แม้จะเจ็บปวดจนแทบจะลุกไม่ขึ้น แต่นางไม่อยากจะอยู่ในจวนแม่ทัพอีกต่อไปแล้ว จินเยว่จึงกัดฟันแน่นพยุงตัวลุกขึ้น จ้าวตงหยางเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปประคองทันที แต่นางก็เบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วจนแผลที่หมอทำไว้ปริออกอีกครั้ง
"อ๊าาาา" นางร้องออกมาเบาๆ บุรุษทั้งสองที่ได้ยินถึงกับหน้าแดงทันที เสียงร้องของนางมันช่าง
"แม่นางเสวี่ยระวังเสียหน่อย แผลของเจ้าปริออกจนเลือดซึมอีกแล้ว" หลิวเหล่ยพูดขึ้น แต่เขายังไม่กล้าจะเข้าใกล้นาง เพราะใบหูของตนยังไม่หายแดง
เสี่ยวหงที่ส่งท่านหมอกลับไปแล้วก็เข้ามาทันได้ช่วยเหลือจินเยว่พอดี จึงลดความกระอักกระอ้วนของบุรุษทั้งสองลงได้ จ้าวตงหยางสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะสั่งให้คนของตนเตรียมรถม้าไปส่งจินเยว่
"เจ้าพาสาวใช้อีกสองคนตามนางกลับไปด้วย" จ้าวตงหยางหันไปสั่งกับเสี่ยวหง เพราะเรือนของนางมิมีบ่าวคอยรับใช้ ทั้งหมดเป็นจินเยว่ที่ทำ ตอนนี้นางทำอันใดมิได้ หากต้องให้มารดาขอนางงนางทำงานแทน นางคงต้องฝืนทำอีกเช่นครั้งที่แล้วแน่
"มิต้องเจ้าค่ะ เรือนของข้าเล็กนัก มิรบกวนคนของท่านแม่ทัพ" จินเยว่อยากจะไปให้พ้นจากเขาโดยเร็ว นางมิต้องการให้เขามาเกี่ยวข้องกับนางอีก
"แม่นางเสวี่ยข้าส่งคนไปช่วยมารดาเจ้าที่เรือนดีหรือไม่ เพียงทำความสะอาด ทำอาหารแล้วกลับเท่านั้น" จินเยว่คิดเพียงครู่ก็พยักหน้ารับความหวังดีของหลิวเหล่ย
จ้าวตงหยางกัดฟันข่มโทสะของตน นางยอมรับความหวังดีของหลิวเหล่ย แต่มิยอมรับของเขา เรื่องนี้เขาอยากจะพังข้าวของในห้องเสียให้ราบแต่ก็ทำได้เพียงจ้องมองนางเท่านั้น
เสี่ยวหงพาจินเยว่มาส่งด้วยตัวเอง ก่อนนางจะถึงเรือน นางขอให้เสี่ยวหงแต่งหน้าให้นางดูไม่ซีดจนเกินไป เมื่อถึงเรือนนางก็ไม่ให้เสี่ยวหงประคอง นางพยายามเดินอย่างปกติเข้าไปทักทายบิดามารดา แล้วรีบกลับเข้าห้องของตน
เสี่ยวหงมองจินเยว่อย่างปวดใจ เหตุใดคุณหนูเช่นนางจึงได้เข้มแข็งถึงเพียงนี้ เสี่ยวหงส่งจินเยว่ที่ห้องของนางก็พาคนของหลิวเหล่ยไปแนะนำตัวกับเกาซื่อ นางบอกเกาซื่อว่า
"ท่านกุนซือหลิว ส่งคนมาช่วยทำความสะอาดเรือน และทำอาหาร ให้ไปกลับทุกวันเจ้าค่ะ ท่านกุนซือหลิวเห็นใจแม่นางเสวี่ยที่ทำงานหนักเท่านั้นเจ้าค่ะ" เกาซื่อมิได้ติดใจอันใด มีคนมาช่วยบุตรสาวมิต้องให้ทำงานหนักนางก็พอใจแล้ว แต่เสวี่ยป๋อเหวินแปลกใจที่อยู่ดีดีหลิวเหล่ยจะส่งคนมาด้วยเหตุใด
ในเมื่อบุตรสาวมิได้พูดสิ่งใด ทุกอย่างดูเป็นปกติ มีเพียงสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อยเท่านั้น เขาจึงไม่ได้ไปพบจินเยว่เพื่อสอบถาม ปล่อยให้นางพักผ่อนไปก่อน
คนของหลิวหล่นขยันขันแข็งทำงานได้อย่างเรียบร้อยแม้แต่อาหารที่ทำออกมารสชาติก็นับได้ว่าดี เกาซื่อก็ยิ่งพอใจเสมือนว่านางได้กลับไปเป็นฮูหยินเสวี่ยที่สุขสบายมีคนคอยรับใช้อีกครั้ง เมื่อเข้าไปดูบุตรสาวที่ห้องก็พบว่านางนอนหลับสบายดีจึงวางใจ
คนของหลิวเหล่ยต้มยามื้อเย็นให้จินเยว่ แล้วคอยดูแลให้นางกินข้าวกินยา เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้จึงได้กลับจวนตระกูลหลิวไป
พอตะวันตกดินได้ไม่นาน จ้าวตงหยางที่อดกลั้นไม่ไหวเพราะเป็นห่วงจินเยว่ก็ลอบเข้ามาในจวนเสวี่ยเช่นทุกครั้ง เขามาถึงก็รีบเข้าไปดูนาง เมื่อเห็นนางมีไข้ดั่งเช่นที่ท่านหมอพูดก็เช็ดตัวให้นาง และทายาให้นางด้วย
"เจ็บมากหรือไม่ ข้ามาช้าไป ข้าขอโทษ" เขาทายาไปก็พูดกับนางด้วยเสียงแผ่วเบา แม้จะรู้ว่านางไม่รับรู้ในเวลานี้ แต่เขาก็พูดต่อไปเรื่อยๆจนทายาเสร็จ
"อื้อออ" จินเยว่ครางออกมาอย่างแผ่วเบา เพราะความเจ็บจากการพันแผลของจ้าวตงหยาง แม้สาวใช้ของหลิวเหล่ยจะทำแผลให้นางไปแล้ว แต่จ้าวตงหยางก็อยากจะทำด้วยตนเอง
จ้าวตงหยางชะงักทันที เขาอยากจะปิดปากน้อยๆของนางนัก ยิ่งตอนที่นางเผลอร้องต่อหน้าหลิวเหล่ยเขาอยากจะตัดหูของสหายทิ้งไปเสียเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงร้องของนาง (นั่นสหายของท่านนะ)
"ข้าจะทำเช่นไรกับเจ้าดี" เขาโมโหทุกครั้งที่เห็นบุรุษอื่นมองนาง ยิ่งนางเชื่อใจหลิวเหล่ยมากกว่าตน จ้าวตงหยางก็แทบจะควบคุมอารมณ์ของตนไว้ไม่ได้ พอรู้ว่าท่านเจ้าเมืองต้องการตัวนางเขาก็อยากจะบุกไปเผาจวนเจ้าเมืองทิ้ง
ตอนที่มีคนมารายงานว่าเว่ยซืออิงลงโทษนาง เขาก็ควบม้าออกมาราวกับอยากจะมีปีกบิน ยิ่งเห็นนางเจ็บเขาก็อยากจะฆ่าคนที่ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ (ต้องฆ่าตัวตายจ๊ะ เพราะพ่อเลยนางถึงได้เป็นเช่นนี้)
จ้าวตงหยางมุดตัวเข้าไปอยู่ในผ้าห่มของจินเยว่ เขาค่อยๆจับตัวนางให้หันตะแคงมาอยู่ในอ้อมกอดของตนอย่างช้าๆ โดยระวังไม่ให้ถูกบาดแผลของนางเข้า
"อ๊าาา" จินเยว่นิ่วหน้าครางออกมาเมื่อขยับตัวแล้วเกิดเจ็บแผลขึ้น แต่ฤทธิ์ของยาก็ไม่ได้ทำให้นางตื่นขึ้นมา จ้างตงหยางก้มลงไปขบริมฝีปากของนางด้วยความหงุดหงิดเพราะเสียงร้องของนาง หากเป็นคนอื่นที่ได้ยินเขาคงได้โมโหจนกระอักเลือดตาย
"อื้อออ" จินเยว่เผลออ้าปากประท้วง จ้าวตงหยางจึงได้โอกาสสอดลิ้นของตนเข้าไปกอบโกยความหวานของนาง แม้จะอาลัยอาวรณ์กับรสจูบที่หวานล่ำแต่ก็ต้องจำผละออกเพราะกลัวนางจะไม่สบายตัว
จินเยว่ที่กำลังฝันหวานว่านางถูกบุรุษรูปงามมอบจูบแรกให้อย่างดูดดื่มก็เผลออมยิ้มออกมา จ้าวตงหยางที่เห็นเช่นนั้นก็ก้มลงจูบนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เข้าเห็นนางให้ความร่วมมืออย่างดีจึงอ้อยอิ่งกับความหวานล่ำอยู่นาน จนหญิงสาวเริ่มจะหายใจไม่ทันจึงได้ยอมปล่อยนาง แล้วดึงนางเข้ามากอดไว้อย่างหวงแหนจินเยว่ที่หลับสบายก็ซุกตัวเข้าหาอ้อมอกที่อุ่นจนลืมความเจ็บปวดของบาดแผลของตนไปเสีย นางได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็หลับไป เพราะคิดว่าเป็นความฝันจึงมิได้ระวังตัว ยิ่งมีอาการของพิษไข้ด้วยแล้วนางจึงไม่รู้ว่าภายในห้องมิได้มีแค่ตัวนางที่นอนอยู่คนเดียวครั้งนี้จ้าวตงหยางอาลัยอาวรณ์มิอยากจะกลับไป ถึงฟ้าจะเริ่มสว่างแล้วแต่เขาก็ยังคงกอดจินเยว่ไม่ยอมปล่อย จนนางเริ่มขยับตัว เขาจึงได้จุมพิตที่หน้าผากแล้วกระโดดออกทางหน้าต่างไปจินเยว่ที่ตื่นขึ้นมาเพราะข้างกายข้างนางไร้ความอบอุ่นแล้วก็มองไปรอบๆห้องอย่างใคร่ครวญ หากจะบอกว่าเป็นความฝันก็คงจะเหมือนจริงยิ่งนัก แต่ในเมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปกตินางจึงหลับตานอนต่อจ้าวตงหยางกลับถึงจวนก็พบว่าเว่ยซืออิงกำลังร่ำไห้อยู่กับมารดาของตน"หยางเออร์ นี่มันเรื่องอันใดกันเหตุใดเจ้าถึงไล่น้องกลับตระก
จินเยว่ที่ดื่มยานอน แผลที่หลังเริ่มจะสมานแล้วจึงมิได้เจ็บมากเช่นตอนแรก และตอนนี้นางมีคนคอยช่วยจัดการเรื่องในบ้านจึงไม่ต้องทำสิ่งใดให้กระทบบาดแผล นางเพียงนอนพักรักษาตัวเท่านั้นในช่วงกลางวันนางยังออกไปนั่งสนทนากับบิดามารดาเพื่อไม่ให้ทั้งคู่สงสัยเรื่องการบาดเจ็บของนาง จินเยว่ไม่อยากให้บิดามารดาขอนางกังวลเรื่องของนางมากเกินไป"องค์รัชทายาทส่งข่าวมา พระองค์หาหลักฐานเรื่องที่ข้ามิได้ทำผิดพบแล้ว อีกไม่นานเรื่องทั้งหมดคงจบสิ้นเสียที" เสวี่ยป๋อเหวินกล่าวขึ้นหลังทานมื้อกลางวันเสร็จ"จริงหรือเจ้าคะท่านพี่ สวรรค์เมตตาพวกเราแล้ว" เกาซื่อแทบจะลงไปคำนับที่พื้น นางจับมือสามีหลั่งน้ำตาออกมา ความน้อยใจในโชคชะตาที่ได้รับตอนนี้ลดลงไปอย่างมาก เมื่อเห็นสามีพยักหน้ายิ้มให้นาง"ดียิ่งเจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่ พวกเราจะได้หลุดพ้นกับคำว่าขุนนางต้องโทษเสียที" จินเยว่ยิ้มกว้างกว่าทุกวัน นางอดที่จะดีใจกับบิดาของนางไม่ได้เกาซื่อลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่ นานเพียงใดแล้วที่บุตรสาวของนางไม่ได้ยิ้มกว้างเช่นในตอนนี้ ความลำบากที่บุตรสาวได้รับอีกไม่นานก็จะจบลงเสียทีเมื่อพูดคุยกับจบจินเยว่ก็ขอตัวกลับห้องของตน เพราะนางเริ่มจ
จินเยว่พยักหน้า นางรับรู้เพียงแต่นางควบคุมตนเองไม่ได้ นางทรมานเกินกว่าจะทนได้อีกแล้ว นางรู้ว่าต่อจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นจะเกิดอันใดกับนาง แต่เพียงแค่ผ่านไปได้ต่อไปเขากับนางก็จะเป็นเพียงแค่คนเคยช่วยเหลือกันเท่านั้นเพียงแค่นางพยักหน้าจ้าวตงหยางก็เร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้น เพื่อไปที่รถม้า เขาถอดเสื้อคลุมเพื่อปูรองนางไว้ แม้สถานที่ไม่อำนวยแต่แรงของอารมณ์ในตอนนี้ก็ไม่อาจมีสิ่งใดมาขวางไว้ได้"เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ ข้ารับรองว่าจะรับผิดชอบในสิ่งที่ตนได้กระทำ" จินเยว่จ้องมองเขา แววตาที่ฉ่ำนางของนางช่างยั่วยวนให้สติของจ้าวตงหยางแทบจะเตลิด"ท่านอย่าได้เอ่ยเช่นนี้ เพียงช่วยข้าท่านไม่ต้องลำบากรับผิดชอบ" คงเป็นเพราะคำพูดของนางทำให้จ้าวตงหยางหยุดความคิดลง เขาหัวเราะเย้ยตนเอง แล้วลุกขึ้นเดินออกจากรถม้าไปจ้าวตงหยางออกมายืนสูดอากาศที่เย็นด้านนอกเพื่อเรียกสติ สตรีหน้าตาย กล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร เขายอมที่จะรับผิดชอบนาง แต่นางกลับพูดขึ้นมาไม่ต้องลำบาก แต่ก่อนที่เขาจะขึ้นบังคับรถม้าเพื่อพานางออกจากกลางป่า เสียงหวานก็ครางร้องขึ้นมาอย่างแผ่วเบา เสียงถอดเสื้อผ้าเพราะความร้อนที่ได้จากฤทธิ์ยา ทำให้จ้าวตงหยางกั
จ้าวตงหยางมิคิดว่าจะยุ่งยากถึงเพียงนี้ หากนางแต่งให้ตนต่อไปนางก็เป็นคนของตระกูลจ้าวมิใช่ตระกูลเสวี่ยต่อไป แต่จินเยว่มิได้คิดเช่นจ้าวตงหยาง บิดาของนางถึงจะทำผิดแต่ก็คือบิดาของนาง จะให้นางทอดทิ้งตระกูลเพื่อสามีนางคงทำมิได้"ท่านกลับไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวมีคนมาพบเข้า ทหารหน้าเรือนท่านจัดการได้ใช่หรือไม่" "เจ้าวางใจเรื่องในคืนนี้ ข้าจะมิให้พวกเขาพูดสิ่งใด" จ้าวตงหยางเอ่ยลาจินเยว่อย่างอาลัยอาวรณ์ เมื่อตรวจว่านางมิได้บาดเจ็บที่ใดแล้ว เขาก็กลับออกไป จินเยว่ลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วกลับมานั่งทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น หากนางไม่พบเขา หากเขาไม่พานางไปที่จวน นางจะพบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างไร แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากนางตั้งครรภ์ขึ้นมานางจะบอกบิดามารดาว่าเช่นไร ยุคนี้ไม่เหมือนยุคที่นางจากมา ต่อให้ตั้งครรภ์โดยไม่มีบิดาของเด็กก็ไม่มีใครสนใจ แต่ในยุคนี้บิดาของนางจะมีหน้าพบใครได้หากเป็นเช่นนั้นจริงจินเยว่ถอนหายใจเสียหลายครั้ง หากยังไม่พูดเรื่องนางแจ็คพอตตั้งครรภ์ขึ้นมา พูดเพียงแค่เรื่องระหว่างจ้าวตงหยางกับบิดาของนาง หากทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกันจริง คงได้เป็นที่ขบขันแน่ เพราะพ่อตากับบุตรเขยไม่ลง
วันนี้ก็เช่นเคยที่จ้าวตงหยางมาที่เรือนของนาง แต่สีหน้าของเขานั้นไม่ค่อยดีเช่นทุกวันที่มา"มีเรื่องอันใดหรือไม่" หากไม่บอกก็คงคิดว่าทั้งคู่ใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยา เขามาถึงนางก็เตรียมน้ำให้เขาล้างหน้าล้างตา แถมยังมีอาหารของว่างรอไว้ด้วย"เยว่เออร์ ข้าต้องออกไปจัดการกับพวกคนนอกด่าน เมื่อกลับมาเจ้ายอมแต่งให้ข้าเถิด" จ้าวตงหยางจ้องหน้านางอย่างจริงจัง"ท่านคิดดีแล้วใช่หรือไม่" "ไม่เคยนึกเสียใจหากคนที่แต่งเป็นเจ้า แต่หากไม่ใช่เจ้าข้าคงไม่แต่ง" จินเยว่เบะปากมองเขา คำพูดเช่นนี้ท่านก็พูดออกมาได้เพราะต้องจากกันไม่รู้ว่านานเพียงใด หากเร็วสุดก็เพียงสองเดือน หากอย่างช้าก็นานนับปี จ้าวตงหยางจึงหว่านล้อมจนจินเยว่ใจอ่อน กว่าบทรักของเขาจะจบลงจินเยว่ก็แทบจะถีบเขาลงจากเตียงเมื่อกินอิ่มจากที่หงอยเป็นหมาเศร้าก็ลุกกลับออกไปอย่างม้าที่พักเต็มกำลัง จินเยว่มองส่งจ้าวตงหยางอย่างเศร้าสร้อย มิใช่นางอาลัยอาวรณ์ที่เขาต้องออกไปรบ แต่ที่นางเศร้าเพราะเรื่องที่นางต้องกลับเมืองหลวงนางยังมิได้บอกเขา หากเขารู้เขาจะกล่าวโทษนางหรือไม่เกือบเดือนที่จ้าวตงหยางมาหาจินเยว่ วันที่เขาออกเดินทัพ คืนนั้นเขากอดนางไว้เสียแน่นแทบจะฝั
ทั้งคู่ไม่ยอมทิ้งบุตรสาวไว้ที่เจียงชางเพียงคนเดียวแน่ "ข้าไม่อยากกลับไปให้ท่านอายคนอื่น ฟังข้าสักนิดท่านพ่อ เมื่อเรื่องของท่านเข้าที่ข้าก็จะเดินทางกลับเมืองหลวงทันที หากมีเรื่องของข้าให้ขุนนางคนอื่นโจมตีท่านอีก ท่านจะต้องมีเรื่องให้เหนื่อยเพิ่ม""ท่านซื้อบ่าวให้ข้าสักสองสามคนก็ได้เจ้าค่ะ เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็พาหลานกลับไปอยู่กับพวกท่านแล้ว" เสวี่ยป๋อเหวินกับเกาซื่อคิดตามที่บุตรสาวพูดก็เห็นด้วย เขาจึงยอมให้นางได้อยู่ที่เจียงชาง โดยหาทาสหลวงที่ดูน่าไว้ใจนับสิบคนทิ้งไว้กับนางด้วยจ้าวตงหยางที่เดินทางถึงเขตชายแดนนอกด่าน ก็เตรียมตัวออกรบทันที เมื่อเขาหารือเข้าวันที่สาม หลินเหล่ยก็ถือจดหมายเดินเข้ามา"มีเรื่องอันใดที่โยวเป่ย" เขาถามโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองจากแผนที่ชายแดน"องค์รัชทายาทส่งคนมารับเสวี่ยป๋อเหวินกลับเมืองหลวงแล้ว" เหมือนฟ้าผ่าลงมา เขาเพิ่งได้รับจดหมายของนางเมื่อวานนี้เอง จินเยว่มิได้บอกอันใดกับเขา นางบอกเพียงให้เขารักษาตัว ห้ามบาดเจ็บเด็ดขาด ส่วนนางอยู่อย่างสุขสบายดีมิต้องเป็นห่วง"ตั้งแต่เมื่อใด" เขาแทบจะเปร่งเสียงออกมาไม่ได้"ราวครึ่งเดือนมาแล้ว ตอนนี้น่าจะถึงเจียงชางแล้ว"
ครรภ์ของจินเยว่เข้าเดือนที่ห้าแล้ว ตอนนี้นางสามารถดื่มกินได้ปกติ แล้วแม่ครัวของนางยังทำอาหารได้ถูกปากนางอีก แม้ตัวของนางจะไม่ได้อ้วนขึ้นแต่ก็มีน้ำมีนวลน่ามองยิ่งนักจินเยว่ยังคงใช้ชีวิตเช่นเดิม นางยังคงเขียนจดหมายถึงจ้าวตงหยางทุกห้าวัน เพราะนางไม่รู้ว่าสงครามกับคนนอกด่านได้จบสิ้นลงแล้ว ตอนนี้จ้าวตงหยางกำลังอยู่ระหว่างเดินทางเข้าเมืองหลวงที่เพิ่งจะได้เดินทางเข้าเมืองหลวงเป็นเพราะเขาต้องรายงานเรื่องสงครามไปยังวังหลวงเสียก่อน หากมิได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ จ้าวตงหยางก็มิอาจออกเดินทางโดยมิมีราชโองการได้การรบครั้งนี้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว จ้าวตงหยางและทหารของเขาจึงได้รับราชโองการให้เข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานรางวัล เมื่อได้รับราชโองการ จ้าวตงหยางก็เร่งเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที ครั้งนี้เขานำกองทัพของจนเข้าเมืองหลวงเพียงสามร้อยนายเท่านั้น ที่เหลือยังคงป้องกันชายแดนอยู่ เป็นเพราะเรื่องของจินเยว่ทำให้เขากังวลใจ การเดินทางของเขาจึงเร่งรีบ ทหารสามร้อยนายเดินทางด้วยม้าเร็วทั้งหมดจึงทำให้เขาไม่เสียเวลามากนักเมื่อถึงเมืองเจียงชางจ้าวตงหยางจึงได้หยุดพัก เพราะหลิวเหล่ยที่ได้รับบาดเจ็บจนเขาเดินท
"ท่านแม่ทัพ ข้าคงมิอาจบอกได้ สามีของแม่นางคนนั้นเป็นใครข้าเองก็มิรู้" หมออู่ตอบเลี่ยงๆไปจ้าวตงหยางถึงจะสงสัยอย่างมาก แต่ก็ได้แค่สงสัยเพราะจินเยว่รอเขาอยู่ที่เมืองหลวง นางจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และหากนางตั้งครรภ์จริง จดหมายที่เขียนถึงตนทุกห้าวัน นางคงจะต้องบอกเขาแล้วที่จ้าวตงหยางสงสัยในตัวตนของสตรีนางนั้นเป็นเพราะขุนนางคนใดกันที่มีอำนาจมากกว่าเขาในเมืองนี้ หมออู่ถึงกับไม่กล้าผิดนัดมาตรวจให้กุนซือของกองทัพเช่นหลิวเหล่ยก่อนในเมื่อความกังวลเรื่องของหลิวเหล่ยหมดไป ทหารทั้งหมดร่วมถึงตัวเขาจึงได้พักผ่อนดีๆถึงสามวัน ก่อนที่ทั้งหมดจะออกเดินทางอีกครั้ง จินเยว่ที่ทราบข่าวเรื่องจ้าวตงหยางออกจากเมืองเจียงชางไปแล้วก็โล่งใจ นางยังไม่พร้อมที่จะพบเขาในเวลานี้ ต่อให้เขาตามมาเจอนางในภายหลัง จะโกรธแค้นนางก็ค่อยว่ากันอีกครั้งจ้าวตงหยางถึงเมืองหลวงในสิบห้าวันให้หลัง เพราะเขาหยุดพักตลอดทางก่อนจะเข้าเมืองหลวง ทหารทั้งสามร้อยนายจึงไม่ได้เหนื่อยล้าเกินไปนัก เมื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ จ้าวตงหยางก็พบกับเสนาบดีเสวี่ยในท้องพระโรง เขาเพียงแต่มองเท่านั้นมิได้ทักทาย เสนาบดีเสวี่ยที่ยังคงโกรธเคืองจ้าวตงหยางเรื่องของ
จ้าวตงหยางยังอยากจะเก็บหลิงอวี้ไว้ออกเรือนตอนอายุยี่สิบกว่าด้วยซ้ำ หากยินเยว่ไม่เอ่ยท้วงเสียก่อน"ท่านแม่ทัพ มีราชโองการมาขอรับ" พ่อบ้านจ้าววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตาม ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลและแต่งตั้งจางหมิ่นกับจางหย่งเรียบร้อยแล้ว ยังจะมีราชโองการใดได้อีกทั้งคู่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากเรือนก็พบว่าทุกคนยืนรออยู่หน้าจวนอย่างพร้อมเพรียงแล้ว"ฮ่องแต่มีพระราชโองการ มอบสมรสพระราชทานให้คุณหนูจ้าวหลิงอวี้กับองค์ชายสามฉีเฟยหลาง..." ขันทีประกาศเช่นใดจ้าวตงหยางมิได้ยินอีกแล้ว หูของเขาแทบจะดับไปทันที หากมิใช่มีจินเยว่ประคองไว้เขาคงล้มไปนั่งกองกับพื้นแล้วเมื่อส่งขันทีข้างกายฮ่องเต้กลับไปแล้ว จินเยว่ก็หัวเราะกับท่าทีเหม่อลอยของจ้าวตงหยางขึ้นมา "ท่านมิได้รู้อยู่แล้วหรือ ท่านพี่"จ้าวตงหยางหันไปถลึงตาใส่เมียรักอย่างเห็นได้น้อย รู้อยู่แล้วแต่ทำใจไม่ได้ไงตระกูลจ้าวในเวลานี้บ่าวไพร่แม้แต่นายของจวนต่างก็วุ่นวายจัดเตรียมข้าวของ เสวี่ยป๋อเหวินกับเกาซื่อก็มาอยู่ช่วยดูแลงาน ยังขนเงินทองของมีค่ามาหลายหีบเพื่อเติมสินเดิมให้เจ้าสาว"ท่านพ่อ สินเดิมของอวี้เออร์ไม่เยอ
แม่ทัพแคว้นเหยี่ยนส่งคณะทูตมาเจรจากับจ้าวตงหยางถึงค่ายทหาร โดยการยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของแคว้นเหยี่ยนต้องยอมเสียเมืองที่คิดกับแคว้นฉีถึงสามเมือง และจะส่งเครื่องบรรณาการเพิ่มจากเดิมอีกสองส่วนเมื่อทุกฝ่ายหารือร่วมกันเห็นพร่องว่ายินยอมที่จะรับข้อเสนอเช่นนี้ได้ ก็ตกลงทำสัญญาพร้อมถอนทัพกลับทันที ฉีเฟยหลางยังต้องรั้งรอคนที่ราชสำนักส่งมาจัดการหัวเมืองที่ยึดมาได้ก่อน จ้าวตงหยางที่นำทัพกลับเมืองหลวงจึงให้ จางหมิ่นและจางหย่งอยู่ช่วยดูแลอีกแรง การรบกับแคว้นเหยี่ยนครั้งนี้พวกเขาใช้เวลาเดินทางมากกว่าการรบเสียอีก เสียเวลาเดินทางมาสามเดือน เตรียมการรบจนชนะเพียงสองเดือนเท่านั้นตอนนี้จ้าวตงหยางแทบอยากจะมีปีกรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็วเพราะกำหนดคลอดของจินเยว่ใกล้เข้ามาแล้ว หากเข้าเร่งรีบนำทัพกลับคงใช้เวลาอย่างน้อยก็สองเดือนเป็นช่วงคลอดของจินเยว่พอดีฉีเฟยหลางยังคงส่งจดหมายหาหลิงอวี้ทุกครั้งที่เขามีเวลา(ก็เขียนทุกวันก่อนนอน) แม้นางจะเขียนตอบมาน้อยครั้งนัก แต่ทุกครั้งก็จะบอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้บาดเจ็บ เสื้อคลุมที่สวมอยู่ก็เป็นนางที่ส่งมาให้เมื่อคิดจะฝากจดหมายไปและของที่ซื้อไว้ให้นางไปกับว่าท
กองทัพแคว้นฉีถึงโยวเป่ยสามเดือนให้หลัง ตอนนี้ทั้งหมดอยู่ห่างจากเมืองเป่ยซานเพียงสองร้อยลี้ จ้าวตงหยางจึงจำต้องอพยพชาวเมืองโยวเป่ยและเมืองใกล้เคียงให้ห่างออกไปจากแนวการรบอย่างน้อยห้าร้อยลี้ จินเยว่ยังมีส่วนช่วยเรื่องเสบียงของชาวบ้านที่อพยพมา เพราะคนของนางที่โยวเป่ยจำต้องอพยพไปพร้อมกับชาวบ้าน เสบียงที่พวกเขาขนไปด้วยจึงนับว่าช่วยชีวิตคนได้มาก ชาวบ้านจึงมิต้องอดอยากหรือป่วยไข้ตายลงค่ายผู้อพยพก็เป็นจางหย่งที่ได้รับมอบหมายจากบิดาให้เร่งสร้างและจัดหาสิ่งของที่ขาดแคลนให้ชาวบ้านได้ใช้ไปก่อน ถึงคลังหลวงจะมีเงินมากก็มิอาจจะยกทั้งหมดมาใช้กับสงครามได้ เป็นเพราะจินเยว่ที่ได้สามีเป็นแม่ทัพนางจึงนำที่ดิน ที่ฮ่องเต้พระราชทานเป็นรางวัลทั้งหมดมิยอมปล่อยเช่าเช่นขุนนางคนอื่น แต่นางจ้างให้ชาวบ้านปลูกข้าว มันสำปะหลัง พืชผักที่เก็บไว้ได้นาน เลี้ยงดูทหารของตระกูลจ้าว ขึงทำให้มีเสบียงมากพอที่ใช้ในการสู้รบครั้งนี้แม้แต่อาหารพื้นบ้านธรรมดาอย่างเช่นรากบัวก็นำมาปรุงอาหารได้ ถั่วเขียวแช่น้ำ แล้ววางลงในไหหรือตะกร้า เอาผ้าคลุมที่ละชั้นเก็บไว้ในที่มืดคอยรดน้ำสามวันก็เป็นผัก นำมาผัดน้ำมันก็ทานได้แล้ว สิ่งที่นางรู้น
"อวี้เออร์ โกรธข้าหรือ" เขาจ้องหน้าของนางก่อนจะอดใจไม่ไหวก้มลงจุมพิตนางทันที "ท่าน อื้ออออ" หลิงอวี้ที่อ้าปากจะร้องห้ามก็เป็นการเปิดทางให้ฉีเฟยหลางแทรกเรียวลิ้นของเขาเข้ามาได้ กว่าเขาจะยอมถอนริมฝีปากออกจากปากนางก็เมื่อคนขับรถม้าเอ่ยว่าถึงจวนท่านแม่ทัพแล้วฉีเฟยหลางลูบริมฝีปากของหลิงอวี้อย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะช่วยนางจัดเสื้อผ้าแล้วพานางไปส่งด้านในจวน เมื่อส่งหลิงอวี้ถึงมือมารดาของนางแล้วเขาก็กลับเข้าวังหลวงพร้อมจางหย่งอีกครั้งจินเยว่ที่เห็นดวงตาของบุตรสาวปูดบวมและมีองค์ชายสามมาส่งก็ตกใจ เมื่อสอบถามจนได้ความนางก็แทบจะเป็นลมหมดสติ มิคิดว่าให้บุตรสาวไปร่วมงานเลี้ยงจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นถึงเพียงนี้"ไม่เป็นไรลูกรัก ทุกปัญหามีท่านตากับท่านพ่อของเจ้าคอยค้ำไว้ให้" จินเยว่กอดปลอบบุตรสาวที่สะอื้นจนตัวโยนในอ้อมกอดของนาง ลี่หลินก็หลั่งน้ำตาสงสารน้องน้อยของตนเช่นกันที่เขาเรียกว่าความงามทำให้เกิดหายนะก็เพิ่งพบเห็นจากเรื่องของจ้าวหลิงอวี้นี่เอง เรื่องภายในวังถูกร่ำลือออกไปภายนอก ย่อมมีคนเห็นด้วยและเห็นต่าง แต่ส่วนมากจะโกรธแค้นแคว้นเหยี่ยนที่หาเหตุผลมาทำสงครามมิได้ต้องดึงแม่นางน้อยคนหนึ่งมาทำร้าย
ขุนนางทั้งหลายที่ล่วงรู้ก็นึกถึงเรื่องของหนเก่าครั้งของแม่ทัพจ้าว แคว้นเหยี่ยนมิเคยจดจำเสียเลยจ้าวตงหยางเพียงยกสุราขึ้นร่วมชมความสนุกเท่านั้น เพราะครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับตน (เกี่ยวเต็มๆ พ่อรอดู)จางหมิ่นกับจางหย่งก็เหลือบมองหน้าน้องสาวของตนก่อนจะถอนหายใจ เพราะน้องสาวของตนก็สนใจเพียงดื่มกินอาหารตรงหน้าเท่านั้น คงมีเพียงมือที่สั่นอย่างระงับไว้ไม่อยู่"องค์หญิงแคว้นเหยี่ยนเสียมารยาทแล้ว ท่านมีสิทธิ์อันใดมาสอบถามชื่อของนาง" องค์ชายสามกล่าวตำหนิอย่างไม่ไหวหน้า"เช่นนั้นเปิ่นหวางองค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนก็สามารถขอพระราชทานสมรสครั้งนี้แทนได้ใช่หรือไม่" องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนลุกขึ้นพูด"องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยน เจ้าหมายตาบุตรสาวขุนนางของเจิ้นคนใดหรือ หากบิดามารดาของนางยินยอมเจิ้นก็มิขัดข้อง" ฮ่องเต้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียด"จ้าวหลิงอวี้ บุตรสาวแม่ทัพใหญ่จ้าว เปิ่นหวางอยากจะแต่งนางเป็นพระชายา มิรู้ว่าท่านแม่ทัพจะยินยอมหรือไม่" ขุนนางทั้งหลายต่างสูดหายใจเข้าอย่างลืมตัว จ้าวตงหยางที่ยกจอกสุราจรดริมฝีปากเพื่อดื่มก็เผลอบีบแก้วจนแตกคามือ องค์ชายสามก็เช่นกัน สองบุรุษต่างวัยต่างมีสีหน้าดำคล
หลิงอวี้เห็นเช่นนั้นก็สั่งให้คนของนางขับรถกลับจวน ชายชุดดำที่เพิ่งลงไปตอนนี้แอบมองรถม้าของนางอยู่ด้านนอก"องค์ชายจับตัวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฉีเฟยหลางหันไปมององครักษ์ที่เข้ามารายงานก็พยักหน้าแล้วขึ้นม้าควบตามไปเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นรถม้าของหลิงอวี้ เพียงอยากเห็นหน้านางเท่านั้นไม่คิดว่าจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด สามเดือนมานี้เขาฝึกฝนตนเองอย่างหนัก ทั้งรับงานจากเสด็จพ่อมาทำหวังจะทำให้ลืมนางได้ แต่ไม่เลยเขายังคิดถึงเพียงแต่นางวันนี้ฉีเฟยหลางพบสายลับต่างแคว้นที่ลักลอบปะปนเข้ามากับคณะทูตจึงออกมาจับกุมตัว จนได้พบกับรถม้าของตระกูลจ้าว เมื่อเห็นว่าเพิ่งออกมาจากตรอกจวนตระกูลเสวี่ยเขาจึงแน่ใจว่าเป็นนาง จึงรีบจัดการให้คนของตนจับคนร้ายแล้วเขาก็ขึ้นมาในรถม้าของนางแต่ฉีเฟยหลางคิดไม่ถึงว่าหลิงอวี้จะถือมีดสั้นเตรียมต่อสู้กับตนอยู่ แล้วกลัวจะทำให้นางบาดเจ็บจึงได้แย่งมีดไว้ แต่สุดท้ายนางก็ได้รับบาดเจ็บจากเขาอยู่ดีหลิงอวี้กลับถึงจวนก็รีบเข้าเรือนตัวเองทันที แล้วให้สาวใช้หายามาทาให้นาง เรื่องที่เกิดขึ้นก็ให้เก็บเงียบไว้อย่าเพิ่งบอกท่านพ่อท่านแม่แต่หลิงอวี้ยังมิได้ออกไปให้จ้าวตงหยางกับจินเยว่ไ
ฉีเฟยหลางนั่งรอคำตอบของหมอหลวงแทบไม่ติด เขาอยากจะไปดูอาการของนางให้เห็นกับตาแต่ก็ติดที่จางหมิ่นนั่งเฝ้าเป็นพระพุทธรูปอยู่ "องค์ชายสาม คุณหนูจ้าวมีไข้สูง ตัวร้อนดั่งไฟ แต่..." หมอหลวงยังพูดไม่จบ ฉีเฟยหลางก็ลุกขึ้นพุ่งตัวออกไปที่เรือนของหลิงอวี้แล้วจางหมิ่นก็รั้งตัวเขาไว้ไม่ทัน จางหย่งที่เพิ่งเดินสวนออกมาก็ต้องรีบตามกลับไปที่เรือนของน้องสาวตนทันที"อวี้เออร์ เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง" เสียงขององค์ชายสามมาก่อนที่ตัวจะมาถึง หลิงอวี้ที่กำลังหยิบขนมขึ้นมากินก็แทบจะกลืนทันทีฉีเฟยหลางมองดูสภาพคนตรงหน้าที่บอกว่าป่วยหนักแต่ลุกขึ้นมานั่งกินขนมอยู่ก็ใจกระตุก"อวี้เออร์ เจ้าทำเช่นนี้เพราะไม่อยากแต่งกับเปิ่นหวางใช่หรือไม่" เขารู้ว่านางแกล้งป่วยเพราะหลิงอวี้เช็ดปากแล้วแป้งที่มารดานางทาไว้หลุดออก จากปากที่ขาวซีดก็เผยให้เห็นปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อขึ้นแววตาที่เจ็บปวดของเขาจ้องมองมาที่ใบหน้างามของนาง นางรู้ดีว่าเขาคิดเช่นใด ก่อนหน้างานเลี้ยงฉีเฟยหลางก็บอกประสงค์ของตนที่จะเลือกนางเป็นพระชายาไว้แล้ว พอนางทำเช่นนี้จะไม่ให้เขาปวดใจได้อย่างไร"องค์ชายสาม หม่อมฉันขอพูดตามตรง หม่อมฉันมิอาจแต่งเข้าราชวงศ์ฉีได้ เพรา
"ประเดี๋ยว เปิ่นหวางกำลังจะกลับเช่นกัน เช่นนั้นไปพร้อมพวกเจ้าแล้วกัน" องค์ชายสามไม่ได้รอให้จางหย่งรับปากก็เดินนำหน้าไปที่ม้าของตนแล้ว"คุณหนูจ้าว เปิ่นหวางยังมิเคยขอโทษเจ้าเลยสักครั้ง" องค์ชายสามหาเรื่องคุยกับหลิงอวี้"หามิได้เพคะ หลิงอวี้จะกล้ารับคำขอโทษจากองค์ชายได้อย่างไร" นางก้มศีรษะลงแล้วก้าวเท้าขึ้นรถม้าไปองค์ชายสามมองหลิงอวี้ขึ้นรถม้าเสร็จก็กระโดดขึ้นหลังม้าขี่ประกบรถม้าคนละข้างกับจางหย่ง เสียงพูดคุยหัวเราะของดรุณีทั้งสองในรถม้า พาให้คนด้านนอกฟังจนเคลิบเคลิ้ม มารู้ตัวอีกทีก็ถึงจวนแม่ทัพเสียแล้ว"เปิ่นหวางขอตัวก่อน" องค์ชายสามกล่าวกับทั้งสามคนก่อนจะควบม้าไปทางวังหลวงนับตั้งแต่ครั้งนั้นเมื่อหลิงอวี้ไปค่ายทหารทุกครั้งจะบังเอิญพบองค์ชายสามไปเสียทุกครั้ง จ้าวตงหยางก็สังเกตเห็นเช่นกัน แต่องค์ชายสามมิได้แสดงท่าทีเกินเลยกับบุตรสาวจึงมิอาจว่ากล่าวสิ่งใดได้แต่จะให้หลิงอวี้เรียนกับอาจารย์อยู่แต่ภายในจวนเท่านั้นเขาก็สงสารนางเพราะงานเลี้ยงน้ำชาก็แทบจะไม่ได้ไป จะกักขังมากไปก็ดูจะไม่ดี จึงมิได้พูดสิ่งใดที่ไม่ได้พูดเพราะพูดไปแล้วจินเยว่ก็อดที่จะตำหนิเขาไม่ได้ บุตรสาววัยเพียงสิบเอ็ดหนาวก็แท
องค์ชายสามมิคิดว่าเพียงกลั่นแกล้งหลิงอวี้เล็กน้อยเท่านั้นตนกับสหายถึงพบกับเรื่องเช่นนี้ในเมื่อฮ่องเต้ยังส่งองค์ชายสามไปให้จ้าวตงหยางสั่งสอนด้วยตนเอง พวกเขาจะมิยินยอมส่งตัวบุตรหลานไปได้หรือ เหตุการณ์วุ่นวายจึงจบลงเพียงเท่านั้นพอถึงจวนของตนต่างก็จัดเตรียมของกำนัลมากมายส่งไปจวนแม่ทัพเพื่อให้จ้าวตงหยางคลายโทสะ หวังให้สั่งสอนบุตรหลานของตนเบาลงจางหมิ่นกับจางหย่งจากที่วางแผนจะจัดการองค์ชายสามกับสหายก็เปลี่ยนความคิด พรุ่งนี้พวกเขาจะติดตามบิดาไปค่ายนอกเมืองเพื่อร่วมชมความครึกครื้นด้วย"ท่านพ่อ ท่านทำเกินไปหรือไม่เจ้าคะ" หลิงอวี้เมื่อขึ้นนั่งรถม้ากับบิดามารดาก็เอ่ยปากขึ้นครั้งแรก"อวี้เออร์ เจ้าเป็นเสมือนไข่มุกในฝ่ามือพ่อ เรื่องของเจ้าพ่อย่อมจัดการอย่างเหมาะสม เจ้าอย่าได้คิดมากหรือใจอ่อนกับคนพวกนั้นเด็ดขาด มิฉะนั้นเมื่อมีครั้งแรกย่อมมีครั้งต่อไปที่พวกเขาจะรังแกเจ้า" จ้าวตงหยางลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่เขาถนอมนางมาอย่างดีถึงสิบปี คนพวกนั้นจะรังแกก็รังแกง่ายๆเช่นนี้ หากเขาปล่อยผ่านไปก็นับว่าผิดต่อเวลาสิบปีที่ถนอมนางแล้วจินเยว่ดึงบุตรสาวเข้ามากอด ที่นางมิเอ่ยห้ามสามีเพราะนางรู้ดีว่าหากถูกรังแก