จินเยว่เห็นว่ามารดายังมิได้ออกมาทานอาหารจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดาฟัง เสวี่ยป๋อเหวินที่ฟังจบก็ตบโต๊ะด้วยความโมโห หากเขารู้เรื่องตั้งแต่เมื่อวานตอนที่บุตรสาวกลับมา วันนี้เขาไม่ทางเปิดเรือนรับทั้งคู่ให้เข้ามาแน่
"ท่านพ่อได้โปรดคลายโทสะก่อน ลูกมิอยากให้ท่านกับท่านแม่เป็นกังวล ตอนนี้ลูกก็มิได้เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ" เสวี่ยป๋อเหวินเห็นภรรยาเดินเข้ามาสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ จนจินเยว่ลอบยกนิ้วให้ในใจกับการเปลี่ยนสีหน้าของบิดาไม่ได้ ทั้งจ้าวตงหยางกับหลิวเหล่ยมิได้รู้เลยว่า เสวี่ยป๋อเหวินจะไม่เปิดเรือนต้อนรับตนเสียแล้ว หากหลิวเหล่ยรู้ว่าเป็นเพราะเขามากับจ้าวตงหยางคงได้โมโหจนอยากจะทุบตีสหายแน่ (แต่สู้ไปก็เท่านั้นเพราะสู้ไม่ได้) จินเยว่ยังคงทำมื้อเย็นให้บิดากับมารดาเช่นเดิม แต่พอตกเย็นนางก็เริ่มกับมามีไข้อีกครั้ง คงเป็นเพราะนางยังไม่หายดีแต่กลับลุกขึ้นมาทำงานบ้านเช่นปกติไข้ที่เพิ่งหายจึงกลับมาเป็นอีกครั้ง หากมิใช่ว่าฝีมือการทำอาหารของมารดาย่ำแย่นางคงไม่แบกสังขารลุกขึ้นมาทำแน่ เกาซื่อต้มยาให้บุตรสาวเสร็จก็ห่มผ้าให้นาง "เยว่เออร์พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องลุกขึ้นมาแล้ว พ่อกับแม่กินข้าวต้มกับผักดองสักสองสามวันได้มิเป็นอันใด" เกาซื่อลูบหัวบุตรสาวอย่างปวดใจ หากนางหัดเข้าครัวเสียบ้างบุตรสาวคงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้ "ท่านแม่ ท่านทนกินข้าวต้มไปก่อนนะเจ้าค่ะ รอข้าหายดีจะจัดมื้อใหญ่ให้ท่านกินจนเดินไม่ไหวเลยเจ้าค่ะ" เกาซื่อบีบจมูกบุตรสาวอย่างหมั่นไส้ "ได้ได้ เจ้านอนพักเสีย พรุ่งนี้ก็ทนกินข้าวต้มฝีมือแม่ไปก่อน" นางเหน็บชายผ้าห่มแล้วลุกออกไป เมื่อจินเยว่หลับสนิท หน้าต่างห้องของนางก็ถูกเปิดออก จ้าวตงหยางกระโดดเข้ามานั่งลงบนเตียงข้างจินเยว่ เขารอให้นางดึงเขาเข้าไปกอดเช่นเมื่อวาน แต่วันนี้นางไม่ยอมทำเสียที จนเข้ารอไม่ไหว มุดตัวลงไปในผ้าห่มแล้วกอดนางแทน อาจจะเป็นเพราะยังไม่ดึกมากนัก จินเยว่ยังมิได้หนาวเท่าเมื่อวาน อีกอย่างไข้นางกลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้จึงร้อนๆหนาวๆ แต่ตอนนี้นางร้อนไง นางจึงดิ้นหนีจากเตาไฟที่กอดนางไว้ แต่เพราะฤทธิ์ของยานางจึงมิได้ตื่นขึ้น จ้าวตงหยางเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่านางคงร้อนเขาจึงนำผ้ามาเช็ดเหงื่อที่หน้านางให้ การกระทำของเขาหากหลิวเหล่ยมาพบเข้าคงได้ตกใจแทบตายเป็นแน่ ใครจะคิดว่าคนหยาบเช่นเขาจะกระทำอย่างอ่อนโยนเช่นนี้กับจินเยว่ได้ จินเยว่รู้สึกสบายตัวขึ้นนางจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ ลักยิ้มสองข้างปรากฏออกมา จ้าวตงหยางมองจนเหม่อ เขาเผลอใช้นิ้วจิ้มไปที่แก้มของนาง แล้วยิ้มออกมา เมื่อรู้สึกตัวจึงได้หุบยิ้มลง "หึ เจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอกหรือไง" เพราะใจของเขากระตุกเพียงได้เห็นนางยิ้มออกมา จ้าวตงหยางล้มตัวลงนอน แล้วดึงจินเยว่เข้ามากอดอย่างเอาแต่ใจ เข้าสูดดมเส้นผมของนางแล้วนอนหลับไป จินเยว่เมื่อตกดึกอากาศเริ่มเย็นก็ซุกตัวเข้าหาจ้าวตงหยางเช่นเมื่อวาน จ้าวตงหยางที่รู้สึกตัวตื่น เมื่อคลำหน้าผากนางไม่ร้อนเช่นตอนแรกก็วางใจ ก่อนจะกระชับคนในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเผื่อให้นางคลายหนาว เขาตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนี้ ทั้งที่ต้องเกลียดนาง เพราะบิดาของนางทำให้บิดาของเขาต้องตาย แต่เขามิอาจปล่อยนางออกจากอ้อมกอดของตนได้ จ้าวตงหยางถอนหายใจก่อนจะเลิกคิดแล้วนอนต่อ จ้าวตงหยางทำเช่นนี้อยู่ถึงสามวัน จนวันที่สี่เขาก็แอบเข้าไปอีก แต่ครั้งนี้จินเยว่เริ่มสงสัยเสียแล้ว นางยังมิได้หลับ พอได้ยินเสียงคนงัดหน้าต่างนางจึงลุกขึ้นหยิบเชิงเทียนมาไว้ในมือ จ้าวตงหยางเห็นความเคลื่อนไหวในห้องจึงได้หยุดมือแล้วรีบหนีออกไป เมื่อจินเยว่เปิดหน้าต่างออกไปก็ไม่พบใครเสียแล้ว นางจึงปิดหน้าต่างแล้วกลับมานอนที่เตียงตามเดิม คืนนั้นเป็นจ้าวตงหยางที่นอนไม่หลับเสียเอง เขาไม่ยากจะเชื่อเพียงไม่กี่วันที่เขาแอบเข้าไปนอนกอดนาง จะทำให้เขาลำบากถึงเพียงนี้ เช้าตอนที่จ้าวตงหยางไปถึงค่ายทหารขอบตาของเขาดำคล้ำจากการอดนอน จนหลิวเหล่ยต้องเอ่ยปากถาม เพราะสหายของเขาเมื่อสามวันที่แล้วสีหน้ายังสดชื่นอยู่ แต่วันนี้กลับเป็นเช่นนี้ไปได้ "ตงหยาง สภาพเจ้าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้" จ้าวตงหยางปรายตามองหลิวเหล่ยอย่างเฉยชา แล้วเหมือนเขาคิดอะไรขึ้นมาได้จึงมองสหายด้วยสายตาลึกล้ำแทน "เจ้ามิไปเรือนตระกูลเสวี่ยอีกหรือ" หลิวเหล่ยรีบส่ายหัวทันที ต่อให้เขาไปเขาก็ไม่ไปกับจ้าวตงหยาง "ไม่ไป" "เหตุใดถึงไม่ไป" จ้าวตงหยางมองสหายอย่างสงสัย "ตงหยางเจ้ามิรู้ตัวเลยหรือ" หลิวเหล่ยมองสหายอย่างมองคนโง่ที่ตนทำเรื่องอะไรไว้แล้วจำไม่ได้ "เรื่องอันใด" "หากเจ้าอยากรู้ วันนี้เจ้าลองไปดู" เขาจะบอกได้อย่างไร ว่าเขาไปมาเมื่อวานแล้ว แต่เสวี่ยป๋อเหวินบอกไม่สะดวกรับแขก จ้าวตงหยางขมวดคิ้วคิดอย่างแปลกใจ เขาไม่อยากเชื่อว่าหลิวเหล่ยที่สนใจจินเยว่จะไม่ไปพบนางอีกจ้าวตงหยางลากหลิวเหล่ยไปด้วยกัน เมื่อมาถึงหน้าเรือนก็พบว่า ประตูเรือนตระกูลเสวี่ยไม่เปิดต้อนรับพวกตน กงจือที่ทำหน้าที่เฝ้าคนตระกูลเสวี่ยจึงได้รายงานให้แม่ทัพของเขาฟัง "ท่านแม่ทัพขอรับ นายท่านเสวี่ยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนท่านแล้ว จึงไม่ยอมให้พวกท่านเข้าไปในเรือนอีกขอรับ" จ้าวตงหยางกับหลิวเหล่ยตกตะลึง แต่จะโทษใครได้เป็นตนเองที่ทำให้บุตรสาวของเขาอับอาย หากบิดาของนางจะทำเช่นนี้ก็เห็นสมควรแล้ว ตอนนี้ภายในเรือนตระกูลเสวี่ย สองพ่อลูกกำลังนั่งพูดคุยกันเรื่องธนาคารในอีกพันปีข้างหน้า จินเยว่เล่าระบบการทำงานของธนาคารให้บิดาฟัง เสวี่ยป๋อเหวินก็ร่างระเบียบแผนการเก็บไว้มอบให้องค์รัชทายาท หากแคว้นฉีมีธนาคารเช่นที่จินเยว่พูดเงินในคลังหลวงก็จะเพิ่มขึ้นจากการเก็บดอกเบี้ย หรือปล่อยเงินให้ชาวบ้านได้กู้ จะเก็บดอกเบี้ยเป็นเงินหรือเสบียงที่มีราคาเท่าดอกเบี้ยก็นับว่าดีทั้งสิ้น สองพ่อลูกมิรู้เลยว่าท่านแม่ทัพกับกุนซือยืนอึ้งอยู่หน้าเรือนของตน จ้าวตงหยางจะใช้อำนาจของเขาเข้ามาในเรือนก็ย่อมได้ แต่หากเขาทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้เสวี่ยป๋อเหวินไม่พอใจตัวเขามากขึ้น จ้าวตงหยางสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อคุมโทสะของตนไม่ใ
จินเยว่เงยหน้าจ้องเว่ยซืออิงอย่างเย็นชา ยิ่งเห็นสายตาของจินเยว่ เว่ยซืออิงก็ยิ่งบันดาลโทสะ นางนำแส้ออกมาฟาดไปที่ตัวของจินเยว่ ความจริงนางจะฟาดลงไปที่หน้าแต่จินเยว่เบี่ยงตัวหลบทัน แส้จึงฟาดลงที่แขนของนางแทนเหมือนนางจะยิ่งโมโหเพราะแส้ที่นางฟาดเพื่อให้โดนใบหน้ากับไม่โดน"เจ้าพวกโง่ จับตัวนางไว้ให้ข้า วันนี้ข้าจะตีนางให้ตายเสีย กล้าดีเช่นใดทำให้ข้าอับอายต่อหน้าคนมากมาย" เหมือนเว่ยซืออิงจะเสียสติไปเสียแล้ว สาวรับใช้ตัวสั่นไปด้วยความกลัว แต่นางก็ต้องทำตามคำสั่งของนาย"คุณหนูเว่ยโปรดหยุดมือ" นางตีจินเยว่ไปที่หลังได้เพียงสามครั้งเท่านั้น หลิวเหล่ยที่เดินทางเข้าเมืองมาก็ถูกเสี่ยวหงเรียกตัวไว้ก่อนจะมาพบกับเหตุการณ์ตรงหน้าเขา"ท่านกุนซือหลิว เรื่องนี้ท่านอย่าได้เข้ามายุ่ง" นางหลุดกิริยาที่มักจะเรียบร้อยอ่อนหวานต่อหน้าคนอื่นตลอด แต่วันนี้ความโกรธเข้าบังตาทำให้สติของนางหลุดความเป็นตัวตนที่แท้จริงออกมา"ไม่ยุ่งคงมิได้ แม่นางเสวี่ยมิได้เป็นบ่าวในจวนท่านแม่ทัพหรือบ่าวตระกูลเว่ย ที่จะให้ท่านโบยตีได้ตามอำเภอใจ" หลิวเหล่ยกล่าวด้วยเสียงดุดัน อย่างที่ทุกคนพบเห็นได้น้อย สาวใช้ที่จับตัวของจินเยว่ไว้ปล่อยต
แม้จะเจ็บปวดจนแทบจะลุกไม่ขึ้น แต่นางไม่อยากจะอยู่ในจวนแม่ทัพอีกต่อไปแล้ว จินเยว่จึงกัดฟันแน่นพยุงตัวลุกขึ้น จ้าวตงหยางเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปประคองทันที แต่นางก็เบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วจนแผลที่หมอทำไว้ปริออกอีกครั้ง"อ๊าาาา" นางร้องออกมาเบาๆ บุรุษทั้งสองที่ได้ยินถึงกับหน้าแดงทันที เสียงร้องของนางมันช่าง"แม่นางเสวี่ยระวังเสียหน่อย แผลของเจ้าปริออกจนเลือดซึมอีกแล้ว" หลิวเหล่ยพูดขึ้น แต่เขายังไม่กล้าจะเข้าใกล้นาง เพราะใบหูของตนยังไม่หายแดงเสี่ยวหงที่ส่งท่านหมอกลับไปแล้วก็เข้ามาทันได้ช่วยเหลือจินเยว่พอดี จึงลดความกระอักกระอ้วนของบุรุษทั้งสองลงได้ จ้าวตงหยางสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะสั่งให้คนของตนเตรียมรถม้าไปส่งจินเยว่ "เจ้าพาสาวใช้อีกสองคนตามนางกลับไปด้วย" จ้าวตงหยางหันไปสั่งกับเสี่ยวหง เพราะเรือนของนางมิมีบ่าวคอยรับใช้ ทั้งหมดเป็นจินเยว่ที่ทำ ตอนนี้นางทำอันใดมิได้ หากต้องให้มารดาขอนางงนางทำงานแทน นางคงต้องฝืนทำอีกเช่นครั้งที่แล้วแน่"มิต้องเจ้าค่ะ เรือนของข้าเล็กนัก มิรบกวนคนของท่านแม่ทัพ" จินเยว่อยากจะไปให้พ้นจากเขาโดยเร็ว นางมิต้องการให้เขามาเกี่ยวข้องกับนางอีก"แม่นางเสวี่ยข้าส่งคนไปช
จินเยว่ที่กำลังฝันหวานว่านางถูกบุรุษรูปงามมอบจูบแรกให้อย่างดูดดื่มก็เผลออมยิ้มออกมา จ้าวตงหยางที่เห็นเช่นนั้นก็ก้มลงจูบนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เข้าเห็นนางให้ความร่วมมืออย่างดีจึงอ้อยอิ่งกับความหวานล่ำอยู่นาน จนหญิงสาวเริ่มจะหายใจไม่ทันจึงได้ยอมปล่อยนาง แล้วดึงนางเข้ามากอดไว้อย่างหวงแหนจินเยว่ที่หลับสบายก็ซุกตัวเข้าหาอ้อมอกที่อุ่นจนลืมความเจ็บปวดของบาดแผลของตนไปเสีย นางได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็หลับไป เพราะคิดว่าเป็นความฝันจึงมิได้ระวังตัว ยิ่งมีอาการของพิษไข้ด้วยแล้วนางจึงไม่รู้ว่าภายในห้องมิได้มีแค่ตัวนางที่นอนอยู่คนเดียวครั้งนี้จ้าวตงหยางอาลัยอาวรณ์มิอยากจะกลับไป ถึงฟ้าจะเริ่มสว่างแล้วแต่เขาก็ยังคงกอดจินเยว่ไม่ยอมปล่อย จนนางเริ่มขยับตัว เขาจึงได้จุมพิตที่หน้าผากแล้วกระโดดออกทางหน้าต่างไปจินเยว่ที่ตื่นขึ้นมาเพราะข้างกายข้างนางไร้ความอบอุ่นแล้วก็มองไปรอบๆห้องอย่างใคร่ครวญ หากจะบอกว่าเป็นความฝันก็คงจะเหมือนจริงยิ่งนัก แต่ในเมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปกตินางจึงหลับตานอนต่อจ้าวตงหยางกลับถึงจวนก็พบว่าเว่ยซืออิงกำลังร่ำไห้อยู่กับมารดาของตน"หยางเออร์ นี่มันเรื่องอันใดกันเหตุใดเจ้าถึงไล่น้องกลับตระก
จินเยว่ที่ดื่มยานอน แผลที่หลังเริ่มจะสมานแล้วจึงมิได้เจ็บมากเช่นตอนแรก และตอนนี้นางมีคนคอยช่วยจัดการเรื่องในบ้านจึงไม่ต้องทำสิ่งใดให้กระทบบาดแผล นางเพียงนอนพักรักษาตัวเท่านั้นในช่วงกลางวันนางยังออกไปนั่งสนทนากับบิดามารดาเพื่อไม่ให้ทั้งคู่สงสัยเรื่องการบาดเจ็บของนาง จินเยว่ไม่อยากให้บิดามารดาขอนางกังวลเรื่องของนางมากเกินไป"องค์รัชทายาทส่งข่าวมา พระองค์หาหลักฐานเรื่องที่ข้ามิได้ทำผิดพบแล้ว อีกไม่นานเรื่องทั้งหมดคงจบสิ้นเสียที" เสวี่ยป๋อเหวินกล่าวขึ้นหลังทานมื้อกลางวันเสร็จ"จริงหรือเจ้าคะท่านพี่ สวรรค์เมตตาพวกเราแล้ว" เกาซื่อแทบจะลงไปคำนับที่พื้น นางจับมือสามีหลั่งน้ำตาออกมา ความน้อยใจในโชคชะตาที่ได้รับตอนนี้ลดลงไปอย่างมาก เมื่อเห็นสามีพยักหน้ายิ้มให้นาง"ดียิ่งเจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่ พวกเราจะได้หลุดพ้นกับคำว่าขุนนางต้องโทษเสียที" จินเยว่ยิ้มกว้างกว่าทุกวัน นางอดที่จะดีใจกับบิดาของนางไม่ได้เกาซื่อลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่ นานเพียงใดแล้วที่บุตรสาวของนางไม่ได้ยิ้มกว้างเช่นในตอนนี้ ความลำบากที่บุตรสาวได้รับอีกไม่นานก็จะจบลงเสียทีเมื่อพูดคุยกับจบจินเยว่ก็ขอตัวกลับห้องของตน เพราะนางเริ่มจ
จินเยว่พยักหน้า นางรับรู้เพียงแต่นางควบคุมตนเองไม่ได้ นางทรมานเกินกว่าจะทนได้อีกแล้ว นางรู้ว่าต่อจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นจะเกิดอันใดกับนาง แต่เพียงแค่ผ่านไปได้ต่อไปเขากับนางก็จะเป็นเพียงแค่คนเคยช่วยเหลือกันเท่านั้นเพียงแค่นางพยักหน้าจ้าวตงหยางก็เร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้น เพื่อไปที่รถม้า เขาถอดเสื้อคลุมเพื่อปูรองนางไว้ แม้สถานที่ไม่อำนวยแต่แรงของอารมณ์ในตอนนี้ก็ไม่อาจมีสิ่งใดมาขวางไว้ได้"เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ ข้ารับรองว่าจะรับผิดชอบในสิ่งที่ตนได้กระทำ" จินเยว่จ้องมองเขา แววตาที่ฉ่ำนางของนางช่างยั่วยวนให้สติของจ้าวตงหยางแทบจะเตลิด"ท่านอย่าได้เอ่ยเช่นนี้ เพียงช่วยข้าท่านไม่ต้องลำบากรับผิดชอบ" คงเป็นเพราะคำพูดของนางทำให้จ้าวตงหยางหยุดความคิดลง เขาหัวเราะเย้ยตนเอง แล้วลุกขึ้นเดินออกจากรถม้าไปจ้าวตงหยางออกมายืนสูดอากาศที่เย็นด้านนอกเพื่อเรียกสติ สตรีหน้าตาย กล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร เขายอมที่จะรับผิดชอบนาง แต่นางกลับพูดขึ้นมาไม่ต้องลำบาก แต่ก่อนที่เขาจะขึ้นบังคับรถม้าเพื่อพานางออกจากกลางป่า เสียงหวานก็ครางร้องขึ้นมาอย่างแผ่วเบา เสียงถอดเสื้อผ้าเพราะความร้อนที่ได้จากฤทธิ์ยา ทำให้จ้าวตงหยางกั
จ้าวตงหยางมิคิดว่าจะยุ่งยากถึงเพียงนี้ หากนางแต่งให้ตนต่อไปนางก็เป็นคนของตระกูลจ้าวมิใช่ตระกูลเสวี่ยต่อไป แต่จินเยว่มิได้คิดเช่นจ้าวตงหยาง บิดาของนางถึงจะทำผิดแต่ก็คือบิดาของนาง จะให้นางทอดทิ้งตระกูลเพื่อสามีนางคงทำมิได้"ท่านกลับไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวมีคนมาพบเข้า ทหารหน้าเรือนท่านจัดการได้ใช่หรือไม่" "เจ้าวางใจเรื่องในคืนนี้ ข้าจะมิให้พวกเขาพูดสิ่งใด" จ้าวตงหยางเอ่ยลาจินเยว่อย่างอาลัยอาวรณ์ เมื่อตรวจว่านางมิได้บาดเจ็บที่ใดแล้ว เขาก็กลับออกไป จินเยว่ลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วกลับมานั่งทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น หากนางไม่พบเขา หากเขาไม่พานางไปที่จวน นางจะพบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างไร แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากนางตั้งครรภ์ขึ้นมานางจะบอกบิดามารดาว่าเช่นไร ยุคนี้ไม่เหมือนยุคที่นางจากมา ต่อให้ตั้งครรภ์โดยไม่มีบิดาของเด็กก็ไม่มีใครสนใจ แต่ในยุคนี้บิดาของนางจะมีหน้าพบใครได้หากเป็นเช่นนั้นจริงจินเยว่ถอนหายใจเสียหลายครั้ง หากยังไม่พูดเรื่องนางแจ็คพอตตั้งครรภ์ขึ้นมา พูดเพียงแค่เรื่องระหว่างจ้าวตงหยางกับบิดาของนาง หากทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกันจริง คงได้เป็นที่ขบขันแน่ เพราะพ่อตากับบุตรเขยไม่ลง
วันนี้ก็เช่นเคยที่จ้าวตงหยางมาที่เรือนของนาง แต่สีหน้าของเขานั้นไม่ค่อยดีเช่นทุกวันที่มา"มีเรื่องอันใดหรือไม่" หากไม่บอกก็คงคิดว่าทั้งคู่ใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยา เขามาถึงนางก็เตรียมน้ำให้เขาล้างหน้าล้างตา แถมยังมีอาหารของว่างรอไว้ด้วย"เยว่เออร์ ข้าต้องออกไปจัดการกับพวกคนนอกด่าน เมื่อกลับมาเจ้ายอมแต่งให้ข้าเถิด" จ้าวตงหยางจ้องหน้านางอย่างจริงจัง"ท่านคิดดีแล้วใช่หรือไม่" "ไม่เคยนึกเสียใจหากคนที่แต่งเป็นเจ้า แต่หากไม่ใช่เจ้าข้าคงไม่แต่ง" จินเยว่เบะปากมองเขา คำพูดเช่นนี้ท่านก็พูดออกมาได้เพราะต้องจากกันไม่รู้ว่านานเพียงใด หากเร็วสุดก็เพียงสองเดือน หากอย่างช้าก็นานนับปี จ้าวตงหยางจึงหว่านล้อมจนจินเยว่ใจอ่อน กว่าบทรักของเขาจะจบลงจินเยว่ก็แทบจะถีบเขาลงจากเตียงเมื่อกินอิ่มจากที่หงอยเป็นหมาเศร้าก็ลุกกลับออกไปอย่างม้าที่พักเต็มกำลัง จินเยว่มองส่งจ้าวตงหยางอย่างเศร้าสร้อย มิใช่นางอาลัยอาวรณ์ที่เขาต้องออกไปรบ แต่ที่นางเศร้าเพราะเรื่องที่นางต้องกลับเมืองหลวงนางยังมิได้บอกเขา หากเขารู้เขาจะกล่าวโทษนางหรือไม่เกือบเดือนที่จ้าวตงหยางมาหาจินเยว่ วันที่เขาออกเดินทัพ คืนนั้นเขากอดนางไว้เสียแน่นแทบจะฝั
จ้าวตงหยางยังอยากจะเก็บหลิงอวี้ไว้ออกเรือนตอนอายุยี่สิบกว่าด้วยซ้ำ หากยินเยว่ไม่เอ่ยท้วงเสียก่อน"ท่านแม่ทัพ มีราชโองการมาขอรับ" พ่อบ้านจ้าววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตาม ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลและแต่งตั้งจางหมิ่นกับจางหย่งเรียบร้อยแล้ว ยังจะมีราชโองการใดได้อีกทั้งคู่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากเรือนก็พบว่าทุกคนยืนรออยู่หน้าจวนอย่างพร้อมเพรียงแล้ว"ฮ่องแต่มีพระราชโองการ มอบสมรสพระราชทานให้คุณหนูจ้าวหลิงอวี้กับองค์ชายสามฉีเฟยหลาง..." ขันทีประกาศเช่นใดจ้าวตงหยางมิได้ยินอีกแล้ว หูของเขาแทบจะดับไปทันที หากมิใช่มีจินเยว่ประคองไว้เขาคงล้มไปนั่งกองกับพื้นแล้วเมื่อส่งขันทีข้างกายฮ่องเต้กลับไปแล้ว จินเยว่ก็หัวเราะกับท่าทีเหม่อลอยของจ้าวตงหยางขึ้นมา "ท่านมิได้รู้อยู่แล้วหรือ ท่านพี่"จ้าวตงหยางหันไปถลึงตาใส่เมียรักอย่างเห็นได้น้อย รู้อยู่แล้วแต่ทำใจไม่ได้ไงตระกูลจ้าวในเวลานี้บ่าวไพร่แม้แต่นายของจวนต่างก็วุ่นวายจัดเตรียมข้าวของ เสวี่ยป๋อเหวินกับเกาซื่อก็มาอยู่ช่วยดูแลงาน ยังขนเงินทองของมีค่ามาหลายหีบเพื่อเติมสินเดิมให้เจ้าสาว"ท่านพ่อ สินเดิมของอวี้เออร์ไม่เยอ
แม่ทัพแคว้นเหยี่ยนส่งคณะทูตมาเจรจากับจ้าวตงหยางถึงค่ายทหาร โดยการยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของแคว้นเหยี่ยนต้องยอมเสียเมืองที่คิดกับแคว้นฉีถึงสามเมือง และจะส่งเครื่องบรรณาการเพิ่มจากเดิมอีกสองส่วนเมื่อทุกฝ่ายหารือร่วมกันเห็นพร่องว่ายินยอมที่จะรับข้อเสนอเช่นนี้ได้ ก็ตกลงทำสัญญาพร้อมถอนทัพกลับทันที ฉีเฟยหลางยังต้องรั้งรอคนที่ราชสำนักส่งมาจัดการหัวเมืองที่ยึดมาได้ก่อน จ้าวตงหยางที่นำทัพกลับเมืองหลวงจึงให้ จางหมิ่นและจางหย่งอยู่ช่วยดูแลอีกแรง การรบกับแคว้นเหยี่ยนครั้งนี้พวกเขาใช้เวลาเดินทางมากกว่าการรบเสียอีก เสียเวลาเดินทางมาสามเดือน เตรียมการรบจนชนะเพียงสองเดือนเท่านั้นตอนนี้จ้าวตงหยางแทบอยากจะมีปีกรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็วเพราะกำหนดคลอดของจินเยว่ใกล้เข้ามาแล้ว หากเข้าเร่งรีบนำทัพกลับคงใช้เวลาอย่างน้อยก็สองเดือนเป็นช่วงคลอดของจินเยว่พอดีฉีเฟยหลางยังคงส่งจดหมายหาหลิงอวี้ทุกครั้งที่เขามีเวลา(ก็เขียนทุกวันก่อนนอน) แม้นางจะเขียนตอบมาน้อยครั้งนัก แต่ทุกครั้งก็จะบอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้บาดเจ็บ เสื้อคลุมที่สวมอยู่ก็เป็นนางที่ส่งมาให้เมื่อคิดจะฝากจดหมายไปและของที่ซื้อไว้ให้นางไปกับว่าท
กองทัพแคว้นฉีถึงโยวเป่ยสามเดือนให้หลัง ตอนนี้ทั้งหมดอยู่ห่างจากเมืองเป่ยซานเพียงสองร้อยลี้ จ้าวตงหยางจึงจำต้องอพยพชาวเมืองโยวเป่ยและเมืองใกล้เคียงให้ห่างออกไปจากแนวการรบอย่างน้อยห้าร้อยลี้ จินเยว่ยังมีส่วนช่วยเรื่องเสบียงของชาวบ้านที่อพยพมา เพราะคนของนางที่โยวเป่ยจำต้องอพยพไปพร้อมกับชาวบ้าน เสบียงที่พวกเขาขนไปด้วยจึงนับว่าช่วยชีวิตคนได้มาก ชาวบ้านจึงมิต้องอดอยากหรือป่วยไข้ตายลงค่ายผู้อพยพก็เป็นจางหย่งที่ได้รับมอบหมายจากบิดาให้เร่งสร้างและจัดหาสิ่งของที่ขาดแคลนให้ชาวบ้านได้ใช้ไปก่อน ถึงคลังหลวงจะมีเงินมากก็มิอาจจะยกทั้งหมดมาใช้กับสงครามได้ เป็นเพราะจินเยว่ที่ได้สามีเป็นแม่ทัพนางจึงนำที่ดิน ที่ฮ่องเต้พระราชทานเป็นรางวัลทั้งหมดมิยอมปล่อยเช่าเช่นขุนนางคนอื่น แต่นางจ้างให้ชาวบ้านปลูกข้าว มันสำปะหลัง พืชผักที่เก็บไว้ได้นาน เลี้ยงดูทหารของตระกูลจ้าว ขึงทำให้มีเสบียงมากพอที่ใช้ในการสู้รบครั้งนี้แม้แต่อาหารพื้นบ้านธรรมดาอย่างเช่นรากบัวก็นำมาปรุงอาหารได้ ถั่วเขียวแช่น้ำ แล้ววางลงในไหหรือตะกร้า เอาผ้าคลุมที่ละชั้นเก็บไว้ในที่มืดคอยรดน้ำสามวันก็เป็นผัก นำมาผัดน้ำมันก็ทานได้แล้ว สิ่งที่นางรู้น
"อวี้เออร์ โกรธข้าหรือ" เขาจ้องหน้าของนางก่อนจะอดใจไม่ไหวก้มลงจุมพิตนางทันที "ท่าน อื้ออออ" หลิงอวี้ที่อ้าปากจะร้องห้ามก็เป็นการเปิดทางให้ฉีเฟยหลางแทรกเรียวลิ้นของเขาเข้ามาได้ กว่าเขาจะยอมถอนริมฝีปากออกจากปากนางก็เมื่อคนขับรถม้าเอ่ยว่าถึงจวนท่านแม่ทัพแล้วฉีเฟยหลางลูบริมฝีปากของหลิงอวี้อย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะช่วยนางจัดเสื้อผ้าแล้วพานางไปส่งด้านในจวน เมื่อส่งหลิงอวี้ถึงมือมารดาของนางแล้วเขาก็กลับเข้าวังหลวงพร้อมจางหย่งอีกครั้งจินเยว่ที่เห็นดวงตาของบุตรสาวปูดบวมและมีองค์ชายสามมาส่งก็ตกใจ เมื่อสอบถามจนได้ความนางก็แทบจะเป็นลมหมดสติ มิคิดว่าให้บุตรสาวไปร่วมงานเลี้ยงจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นถึงเพียงนี้"ไม่เป็นไรลูกรัก ทุกปัญหามีท่านตากับท่านพ่อของเจ้าคอยค้ำไว้ให้" จินเยว่กอดปลอบบุตรสาวที่สะอื้นจนตัวโยนในอ้อมกอดของนาง ลี่หลินก็หลั่งน้ำตาสงสารน้องน้อยของตนเช่นกันที่เขาเรียกว่าความงามทำให้เกิดหายนะก็เพิ่งพบเห็นจากเรื่องของจ้าวหลิงอวี้นี่เอง เรื่องภายในวังถูกร่ำลือออกไปภายนอก ย่อมมีคนเห็นด้วยและเห็นต่าง แต่ส่วนมากจะโกรธแค้นแคว้นเหยี่ยนที่หาเหตุผลมาทำสงครามมิได้ต้องดึงแม่นางน้อยคนหนึ่งมาทำร้าย
ขุนนางทั้งหลายที่ล่วงรู้ก็นึกถึงเรื่องของหนเก่าครั้งของแม่ทัพจ้าว แคว้นเหยี่ยนมิเคยจดจำเสียเลยจ้าวตงหยางเพียงยกสุราขึ้นร่วมชมความสนุกเท่านั้น เพราะครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับตน (เกี่ยวเต็มๆ พ่อรอดู)จางหมิ่นกับจางหย่งก็เหลือบมองหน้าน้องสาวของตนก่อนจะถอนหายใจ เพราะน้องสาวของตนก็สนใจเพียงดื่มกินอาหารตรงหน้าเท่านั้น คงมีเพียงมือที่สั่นอย่างระงับไว้ไม่อยู่"องค์หญิงแคว้นเหยี่ยนเสียมารยาทแล้ว ท่านมีสิทธิ์อันใดมาสอบถามชื่อของนาง" องค์ชายสามกล่าวตำหนิอย่างไม่ไหวหน้า"เช่นนั้นเปิ่นหวางองค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนก็สามารถขอพระราชทานสมรสครั้งนี้แทนได้ใช่หรือไม่" องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนลุกขึ้นพูด"องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยน เจ้าหมายตาบุตรสาวขุนนางของเจิ้นคนใดหรือ หากบิดามารดาของนางยินยอมเจิ้นก็มิขัดข้อง" ฮ่องเต้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียด"จ้าวหลิงอวี้ บุตรสาวแม่ทัพใหญ่จ้าว เปิ่นหวางอยากจะแต่งนางเป็นพระชายา มิรู้ว่าท่านแม่ทัพจะยินยอมหรือไม่" ขุนนางทั้งหลายต่างสูดหายใจเข้าอย่างลืมตัว จ้าวตงหยางที่ยกจอกสุราจรดริมฝีปากเพื่อดื่มก็เผลอบีบแก้วจนแตกคามือ องค์ชายสามก็เช่นกัน สองบุรุษต่างวัยต่างมีสีหน้าดำคล
หลิงอวี้เห็นเช่นนั้นก็สั่งให้คนของนางขับรถกลับจวน ชายชุดดำที่เพิ่งลงไปตอนนี้แอบมองรถม้าของนางอยู่ด้านนอก"องค์ชายจับตัวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฉีเฟยหลางหันไปมององครักษ์ที่เข้ามารายงานก็พยักหน้าแล้วขึ้นม้าควบตามไปเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นรถม้าของหลิงอวี้ เพียงอยากเห็นหน้านางเท่านั้นไม่คิดว่าจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด สามเดือนมานี้เขาฝึกฝนตนเองอย่างหนัก ทั้งรับงานจากเสด็จพ่อมาทำหวังจะทำให้ลืมนางได้ แต่ไม่เลยเขายังคิดถึงเพียงแต่นางวันนี้ฉีเฟยหลางพบสายลับต่างแคว้นที่ลักลอบปะปนเข้ามากับคณะทูตจึงออกมาจับกุมตัว จนได้พบกับรถม้าของตระกูลจ้าว เมื่อเห็นว่าเพิ่งออกมาจากตรอกจวนตระกูลเสวี่ยเขาจึงแน่ใจว่าเป็นนาง จึงรีบจัดการให้คนของตนจับคนร้ายแล้วเขาก็ขึ้นมาในรถม้าของนางแต่ฉีเฟยหลางคิดไม่ถึงว่าหลิงอวี้จะถือมีดสั้นเตรียมต่อสู้กับตนอยู่ แล้วกลัวจะทำให้นางบาดเจ็บจึงได้แย่งมีดไว้ แต่สุดท้ายนางก็ได้รับบาดเจ็บจากเขาอยู่ดีหลิงอวี้กลับถึงจวนก็รีบเข้าเรือนตัวเองทันที แล้วให้สาวใช้หายามาทาให้นาง เรื่องที่เกิดขึ้นก็ให้เก็บเงียบไว้อย่าเพิ่งบอกท่านพ่อท่านแม่แต่หลิงอวี้ยังมิได้ออกไปให้จ้าวตงหยางกับจินเยว่ไ
ฉีเฟยหลางนั่งรอคำตอบของหมอหลวงแทบไม่ติด เขาอยากจะไปดูอาการของนางให้เห็นกับตาแต่ก็ติดที่จางหมิ่นนั่งเฝ้าเป็นพระพุทธรูปอยู่ "องค์ชายสาม คุณหนูจ้าวมีไข้สูง ตัวร้อนดั่งไฟ แต่..." หมอหลวงยังพูดไม่จบ ฉีเฟยหลางก็ลุกขึ้นพุ่งตัวออกไปที่เรือนของหลิงอวี้แล้วจางหมิ่นก็รั้งตัวเขาไว้ไม่ทัน จางหย่งที่เพิ่งเดินสวนออกมาก็ต้องรีบตามกลับไปที่เรือนของน้องสาวตนทันที"อวี้เออร์ เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง" เสียงขององค์ชายสามมาก่อนที่ตัวจะมาถึง หลิงอวี้ที่กำลังหยิบขนมขึ้นมากินก็แทบจะกลืนทันทีฉีเฟยหลางมองดูสภาพคนตรงหน้าที่บอกว่าป่วยหนักแต่ลุกขึ้นมานั่งกินขนมอยู่ก็ใจกระตุก"อวี้เออร์ เจ้าทำเช่นนี้เพราะไม่อยากแต่งกับเปิ่นหวางใช่หรือไม่" เขารู้ว่านางแกล้งป่วยเพราะหลิงอวี้เช็ดปากแล้วแป้งที่มารดานางทาไว้หลุดออก จากปากที่ขาวซีดก็เผยให้เห็นปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อขึ้นแววตาที่เจ็บปวดของเขาจ้องมองมาที่ใบหน้างามของนาง นางรู้ดีว่าเขาคิดเช่นใด ก่อนหน้างานเลี้ยงฉีเฟยหลางก็บอกประสงค์ของตนที่จะเลือกนางเป็นพระชายาไว้แล้ว พอนางทำเช่นนี้จะไม่ให้เขาปวดใจได้อย่างไร"องค์ชายสาม หม่อมฉันขอพูดตามตรง หม่อมฉันมิอาจแต่งเข้าราชวงศ์ฉีได้ เพรา
"ประเดี๋ยว เปิ่นหวางกำลังจะกลับเช่นกัน เช่นนั้นไปพร้อมพวกเจ้าแล้วกัน" องค์ชายสามไม่ได้รอให้จางหย่งรับปากก็เดินนำหน้าไปที่ม้าของตนแล้ว"คุณหนูจ้าว เปิ่นหวางยังมิเคยขอโทษเจ้าเลยสักครั้ง" องค์ชายสามหาเรื่องคุยกับหลิงอวี้"หามิได้เพคะ หลิงอวี้จะกล้ารับคำขอโทษจากองค์ชายได้อย่างไร" นางก้มศีรษะลงแล้วก้าวเท้าขึ้นรถม้าไปองค์ชายสามมองหลิงอวี้ขึ้นรถม้าเสร็จก็กระโดดขึ้นหลังม้าขี่ประกบรถม้าคนละข้างกับจางหย่ง เสียงพูดคุยหัวเราะของดรุณีทั้งสองในรถม้า พาให้คนด้านนอกฟังจนเคลิบเคลิ้ม มารู้ตัวอีกทีก็ถึงจวนแม่ทัพเสียแล้ว"เปิ่นหวางขอตัวก่อน" องค์ชายสามกล่าวกับทั้งสามคนก่อนจะควบม้าไปทางวังหลวงนับตั้งแต่ครั้งนั้นเมื่อหลิงอวี้ไปค่ายทหารทุกครั้งจะบังเอิญพบองค์ชายสามไปเสียทุกครั้ง จ้าวตงหยางก็สังเกตเห็นเช่นกัน แต่องค์ชายสามมิได้แสดงท่าทีเกินเลยกับบุตรสาวจึงมิอาจว่ากล่าวสิ่งใดได้แต่จะให้หลิงอวี้เรียนกับอาจารย์อยู่แต่ภายในจวนเท่านั้นเขาก็สงสารนางเพราะงานเลี้ยงน้ำชาก็แทบจะไม่ได้ไป จะกักขังมากไปก็ดูจะไม่ดี จึงมิได้พูดสิ่งใดที่ไม่ได้พูดเพราะพูดไปแล้วจินเยว่ก็อดที่จะตำหนิเขาไม่ได้ บุตรสาววัยเพียงสิบเอ็ดหนาวก็แท
องค์ชายสามมิคิดว่าเพียงกลั่นแกล้งหลิงอวี้เล็กน้อยเท่านั้นตนกับสหายถึงพบกับเรื่องเช่นนี้ในเมื่อฮ่องเต้ยังส่งองค์ชายสามไปให้จ้าวตงหยางสั่งสอนด้วยตนเอง พวกเขาจะมิยินยอมส่งตัวบุตรหลานไปได้หรือ เหตุการณ์วุ่นวายจึงจบลงเพียงเท่านั้นพอถึงจวนของตนต่างก็จัดเตรียมของกำนัลมากมายส่งไปจวนแม่ทัพเพื่อให้จ้าวตงหยางคลายโทสะ หวังให้สั่งสอนบุตรหลานของตนเบาลงจางหมิ่นกับจางหย่งจากที่วางแผนจะจัดการองค์ชายสามกับสหายก็เปลี่ยนความคิด พรุ่งนี้พวกเขาจะติดตามบิดาไปค่ายนอกเมืองเพื่อร่วมชมความครึกครื้นด้วย"ท่านพ่อ ท่านทำเกินไปหรือไม่เจ้าคะ" หลิงอวี้เมื่อขึ้นนั่งรถม้ากับบิดามารดาก็เอ่ยปากขึ้นครั้งแรก"อวี้เออร์ เจ้าเป็นเสมือนไข่มุกในฝ่ามือพ่อ เรื่องของเจ้าพ่อย่อมจัดการอย่างเหมาะสม เจ้าอย่าได้คิดมากหรือใจอ่อนกับคนพวกนั้นเด็ดขาด มิฉะนั้นเมื่อมีครั้งแรกย่อมมีครั้งต่อไปที่พวกเขาจะรังแกเจ้า" จ้าวตงหยางลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่เขาถนอมนางมาอย่างดีถึงสิบปี คนพวกนั้นจะรังแกก็รังแกง่ายๆเช่นนี้ หากเขาปล่อยผ่านไปก็นับว่าผิดต่อเวลาสิบปีที่ถนอมนางแล้วจินเยว่ดึงบุตรสาวเข้ามากอด ที่นางมิเอ่ยห้ามสามีเพราะนางรู้ดีว่าหากถูกรังแก