่อวางแผนการใหญ่ที่จะปลูกพืชผักเอาไว้ให้มากมายเพราะจากที่อ่านประวัติของราชวงค์ต้าหมิงมานั้นในปีนี้พวกเขาจะประสบกับภัยหนาว ภัยแล้ง ดังนั้นสิ่งที่จ้าวเว่ยเว่ยต้องเตรียมการให้พร้อมนั้นคือ เงิน เงิน และเงิน เพื่อที่จะหาพื้นที่ปลูกให้ได้มากที่สุด และกักตุนไว้เป็นเสบียงอาหารเอาไว้มากๆ เพื่อช่วยชาวบ้านในยามวิกฤตมาถึง สิ่งที่จ้าวเว่ยเว่ยจะปลูกอย่างแรกคือจะต้องเป็นพืชที่ให้ผลผลิตมาก เก็บผลผลิตได้เร็วและที่สำคัญคือสามารถกินแทนข้าวได้ยามเมื่อเจอภัยแล้งสวนพริกนั้นนางปลูกเอาไว้ไม่เยอะมากนัก เอาไว้หากมักแพร่หลายค่อยให้ชาวบ้านปลูกและรับซื้อแบบนั้นจะเป็นการเพิ่มช่องทางการทำมาหากินให้ชาวบ้านจากที่นางศึกษามาพืชที่เหมาะสมที่จะปลูกคือมันฝรั่ง มันเทศและถั่วเหลือง นั้นเอง มันฝรั่ง ทนแล้งได้ดี สามารถเจริญเติบโตในสภาพอากาศที่แห้งแล้ง โดยอาศัยน้ำจากดินเพียงเล็กน้อยส่วนมันเทศ ทนแล้งได้ปานกลาง ต้องการน้ำมากกว่ามันฝรั่ง แต่ยังสามารถเจริญเติบโตในสภาพอากาศที่แห้งแล้งได้ถั่วเหลือง ทนแล้งได้ปานกลาง สามารถเจริญเติบโตในสภาพอากาศที่แห้งแล้งได้ ระยะเวลาการปลูกของมันฝรั่ง มันเทศ และถ
บทที่ 28 วางแผนการใหญ่การจ่ายเงินและแลกของเสร็จสิ้นในเวลา 1 ชั่วยาม ลานหน้าโกดังก็กลับมาเงียบสงบอย่างที่มันเคยเป็น ทันใดนั้นลมหนาวก็พัดอ่อนๆมาปะทะหน้าของจ้าวเว่ยเว่ยที่ยืนมองครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านที่มาช่วยงานในวันนี้เต็มกำลังทั้งบ้านจริงๆ นางเดินเข้าไปหาพวกเขาพร้อมกับข้าวของมากมายเต็มสองมือ และแน่นอนว่ามีค่าจ้างและสินน้ำใจให้พวกเขาด้วยเช่นกัน คือ 10 ตำลึงหัวหน้าหมู่บ้านมองในมือของเจ้าเด็กน้อยเว่ยเว่ยที่เต็มไปด้วยข้าวของที่มีพวกเนื้อหมู 2 จิ้น เกลือ1 จิ้น น้ำตาล 1 จิ้นและผ้าพับอีก 2 ผับและยังมีถุงลูกอมให้หลานๆ ของเขาอีก 2-3 ถุง ที่นางจะมอบให้กับพี่สะใภ้ทั้งสองที่มาช่วยด้วย หัวหน้าหมู่บ้านมองหน้าของนางที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า“พวกข้าปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วใช่หรือไม่?” หัวหน้าหมู่บ้านเจียงไห่เกิดการเรียนรู้เหมือนกันว่าไม่ควรปฎิเสธครอบครัวนี้เมื่อพวกเขาต้องการอะไร“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” เจ้าเว่ยเว่ยพยักหน้าขึ้นลง และเอ่ยว่า "อีกอย่างข้าก็มีเรื่องจะปรึกษาหัวหน้าหมู่บ้านด้วยเจ้าค่ะ คือหากว่าข้าอยากจะซื้อที่เพิ่มเพื่อปลูกพืชผัก ที่หมู่บ้านเรายังจะมีที่เหลือหรือไม่เจ้าคะ”เพราะว่าหมู่บ
บทที่ 27 ภารกิจอันยิ่งใหญ่เมื่อถึงเวลายามโหย่ว (6 โมงเย็น) หัวหน้าหมู่บ้านก็ตีเกราะเป็นสัญญาณว่าวันนี้เลิกงานแล้วเหล่าคนที่ถูกจัดให้เป็นหัวหน้างานที่ถูกแบ่งเอาไว้ 10 คน ก็เริ่มออกเดินตรวจงานตามแปลงที่แบ่งให้แต่ละครอบครัว พวกเขาหายไปไม่ถึงครึ่งเคอก็กลับมาพร้อมกับพยักหน้าว่าทุกอย่างและงานทุกแปลงนั้นเรียบร้อยดีมาก แม้กระทั่งของครอบครัวแม่เฒ่าชุนที่ได้รับแบ่งไปก็เรียบร้อยมากเช่นกันพวกเขาทั้งหมดก็เดินกลับมาที่โกดังซึ่งตอนนี้ในนั้นเปิดกว้างออกมา เมื่อทุกคนมาถึงก็ถึงกับตกใจเพราะว่าของในโกดังนั้นเยอะมาก และมันถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบอีกด้วย เหมือนกับการจัดของในร้านในเมืองฟงที่พวกเขาไปบ่อยๆ แต่ว่าการจัดที่นี่นั้นเป็นระเบียบและหาของได้ง่ายกว่ามากด้านหน้ามีโต๊ะของหัวหน้าหมู่บ้านเจียงไห่จงและลูกชายคนโตของเขาเจียงต้าเจี้ยนและลูกชายคนที่สองเจียงเอ่อหลานที่คนหนึ่งนั่งอยู่และมีรายชื่อของลูกบ้านที่ทำงานในวันนี้ ด้านข้างเป็นลูกชายคนรองที่กำลังเปิดหีบและนำพวงเงินอีแปะและเงินตำลึงเงินออกมา วางบนโต๊ะโต๊ะด้านข้างเป็นลูกสะใภ้ของเขาที่วันนี้มาช่วยทั้งสองคน ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนจะเป็นคนรับคำสั่งจาก
บทที่ 26 กักตุนอาหารวันต่อมา ตอนนี้การทำความสะอาดบริเวณที่จะสร้างบ้านได้เริ่มแล้ว จ้าวเว่ยเว่ยและท่านแม่จ้าวเม่ยนั้นหลังจากขนซื้อข้าวของมามากมายก็ขนไปที่โกดังของหมู่บ้านที่ตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านได้ให้กุญแจกับสองแม่ลูกเป็นคนถือ เมื่อนำของที่ซื้อมาขนเข้าไปด้านใน จ้าวเว่ยเว่ยก็ให้แม่ของนางออกมาดูต้นทาง ส่วนตัวเองนั้นเข้าไปเพิ่มจำนวนของภายในโกดังเพราะว่านางซื้อของทุกอย่างมาอย่างละแค่ 10 ชุด แต่ว่าจากจำนวนคนที่หัวหน้าบอกว่าจะมาทำงานให้บ้านนางนั้นคือ 40 ครอบครัว ก็ตกประมาณ 200-250 คน นางจึงเพิ่มจำนวนของเอาไว้เสียเลย เพราะหากว่าชาวบ้านต้องการที่จะกักตุนอาหารในช่วงนี้ก็จะได้มีให้พวกเขาเลย เพราะหลังจากสัปดาห์นี้เถ้าแก่ที่นางซื้อข้าวของพวกนี้ด้วยต่างบอกกันว่า ปีนี้หิมะจะมาเร็วทำให้ราคาของอาหารและข้าวของจะขึ้นแล้วให้พวกนางรีบซื้อไปมาเพิ่มนอกจากขนข้าวของมาเยอะแยะแล้วจ้าวเว่ยเว่ยยังไปแลกเงินที่ร้านรับแลกเงินของทางการที่เมืองฟงเปิดเอาไว้ด้วย คล้ายๆ กับเป็นธนาคารในยุคปัจจุบันนั้นล่ะ เพราะว่าการจ่ายเงินให้กับชาวบ้านพวกนางน่าจะต้องใช้เงินอีแปะเป็นจำนวนมากดังนั้นนางจึงมาแลกไปเลย เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านจ
บทที่ 25 แขกผู้สูงศักดิ์“เชิญคุณหนูเลือกดูอาหารสดด้านนี้ขอรับ ทางร้านของเรามีเนื้อสัตว์เกือบทุกประเภท”เมื่อหลงจู๊พาจ้าวเว่ยเว่ยมาถึงห้องครัวก็เรียกหัวหน้าพ่อครัวมาและแนะนำให้รู้จัก หัวหน้าพ่อครัวนั้นตั้งแต่ตอนที่ได้กินอาหารที่ใส่ผงวิเศษของคุณจ้าวเว่ยเว่ยที่ท่านหลงจู๊แนะนำแล้วตอนนี้เขาถือว่าตัวเองเป็นแฟนคลับเบอร์สองของคุณหนูจ้าวเว่ยเว่ยแล้ว เพราะเบอร์หนึ่งนั้นท่านหลงจู๊เอาไปก่อนเขา เมื่อจ้าวเว่ยเว่ยเดินมาเห็นพวกอาหารสดที่จัดเอาไว้อย่างดีของทางร้านก็ค่อนข้างประทับใจนางเดินดูอยู่ครู่หนึ่งก็ได้พวกของทะเลมา ทั้งกุ้ง ปู หมึกทะเลตัวใหญ่ เมื่อได้มาแล้วนางก็หาที่รัดแขนเสื้อเพื่อลงมือทำต้มยำทะเลน้ำข้นทันที ขณะนั้นเองเหล่าพ่อครัวก็ถอยออกมาอย่างรู้ธรรมเนียม เพราะว่าสูตรอาหารนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก บางสูตรนั้นสืบทอดกันมาจากต้นตระกูลหลายร้อยปีเลยทีเดียวจ้าวเม่ยเม่ยนั้นไม่ได้คิดมากขนาดนั้นเพราะว่าในยุคที่นางจากมานั้นทั้งความรู้และสูตรอาหารต่างก็เปิดเผยในอินเทอร์เน็ตทั้งหมดไม่ว่าอยากจะทำจะทานอะไรก็สามารถทำได้หาได้อย่างง่ายดาย เมื่อได้ของทะเลมานางก็ลงมือจัดการกับพวกเครื่องปรุงและส่วนผสมทันทีให้พร้
บทที่ 24 ต้มยำทะเลน้ำข้นอาหารจานเนื้อผัด 3 จาน อาหารจานผักผัด 2 จาน ที่ใส่ผงปรุงรสถูกส่งขึ้นไปที่ห้องพิเศษของแขกผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นทันที ส่วนหมูตุ๋นนั้นเพราะต้องใช้เวลาทำให้ยังไม่สามารถที่จะยกไปบริการได้ แต่ว่ากลิ่นหลังจากนั้นที่ตุ๋นมาไปสักพักนั้นมันช่างหอมหวนเสียจริงๆ ส่วนแขกด้านนอกนั้นเมื่อเห็นว่าทางร้านเริ่มผัดอาหารที่หอมขนาดนั้นออกมา ก็กระหน่ำสั่งอีกทันทีถึงแม้บางโต๊ะนั้นใกล้จะอิ่มแล้วแต่ว่าเพราะไม่อาจจะอดทนกับกลิ่นที่หอมของอาหารที่โต๊ะด้านข้างสั่งได้จึงต้องสั่งมากินอีกจนได้ และก็เหมือนกันกับหลงจู๊ที่เมื่ออาหารเข้าปากสีหน้าเคลิบเคลิ้มของลูกค้าที่กินอาหารนั้นทำให้หลงจู๊ที่แอบมองนั้นถึงกับยิ้มกว้างเลยทีเดียว“ท่านหลงจู๊ผงวิเศษพวกนี้เหลือน้อยเต็มทีแล้วนะขอรับ ท่านไปได้มาจากไหนกัน รีบไปเอามาเพิ่มเถอะขอรับ ตอนนี้ยังมีอีกหลายสิบจานที่ยังทำไม่ทัน ข้ากลัวว่ามันจะไม่พอ” ขณะที่หลงจู๊กำลังแอบมองเหล่าลูกค้าที่แย่งกันคีบอาหารในจานจนมีหลายโต๊ะถึงขั้นเริ่มจะมีปากเสียง จนต้องหันมาสั่งจานนั้นเพิ่ม ก็ได้ยินเสียงเหล่าพ่อครัวตะโกนบอกเขาพลันเขาก็เห็นคุณหนูน้อยท่านนั้นและครอบครัวกำลังจะออกจากร้านพอ
บทที่ 23 ผงปรุงรสตัดมาที่กล่องที่เก็บกระจกวิเศษของจ้าวเว่ยเว่ย ตอนนี้รอยร้าวของมันนั้นได้ประสานกันยาวขึ้นมาอีก 10 เซ็นติเมตาเลยที่เดียวหากจ้าวเว่ยเว่ยเห็นก็คงจะสงสัยเหมือนกันว่าการช่วยคนๆ นี้คนเดียวทำไมรอยร้าวถึงได้ประสานกันได้ยาวขนาดนี้ เมื่อคณะของใต้เท้าหวังจากไป ภัตตาคารเจียหลินก็กลับมาต้อนรับลูกค้าใหม่อีกครั้ง หลงจู๊จงหย่ง นั้นเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรกที่เด็กสาวคนนั้นเข้าช่วยเหลือใต้เท้าหวัง เขาจึงรีบเดินเข้าไปและโค้งคำนับและเชิญพวกนางขึ้นชั้นสองที่เป็นห้องพิเศษ ความจริงแล้วภัตตาคารแห่งนี้นั้นเป็นของตระกูลของใต้เท้าหวังนั้นเอง“เชิญคุณหนูและฮูหยินขอรับ วันนี้พวกท่านได้ช่วยเหลือใต้เท้าหวังทางภัตตาคารเจียหลินขอเป็นตัวแทนใต้เท้าเลี้ยงอาหารมื้อนี้นะขอรับ ขอคุณหนูอย่างได้ปฎิเสธเลยนะขอรับ” หลงจู๊รีบพูดกันเอาไว้ก่อนที่จ้าวเว่ยเว่ยจะปฎิเสธ“เช่นนั้นก็ขอรับกวนท่านหลงจู๊ด้วยนะเจ้าคะ”จ้าวเว่ยเว่ยเมื่อเห็นว่าไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้จึงได้ยอมรับน้ำใจของเขาในครั้งนี้ขณะที่รออาหารจ้าวเม่ยก็มองจ้องมาที่ลูกสาวคนโตของนางอย่างพิจารณา จะบอกว่านางไม่ใช่ลูกสาวของนางก็ไม่ใช่เพราะว่าทุกอย่างยังเป็นปรกติ
บทที่ 22 ช่วยชีวิตคนเช้าวันต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านก็ตีเกราะอีกครั้งครั้งนี้มีชาวบ้านมาร่วมฟังเกือบครึ่งหมู่บ้าน แน่นอนว่าบ้านตระกูลจ้าวนั้นยังมาไม่ได้เช่นเดิม และข่าวใหม่ที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกกับชาวบ้านก็คือ พวกเขาจะแบ่งพื้นที่ในการทำความสะอาดที่ดินของนางจ้าวเม่ยให้กับทุกครอบครัวที่ต้องการทำงานแทนการจ้างรายบุคคล เพราะตอนนี้เขาทราบว่าทุกคนต่างการก็การทำงานและต้องการเงิน ดังนั้นพื้นที่ที่จะแบ่งนั้นจะแบ่งตามจำนวนคนในครอบครัวที่สามารถมาทำงานได้ โดยค่าจ้างนั้นจะมีให้เลือก 2 แบบคือสามารถเลือกอาหารแห้งพวกข้าวสาร แป้ง เกลือ น้ำตาล ถั่ว ซีอิ๊ว เครื่องปรุงต่างๆ หรือพวกเผือก มัน ธัญพืชแห้ง หรือ ถ้าต้องการเนื้อสัตว์ก็สามารถเลือกได้แต่ว่าราคาก็จะตามท้องตลาด หรือ สามารถรับเป็นเงินได้ โดยครอบครัวไหนมากันเยอะก็จะได้พื้นที่ทำงานเยอะ ถ้ามีน้อยก็ได้น้อย และการทำงานจะมีหัวหน้างานที่เดินตรวจทุกวันเมื่อทำงานเสร็จแล้ว หากครอบครัวไหนทำงานไม่เรียบร้อย วันต่อมาก็จะถูกลดพื้นที่ลง โดยค่าจ้างจะให้ตามพื้นที่ที่แต่ละครอบครัวได้รับนั้นคือหมู่ละ 5 ตำลึง ส่วนอาหารนั้นจะให้เพียงซาลาเปาและน้ำเต้าหู้ในตอนเช้าเท่านั้นส่วนมื