บทที่ 9 ครอบครัวเจ้าสี่ได้รับความอยุติธรรม
“เว่ยเว่ย ลูกแม่ / พี่ใหญ่ พี่ใหญ่” สามเสียงประสานกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จ้าวเม่ยตรงเข้าไปและมองดูลูกสาวใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าลูกสาวเพียงเป็นลมไปเท่านั้นก็ถอนหายใจ ให้เจ้าเด็กน้อยทั้งสองไปหาผ้าชุบน้ำเพื่อจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูกสาวของนาง
เมื่อได้ผ้ามานางก็ค่อยๆ เช็ดไปตามใบหน้าแห้งผอมของลูกสาวคนโต และมองไปที่ผ้าที่พันอยู่บนศีรษะที่มีเลือดซึมออกมานิดหน่อยแล้วถอนหายใจ พลางคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า.....
เมื่อเช้าตัวนางออกไปทำงานที่นาแต่เช้าโดยให้ลูกชายและลูกสาวคนเล็กดูแลพี่สาวที่นอนป่วยไม่มีเรี่ยวแรงมา 3-4 วันแล้ว โดยนางได้บอกให้พวกเขาอยู่แต่ในห้องไม่ต้องออกมาทำงานบ้าน โดยนางจะกลับมาทำเองเมื่อทำงานที่นาเสร็จ เด็กๆ ก็ตกลงและเข้าไปนั่งข้างๆ เตียงของพี่สาวของพวกเขา
ขณะที่นางกำลังถอนหญ้าที่อยู่ในนานั้น ป้าถงป้าที่อยู่ข้างบ้านก็รีบเดินมาหานางเพียงตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“จ้าวเม่ย จ้าวเม่ย เจ้ายังทำอะไรอยู่ที่นี่ บ้านของเจ้าเกิดเรื่องแล้ว ยังไม่รีบกลับไปอีก”
จ้าวเม่ยนวดเอวที่กำลังปวดเมื่อยขึ้น ในมือถือยังมีหญ้าที่ถูกถอนออกจากแปลงนาอยู่กำใหญ่
“ยังเหลืองานต้องทำอีกเล็กน้อย ทำเสร็จแล้วจะกลับไป บ้านข้าเกิดเรื่องอะไรหรือป้าถง”
จ้าวเม่ยเอ่ยถามป้าถงเบาๆ และกำลังจะก้มลงเพื่อทำงานต่ออีกครั้ง
“ยังจะทำงานอยู่อีก ลูกสาวของเจ้าจะถูกคนตีตายอยู่แล้ว รีบกลับไปดูเร็วเข้า”
ป้าถงมีสีหน้าร้อนร้น เพราะก่อนที่นางจะรีบเดินมาตามนั้น แม่เฒ่าจ้าวกับสะใภ้ใหญ่ จ้าวเจียงหงกำลังใช้ไม้ตีไปที่จ้าวเว่ยเว่ยลูกสาวของจ้าวเม่ยอย่างแรง และเด็กคนนั้นก็ล้มหัวกระแทกนางเห็นเลือดมากมายไหลออกมาจากศีรษะของเด็กคนนั้น นางถึงได้รีบร้อนวิ่งมาตามให้ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ใช่เรื่องรองนางเสียทีเดียว จ้าวเม่ยได้ยินเช่นนั้นก็พลันชะงักงัน ก่อนจะโยนกำหญ้าในมือทิ้งไปอย่างรวดเร็ว และกระโดดขึ้นไปบนคันนา
“เมื่อครู่ป้าว่าอะไรนะ”
ป้าถงถอนใจ
“เห็นว่าแม่สามีและสะใภ้ใหญ่ของเธอพวกเขาถือโอกาสที่เจ้ามาดูแลไร่นา เข้าไปค้นหาเงินในบ้าน แล้วลูกสาวคนโตของเธอเข้าห้ามพวกเขาเอาไว้ พวกเขาไม่พอใจเลยก็เลยลากลูกสาวคนโตของเจ้าออกมาและใช้ไม้ตีอย่างแรง แต่ว่าเจ้าลูกสาวของเธอล้มลงหัวกระแทกพื้นเลือดไหลเต็มไปหมด ตอนฉันไปถึงได้ยินว่าไม่มีลมหายใจแล้ว ก็เลย…”
ป้าถงยังพูดไม่ทันจบ จ้าวเม่ยก็รีบร้อนวิ่งไปแล้ว
ภายในบ้านสกุลจ้าวมีคนมุงอยู่ไม่น้อย ทุกคนกำลังชี้ไม้ชี้มือเข้าไปด้านใน
จ้าวเม่ยพุ่งเข้าไปในบ้านตนเองทันที และเห็นบุตรสาวนอนอยู่บนพื้น เลือดไหลออกจากศีรษะ และเหมือนจะไร้ลมหายใจแล้ว ข้างร่างของเจ้าเว่ยเว่ย ลูกสาวคนเล็กและลูกชายคนของนางนั่งโอบร่างของพี่สาวพวกเขาเอาไว้ พลางร้องไห้เสียงดัง ภาพนั้นช่างน่าสลดสังเวช ต่อคนที่กำลังยืนมองอยู่จริงๆ
จ้างเม่ยเข่าอ่อนโดยพลัน นางโซซัดโซเซมาถึงด้านหน้าของบุตรสาว แล้วดึงมืออันเย็นเฉียบของเด็กสาวมา พลางมองบาดแผลทั่วทั้งใบหน้าและลำตัวนั้น หัวใจถูกบีบเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ อยากจะร้องไห้ออกมา แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ร้องไห้ไม่ออก นางกัดริมฝีปากไว้แน่น พลางเดินเข้าไปกอดร่างของลูกสาวคนโตของนางเอาไว้
“เว่ยเออร์ เว่ยเว่ย ลูก ลูกฟื้นสิ นี้แม่เอง แม่มาแล้วลูก” พูดพลางกอดและในที่สุดน้ำตาไหลออกมา และหยดลงที่ดวงตาที่ปิดสนิทของจ้างเว่ยเว่ย
“พี่ใหญ่ พี่ พี่ฟื้นนะ” เด็กน้อยทั้งสองคนต่างก็พยายามเขย่าเพื่อให้พี่สาวของพวกเขาฟื้น
จ้าวเจียงหง สะใภ้ใหญ่ของสกุลจ้าวเดินออกมาจากในเรือน นางเห็นว่านังสะใภ้เล็กกลับมาแล้ว ก็เลิกคิ้วขึ้นทันที บนใบหน้าอำมหิตมีแต่ความไม่พอใจ
“เหตุใดเจ้าถึงกลับมา ทำงานในทุ่งนาเสร็จแล้วหรือ หากยังทำงานไม่เสร็จ เย็นนี้เจ้าก็อย่าได้คิดจะกินข้าวเลย”
จ้าวเม่ยดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้าง นางกำมือแน่น ทั่วใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวสุดขีด นางหันไปตะคอกใส่จ้าวเจียงหง
“ใครเป็นคนตีลูกสาวข้าจนเป็นเช่นนี้ ใครกัน!”
สะใภ้ใหญ่ตะลึง จ้าวเม่ยเป็นคนซื่อๆ มาแต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่น้องเล็กตายไป นางไม่เคยมีปากมีเสียงกับใครเลย คนในบ้านไม่ว่าจะสั่งให้พวกนางทำอะไร พวกนางไม่เคยปฎิเสธ เพราะว่าตอนนี้พวกนางก็เหมือนกับกาฝากของตระกูลจ้าวนั้นเอง พวกนาง ปล่อยให้ผู้อื่นรังแกจนเคยชิน ไม่ว่าจะด่าว่าหรือสั่งให้ไปทำงานอย่างไร นางล้วนไม่เคยบ่นแม้แต่คำเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตะคอกเสียงดังใส่เช่นตอนนี้เลย
“นี้เจ้ากล้าตะคอกใส่ข้าเชียวหรือ ใช่แล้ว! เป็นข้ากับท่านแม่ที่ตีนางเอง แล้วอย่างไร ใครใช้ให้นางไม่เชื่อฟังเล่า กินข้าวสกุลจ้าว ใช้ของสกุลจ้าว สกุลเราสิ้นเปลืองอาหารเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ตั้งเท่าไร นางต่างหากที่โตขึ้นมากลับปีกกล้าขาแข็ง แม้แต่คำพูดของท่านย่าและท่านป้าใหญ่ตนเองยังกล้าจะไม่เชื่อฟัง ก็สมควรแล้ว เพียงเงินเล็กน้อยนั้นพวกเจ้าก็ห่วงเสียยิ่งกว่าชีวิตแล้วหรือ ฮึ...”
สีหน้าไม่ได้รู้สึกผิดของจ้าวเจียงหงนั้นทำให้จ้าวเม่ยกระโดดลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะพุ่งเข้าไปตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรง
“เพี้ยะ”
“เพี้ยะ”
“เพี้ยะ”
“ข้าทำงานต่างวัวต่างม้าทั้งวัน หรือว่าแม้แต่ข้าวสักคำก็แลกมาให้ลูกสาวข้าไม่ได้ ครอบครัวเจ้ามีกันสี่คน แล้วทำงานได้จริงๆ กี่คนกัน ข้าเคยรังเกียจที่พวกเจ้ามากปากหรือไม่”
“นางเพิ่งอายุสิบสี่เองนะ นางเพิ่งอายุได้สิบสี่เท่านั้น! พวกเจ้าไม่คิดว่านางก็เป็นคนของตระกูลจ้าวบ้างหรือไร”
หลิวเจียงหงถูกตบหน้าจนมึนงง ตั้งแต่นางแต่งเข้าสกุลจ้าวนี้ ก็ไม่เคยถูกผู้ใดตบเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังเป็นการตบหน้าต่อหน้าคนในหมู่บ้านมากมายเช่นนี้ นางนั่งลงกับพื้น ร้องไห้โฮเสียงดังขึ้นมา
“นางตีข้า น้องสะใภ้ตีพี่สะใภ้ นางจะตีข้าจนตายแล้ว ใครก็ได้มาช่วยข้าเร็วเข้า น้องสะใภ้เนรคุณขนาดนี้ ข้าขอตายเสียดีกว่า!”
ชาวบ้านที่กำลังมุงดูอยู่นอกรั้วพากันส่ายหน้า
“ครอบครัวจ้าวเม่ยโชคร้ายนัก ต้องมาเจอกับพี่สะใภ้และแม่สามีเช่นนี้ โชคร้ายเสียจริงๆ”
“ถูกต้อง สกุลจ้าวของพวกเขาแม้จะมีบุตรชายถึงสี่คน ทว่าคนที่ทำงานมากที่สุดจริงๆ ก็มีแต่เจ้าสี่ที่เก็บมาเลี้ยง หลังจากเจ้าสี่ตายไป ก็มีเพียงสะใภ้สี่เท่านั้นที่ทำไร่ทำนา ไหนเลยจะขาดนางได้ สตรีคนหนึ่งทำงานหนักยิ่งกว่าบุตรชายสามคนของบ้านพวกเขาเสียอีก อีกอย่าง บุตรชายคนโตมีลูกสองคน บุตรชายคนรองมีลูกสองคน บุตรคนที่สามที่เป็นบัณฑิตนั้นยังดีที่ยังไม่มีลูก ในพวกเขามีคนไหนมีคนไหนที่ทำงานไม่ต่างจากวัวจากม้าเหมือนครอบครัวของเจ้าสี่บ้าง หรือว่าเป็นแค่ลูกชายที่เก็บมาเลี้ยงถึงได้ทิ้งขว้างพวกเขาเช่นนี้ เฮ้อ ตระกูลจ้าวของตาแก่ จ้าวเฉินหลงนี้ช่างเลอะเลือนเสียจริง”
เสียงของเพื่อนบ้านที่อยู่กันมานานรู้ดีถึงความอยุติธรรมที่ครอบครัวของเจ้าสี่บ้านจ้าวได้รับเป็นอย่างดี....
**** อยู่ไม่ได้แล้วครอบครัวแบบนี้ น้องเว่ยรีบฟื้นพาแม่กับน้องหนีเถอะ***
บทที่ 10 ถูกไล่ออกจากบ้าน“ไล่ออกจากบ้านอย่างนั้นหรือ?”เมื่อจ้าวเว่ยเว่ยฟื้นขึ้นมาจากการสลบจ้าวเม่ยก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวฟังว่า ทุกคนในครอบครัวตระกูลจ้าวก็ต่างโกรธแค้นนางตบหน้าสะใภ้ใหญ่ และต้องการขับไล่พวกนาง 4 แม่ลูกออกจากบ้านตระกูลจ้าวไปโดยทันที นางจ้าวเม่ยรู้สึกเสียใจและตกใจเป็นอย่างมากกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เธอรู้ดีว่าความใจร้อนของเธอสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวแล้ว แต่ในตอนนั้นที่เห็นลูกสาวนอนอยู่ด้านนอกเหมือนของไร้ค่า ไม่มีใครเหลียวแลเอาใจใส่ ความโกรธก็พลุ่งพล่านจนอดไม่ได้ที่จะลงมือตบสะใภ้ใหญ่ไปหลายฉาดแม้ต่อมานางจ้าวเม่ยพยายามอธิบายให้ครอบครัวตระกูลจ้าวฟังว่าเธอทำไปด้วยความโกรธและห่วงใยลูกสาว แต่ครอบครัวตระกูลจ้าวก็ไม่ฟัง พวกเขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะขับไล่พวกนางสี่แม่ลูกออกจากบ้านทันที“แม่ขอโทษนะลูกที่ทำให้พวกลูกต้องลำบากแล้ว"ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย ครอบครัวจ้าวต่างโกรธแค้นนางจ้าวเม่ยที่ลงมือตบหน้าสะใภ้ใหญ่โดยทำเป็นหลงลืมประเด็นที่ว่าทำไม สะใภ้ใหญ่และแม่เฒ่าจ้าวถึงได้เข้ามาค้นหาเงินในห้องของนางจ้าวเม่ย ซึ่งจ้าวเว่ยเว่ยที่เพิ่งฟื้นและตอนนี้เธอก็ได้รับรู้ความท
บทที่ 11 ต้องการตั้งตระกูลใหม่เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเดินมาถึงก็ได้ยินประโยคนั้นของแม่เฒ่าจ้าวพอดีเขาถึงกับก็ส่ายหน้า สตรีตระกูลนี้ทั้งอำมหิตและไร้ยางอายจริงๆ แบบนี้เขาคงต้องเตือนญาติๆ แล้วว่าห้ามเกี่ยวดองด้วยเด็ดขาด มิเช่นนั้นคงได้ปวดหัวและบ้านไม่สงบสุขแน่นอน เพราะแม่เป็นเช่นไร ลูก ๆ หลานๆ ก็ย่อมไม่หนีกันอยู่แล้วจ้าวเม่ยรู้สึกเจ็บใจมาก คนในบ้านหลังนี้นอกจากพี่สามจ้าวหลี่หยาง ที่เรียนอยู่ในเมืองแล้วนางไม่ไม่เคยรับรู้ถึงน้ำใจและความอบอุ่นแม้สักเสี้ยวเดียว ทุกคนล้วนเห็นนางต่างวัวต่างม้า ทว่านางก็ยึดที่แห่งนี้เป็นบ้านของตนมาโดยตลอด ดังนั้นถึงจะลำบากและเหนื่อยล้าเพียงใด ได้รับความไม่เป็นธรรมถึงเพียงไหน นางก็ไม่เคยบ่น และยังพยายามที่จะเอาใจพวกเขาด้วย เพราะกลัวว่าลูกๆ ของนางที่ไม่มีพ่อคอยปกป้องจะถูกรังแก แต่ว่ายิ่งนางยอมพวกเขาก็ยิ่งได้ใจและข่มเหงครอบครัวนางมากขึ้นอีก ทว่าวันนี้ ในที่สุดนางก็ฟื้นสติอย่างเต็มที่แล้วพร้อมกับบางสิ่งบางอย่างในตัวนางที่เริ่มฟื้นขึ้นมาเหมือนกัน บ้านหลังนี้ไม่ต้องการนางและลูกๆ ของนางถึงนางจะพยายามแทบตายก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ดังนั้นการจากไปอาจจะเป็นการเริ่
บทที่ 12หนังสือตัดขาดความสัมพันธ์“ไม่มีอะไรหรอกลูกสาม ครอบครัวของสะใภ้เล็กนั้นเกียจคร้าน ไม่ทำการทำงาน และตอนนี้ก็กำเริบเสิบสานถึงขนาดทำร้ายสะใภ้ใหญ่ จนหน้าตาเละเทะไปหมด แม่ทนไม่ได้ก็เลยให้พวกมันออกจากบ้านเราไป”นางจ้าวเล่าเรื่องราวในส่วนของตัวเองและทำให้ครอบครัวของจ้าวเม่ยนั้นดูเลวร้ายมากที่สุดในสายตาของลูกชาย จ้าวหลี่หยางนั้นรู้นิสัยแม่ของเขาและคนในครอบครัวดี มันเป็นไปไม่ได้ที่สะใภ้เล็กจ้าวเม่ยจะเกียจคร้าน เพราะที่บ้านนี้คนที่ทำงานมากที่สุดตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นก็คือ จ้าวเม่ยนั้นเอง ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อที่ท่านแม่ของเขาพูดมา เขาหันไปมองหน้าจ้าวเม่ยและหลานๆ และเมื่อสายตาของเขาไปถึงจ้าวเว่ยเว่ยก็เห็นผ้าพันแผลสีขาวที่พันเอาไว้ ความสงสัยยิ่งเพิ่มขึ้น เขาหันมามองหน้าแม่ของเขาอีกครั้ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม นางจ้าวเมื่อเห็นลูกชายที่รักมองมาที่ตนแบบนั้นก็เกิดอาการร้อนรนขึ้นมาทันที“เออ เออ ..ก็นังเด็กนั้นมันไม่เชื่อฟังแม่ แม่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแค่ตีสั่งสอนเล็กน้อยและนังเด็กนั้นก็ล้มลงไปหัวกระแทกเองนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับแม่เลย”คำพูดปัดสวะให้พ้นตัวที่นางจ้าวพูดออกมาแบบไม่อายปากนั้นทำใ
บทที่ 13 ของในพื้นที่มิติตามมาครบหรือเปล่านะ?หนังสือตัดความสัมพันธ์ถูกส่งให้ทั้งสองครอบครัวคนละหนึ่งชุดและสำหรับหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อนำไปแจ้งที่อำเภออีกหนึ่งชุดเป็นอันว่าเสร็จตอนนี้ทั้งสองครอบครัวถือไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป ขณะที่จ้าวเม่ยกับลูกๆ กำลังช่วยกันหอบข้าวของ และช่วยกันประคองจ้าวเว่ยเว่ยอยู่นั้น จ้าวหลี่หยางก็เดินตามมาช่วยหยิบของด้วยเช่นกันตอนนี้พวกเขาตกลงกันที่จะไปเช่าบ้านของน้องชายของหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ก่อนระหว่างที่รอการสร้างบ้านบนที่ดินร้างแห่งนี้ ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านนั้นด้วยความสงสารครอบครัวของเจ้าเม่ยเขาจึงคิดค่าเช่าเพียง 120 อีแปะต่อเดือน ซึ่งถ้าเป็นปรกติการเช่าบ้านเป็นหลังราคาจะอยู่ที่ 200-300 อีแปะต่อเดือนเลยทีเดียวซึ่งจ้าวเม่ยนั้นทราบราคาดีและนางก็ก้มขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านหลายครั้งเช่นกันที่ยื่นมือช่วยเหลือคราวนี้แต่ปัญหาต่อมาของครอบครัวจ้าวก็คือตอนนี้ทั้งครอบครัวพวกเขามีเงินอยู่เพียง 100 อีแปะที่จ้าวเม่ยพยายามเก็บสะสมมานานแต่ว่ามันยังขาดอยู่20 อีแปะ จ้าวเม่ยนั้นเครียดจัดตาแดงเพราะกลัวว่าจะไม่มีบ้านให้ลูกของเธออยู่ เพราะตอนนี้จ้าวเว่ยเว่ยก็ยังไม่หายดี ป้าถงที่มองดูเห
บทที่ 14 บอกความลับ“อะไรนะลูก วิญญาณออกจากร่างไปเช่นนั้นหรือ!” จ้าวเม่ยตะโกนขึ้นมาเมื่อจ้าวเว่ยเว่ยเล่าให้ทุกคนในครอบครัวฟ้งว่า ในตอนนั้นที่นางหัวกระแทกและสลบไปนั้น วิญญาณได้ออกจากร่างไปและได้ล่องลอยไปไกลถึงพันกว่าปีข้างหน้า จ้าวเม่ยนั้นไม่ทันได้สนใจว่าวิญญาณของจ้าวเว่ยเว่ยล่องลอยไกลแค่ไหน แต่ว่านางนั้นตกใจแล้วน้ำตาไหลตั้งแต่ที่ลูกสาวบอกว่าวิญญาณออกจากร่างแล้ว นางวางซาลาเปาที่อยู่ในมือลงและเดินมากอดลูกสาวคนโตเอาไว้แน่น จ้าวเม่ยรู้สึกเสียใจและกลัวมาก เมื่อคิดว่านางเกือบจะสูญเสียลูกสาวคนโตไป นางร้องไห้พลางโทษตัวเองไปด้วย“แม่ไม่ดีเองที่ไม่สามารถที่จะปกป้องลูกได้ โถลูกแม่” นางลูบผมลูบหน้าลูกสาวอยู่เช่นนั้น จ้าวเว่ยเว่ยนั้นตอนที่ตกอยู่ในอ้อมกอดที่แข็งแรงและอบอุ่นจากแขนเล็กๆ ผอมๆ ของจ้าวเม่ยในตอนแรกก็ตกใจเหมือนกัน เพียงไม่นานความอบอุ่นของอ้อมกอดของแม่ ก็ซึมซับเข้าสู้หัวใจของเธอ เมื่อเจ้ารองและเจ้าเล็กเห็นว่าท่านแม่กอดพี่ใหญ่พวกเขาก็รีบวางซาลาเปาลงและวิ่งมากอดพี่สาวด้วย จ้าวเว่ยเว่ยนั้นก็กอดตอบจ้าวเม่ยและน้องๆ แน่นทีเดียว เพราะความที่เธอเป็นเด็กกำพร้าทำให้รู้สึกโหยหาอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นขอ
บทที่ 15 ตอนนี้พวกเราต้องการเงิน“ท่านแม่ตอนที่พวกเขาเดินมาที่บ้านหลังนี้ ลุงสามแอบยัดเงินใส่มือข้า นี้เจ้าค่ะท่านแม่”จ้าวเว่ยหยิบเงิน 5 ตำลึงเงินที่จ้างหลี่หยางแอบให้นางมาและยื่นให้แม่ของนาง จ้าวเว่ยรับเงิน 5 ตำลึงมาพลางถอนหายใจ“เฮ้อ ลุงสามของพวกเจ้าใจดีกับพวกเรามาตลอด เงิน 5 ตำลึงนี้จะว่ามากก็มากจะน้อยก็น้อย แม่คิดว่าเขาคงจะเตรียมที่จะนำไปสอบที่เมืองหลวงด้วยแน่ๆ ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ ในครอบครัวตระกูลจ้าวจะไม่ดีกับพวกเรา แต่ว่าลุงสามนั้นไม่ใช่ พวกเจ้าจำการช่วยเหลือของลุงสามเอาไว้นะว่าภายหน้าให้หากมีโอกาสก็ให้ตอบแทนเขาด้วย”จ้าวเม่ยสอนลูกๆ ของนาง เพราะที่ผ่านมาจ้าวหลี่หยางนั้นเป็นคนเดียวในครอบครัวจ้าวที่ค่อยช่วยเหลือครอบครัวเธอมาตลอด“ท่านแม่ตอนนี้ครอบครัวเราต้องการเงินมาก ข้ามีของมากมายในจี้กระจกวิเศษ แต่ว่าถ้าเรานำออกมาใช้ชาวบ้านจะต้องสงสัยแน่นอนว่าพวกเรานำเงินมาจากไหน ข้าคิดว่าพรุ่งนี้พวกเขาลองขึ้นเขาดูดีหรือไม่ ในมิตินั้นของข้านั้นมีโสมอยู่หลายแปลง ข้าคิดว่าเรานำโสมไปขายดีหรือไม่ โดยให้ชาวบ้านเห็นว่าพวกเราขึ้นภูเขาและได้โชคมาก จากนั้นค่อยนำไปขายแบบนี้ชาวบ้านจะได้ไม่สงสัยและอีกอย่างถ้
บทที่ 16 ขายโสมสองแม่ลูกกลับลงมาจากภูเขาในตอนก่อนเที่ยงเพียงเล็กน้อย ชาวบ้านที่เดินสวนกันกับสองแม่ลูกมองเข้าไปในตะกร้าขนาดใหญ่ที่หลังของนางจ้าวเม่ย เต็มไปด้วยผักป่านานาชนิดที่กองพูนๆ เต็มตะกร้าและเหมือนกับกำลังใช้มันเพื่อปิดบังอะไรสักอย่างเมื่อเห็นเช่นนั้นความสงสัยก็เกาะกุมขาเผือกทันที หรือว่าสองแม่ลูกจะได้ของดีมาจากภูเขาเลยเอาผักป่าปิดเอาไว้กัน เมื่อความสงสัยถึงที่สุดพวกเขาจึงต้องหยุดและพวกเขาก็เดินเข้าไปใกล้เพื่อมองให้ชัดและเอ่ยถามออกไปว่า“แม่เว่ยเว่ย ได้ของมาเต็มตะกร้าเลยนะ ได้อะไรมาบ้างเล่า?” ชาวบ้านคนที่หนึ่งเอ่ยถามขึ้น“อออ เออ..เออ.. พี่จางหรอกหรือเป็นพวกผักป่านะเจ้าค่ะข้าพอดีเดินไปเจอดงของมันเข้า”นางจ้าวเว่ยที่ถูกลูกสาวเทรนมาให้ทำให้พวกชาวบ้านสงสัยในตะกร้าของพวกนางก็เล่นสมบทบาทมากทีเดียว นางมีสีหน้าหวาดระแวงและกังวลจนเอาตะกร้าขนาดใหญ่ด้านหลังนั้นมากอดเอาไว้ด้านหน้าเลยทีเดียวและจากนั้นสองแม่ลูกก็รีบเดินกลับบ้านเช่าที่อยู่ท้ายหมู่บ้านทันที พลางทำทางเหลี่ยวหน้าเหลี่ยวหลังอีกตะหาก เมื่อชาวบ้านเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของสองแม่ลูกแบบนั้นพวกเขาก็สรุปได้ในทันทีว่าวันนี้สองแม่ลูกคงจะ
บทที่ 17 ม้าเหงื่อโลหิตถงเจี้ยนหลานเมื่อได้โสมมาเขาให้เถ้าแก่จัดการเรื่องเงินให้กับสองแม่ลูกส่วนตัวเองนั้นรีบห่อต้นโสมต้นนั้นและหายเข้าไปชั้นสองของร้านทันที“อยากซื้อรถม้าเช่นนั้นหรือ มีสิ มีแน่นอนเป็นน้องชายของข้าเองที่เป็นเจ้าของร้านเดี๋ยวข้าจะให้เด็กนำทางไปนะเจ้าเด็กน้อย ไม่ต้องห่วงข้าจะให้เขาขายให้พวกเขาในราคายุติธรรมแน่นอน”เถ้าแถ่เฉินหลง เมื่อเจ้านายไปแล้วก็หันมาคุยกับสองแม่ลูกอย่างถูกอัธยาศัยและเมื่อทราบว่าทั้งสองต้องการจะซื้อรถม้าเขาก็รีบบอกด้วยความดีใจ เพราะอย่างไรเสียวันนี้น้องชายของเขาต้องขายรถม้าให้กับสองแม่ลูกนี้ได้อย่างแน่นอน“ขอบคุณมากเจ้าค่ะเถ้าแก่ นอกจากรถม้าพวกข้ายังอยากจะได้บ้านที่อยู่ในเมืองเฟิงแห่งนี้ด้วย เพราะว่าน้องชายของข้ากำลังจะเข้าสถานศึกษาที่นี่ ถ้าหากว่าเถ้าแก่พอจะทราบว่ามีที่ไหนที่ทำเลดีๆ ข้าขอรบกวนท่านบอกด้วยเจ้าค่ะ”เมื่อจะซื้อรถ (ม้า) ก็ต้องมีบ้านในเมืองด้วย ดังนั้นจ้าวเว่ยเว่ยจึงได้เอ่ยปากถามเถ้าแก่ในครั้งเดียวเลย ถ้าได้ที่ทำเลดีๆ ก็ดี แต่ถ้ายังไม่มีนางก็จะหาต่อไป เพราะตอนนี้มีเงินแล้ว นางจะซื้ออะไรก็ได้แล้ว“อยากได้บ้านด้วยเช่นนั้นหรือ ฮื่ม! เดี๋ยวข
ตอนพิเศษ บทส่งท้าย ท่านราชครูหวังหย่งเล่อหลังพิธีแต่งงานของคุณชายหวังหย่งเล่อและเฟิงมิ่งจู่ผ่านมา 6 เดือน ตอนนี้อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันปีใหม่เช้าวันที่หนาวเหน็บหิมะตกโปรยปรายบรรยากาศเหมาะสมกับการเฉลิมฉลองเป็นอย่างยิ่งและอีก 2 วันก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว จวนเฟิงตอนนี้ถือได้ว่าคึกคักขึ้นมาไม่น้อย เพราะตั้งแต่ที่เฟิงฮองเฮาแต่งออกไปที่แคว้นต้าเจียง บรรดาคนไข้ต่างๆ ก็ลดลงมากทำให้จวนเฟิงไม่ค่อยได้รับแขกที่เป็นคนไข้อีกแล้ว แต่ทว่าบ้านพักฟื้นนั้นกลับไม่เคยว่างเลยก็ว่าได้ มันถูกจองเต็มกันข้ามปีกันเลยทีเดียว จนเฟิงฮองเฮานั้นชักจะสงสัยแล้วว่าที่นางทำนั้นคือ บ้านพักตากอากาศหรือสถานพักฟื้นสำหรับคนป่วยกันแน่ ส่วนเรื่องความวุ่นวายที่เริ่มกลับมาที่จวนเฟิงอีกครั้งนั้นมาจากสาเหตุนี้เรื่องแรกคือท่านหวังหย่งเล่อที่มีศักดิ์เป็นพ่อต่อขององค์ฮ่องเต้แคว้นต้าเจียง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชครูของไท่จื่อของแคว้นต้าหมิงนั้นเอง เขาได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของต้าหมิงมีหน้าที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ที่เขามีให้กับองค์ไท่จื่อ โดยเฉพาะด้านวรยุทธ์ที่สูงส่งของเขาและกาพย์กลอน แต่ในด้านการเข้าสังคมนั้นองค์ฮ่องเต้หยางเฟยหล
บทที่ 116 ตอนพิเศษ...คืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่ง (ท่านพ่อท่านแม่)ภายในห้องหอที่ประดับประดาด้วยดอกไม้สีชมพูอ่อนระเรื่อ แสงเทียนระยิบระยับส่องกระทบกับผนังสีทองอร่าม กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และน้ำมันหอมระเหยอบอวลไปทั่วห้องเฟิงมิ่งจู่นั่งก้มอยู่บนเตียงที่ประดับตกแต่งเอาไว้อย่างประณีตสวยงามสมกับเป็นเตียงของบ่าวสาว สีแดงที่ตัดเย็บอย่างประณีตและสวยงามอลังการสมกับเป็นชุดแต่งงานของคู่รักคู่ครองที่เคยอยู่ร่วมกันมานานปี นางกำลังรอให้เจ้าบ่าว หวังหย่งเล่อของนางที่ตอนนี้กำลังยกดื่มสุราอยู่กับเหล่าขุนนาง ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงเดินเข้ามา ในขณะนั้นข้างกายของเฟิงมิ่งจู่นั้นมีบ่าวรับใช่ขั้นหนึ่งที่หวังฮูหยินส่งมาเพื่อดูแลและแนะนำพิธีการต่างๆ อยู่ต้องทราบว่าก่อนหน้านี้ที่ทั้งสองแต่งงานกันนั้นพวกเขาทำด้วยความรีบร้อนและไม่ได้มีพิธีการใดๆ เลยนอกจากกราบไหว้ฟ้าดินกันสองคน เพราะครอบครัวจ้าวนั้นไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเขา มาตอนนี้หวังหย่งเล่อนั้นต้องการที่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณีทั้งหมดไม่ให้ขาดแม้แต่ขั้นตอนเดียว เขาบอกกับทุกคนว่านี่เป็นวิธีการบอกรักและให้เกียรติฮูหยินของเขาอย่างหนึ่ง ซึ่งทุก
บทที่ 114 ตอนพิเศษ 3 คิดถึงเหลือเกิน..ที่รักของข้าหลังพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของทั้งสองแคว้นผ่านไปชีวิตผู้คนทั้งสองแคว้นต่างก็อยู่กันอย่างปรกติสุข เพราะทั้งสองแคว้นนั้นต่างก็ช่วยเหลือและพึ่งพาอาศัยกัน ตอนนี้ราคาของเกลือและน้ำตาลนั้นลดลงมาเป็นอย่างมากแล้ว เพราะการผลิตที่เข้มงวดและเพิ่มกำลังออกมาเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนของทั้งสองแคว้นได้มีสินค้าที่ดีและมีคุณภาพและราคายุติธรรมออกมาขาย ประชาชนจึงพออกพอใจการบริหารและดูแลพวกเขามาก ตอนนี้ไม่ว่าจะไปทางไหนก็มีแต่คนยกย่องสรรเสริญฮ่องเต้และราชวงค์ ไม่ว่าพวกเขาเดินทางไปทางไหนผู้คนก็จะทรงพระเจริญไปทั่ว เหล่าราชวงค์ พระสนมนางในต่างก็มีความสุขกันทั่วหน้าด้วยเช่นกัน เพราะว่าตอนนี้การเงิน การทอง และเบี้ยหวัดของพวกนางนั้นฮ่องเต็ได้เพิ่มให้มาขึ้นแล้ว ตอนนี้พวกนางสามารถซื้อครีม ซื้อกระเป๋ารองเท้าตามแบบเว่ยฮองเฮาได้แล้วไม่ว่านางจะออกแบบสิ่งที่เว่ยฮองเฮาเรียกว่า คอลเลกชั่น ออกมากี่คอลเลกชั่นพวกนางก็สามารถสั่งซื้อได้ทันที ความสุขจึงได้เกิดขึ้นภายในวังมังกรของฮ่องเต้หยางเฟยหลงแล้วแต่ทว่าสิ่งเหล่านั้นหาได้เกิดขึ้นกับวังหลงหว่างฝู่ ของชินอ๋องอย่างสิ้นเชิง เวล
ตอนที่ 113 ตอนพิเศษ2 ฮันนีมูนที่ปารีสดึกดื่นคืนหนึ่งภายใต้แสงจันทร์นวลฉายแสงระยิบระยับลงบนผิวน้ำใสของทะเลสาบหูซีอันเลื่องชื่อบรรยากาศเงียบสงบ ไร้เสียงรบกวนเหลือเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งแผ่วเบาฮ่องเต้ฉู่อี้เทียนที่ทรงว่างจากภาระงานราชการพระองค์เอ่ยชวนเฟิงฮองเฮาอันเป็นที่รักกลับมาที่แคว้นต้าหมิง โดยทิ้งเหล่าองค์ชายและองค์หญิงให้กับทางแม่ยายและพ่อตาดูแล ฮ่องเต้ฉู่อี้เทียนทรงจับมือเฟิงฮองเฮาสุดที่รัก พาท่านล่องเรือไม้ลำน้อยออกสู่กลางทะเลสาบ สายลมเย็นพัดโชยมาแตะใบหน้า กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าโชยมาตามสายลม บรรยากาศโรแมนติกโอบล้อม ฉู่อี้เทียนที่มีเฟิงฮองเฮาอิงแอบอยู่ในอ้อมแขน เขาก้มลงมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก ทรงเอ่ยขึ้นว่า"คืนนี้น้องหญิงช่างงดงามเหลือเกิน" ก่อนจะจุมพิตลงบนผมที่มีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบอ่อนๆ ของนางเฟิงฮองเฮาเงยหน้าขึ้นมา นางยื่นหน้าขึ้นมาจูบที่คางของเขาเบาๆ และยิ้มอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ยตอบว่า“ท่านพี่ก็เช่นกัน คืนนี้ท่านดูหล่อเหลาเป็นพิเศษข้าชอบ”พูดเสร็จก็ยื่นหน้าไปจุมพิตเขาอีก 2 ทีฉู่อี้เทียนยิ้มทรงโอบไหล่เฟิงฮองเฮาเข้าไว้เขาค่อยๆ ถอนหายใจออกมาอย่างมีความสุข และ
บทที่ 113 ตอนพิเศษ 1 CPR มิใช่การจุมพิตแต่เป็นการช่วยชีวิต“เพี๊ยะ!”ใบหน้าอันหล่อเหลาของคุณชายถงเจี้ยนหลานหันไปตาแรงตบของฝ่ามือเล็กๆ นั้น เขาค่อยๆ หันหน้ากลับมาและมองมือเล็กที่ยังคงเปียกชื้นอยู่ ซึ่งตอนนี้มันแดงก่ำเพราะการใช้กำลัง และแน่นอนบนใบหน้าของเขาก็ปรากฎรอยแดงขึ้นมาทันทีเช่นกัน“เจ้า..เจ้าคนสารเลว เจ้าเป็นโจรเด็ดบุปผาหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงได้ทำกับข้ากลางวันแสกๆเช่นนี้” เสียงเล็กหวาน แว๊ดขึ้นมาใส่เขาอีกครั้งหนึ่ง นางน่าจะตกใจจนลืมไปว่าตัวเองเพิ่งจะตกน้ำจนหมดสติไป ตอนนี้ถงเจี้ยนหลานยังคงหาเสียงของตัวเองไม่เจอและเขาก็ค่อนข้างตกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ ก็โดนตบเช่นนี้ เขาที่เป็นถึงเจ้ากระทรวงสาธารณสุขที่ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าหมิง ช่วยชีวิตคนแล้วโดนตบ รู้ถึงไหนอายถึงนั้นจริงๆ แล้ว!!!!ย้อนไปเมื่อ หนึ่งเคอก่อนหน้านี้ ถงเจี้ยนหลานที่ปีนี้อายุอานามเข้า35ปีแล้ว แต่ว่าเขายังไม่แต่งงาน ตอนนี้เขากำลังอ่านหนังสือแพทย์ที่ท่านอาจารย์ซึ่งก็คือฮองเฮาแห่งแคว้นตาเจียงให้มา ในหนังสือแพทย์เล่มนั้นสอนเรื่องการผ่าตัดที่ซับซ้อนทำให้เขาสนใจมาก ตอนนี้คุณชายถงเจี้ยนหลานนั้นมีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงเจ้ากระทรวงสาธา
บทที่ 112 การจากลา (จบ)พิธีแต่งงานระหว่างสองแคว้น ต้าเจียงและต้าหมิง จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ ด้วยการเฉลิมฉลองที่ยาวนานถึง 7 วัน 7 คืน ประชาชนต่างมาร่วมแสดงความยินดีอย่างล้นหลาม สร้างความชื่นมื่นทั่วทั้งแคว้นต้าเจียง นับเป็นงานสมรสที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติที่สุดในยุคสมัยสามเดือนผ่านไป ภายในพระตำหนัก ฮ่องเต้ฉู่อี้เทียนในเวลานี้กำลังนอนเอนอยู่บนแท่นบรรทมอันหนานุ่มที่ฮองเฮาทรงเตรียมไว้เป็นพิเศษ ข้างกายของพระองค์มีจานมะนาวฝานบางๆ วางอยู่ ถัดจากนั้นเป็นถาดผลไม้รสเปรี้ยวหลากหลายชนิด ตั้งเรียงไว้เพื่อช่วยบรรเทาอาการอยากอาเจียนที่ฮ่องเต้กำลังประสบ ฮ่องเต้ฉู่อี้เทียนหลับตาแน่น คิ้วขมวดเป็นปม พร้อมกับอมมะนาวไว้ในปากเพื่อบรรเทาความรู้สึกคลื่นไส้ที่ไม่หายไปง่ายๆขันทีประจำพระองค์ยืนอยู่ใกล้ๆ คอยมองด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าฮองเฮา ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะตรวจและบอกไปแล้วว่านี่เป็นอาการปรกติของผู้ชายที่ "แพ้ท้องแทนเมีย" ซึ่งไม่ร้ายแรงและจะหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไป แต่ความทุกข์ทรมานที่ฮ่องเต้ต้องเผชิญทุกครั้งที่มีอาการอยากอาเจียน ทำให้ขันทีอดที่จะรู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วยไม่ได้ฮ่องเต้ฉู่อี้เทีย
บทที่ 111 แต่งงานด้วยความสำเร็จในการป้องกันและควบคุมโรคระบาดครั้งนี้ ฮ่องเต้หยางเฟยหลงทรงรู้สึกพอพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์ทรงเห็นถึงความร่วมมือและความเสียสละของประชาชนที่ช่วยกันฝ่าฟันวิกฤตใหญ่หลวงนี้มาได้ ด้วยความยินดี พระองค์ทรงตกรางวัลให้กับเหล่าขุนนาง ตั้งแต่ตำแหน่งสูงสุดจนถึงคนงานเก็บขยะที่ทำงานอย่างหนัก ทุกคนได้รับการยกย่องในความพยายามและความตั้งใจบรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยความชื่นชมและความสุข แม้จะเพิ่งผ่านหายนะครั้งใหญ่ แต่การปลอบขวัญและการสนับสนุนจากฮ่องเต้ที่ประชาชนรัก ทำให้ทุกคนมีกำลังใจและพร้อมที่จะก้าวต่อไป อีกคนหนึ่งที่ประชาชนไม่มีทางลืมบุญคุณได้คือ จวิ่นจู่เว่ยเว่ย ผู้หญิงเก่งของแคว้นต้าหมิง นางเป็นผู้ที่นำความรู้และความสามารถมาช่วยเหลือแคว้นในยามที่ต้องการมากที่สุดตอนนี้ ครอบครัวหลายๆ ครอบครัวที่มีลูกสาว ต่างก็ปรารถนาให้ลูกหลานของตนได้เรียนแพทย์และพยาบาลเช่นเดียวกับจวิ่นจู่เว่ยเว่ย พวกเขาเห็นว่านี่เป็นวิธีที่ลูกสาวของพวกเขาจะสามารถช่วยเหลือแคว้นและชุมชนในยามที่ลำบาก เช่นเดียวกับที่จวิ่นจู่ได้ทำ สตรีในแคว้นต้าหมิงได้รับแรงบันดาลใจจากนาง ทำให้เกิดความตื่นตัวในการศึกษาและพ
บทที่ 110 ผ่านพ้นหายนะครั้งใหญ่วันเวลาผันผ่านไปไวราวกับสายลมพัด แคว้นต้าหมิงหลังจากเผชิญหน้ากับฤดูฝนที่ยาวนานและโหดร้าย ก็ต้องพบกับภัยแล้งที่จวิ่นจู่เคยเอ่ยเตือนเอาไว้จริงๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่แคว้นต้าหมิงได้เตรียมการรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งจากการให้ความช่วยเหลือจากแคว้นต้าเจียง ทำให้พวกเขาสามารถผ่านพ้นภัยแล้งนี้ไปได้ แม้ว่าจะเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ก็ไม่ถึงกับสิ้นหวังประชาชนในแคว้นต้าหมิง แม้จะเผชิญอุปสรรคมากมายในปีนี้ แต่พวกเขากลับรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ของพวกเขาไม่เคยทอดทิ้ง ไม่ว่าช่วงเวลาจะยากลำบากเพียงใด พระองค์ทรงจัดหาอาหาร น้ำดื่ม และแม้แต่แจกเงินเพื่อบรรเทาทุกข์ ช่วยให้ประชาชนสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมอย่างต่อเนื่องจากราชสำนัก ทำให้ประชาชนในแคว้นต้าหมิงมีกำลังใจและแรงใจมากขึ้น พวกเขาตระหนักดีว่าฮ่องเต้ของพวกเขาทรงห่วงใยและคอยดูแลไม่เพียงแค่ในยามที่บ้านเมืองสงบสุข แต่ยังรวมถึงในยามที่เกิดวิกฤติอย่างนี้ด้วย ความเชื่อมั่นในผู้นำเพิ่มพูนขึ้น และประชาชนต่างพร้อมใจกันที่จะฟื้นฟูบ้านเมือง และสู้ต่อไปด้วยคว
บทที่109 ข้าต้องการเวลา“ต่อไปนี้สำนักแห่งนี้คือสำนักพลังจิตเฟิงหวง ข้าคือรองเจ้าสำนัก ส่วนเจ้าสำนักตัวจริงนั้นยังไม่มา คิดว่าอีกไม่นานนางก็คงจะว่างมาที่นี่”หวังหย่งเล่อที่ตอนนี้เดินขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งเจ้าสำนักและพูดขึ้นมา“งานสกปรกทุกชนิดที่พวกเจ้าเคยทำให้หยุดให้หมด และเปิดรับลูกศิษย์ใหม่อีกครั้ง ส่วนพวกเจ้ามีทางเลือก เพียงหนึ่งทางเท่านั้นคือ สวามิภักดิ์ต่อข้าเพียงคนเดียว”เมื่อเขาเอ่ยเสร็จ ก็มีเสียงเล็กๆ ดังขึ้นมาจากแถวด้านหลังสุดของเหล่าศิษย์เก่าของสำนัก เอ่ยเบาๆ เหมือนคุยกันเองสองคนว่า“หากว่ามีแค่ทางเดียวจะเรียกว่าทางเลือกได้อย่างไรกัน เขาเรียกว่าบังคับ!!!”จากนั้นสายตาเกือบสิบคู่ก็พุ่งไปหาเจ้าของเสียงนั้นทันที ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยที่เจ้านี่พูด แต่เจ้าจำเป็นต้องพูดออกมารึ เจ้าโง่!! สายตาประนามเหล่านั้นทำให้เจ้าคนที่พูดแทบจะเงยหน้าไม่ขึ้นเลยทีเดียว....เจ้านั้นเหมือนจะรู้ตัวว่าคิดเสียงดังไปจึงได้ค่อยๆ ก้มหน้ามองหามดหาแมลงบนพื้นอย่างแข็งขันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีกเลย…“ส่วนงานที่พวกเจ้าจะรับต่อไปนั้นคืองานสำนักคุ้มภัย รับดูแลคุ้มครองสินค้าและบุคคลสำคัญของทั้งสองแคว้น และคอยช่วย