เมื่อเสี่ยวหวังได้ยินคำพูดของหลี่ชิงเฟิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา "แกมันเศษสวะจริง ๆ คิดว่าตัวเองกำลังถ่ายหนังอยู่หรือไง? ไสหัวไปจากที่นี่ซะ!" หลังจากเขาพูดจบก็หยิบบัตรเครดิตแล้วเดินออกไปด้วยท่าทีเบิกบานใจ ไม่ถึงสิบนาที เสี่ยวหวังก็พบธนาคารแห่งหนึ่งแล้วเดินเข้าไป เมื่อเขามาถึงแผนกต้อนรับก็แสดงบัตรของตัวเอง "ช่วยตรวจสอบยอดเงินในบัตรใบนี้ให้ทีครับ!" พอพนักงานธนาคารรับบัตรมาก็ถึงกับตะลึงงัน เธอไม่เคยเห็นบัตรเครดิตหน้าตาแปลกประหลาดเช่นนั้นมาก่อน ดังนั้นจึงลองรูดดูที่เครื่อง แน่นอนว่าคอมพิวเตอร์ย่อมต้องแสดงยอดเงินออกมา แต่หลังจากมองข้อมูลบนคอมพิวเตอร์แล้วหันมามอง พนักงานธนาคารก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย! ตอนนี้เสี่ยวหวังกำลังผิวปากพลางรู้สึกมีความสุขและวาดฝันถึงชีวิตของตัวเองหลังจากกลายเป็นเศรษฐี แต่เขากลับไม่ทันสังเกตเลยว่าพนักงานธนาคารชักจะมีสีหน้าที่ไม่น่ามองยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ "คะ...คุณ..." "บัตรของผมมีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ..." คำพูดของพนักงานธนาคารฉุดเสี่ยวหวังให้กลับคืนสู่ความเป็นจริง จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว "อะไรกัน? ไม่มีเงินอยู่ในบัตรเหรอ?" พนักงานธนาคารส่ายหน้า "มี
"คุณตำรวจ! บัตรใบนี้ไม่ใช่ของผม! มีคนให้บัตรใบนี้กับผมมา! มีคนมอบให้ผมจริง ๆ นะ! ไปหามันสิครับ!" "เอาล่ะ คนที่มอบบัตรใบนี้ให้คุณชื่อว่าอะไรล่ะ?" "มันชื่อว่าหลี่ชิงเฟิงและมาจากเทียนชื่อกรุ๊ป! ไม่เกี่ยวอะไรกับผมจริง ๆ นะครับ!" "เอาล่ะ รออยู่ตรงนี้แหละ" หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป... ต่อมาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ประตูก็เปิดอีกครั้ง คราวนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจพาหลี่ชิงเฟิงเข้ามา "ไอ้สารเลวเอ๊ย! แกหลอกฉัน!" เมื่อเสี่ยวหวังเห็นหลี่ชิงเฟิงก็รู้สึกโกรธมากเสียจนพุ่งเข้ามาเล่นงานเขา! เป็นผลทำให้โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายทุ่มลงกับพื้นทันที! "แกกล้าลงไม้ลงมือกับเทพสงครามงั้นเหรอ? เชื่อไหมว่าฉันฆ่าแกเดี๋ยวนี้เลยก็ได้น่ะ!" เปรี้ยง! ราวกับว่ามีสายฟ้าฟาดใส่หัวของเสี่ยวหวัง! เทพสงคราม? หลี่ชิงเฟิงคือเทพสงครามงั้นรึ? "คุณเข้าใจผิดหรือเปล่า? มันจะเป็นเทพสงครามไปได้ยังไงกัน? คุณตรวจสอบดูแล้วหรือยัง? มันก็แค่เขยไร้ประโยชน์เท่านั้น!" เสี่ยวหวังหัวเราะ แต่พวกเขาทั้งสามคนกลับไม่มีวี่แววว่าจะตลกขบขันเลยสักนิด ความหนาวเหน็บที่กำลังกัดกินโอบล้อมร่างของเ
หลังออกมาจากห้อง หลี่ชิงเฟิงก็หันหลังกลับมาที่ห้องสังเกตการณ์ ตอนนี้พี่ใหญ่หวังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายกำลังนั่งอยู่ในห้องสังเกตการณ์ เมื่อสักครู่นี้เขาเห็นทุกอย่างแล้ว หลี่ชิงเฟิงตั้งใจพาพี่ใหญ่หวังเข้ามา เพื่อให้เขาได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของน้องชายตัวเองได้ชัด ๆ เขาเห็นพี่ใหญ่หวังมองหน้าจอโทรทัศน์อยู่เป็นนาน ดวงตาแดงก่ำและสีหน้าซีดขาวราวกับศพก็ไม่ปาน หลี่ชิงเฟิงถอนหายใจด้วยท่าทีอับจนหนทาง ไม่มีใครยอมรับเรื่องพรรค์นี้ได้หรอก "คุณหวัง คราวนี้ความจริงก็เปิดเผยออกมาแล้ว ผมหวังว่าคุณจะคืนความบริสุทธิ์ให้บริษัทของผมนะครับ" หลี่ชิงเฟิงกล่าวขึ้นมา พี่ใหญ่หวังก้มหน้าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "ผมรู้ว่าตัวเองก่อปัญหาให้คุณ" "ผมไม่รู้ว่าจะปลอบใจคุณยังไงดี เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมถนัดเสียด้วยสิ แต่คุณเป็นคนดีก็ควรจะใช้ชีวิตให้ดี ๆ" หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ เขาก็หยิบเช็คเงินสดมูลค่าหนึ่งร้อยสี่สิบล้านออกมาแล้วมอบให้เขาไป "เงินก้อนนี้ถือว่าผมมอบให้คุณเป็นการส่วนตัวก็แล้วกัน" พี่ใหญ่หวังดันเช็คเงินสดกลับคืนไปแล้วพูดเสียงเบาว่า "ผมไม่ต้องการเงินของคุณหรอก แค่มอบเงินค่าตอบแทนโครงก
เพื่อตกรางวัลให้หลี่ชิงเฟิง เธอจึงตัดสินใจว่าจะทำอาหารให้เขากินซึ่งทำให้หลี่ชิงเฟิงมีความสุขเป็นอันมาก ช่วงอาหารมื้อค่ำ เซี่ยเซียนอินจึงยิ้มพลางกล่าวว่า "เดี๋ยวฉันจะไปซื้อของขวัญมาให้เขาเอง" หลี่ชิงเฟิงยิ้มแล้วผงกศีรษะ "ผมจะไปกับคุณด้วย" ……. ในตอนนั้นเอง ณ คฤหาสน์ตระกูลเย่ "เสี่ยวหวังหายไปและยังหาตัวไม่พบเลย" เสี่ยวอิ๋งพูดด้วยท่าทีร้อนใจ เย่เจี้ยนเหอสีหน้าอึมครึม "มีความเป็นไปได้มากว่า เขาคงจะถูกไอ้สารเลวหลี่ชิงเฟิงเก็บไปแล้ว" "เก็บเขาเหรอ? มันกล้าพอที่จะฆ่าใครสักคนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้เหรอ?" เสี่ยวอิ๋งถามขึ้นมา เย่เจี้ยนเหอยิ้มเยาะ "อย่าลืมสิว่ามันเคยมีประวัติอาชญากรรม ชาติสุนัขอดกินขี้ไม่ได้" เสี่ยวอิ๋งครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาแล้วพูดว่า "ฉันมีเบอร์บ้านของเขาอยู่ พี่ชายของเขาน่าจะยังอยู่ที่นั่น ฉันจะถามดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น" หลังจากรอสายอยู่นาน พี่ใหญ่หวังก็รับสาย "ใครกันน่ะ?" เซี่ยอิ่งราวกับได้กลิ่นเหล้าคละคลุ้งจากอีกฝ่ายมาตามสายโทรศัพท์ "คุณหวังใช่ไหมคะ? น้องชายของคุณอยู่ที่ไหน? ฉันมีเร
พี่ใหญ่หวังตายแล้ว! เซี่ยเซียนอินตะลึงงันไปไม่กี่อึดใจ จากนั้นก็กรีดร้องแล้วโถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหลี่ชิงเฟิง หลี่ชิงเฟิงดันตัวเธอออกแล้วเดินไปมองร่างบนเตียงเงียบ ๆ อยู่นาน พี่ใหญ่หวังไม่มีบาดแผลอื่นใดตามร่างกาย มีเพียงแผลฉกรรจ์ตรงลำคอ ก่อนที่เขาจะตายกลับดวงตาเบิกกว้างและมีสีหน้าดุดัน เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ทันได้ตั้งหลัก ห้องสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งยังไร้ซึ่งวี่แววของการต่อสู้ ผู้ลงมือฆาตกรรมจะต้องมีฝีมือทีเดียว อย่างน้อย ๆ เขาก็ต้องเป็นนักฆ่ามืออาชีพ หลี่ชิงเฟิงรู้ดีแก่ใจว่าตระกูลเย่จัดการคนเพื่อปกปิดความจริง "ฉันจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้แหละ!" เซี่ยเซียนอินร้องตะโกนเสียงสั่นอยู่นอกประตู สิบนาทีต่อมา รถตำรวจก็ล้อมอาคารเก่าคร่ำคร่าและถูกตำรวจแถวยาวเหยียดล้อมกรอบเอาไว้ หลี่ชิงเฟิงกับเซี่ยเซียนอินเองก็ถูกพาตัวกลับไปสอบปากคำ พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนกันมาทั้งคืนแล้วกลับบ้านตอนเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากกลับมาแล้ว เซี่ยเซียนอินก็ทนไม่ไหวจนต้องขอตัวไปนอนก่อน ส่วนหลี่ชิงเฟิงก็ทำอาหารมื้อเช้าให้โต้วโต่วแล้วค่อยไปที่บริษัท แต่ทันทีที่เขามาถึงบริษัท สิ่งที่เขาเป็นก
ขอแค่เขาพูดเพียงคำเดียว นักข่าวไร้มนุษยธรรมพวกนี้ก็ตกงานได้แล้ว! เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากจะทำเช่นนี้และไม่คิดจะทุ่มเถียงกับพวกมันด้วย "มาได้จังหวะพอดี ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ!" เซี่ยเซียนอินยืดตัวตรงโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว แต่หลี่ชิงเฟิงกลับต้องหวาดกลัว คนพวกนี้ไม่สนใจผิดถูก สิ่งที่พวกมันสนใจคือเรื่องน่าตื่นเต้นต่างหากเล่า ดังนั้นหลี่ชิงเฟิงจึงหยิบเสื้อคลุมแล้วรีบตามออกไป เมื่อมาถึงล็อบบี้ตรงชั้นล่าง ทันทีที่พวกเขาก้าวออกมาจากลิฟต์ เสียงดังอึกทึกครึกโครมก็ปะทะใส่หน้า! เซี่ยเซียนอินเดินมาที่ประตูหน้า เมื่อเธอเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็ค่อนข้างรู้สึกตกตะลึง! บริษัทไม่เคยคึกคักถึงขนาดนั้นมาก่อนเลย มีคนนับร้อยกำลังขวางประตูเอาไว้! มีคนถือป้ายและคนอื่น ๆ ก็โบกธงผืนเล็กไปด้วย คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเหล่านี้พากันเกาะติดกระแสเพราะหมายจะทำลายเทียนชื่อกรุ๊ป! เซี่ยเซียนอินรู้สึกเจ็บปวดเสียใจอยู่บ้าง เธอเหลือบมองฝูงชนและทันใดนั้นก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าฝูงชนก็คือเซี่ยอิ่งจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งกอดอกแล้วตะโกนใส่เธอว่า "เซี่ยเซียนอิน! แกมันนายทุนหน้าเลือด! ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!" ตอนนี้เซี
หลี่ชิงเฟิงพาเซี่ยเซียนอินไปที่ห้องทำงานแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า "ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง ห้ามออกไปอีกล่ะ" หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบก็หันหลังเดินจากไป เซี่ยเซียนอินคว้าแขนของเขาไว้ทันที "อย่าใช้กำลังนะ! ขืนคุณใช้กำลังคงได้จบเห่จริง ๆ แน่!" หลี่ชิงเฟิงยิ้มจาง ๆ "ผมเข้าใจแล้วน่า" หลังเดินออกมาจากห้องทำงาน เขาก็รีบโทรหาเย่เซียวทันที "ถ่ายทอดคำสั่งออกไป! ตรวจสอบดูว่าพวกนักข่าวที่มาขวางประตูบริษัทเป็นของสำนักข่าวไหน จากนั้นให้เรียกพวกมันกลับไปภายในห้านาที!" "ไม่งั้นล่ะก็ ฉันจะทำให้สำนักข่าวของพวกมันล้มละลาย!" เย่เซียวเองก็รู้สึกได้ว่าหลี่ชิงเฟิงโกรธจริง ๆ ขึ้นมาแล้ว เขาจึงไม่กล้าเพิกเฉยและรีบรับคำสั่งทันที เขาเป็นตัวแทนของกองกำลังอสูรรัตติกาลในประเทศ คำพูดของเขาจึงไม่ต่างอะไรจากพระราชโองการ! ในตอนนี้เอง เสี่ยวอิ๋งกำลังนำนักข่าวและผู้คนกลุ่มใหญ่มาขวางประตูบริษัทแล้วก่อความวุ่นวาย ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของนักข่าวหลายคนก็ดังขึ้นแทบจะพร้อม ๆ กัน เมื่อนักข่าวพวกนี้รับสาย พวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสีไปบ้าง "ขอโทษทีครับคุณเซี่ย ผมคงต้องขอตัวก่อน พอดีมีเรื่องด่วนที่สำนักข่าว!" "ฉั
หลี่ชิงเฟิงชงกาแฟมาให้เธอแก้วหนึ่ง จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินออกไปนอกห้องแล้วโทรหาเย่เซียว "เป็นยังไงบ้าง? เสี่ยวหวังตายแล้วหรือยัง?" หลี่ชิงเฟิงถามขึ้นมา เย่เซียวตอบเสียงทุ้มว่า "มันยังไม่ตายหรอกครับ ถ้าไม่มีคำสั่งของพี่ล่ะก็ พวกเราทำได้แค่กักขังมันเอาไว้แต่ไม่กล้าลงมือ" หลี่ชิงเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วยิ้มขึ้นมา "คืนนี้ไปบอกมันด้วย ถ้ามันยอมให้ความร่วมมือก็จะรอด แต่ถ้ามันไม่ยอมให้ความร่วมมือก็ต้องตาย!" "รับทราบ!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงเก็บโทรศัพท์มือถือลงแล้วกลับไปที่ห้องทำงาน เซี่ยเซียนอินก็ถือต้นร่างเดินเข้ามาหา "คุณช่วยดูให้ทีว่าฉันพูดแบบนี้ดีไหม? มีช่องโหว่อะไรหรือเปล่า..." หลี่ชิงเฟิงยิ้มแล้ววางต้นร่างลงบนโต๊ะ "พรุ่งนี้คุณไม่ต้องพูดอะไรหรอก" เซี่ยเซียนอินรู้สึกสับสน "คุณหมายความว่ายังไงกัน? ถ้าฉันไม่พูดแล้วใครจะพูดล่ะ?" หลี่ชิงเฟิงส่งยิ้มแฝงเลศนัยแล้วลูบศีรษะของเธอ "ให้ผมพูดเองก็แล้วกัน เอาล่ะ คุณไม่ต้องตรากตรำขนาดนั้นหรอก ดึกมากแล้วถ้าคุณยังไม่กลับบ้านล่ะก็ โต้วโต่วจะหวาดกลัวเอาได้นะ" เมื่อหลี่ชิงเฟิงพูดจบก็จูงมือเธอแล้วเดินออกไป เซี่ยเซียนอินคิดจะพูดอะไรสักอย่าง แ
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห