บทที่ 9 ครอบครัวเจ้าสี่ได้รับความอยุติธรรม
“เว่ยเว่ย ลูกแม่ / พี่ใหญ่ พี่ใหญ่” สามเสียงประสานกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จ้าวเม่ยตรงเข้าไปและมองดูลูกสาวใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าลูกสาวเพียงเป็นลมไปเท่านั้นก็ถอนหายใจ ให้เจ้าเด็กน้อยทั้งสองไปหาผ้าชุบน้ำเพื่อจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูกสาวของนาง
เมื่อได้ผ้ามานางก็ค่อยๆ เช็ดไปตามใบหน้าแห้งผอมของลูกสาวคนโต และมองไปที่ผ้าที่พันอยู่บนศีรษะที่มีเลือดซึมออกมานิดหน่อยแล้วถอนหายใจ พลางคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า.....
เมื่อเช้าตัวนางออกไปทำงานที่นาแต่เช้าโดยให้ลูกชายและลูกสาวคนเล็กดูแลพี่สาวที่นอนป่วยไม่มีเรี่ยวแรงมา 3-4 วันแล้ว โดยนางได้บอกให้พวกเขาอยู่แต่ในห้องไม่ต้องออกมาทำงานบ้าน โดยนางจะกลับมาทำเองเมื่อทำงานที่นาเสร็จ เด็กๆ ก็ตกลงและเข้าไปนั่งข้างๆ เตียงของพี่สาวของพวกเขา
ขณะที่นางกำลังถอนหญ้าที่อยู่ในนานั้น ป้าถงป้าที่อยู่ข้างบ้านก็รีบเดินมาหานางเพียงตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“จ้าวเม่ย จ้าวเม่ย เจ้ายังทำอะไรอยู่ที่นี่ บ้านของเจ้าเกิดเรื่องแล้ว ยังไม่รีบกลับไปอีก”
จ้าวเม่ยนวดเอวที่กำลังปวดเมื่อยขึ้น ในมือถือยังมีหญ้าที่ถูกถอนออกจากแปลงนาอยู่กำใหญ่
“ยังเหลืองานต้องทำอีกเล็กน้อย ทำเสร็จแล้วจะกลับไป บ้านข้าเกิดเรื่องอะไรหรือป้าถง”
จ้าวเม่ยเอ่ยถามป้าถงเบาๆ และกำลังจะก้มลงเพื่อทำงานต่ออีกครั้ง
“ยังจะทำงานอยู่อีก ลูกสาวของเจ้าจะถูกคนตีตายอยู่แล้ว รีบกลับไปดูเร็วเข้า”
ป้าถงมีสีหน้าร้อนร้น เพราะก่อนที่นางจะรีบเดินมาตามนั้น แม่เฒ่าจ้าวกับสะใภ้ใหญ่ จ้าวเจียงหงกำลังใช้ไม้ตีไปที่จ้าวเว่ยเว่ยลูกสาวของจ้าวเม่ยอย่างแรง และเด็กคนนั้นก็ล้มหัวกระแทกนางเห็นเลือดมากมายไหลออกมาจากศีรษะของเด็กคนนั้น นางถึงได้รีบร้อนวิ่งมาตามให้ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ใช่เรื่องรองนางเสียทีเดียว จ้าวเม่ยได้ยินเช่นนั้นก็พลันชะงักงัน ก่อนจะโยนกำหญ้าในมือทิ้งไปอย่างรวดเร็ว และกระโดดขึ้นไปบนคันนา
“เมื่อครู่ป้าว่าอะไรนะ”
ป้าถงถอนใจ
“เห็นว่าแม่สามีและสะใภ้ใหญ่ของเธอพวกเขาถือโอกาสที่เจ้ามาดูแลไร่นา เข้าไปค้นหาเงินในบ้าน แล้วลูกสาวคนโตของเธอเข้าห้ามพวกเขาเอาไว้ พวกเขาไม่พอใจเลยก็เลยลากลูกสาวคนโตของเจ้าออกมาและใช้ไม้ตีอย่างแรง แต่ว่าเจ้าลูกสาวของเธอล้มลงหัวกระแทกพื้นเลือดไหลเต็มไปหมด ตอนฉันไปถึงได้ยินว่าไม่มีลมหายใจแล้ว ก็เลย…”
ป้าถงยังพูดไม่ทันจบ จ้าวเม่ยก็รีบร้อนวิ่งไปแล้ว
ภายในบ้านสกุลจ้าวมีคนมุงอยู่ไม่น้อย ทุกคนกำลังชี้ไม้ชี้มือเข้าไปด้านใน
จ้าวเม่ยพุ่งเข้าไปในบ้านตนเองทันที และเห็นบุตรสาวนอนอยู่บนพื้น เลือดไหลออกจากศีรษะ และเหมือนจะไร้ลมหายใจแล้ว ข้างร่างของเจ้าเว่ยเว่ย ลูกสาวคนเล็กและลูกชายคนของนางนั่งโอบร่างของพี่สาวพวกเขาเอาไว้ พลางร้องไห้เสียงดัง ภาพนั้นช่างน่าสลดสังเวช ต่อคนที่กำลังยืนมองอยู่จริงๆ
จ้างเม่ยเข่าอ่อนโดยพลัน นางโซซัดโซเซมาถึงด้านหน้าของบุตรสาว แล้วดึงมืออันเย็นเฉียบของเด็กสาวมา พลางมองบาดแผลทั่วทั้งใบหน้าและลำตัวนั้น หัวใจถูกบีบเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ อยากจะร้องไห้ออกมา แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ร้องไห้ไม่ออก นางกัดริมฝีปากไว้แน่น พลางเดินเข้าไปกอดร่างของลูกสาวคนโตของนางเอาไว้
“เว่ยเออร์ เว่ยเว่ย ลูก ลูกฟื้นสิ นี้แม่เอง แม่มาแล้วลูก” พูดพลางกอดและในที่สุดน้ำตาไหลออกมา และหยดลงที่ดวงตาที่ปิดสนิทของจ้างเว่ยเว่ย
“พี่ใหญ่ พี่ พี่ฟื้นนะ” เด็กน้อยทั้งสองคนต่างก็พยายามเขย่าเพื่อให้พี่สาวของพวกเขาฟื้น
จ้าวเจียงหง สะใภ้ใหญ่ของสกุลจ้าวเดินออกมาจากในเรือน นางเห็นว่านังสะใภ้เล็กกลับมาแล้ว ก็เลิกคิ้วขึ้นทันที บนใบหน้าอำมหิตมีแต่ความไม่พอใจ
“เหตุใดเจ้าถึงกลับมา ทำงานในทุ่งนาเสร็จแล้วหรือ หากยังทำงานไม่เสร็จ เย็นนี้เจ้าก็อย่าได้คิดจะกินข้าวเลย”
จ้าวเม่ยดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้าง นางกำมือแน่น ทั่วใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวสุดขีด นางหันไปตะคอกใส่จ้าวเจียงหง
“ใครเป็นคนตีลูกสาวข้าจนเป็นเช่นนี้ ใครกัน!”
สะใภ้ใหญ่ตะลึง จ้าวเม่ยเป็นคนซื่อๆ มาแต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่น้องเล็กตายไป นางไม่เคยมีปากมีเสียงกับใครเลย คนในบ้านไม่ว่าจะสั่งให้พวกนางทำอะไร พวกนางไม่เคยปฎิเสธ เพราะว่าตอนนี้พวกนางก็เหมือนกับกาฝากของตระกูลจ้าวนั้นเอง พวกนาง ปล่อยให้ผู้อื่นรังแกจนเคยชิน ไม่ว่าจะด่าว่าหรือสั่งให้ไปทำงานอย่างไร นางล้วนไม่เคยบ่นแม้แต่คำเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตะคอกเสียงดังใส่เช่นตอนนี้เลย
“นี้เจ้ากล้าตะคอกใส่ข้าเชียวหรือ ใช่แล้ว! เป็นข้ากับท่านแม่ที่ตีนางเอง แล้วอย่างไร ใครใช้ให้นางไม่เชื่อฟังเล่า กินข้าวสกุลจ้าว ใช้ของสกุลจ้าว สกุลเราสิ้นเปลืองอาหารเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ตั้งเท่าไร นางต่างหากที่โตขึ้นมากลับปีกกล้าขาแข็ง แม้แต่คำพูดของท่านย่าและท่านป้าใหญ่ตนเองยังกล้าจะไม่เชื่อฟัง ก็สมควรแล้ว เพียงเงินเล็กน้อยนั้นพวกเจ้าก็ห่วงเสียยิ่งกว่าชีวิตแล้วหรือ ฮึ...”
สีหน้าไม่ได้รู้สึกผิดของจ้าวเจียงหงนั้นทำให้จ้าวเม่ยกระโดดลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะพุ่งเข้าไปตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรง
“เพี้ยะ”
“เพี้ยะ”
“เพี้ยะ”
“ข้าทำงานต่างวัวต่างม้าทั้งวัน หรือว่าแม้แต่ข้าวสักคำก็แลกมาให้ลูกสาวข้าไม่ได้ ครอบครัวเจ้ามีกันสี่คน แล้วทำงานได้จริงๆ กี่คนกัน ข้าเคยรังเกียจที่พวกเจ้ามากปากหรือไม่”
“นางเพิ่งอายุสิบสี่เองนะ นางเพิ่งอายุได้สิบสี่เท่านั้น! พวกเจ้าไม่คิดว่านางก็เป็นคนของตระกูลจ้าวบ้างหรือไร”
หลิวเจียงหงถูกตบหน้าจนมึนงง ตั้งแต่นางแต่งเข้าสกุลจ้าวนี้ ก็ไม่เคยถูกผู้ใดตบเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังเป็นการตบหน้าต่อหน้าคนในหมู่บ้านมากมายเช่นนี้ นางนั่งลงกับพื้น ร้องไห้โฮเสียงดังขึ้นมา
“นางตีข้า น้องสะใภ้ตีพี่สะใภ้ นางจะตีข้าจนตายแล้ว ใครก็ได้มาช่วยข้าเร็วเข้า น้องสะใภ้เนรคุณขนาดนี้ ข้าขอตายเสียดีกว่า!”
ชาวบ้านที่กำลังมุงดูอยู่นอกรั้วพากันส่ายหน้า
“ครอบครัวจ้าวเม่ยโชคร้ายนัก ต้องมาเจอกับพี่สะใภ้และแม่สามีเช่นนี้ โชคร้ายเสียจริงๆ”
“ถูกต้อง สกุลจ้าวของพวกเขาแม้จะมีบุตรชายถึงสี่คน ทว่าคนที่ทำงานมากที่สุดจริงๆ ก็มีแต่เจ้าสี่ที่เก็บมาเลี้ยง หลังจากเจ้าสี่ตายไป ก็มีเพียงสะใภ้สี่เท่านั้นที่ทำไร่ทำนา ไหนเลยจะขาดนางได้ สตรีคนหนึ่งทำงานหนักยิ่งกว่าบุตรชายสามคนของบ้านพวกเขาเสียอีก อีกอย่าง บุตรชายคนโตมีลูกสองคน บุตรชายคนรองมีลูกสองคน บุตรคนที่สามที่เป็นบัณฑิตนั้นยังดีที่ยังไม่มีลูก ในพวกเขามีคนไหนมีคนไหนที่ทำงานไม่ต่างจากวัวจากม้าเหมือนครอบครัวของเจ้าสี่บ้าง หรือว่าเป็นแค่ลูกชายที่เก็บมาเลี้ยงถึงได้ทิ้งขว้างพวกเขาเช่นนี้ เฮ้อ ตระกูลจ้าวของตาแก่ จ้าวเฉินหลงนี้ช่างเลอะเลือนเสียจริง”
เสียงของเพื่อนบ้านที่อยู่กันมานานรู้ดีถึงความอยุติธรรมที่ครอบครัวของเจ้าสี่บ้านจ้าวได้รับเป็นอย่างดี....
**** อยู่ไม่ได้แล้วครอบครัวแบบนี้ น้องเว่ยรีบฟื้นพาแม่กับน้องหนีเถอะ***
บทที่ 10 ถูกไล่ออกจากบ้าน“ไล่ออกจากบ้านอย่างนั้นหรือ?”เมื่อจ้าวเว่ยเว่ยฟื้นขึ้นมาจากการสลบจ้าวเม่ยก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวฟังว่า ทุกคนในครอบครัวตระกูลจ้าวก็ต่างโกรธแค้นนางตบหน้าสะใภ้ใหญ่ และต้องการขับไล่พวกนาง 4 แม่ลูกออกจากบ้านตระกูลจ้าวไปโดยทันที นางจ้าวเม่ยรู้สึกเสียใจและตกใจเป็นอย่างมากกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เธอรู้ดีว่าความใจร้อนของเธอสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวแล้ว แต่ในตอนนั้นที่เห็นลูกสาวนอนอยู่ด้านนอกเหมือนของไร้ค่า ไม่มีใครเหลียวแลเอาใจใส่ ความโกรธก็พลุ่งพล่านจนอดไม่ได้ที่จะลงมือตบสะใภ้ใหญ่ไปหลายฉาดแม้ต่อมานางจ้าวเม่ยพยายามอธิบายให้ครอบครัวตระกูลจ้าวฟังว่าเธอทำไปด้วยความโกรธและห่วงใยลูกสาว แต่ครอบครัวตระกูลจ้าวก็ไม่ฟัง พวกเขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะขับไล่พวกนางสี่แม่ลูกออกจากบ้านทันที“แม่ขอโทษนะลูกที่ทำให้พวกลูกต้องลำบากแล้ว"ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย ครอบครัวจ้าวต่างโกรธแค้นนางจ้าวเม่ยที่ลงมือตบหน้าสะใภ้ใหญ่โดยทำเป็นหลงลืมประเด็นที่ว่าทำไม สะใภ้ใหญ่และแม่เฒ่าจ้าวถึงได้เข้ามาค้นหาเงินในห้องของนางจ้าวเม่ย ซึ่งจ้าวเว่ยเว่ยที่เพิ่งฟื้นและตอนนี้เธอก็ได้รับรู้ความท
บทที่ 11 ต้องการตั้งตระกูลใหม่เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเดินมาถึงก็ได้ยินประโยคนั้นของแม่เฒ่าจ้าวพอดีเขาถึงกับก็ส่ายหน้า สตรีตระกูลนี้ทั้งอำมหิตและไร้ยางอายจริงๆ แบบนี้เขาคงต้องเตือนญาติๆ แล้วว่าห้ามเกี่ยวดองด้วยเด็ดขาด มิเช่นนั้นคงได้ปวดหัวและบ้านไม่สงบสุขแน่นอน เพราะแม่เป็นเช่นไร ลูก ๆ หลานๆ ก็ย่อมไม่หนีกันอยู่แล้วจ้าวเม่ยรู้สึกเจ็บใจมาก คนในบ้านหลังนี้นอกจากพี่สามจ้าวหลี่หยาง ที่เรียนอยู่ในเมืองแล้วนางไม่ไม่เคยรับรู้ถึงน้ำใจและความอบอุ่นแม้สักเสี้ยวเดียว ทุกคนล้วนเห็นนางต่างวัวต่างม้า ทว่านางก็ยึดที่แห่งนี้เป็นบ้านของตนมาโดยตลอด ดังนั้นถึงจะลำบากและเหนื่อยล้าเพียงใด ได้รับความไม่เป็นธรรมถึงเพียงไหน นางก็ไม่เคยบ่น และยังพยายามที่จะเอาใจพวกเขาด้วย เพราะกลัวว่าลูกๆ ของนางที่ไม่มีพ่อคอยปกป้องจะถูกรังแก แต่ว่ายิ่งนางยอมพวกเขาก็ยิ่งได้ใจและข่มเหงครอบครัวนางมากขึ้นอีก ทว่าวันนี้ ในที่สุดนางก็ฟื้นสติอย่างเต็มที่แล้วพร้อมกับบางสิ่งบางอย่างในตัวนางที่เริ่มฟื้นขึ้นมาเหมือนกัน บ้านหลังนี้ไม่ต้องการนางและลูกๆ ของนางถึงนางจะพยายามแทบตายก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ดังนั้นการจากไปอาจจะเป็นการเริ่
บทที่ 12หนังสือตัดขาดความสัมพันธ์“ไม่มีอะไรหรอกลูกสาม ครอบครัวของสะใภ้เล็กนั้นเกียจคร้าน ไม่ทำการทำงาน และตอนนี้ก็กำเริบเสิบสานถึงขนาดทำร้ายสะใภ้ใหญ่ จนหน้าตาเละเทะไปหมด แม่ทนไม่ได้ก็เลยให้พวกมันออกจากบ้านเราไป”นางจ้าวเล่าเรื่องราวในส่วนของตัวเองและทำให้ครอบครัวของจ้าวเม่ยนั้นดูเลวร้ายมากที่สุดในสายตาของลูกชาย จ้าวหลี่หยางนั้นรู้นิสัยแม่ของเขาและคนในครอบครัวดี มันเป็นไปไม่ได้ที่สะใภ้เล็กจ้าวเม่ยจะเกียจคร้าน เพราะที่บ้านนี้คนที่ทำงานมากที่สุดตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นก็คือ จ้าวเม่ยนั้นเอง ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อที่ท่านแม่ของเขาพูดมา เขาหันไปมองหน้าจ้าวเม่ยและหลานๆ และเมื่อสายตาของเขาไปถึงจ้าวเว่ยเว่ยก็เห็นผ้าพันแผลสีขาวที่พันเอาไว้ ความสงสัยยิ่งเพิ่มขึ้น เขาหันมามองหน้าแม่ของเขาอีกครั้ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม นางจ้าวเมื่อเห็นลูกชายที่รักมองมาที่ตนแบบนั้นก็เกิดอาการร้อนรนขึ้นมาทันที“เออ เออ ..ก็นังเด็กนั้นมันไม่เชื่อฟังแม่ แม่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแค่ตีสั่งสอนเล็กน้อยและนังเด็กนั้นก็ล้มลงไปหัวกระแทกเองนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับแม่เลย”คำพูดปัดสวะให้พ้นตัวที่นางจ้าวพูดออกมาแบบไม่อายปากนั้นทำใ
บทที่ 13 ของในพื้นที่มิติตามมาครบหรือเปล่านะ?หนังสือตัดความสัมพันธ์ถูกส่งให้ทั้งสองครอบครัวคนละหนึ่งชุดและสำหรับหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อนำไปแจ้งที่อำเภออีกหนึ่งชุดเป็นอันว่าเสร็จตอนนี้ทั้งสองครอบครัวถือไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป ขณะที่จ้าวเม่ยกับลูกๆ กำลังช่วยกันหอบข้าวของ และช่วยกันประคองจ้าวเว่ยเว่ยอยู่นั้น จ้าวหลี่หยางก็เดินตามมาช่วยหยิบของด้วยเช่นกันตอนนี้พวกเขาตกลงกันที่จะไปเช่าบ้านของน้องชายของหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ก่อนระหว่างที่รอการสร้างบ้านบนที่ดินร้างแห่งนี้ ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านนั้นด้วยความสงสารครอบครัวของเจ้าเม่ยเขาจึงคิดค่าเช่าเพียง 120 อีแปะต่อเดือน ซึ่งถ้าเป็นปรกติการเช่าบ้านเป็นหลังราคาจะอยู่ที่ 200-300 อีแปะต่อเดือนเลยทีเดียวซึ่งจ้าวเม่ยนั้นทราบราคาดีและนางก็ก้มขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านหลายครั้งเช่นกันที่ยื่นมือช่วยเหลือคราวนี้แต่ปัญหาต่อมาของครอบครัวจ้าวก็คือตอนนี้ทั้งครอบครัวพวกเขามีเงินอยู่เพียง 100 อีแปะที่จ้าวเม่ยพยายามเก็บสะสมมานานแต่ว่ามันยังขาดอยู่20 อีแปะ จ้าวเม่ยนั้นเครียดจัดตาแดงเพราะกลัวว่าจะไม่มีบ้านให้ลูกของเธออยู่ เพราะตอนนี้จ้าวเว่ยเว่ยก็ยังไม่หายดี ป้าถงที่มองดูเห
บทที่ 14 บอกความลับ“อะไรนะลูก วิญญาณออกจากร่างไปเช่นนั้นหรือ!” จ้าวเม่ยตะโกนขึ้นมาเมื่อจ้าวเว่ยเว่ยเล่าให้ทุกคนในครอบครัวฟ้งว่า ในตอนนั้นที่นางหัวกระแทกและสลบไปนั้น วิญญาณได้ออกจากร่างไปและได้ล่องลอยไปไกลถึงพันกว่าปีข้างหน้า จ้าวเม่ยนั้นไม่ทันได้สนใจว่าวิญญาณของจ้าวเว่ยเว่ยล่องลอยไกลแค่ไหน แต่ว่านางนั้นตกใจแล้วน้ำตาไหลตั้งแต่ที่ลูกสาวบอกว่าวิญญาณออกจากร่างแล้ว นางวางซาลาเปาที่อยู่ในมือลงและเดินมากอดลูกสาวคนโตเอาไว้แน่น จ้าวเม่ยรู้สึกเสียใจและกลัวมาก เมื่อคิดว่านางเกือบจะสูญเสียลูกสาวคนโตไป นางร้องไห้พลางโทษตัวเองไปด้วย“แม่ไม่ดีเองที่ไม่สามารถที่จะปกป้องลูกได้ โถลูกแม่” นางลูบผมลูบหน้าลูกสาวอยู่เช่นนั้น จ้าวเว่ยเว่ยนั้นตอนที่ตกอยู่ในอ้อมกอดที่แข็งแรงและอบอุ่นจากแขนเล็กๆ ผอมๆ ของจ้าวเม่ยในตอนแรกก็ตกใจเหมือนกัน เพียงไม่นานความอบอุ่นของอ้อมกอดของแม่ ก็ซึมซับเข้าสู้หัวใจของเธอ เมื่อเจ้ารองและเจ้าเล็กเห็นว่าท่านแม่กอดพี่ใหญ่พวกเขาก็รีบวางซาลาเปาลงและวิ่งมากอดพี่สาวด้วย จ้าวเว่ยเว่ยนั้นก็กอดตอบจ้าวเม่ยและน้องๆ แน่นทีเดียว เพราะความที่เธอเป็นเด็กกำพร้าทำให้รู้สึกโหยหาอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นขอ
บทที่ 15 ตอนนี้พวกเราต้องการเงิน“ท่านแม่ตอนที่พวกเขาเดินมาที่บ้านหลังนี้ ลุงสามแอบยัดเงินใส่มือข้า นี้เจ้าค่ะท่านแม่”จ้าวเว่ยหยิบเงิน 5 ตำลึงเงินที่จ้างหลี่หยางแอบให้นางมาและยื่นให้แม่ของนาง จ้าวเว่ยรับเงิน 5 ตำลึงมาพลางถอนหายใจ“เฮ้อ ลุงสามของพวกเจ้าใจดีกับพวกเรามาตลอด เงิน 5 ตำลึงนี้จะว่ามากก็มากจะน้อยก็น้อย แม่คิดว่าเขาคงจะเตรียมที่จะนำไปสอบที่เมืองหลวงด้วยแน่ๆ ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ ในครอบครัวตระกูลจ้าวจะไม่ดีกับพวกเรา แต่ว่าลุงสามนั้นไม่ใช่ พวกเจ้าจำการช่วยเหลือของลุงสามเอาไว้นะว่าภายหน้าให้หากมีโอกาสก็ให้ตอบแทนเขาด้วย”จ้าวเม่ยสอนลูกๆ ของนาง เพราะที่ผ่านมาจ้าวหลี่หยางนั้นเป็นคนเดียวในครอบครัวจ้าวที่ค่อยช่วยเหลือครอบครัวเธอมาตลอด“ท่านแม่ตอนนี้ครอบครัวเราต้องการเงินมาก ข้ามีของมากมายในจี้กระจกวิเศษ แต่ว่าถ้าเรานำออกมาใช้ชาวบ้านจะต้องสงสัยแน่นอนว่าพวกเรานำเงินมาจากไหน ข้าคิดว่าพรุ่งนี้พวกเขาลองขึ้นเขาดูดีหรือไม่ ในมิตินั้นของข้านั้นมีโสมอยู่หลายแปลง ข้าคิดว่าเรานำโสมไปขายดีหรือไม่ โดยให้ชาวบ้านเห็นว่าพวกเราขึ้นภูเขาและได้โชคมาก จากนั้นค่อยนำไปขายแบบนี้ชาวบ้านจะได้ไม่สงสัยและอีกอย่างถ้
บทที่ 16 ขายโสมสองแม่ลูกกลับลงมาจากภูเขาในตอนก่อนเที่ยงเพียงเล็กน้อย ชาวบ้านที่เดินสวนกันกับสองแม่ลูกมองเข้าไปในตะกร้าขนาดใหญ่ที่หลังของนางจ้าวเม่ย เต็มไปด้วยผักป่านานาชนิดที่กองพูนๆ เต็มตะกร้าและเหมือนกับกำลังใช้มันเพื่อปิดบังอะไรสักอย่างเมื่อเห็นเช่นนั้นความสงสัยก็เกาะกุมขาเผือกทันที หรือว่าสองแม่ลูกจะได้ของดีมาจากภูเขาเลยเอาผักป่าปิดเอาไว้กัน เมื่อความสงสัยถึงที่สุดพวกเขาจึงต้องหยุดและพวกเขาก็เดินเข้าไปใกล้เพื่อมองให้ชัดและเอ่ยถามออกไปว่า“แม่เว่ยเว่ย ได้ของมาเต็มตะกร้าเลยนะ ได้อะไรมาบ้างเล่า?” ชาวบ้านคนที่หนึ่งเอ่ยถามขึ้น“อออ เออ..เออ.. พี่จางหรอกหรือเป็นพวกผักป่านะเจ้าค่ะข้าพอดีเดินไปเจอดงของมันเข้า”นางจ้าวเว่ยที่ถูกลูกสาวเทรนมาให้ทำให้พวกชาวบ้านสงสัยในตะกร้าของพวกนางก็เล่นสมบทบาทมากทีเดียว นางมีสีหน้าหวาดระแวงและกังวลจนเอาตะกร้าขนาดใหญ่ด้านหลังนั้นมากอดเอาไว้ด้านหน้าเลยทีเดียวและจากนั้นสองแม่ลูกก็รีบเดินกลับบ้านเช่าที่อยู่ท้ายหมู่บ้านทันที พลางทำทางเหลี่ยวหน้าเหลี่ยวหลังอีกตะหาก เมื่อชาวบ้านเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของสองแม่ลูกแบบนั้นพวกเขาก็สรุปได้ในทันทีว่าวันนี้สองแม่ลูกคงจะ
บทที่ 17 ม้าเหงื่อโลหิตถงเจี้ยนหลานเมื่อได้โสมมาเขาให้เถ้าแก่จัดการเรื่องเงินให้กับสองแม่ลูกส่วนตัวเองนั้นรีบห่อต้นโสมต้นนั้นและหายเข้าไปชั้นสองของร้านทันที“อยากซื้อรถม้าเช่นนั้นหรือ มีสิ มีแน่นอนเป็นน้องชายของข้าเองที่เป็นเจ้าของร้านเดี๋ยวข้าจะให้เด็กนำทางไปนะเจ้าเด็กน้อย ไม่ต้องห่วงข้าจะให้เขาขายให้พวกเขาในราคายุติธรรมแน่นอน”เถ้าแถ่เฉินหลง เมื่อเจ้านายไปแล้วก็หันมาคุยกับสองแม่ลูกอย่างถูกอัธยาศัยและเมื่อทราบว่าทั้งสองต้องการจะซื้อรถม้าเขาก็รีบบอกด้วยความดีใจ เพราะอย่างไรเสียวันนี้น้องชายของเขาต้องขายรถม้าให้กับสองแม่ลูกนี้ได้อย่างแน่นอน“ขอบคุณมากเจ้าค่ะเถ้าแก่ นอกจากรถม้าพวกข้ายังอยากจะได้บ้านที่อยู่ในเมืองเฟิงแห่งนี้ด้วย เพราะว่าน้องชายของข้ากำลังจะเข้าสถานศึกษาที่นี่ ถ้าหากว่าเถ้าแก่พอจะทราบว่ามีที่ไหนที่ทำเลดีๆ ข้าขอรบกวนท่านบอกด้วยเจ้าค่ะ”เมื่อจะซื้อรถ (ม้า) ก็ต้องมีบ้านในเมืองด้วย ดังนั้นจ้าวเว่ยเว่ยจึงได้เอ่ยปากถามเถ้าแก่ในครั้งเดียวเลย ถ้าได้ที่ทำเลดีๆ ก็ดี แต่ถ้ายังไม่มีนางก็จะหาต่อไป เพราะตอนนี้มีเงินแล้ว นางจะซื้ออะไรก็ได้แล้ว“อยากได้บ้านด้วยเช่นนั้นหรือ ฮื่ม! เดี๋ยวข
บทที่ 30 โรงประมูลพยัคฆ์แดงหลังจากท่านแม่เดินไปหลังบ้านเพื่อดูเจ้าม้าเหงื่อโลหิตอยู่ครู่หนึ่งเมื่อนางเดินกลับมาจ้าวเว่ยเว่ยสังเกตเห็นหน้าผากของนางนั้นมีเหงื่อขึ้นมาตรงไรผมเล็กน้อยทั้งๆ ที่ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วก็ตาม นี่คงไม่ได้ไปทำอะไรมาอีกหรอกนะเจ้าค่ะท่านแม่! จ้าวเว่ยเว่ยคิด จากนั้นทั้งสี่แม่ลูกก็กระโดดขึ้นรถม้าที่ท่านแม่เตรียมจะขับออกจากบ้าน จ้าวเว่ยเว่ยเมื่อขึ้นมาบนรถม้าก็มองน้องๆ ที่ตอนนี้หาที่เกาะกันคนละมุมในรถม้าแล้วปากกระตุกนิดหน่อยพลางคิดว่าในใจว่า ไม่เหลือที่ให้พี่ใหญ่เกาะเลยนะเจ้าพวกนี้!แน่นอนด้วยการซิ่งแบบตีนผีของท่านแม่รถม้าของพวกเขามาถึงเมืองฟงในเวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วยามเท่านั้นซึ่งเป็นการทำลายสถิติเดิมที่ท่านแม่เคยทำเอาไว้เสียด้วยซ้ำ ในตอนที่เด็กๆ ลงจากรถม้า จ้าวเว่ยเว่ยและน้องๆ ถึงกับขาสั่นอยู่สักครู่ถึงได้ยืนกันได้แบบปรกติ พลางคิดกันในใจว่า สรุปว่าที่ผ่านมาคนอื่นเขาขับรถม้ากันไม่เป็นหรือว่าเป็นท่านแม่นั้นเข้าถึงศาตร์ด้านการขับรถม้าอย่างถ่องแท้กว่าพวกเขากันแน่!!!!ส่วนท่านแม่นั้นพอได้ออกมาซิ่งสีหน้าก็สดชื่นมากทีเดียว เพราะว่าตอนนี้อากาศเริ่มจะเย็นลงมากแล้ว ทำให้ตลา
บทที่ 29 ปรมาจารย์ผู้ลึกลับ(มาก) เมื่อวางแผนการใหญ่ที่จะปลูกพืชผักเอาไว้ให้มากมายเพราะจากที่อ่านประวัติของราชวงค์ต้าหมิงมานั้นในปีนี้พวกเขาจะประสบกับภัยหนาว ภัยแล้ง ดังนั้นสิ่งที่จ้าวเว่ยเว่ยต้องเตรียมการให้พร้อมนั้นคือ เงิน เงิน และเงิน เพื่อที่จะหาพื้นที่ปลูกให้ได้มากที่สุด และกักตุนไว้เป็นเสบียงอาหารเอาไว้มากๆ เพื่อช่วยชาวบ้านในยามวิกฤตมาถึง สิ่งที่จ้าวเว่ยเว่ยจะปลูกอย่างแรกคือจะต้องเป็นพืชที่ให้ผลผลิตมาก เก็บผลผลิตได้เร็วและที่สำคัญคือสามารถกินแทนข้าวได้ยามเมื่อเจอภัยแล้งสวนพริกนั้นนางปลูกเอาไว้ไม่เยอะมากนัก เอาไว้หากมักแพร่หลายค่อยให้ชาวบ้านปลูกและรับซื้อแบบนั้นจะเป็นการเพิ่มช่องทางการทำมาหากินให้ชาวบ้านจากที่นางศึกษามาพืชที่เหมาะสมที่จะปลูกคือมันฝรั่ง มันเทศและถั่วเหลือง นั้นเอง มันฝรั่ง ทนแล้งได้ดี สามารถเจริญเติบโตในสภาพอากาศที่แห้งแล้ง โดยอาศัยน้ำจากดินเพียงเล็กน้อยส่วนมันเทศ ทนแล้งได้ปานกลาง ต้องการน้ำมากกว่ามันฝรั่ง แต่ยังสามารถเจริญเติบโตในสภาพอากาศที่แห้งแล้งได้ถั่วเหลือง ทนแล้งได้ปานกลาง สามารถเจริญเติบโตในสภาพอากาศที่แห้งแล้งได้ ระยะเวลาการปลูกของมันฝรั่ง มันเทศ และถ
บทที่ 28 วางแผนการใหญ่การจ่ายเงินและแลกของเสร็จสิ้นในเวลา 1 ชั่วยาม ลานหน้าโกดังก็กลับมาเงียบสงบอย่างที่มันเคยเป็น ทันใดนั้นลมหนาวก็พัดอ่อนๆมาปะทะหน้าของจ้าวเว่ยเว่ยที่ยืนมองครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านที่มาช่วยงานในวันนี้เต็มกำลังทั้งบ้านจริงๆ นางเดินเข้าไปหาพวกเขาพร้อมกับข้าวของมากมายเต็มสองมือ และแน่นอนว่ามีค่าจ้างและสินน้ำใจให้พวกเขาด้วยเช่นกัน คือ 10 ตำลึงหัวหน้าหมู่บ้านมองในมือของเจ้าเด็กน้อยเว่ยเว่ยที่เต็มไปด้วยข้าวของที่มีพวกเนื้อหมู 2 จิ้น เกลือ1 จิ้น น้ำตาล 1 จิ้นและผ้าพับอีก 2 ผับและยังมีถุงลูกอมให้หลานๆ ของเขาอีก 2-3 ถุง ที่นางจะมอบให้กับพี่สะใภ้ทั้งสองที่มาช่วยด้วย หัวหน้าหมู่บ้านมองหน้าของนางที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า“พวกข้าปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วใช่หรือไม่?” หัวหน้าหมู่บ้านเจียงไห่เกิดการเรียนรู้เหมือนกันว่าไม่ควรปฎิเสธครอบครัวนี้เมื่อพวกเขาต้องการอะไร“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” เจ้าเว่ยเว่ยพยักหน้าขึ้นลง และเอ่ยว่า "อีกอย่างข้าก็มีเรื่องจะปรึกษาหัวหน้าหมู่บ้านด้วยเจ้าค่ะ คือหากว่าข้าอยากจะซื้อที่เพิ่มเพื่อปลูกพืชผัก ที่หมู่บ้านเรายังจะมีที่เหลือหรือไม่เจ้าคะ”เพราะว่าหมู่บ
บทที่ 27 ภารกิจอันยิ่งใหญ่เมื่อถึงเวลายามโหย่ว (6 โมงเย็น) หัวหน้าหมู่บ้านก็ตีเกราะเป็นสัญญาณว่าวันนี้เลิกงานแล้วเหล่าคนที่ถูกจัดให้เป็นหัวหน้างานที่ถูกแบ่งเอาไว้ 10 คน ก็เริ่มออกเดินตรวจงานตามแปลงที่แบ่งให้แต่ละครอบครัว พวกเขาหายไปไม่ถึงครึ่งเคอก็กลับมาพร้อมกับพยักหน้าว่าทุกอย่างและงานทุกแปลงนั้นเรียบร้อยดีมาก แม้กระทั่งของครอบครัวแม่เฒ่าชุนที่ได้รับแบ่งไปก็เรียบร้อยมากเช่นกันพวกเขาทั้งหมดก็เดินกลับมาที่โกดังซึ่งตอนนี้ในนั้นเปิดกว้างออกมา เมื่อทุกคนมาถึงก็ถึงกับตกใจเพราะว่าของในโกดังนั้นเยอะมาก และมันถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบอีกด้วย เหมือนกับการจัดของในร้านในเมืองฟงที่พวกเขาไปบ่อยๆ แต่ว่าการจัดที่นี่นั้นเป็นระเบียบและหาของได้ง่ายกว่ามากด้านหน้ามีโต๊ะของหัวหน้าหมู่บ้านเจียงไห่จงและลูกชายคนโตของเขาเจียงต้าเจี้ยนและลูกชายคนที่สองเจียงเอ่อหลานที่คนหนึ่งนั่งอยู่และมีรายชื่อของลูกบ้านที่ทำงานในวันนี้ ด้านข้างเป็นลูกชายคนรองที่กำลังเปิดหีบและนำพวงเงินอีแปะและเงินตำลึงเงินออกมา วางบนโต๊ะโต๊ะด้านข้างเป็นลูกสะใภ้ของเขาที่วันนี้มาช่วยทั้งสองคน ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนจะเป็นคนรับคำสั่งจาก
บทที่ 26 กักตุนอาหารวันต่อมา ตอนนี้การทำความสะอาดบริเวณที่จะสร้างบ้านได้เริ่มแล้ว จ้าวเว่ยเว่ยและท่านแม่จ้าวเม่ยนั้นหลังจากขนซื้อข้าวของมามากมายก็ขนไปที่โกดังของหมู่บ้านที่ตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านได้ให้กุญแจกับสองแม่ลูกเป็นคนถือ เมื่อนำของที่ซื้อมาขนเข้าไปด้านใน จ้าวเว่ยเว่ยก็ให้แม่ของนางออกมาดูต้นทาง ส่วนตัวเองนั้นเข้าไปเพิ่มจำนวนของภายในโกดังเพราะว่านางซื้อของทุกอย่างมาอย่างละแค่ 10 ชุด แต่ว่าจากจำนวนคนที่หัวหน้าบอกว่าจะมาทำงานให้บ้านนางนั้นคือ 40 ครอบครัว ก็ตกประมาณ 200-250 คน นางจึงเพิ่มจำนวนของเอาไว้เสียเลย เพราะหากว่าชาวบ้านต้องการที่จะกักตุนอาหารในช่วงนี้ก็จะได้มีให้พวกเขาเลย เพราะหลังจากสัปดาห์นี้เถ้าแก่ที่นางซื้อข้าวของพวกนี้ด้วยต่างบอกกันว่า ปีนี้หิมะจะมาเร็วทำให้ราคาของอาหารและข้าวของจะขึ้นแล้วให้พวกนางรีบซื้อไปมาเพิ่มนอกจากขนข้าวของมาเยอะแยะแล้วจ้าวเว่ยเว่ยยังไปแลกเงินที่ร้านรับแลกเงินของทางการที่เมืองฟงเปิดเอาไว้ด้วย คล้ายๆ กับเป็นธนาคารในยุคปัจจุบันนั้นล่ะ เพราะว่าการจ่ายเงินให้กับชาวบ้านพวกนางน่าจะต้องใช้เงินอีแปะเป็นจำนวนมากดังนั้นนางจึงมาแลกไปเลย เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านจ
บทที่ 25 แขกผู้สูงศักดิ์“เชิญคุณหนูเลือกดูอาหารสดด้านนี้ขอรับ ทางร้านของเรามีเนื้อสัตว์เกือบทุกประเภท”เมื่อหลงจู๊พาจ้าวเว่ยเว่ยมาถึงห้องครัวก็เรียกหัวหน้าพ่อครัวมาและแนะนำให้รู้จัก หัวหน้าพ่อครัวนั้นตั้งแต่ตอนที่ได้กินอาหารที่ใส่ผงวิเศษของคุณจ้าวเว่ยเว่ยที่ท่านหลงจู๊แนะนำแล้วตอนนี้เขาถือว่าตัวเองเป็นแฟนคลับเบอร์สองของคุณหนูจ้าวเว่ยเว่ยแล้ว เพราะเบอร์หนึ่งนั้นท่านหลงจู๊เอาไปก่อนเขา เมื่อจ้าวเว่ยเว่ยเดินมาเห็นพวกอาหารสดที่จัดเอาไว้อย่างดีของทางร้านก็ค่อนข้างประทับใจนางเดินดูอยู่ครู่หนึ่งก็ได้พวกของทะเลมา ทั้งกุ้ง ปู หมึกทะเลตัวใหญ่ เมื่อได้มาแล้วนางก็หาที่รัดแขนเสื้อเพื่อลงมือทำต้มยำทะเลน้ำข้นทันที ขณะนั้นเองเหล่าพ่อครัวก็ถอยออกมาอย่างรู้ธรรมเนียม เพราะว่าสูตรอาหารนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก บางสูตรนั้นสืบทอดกันมาจากต้นตระกูลหลายร้อยปีเลยทีเดียวจ้าวเม่ยเม่ยนั้นไม่ได้คิดมากขนาดนั้นเพราะว่าในยุคที่นางจากมานั้นทั้งความรู้และสูตรอาหารต่างก็เปิดเผยในอินเทอร์เน็ตทั้งหมดไม่ว่าอยากจะทำจะทานอะไรก็สามารถทำได้หาได้อย่างง่ายดาย เมื่อได้ของทะเลมานางก็ลงมือจัดการกับพวกเครื่องปรุงและส่วนผสมทันทีให้พร้
บทที่ 24 ต้มยำทะเลน้ำข้นอาหารจานเนื้อผัด 3 จาน อาหารจานผักผัด 2 จาน ที่ใส่ผงปรุงรสถูกส่งขึ้นไปที่ห้องพิเศษของแขกผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นทันที ส่วนหมูตุ๋นนั้นเพราะต้องใช้เวลาทำให้ยังไม่สามารถที่จะยกไปบริการได้ แต่ว่ากลิ่นหลังจากนั้นที่ตุ๋นมาไปสักพักนั้นมันช่างหอมหวนเสียจริงๆ ส่วนแขกด้านนอกนั้นเมื่อเห็นว่าทางร้านเริ่มผัดอาหารที่หอมขนาดนั้นออกมา ก็กระหน่ำสั่งอีกทันทีถึงแม้บางโต๊ะนั้นใกล้จะอิ่มแล้วแต่ว่าเพราะไม่อาจจะอดทนกับกลิ่นที่หอมของอาหารที่โต๊ะด้านข้างสั่งได้จึงต้องสั่งมากินอีกจนได้ และก็เหมือนกันกับหลงจู๊ที่เมื่ออาหารเข้าปากสีหน้าเคลิบเคลิ้มของลูกค้าที่กินอาหารนั้นทำให้หลงจู๊ที่แอบมองนั้นถึงกับยิ้มกว้างเลยทีเดียว“ท่านหลงจู๊ผงวิเศษพวกนี้เหลือน้อยเต็มทีแล้วนะขอรับ ท่านไปได้มาจากไหนกัน รีบไปเอามาเพิ่มเถอะขอรับ ตอนนี้ยังมีอีกหลายสิบจานที่ยังทำไม่ทัน ข้ากลัวว่ามันจะไม่พอ” ขณะที่หลงจู๊กำลังแอบมองเหล่าลูกค้าที่แย่งกันคีบอาหารในจานจนมีหลายโต๊ะถึงขั้นเริ่มจะมีปากเสียง จนต้องหันมาสั่งจานนั้นเพิ่ม ก็ได้ยินเสียงเหล่าพ่อครัวตะโกนบอกเขาพลันเขาก็เห็นคุณหนูน้อยท่านนั้นและครอบครัวกำลังจะออกจากร้านพอ
บทที่ 23 ผงปรุงรสตัดมาที่กล่องที่เก็บกระจกวิเศษของจ้าวเว่ยเว่ย ตอนนี้รอยร้าวของมันนั้นได้ประสานกันยาวขึ้นมาอีก 10 เซ็นติเมตาเลยที่เดียวหากจ้าวเว่ยเว่ยเห็นก็คงจะสงสัยเหมือนกันว่าการช่วยคนๆ นี้คนเดียวทำไมรอยร้าวถึงได้ประสานกันได้ยาวขนาดนี้ เมื่อคณะของใต้เท้าหวังจากไป ภัตตาคารเจียหลินก็กลับมาต้อนรับลูกค้าใหม่อีกครั้ง หลงจู๊จงหย่ง นั้นเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรกที่เด็กสาวคนนั้นเข้าช่วยเหลือใต้เท้าหวัง เขาจึงรีบเดินเข้าไปและโค้งคำนับและเชิญพวกนางขึ้นชั้นสองที่เป็นห้องพิเศษ ความจริงแล้วภัตตาคารแห่งนี้นั้นเป็นของตระกูลของใต้เท้าหวังนั้นเอง“เชิญคุณหนูและฮูหยินขอรับ วันนี้พวกท่านได้ช่วยเหลือใต้เท้าหวังทางภัตตาคารเจียหลินขอเป็นตัวแทนใต้เท้าเลี้ยงอาหารมื้อนี้นะขอรับ ขอคุณหนูอย่างได้ปฎิเสธเลยนะขอรับ” หลงจู๊รีบพูดกันเอาไว้ก่อนที่จ้าวเว่ยเว่ยจะปฎิเสธ“เช่นนั้นก็ขอรับกวนท่านหลงจู๊ด้วยนะเจ้าคะ”จ้าวเว่ยเว่ยเมื่อเห็นว่าไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้จึงได้ยอมรับน้ำใจของเขาในครั้งนี้ขณะที่รออาหารจ้าวเม่ยก็มองจ้องมาที่ลูกสาวคนโตของนางอย่างพิจารณา จะบอกว่านางไม่ใช่ลูกสาวของนางก็ไม่ใช่เพราะว่าทุกอย่างยังเป็นปรกติ
บทที่ 22 ช่วยชีวิตคนเช้าวันต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านก็ตีเกราะอีกครั้งครั้งนี้มีชาวบ้านมาร่วมฟังเกือบครึ่งหมู่บ้าน แน่นอนว่าบ้านตระกูลจ้าวนั้นยังมาไม่ได้เช่นเดิม และข่าวใหม่ที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกกับชาวบ้านก็คือ พวกเขาจะแบ่งพื้นที่ในการทำความสะอาดที่ดินของนางจ้าวเม่ยให้กับทุกครอบครัวที่ต้องการทำงานแทนการจ้างรายบุคคล เพราะตอนนี้เขาทราบว่าทุกคนต่างการก็การทำงานและต้องการเงิน ดังนั้นพื้นที่ที่จะแบ่งนั้นจะแบ่งตามจำนวนคนในครอบครัวที่สามารถมาทำงานได้ โดยค่าจ้างนั้นจะมีให้เลือก 2 แบบคือสามารถเลือกอาหารแห้งพวกข้าวสาร แป้ง เกลือ น้ำตาล ถั่ว ซีอิ๊ว เครื่องปรุงต่างๆ หรือพวกเผือก มัน ธัญพืชแห้ง หรือ ถ้าต้องการเนื้อสัตว์ก็สามารถเลือกได้แต่ว่าราคาก็จะตามท้องตลาด หรือ สามารถรับเป็นเงินได้ โดยครอบครัวไหนมากันเยอะก็จะได้พื้นที่ทำงานเยอะ ถ้ามีน้อยก็ได้น้อย และการทำงานจะมีหัวหน้างานที่เดินตรวจทุกวันเมื่อทำงานเสร็จแล้ว หากครอบครัวไหนทำงานไม่เรียบร้อย วันต่อมาก็จะถูกลดพื้นที่ลง โดยค่าจ้างจะให้ตามพื้นที่ที่แต่ละครอบครัวได้รับนั้นคือหมู่ละ 5 ตำลึง ส่วนอาหารนั้นจะให้เพียงซาลาเปาและน้ำเต้าหู้ในตอนเช้าเท่านั้นส่วนมื