ฮูหยินจ้าวที่รู้เรื่องราวทั้งหมดจากบุตรชาย และตอนนี้บุตรชายของนางกำลังเดินทางเข้าสู่สนามรบระหว่างราชวงศ์ด้วย หากจะพูดว่าจ้าวตงหยางเลือกฝ่ายแล้วก็คงมิผิดนัก แต่นางก็เศร้าเพียงไม่นาน เมื่อเห็นความสดใสร่าเริงของ จางหมิ่นกับจางหย่ง ท่านย่าเช่นนางก็กลับมายิ้มได้อีกครั้งจินเยว่จะกังวลเรื่องในเมืองหลวงก็ใช่ที่ นางจึงหันมาสนใจสภาพแวดล้อมของภูเขาที่อยู่ พร้อมทั้งให้คนของนางวางกับดักรอบบริเวณเรือนเผื่อพบเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นคนของอันอ๋องที่จับตาดูความเคลื่อนไหวภายในจวนตระกูลเสวี่ยเมื่อยังพบว่าบ่าวในจวนยังคงออกมาทำการค้าและใช้ชีวิตปกติก็ลดความรอบคอบลง พ่อบ้านเสวี่ยที่เห็นเช่นนั้นก็รีบให้คนจัดเตรียมเสบียงจำนวนมากทันทีเพราะจินเยว่ที่ได้รับจดหมายของจ้าวตงหยางว่าตนถึงเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว จึงให้คนของตนทั้งหมดที่อยู่ในจวนเดินทางมาอยู่ที่จวนพักตากอากาศบนเขาด้วยกัน หากเป็นไปตามแผนของจ้าวตงหยางทั้งหมด อันอ๋องคงต้องให้คนของตนบุกเข้ามาจับคนในจวนเพื่อต่อรองกับจ้าวตงหยางเป็นแน่นับว่าจวนบนเขาตอนนี้ครึกครื้นเสียยิ่งกว่าเรือนด้านล่างเสียอีก เมื่อพ่อบ้านเสวี่ยนำคนของจินเยว่ขึ้นมาอยู่ด้านบนทั้งหมด ความกังวล
ฮ่องเต้ที่ฟังรายงานขององค์รัชทายาทก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เขาลดความระแวงในตัวน้องชายของตนลงมากเกินไป จนทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แต่หากประกาศเรื่องอาการป่วยที่ดีขึ้นแล้วออกไป อันอ๋องคงได้ไหวตัวทัน หากทิ้งไว้จะกลายเป็นหนามที่คอยทิ่มแทงตลอดไปแน่ จำเป็นต้องกำจัดเนื้อร้ายทิ้งโดยด่วนเมื่อคิดได้เช่นนั้น ฮ่องเต้ก็ให้ประกาศออกไปว่าอาการประชวรของพระองค์ทรุดหนักลงอีกครา อันอ๋องที่รอเวลาก็ได้ลอบเข้าเมืองโดยมีคนของตนเปิดประตูเมืองให้กองทัพของอันอ๋องที่นำมามีเท่ากับจ้าวตงหยางห้าพันนาย หากจะให้คนของอันอ๋องสู้กับกองทัพในเมืองหลวงและองครักษ์เสื้อแพรย่อมจัดการได้โดยง่าย แต่พอมีคนของจ้าวตงหยาง กองทัพของอันอ๋องจึงแทบจะสู้มิไหวตอนนี้เขารอคนที่ส่งไปเจียงชางเพื่อจับกุมภรรยาที่จ้าวตงหยางซ่อนไว้กับบุตรมาใช้ต่อรอง ทางด้านจินเยว่ที่มีผู้บุกรุกคนของนางที่ไม่สามารถสู้ได้ก็พาเกาซื่อ ฮูหยินจ้าว บุตรชายทั้งสอง หลบหนีลงช่องลับที่นางให้คนขุดไว้ตัวนางยังคงปักหลักอยู่เคียงข้างองครักษ์และทหารของจ้าวตงหยาง แม้ทุกคนจะอยากให้นางหลบหนีไปด้วยนางก็มิยอมไป คนของอันอ๋องห้าร้อยนายได้ล้อมภูเขาไว้ พอขึ้นมาก็พบกับกลไกด้านแร
จ้าวตงหยางบุกสังหารคนที่ขวางทางตนจนเข้ามาถึงกระโจมของอันอ๋อง"มาเร็วกว่าที่เปิ่นหวางคิดไว้เสียอีก ท่านแม่ทัพจ้าว" อันอ๋องยกสุราในมือขึ้นชูให้จ้าวตงหยาง"พระองค์ไปรับโทษกับกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ" แม้จะอยากฟันคอคนตรงหน้าให้ขาดเสียตอนนี้ แต่เพราะเขามิอาจจะกระทำได้จึงได้แต่นำตัวไปรับโทษกับฮ่องเต้เท่านั้น"ฮ่า ฮ่า เปิ่นหวางนึกว่าเจ้าจะบั่นคอเสียอีก ของกำนัลที่เปิ่นหวางมอบให้ถูกใจหรือไม่"จ้าวตงหยางกำดาบในมือแน่น เขาข่มอารมณ์ลง ไม่ยอมให้ตนคล้อยตามคำยั่วยุของอีกฝ่าย มิเช่นนั้นโทษทำร้ายราชวงศ์จะตกเป็นของตนแทน แม้แต่เป็นกบฏหากไม่มีคำสั่งให้สังหารเสีย ตนก็มิอาจกระทำได้"หึหึ พระองค์พูดอันใดพ่ะย่ะค่ะ ฮูหยินของกระหม่อมปลอดภัยดี" แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่ใจเขามิได้สงบเช่นที่แสดงออกมาอันอ๋องมองคนตรงหน้าอยากไม่อยากเชื่อ ในเมื่อปิ่นที่เห็นเป็นของภรรยาที่จ้าวตงหยางซ่อนไว้ ย่อมได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อยเป็นแน่"ฮ่า ฮ่า เปิ่นหวางดูเบาเจ้าเกินไปจริงๆ" อันอ๋องก้มมองจอกเหล้าในมือ สงครามด้านนอกยังไม่จบสิ้น แต่บทสรุปของผลก็มาถึงเสียแล้ว"หากเปิ่นหวางได้เจ้ามาเป็นคนของเปิ่นหวางจะดีสักเพียงใด" คนเก่งเช่นจ้าวตงหยา
คนของจ้าวตงหยางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียดให้เขาฟัง เมื่อฟังจบเขาก็แทบจะวิ่งขึ้นเขาไปดูอาการของจินเยว่ เพราะหลังจากที่เกิดเรื่องนางยังมิได้รับการยินยอมจากเกาซื่อและฮูหยินจ้าวให้ลุกจากเตียงเลย"เยว่เออร์" จ้าวตงหยางพุ่งตัวเข้าไปในห้องของจินเยว่ก็เห็นตัวนางมีผ้าพันแผลอยู่หลายแห่ง เสียงที่เอ่ยเรียกนางถึงกับสั่นเทาไปด้วยความสงสาร "ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว ได้รับบาดเจ็บหรือไม่เจ้าคะ" จินเยว่หันมายิ้มให้จ้าวตงหยาง แผลนางมิได้เป็นดั่งเช่นที่เห็น เพียงมารดาทั้งสองกังวลจนเกินไปจึงเป็นอย่างที่เห็น (นางแทบจะโดนพันเป็นมัมมี่แล้ว)"เจ้าเจ็บถึงเพียงนี้ ยังมีใจเป็นห่วงข้าอีก" จ้าวตงหยางไม่กล้าออกแรงจับตัวนาง เขาเพียงแตะที่แขนนางทั้งสองข้างอย่างเก้ๆกังๆ"ฮ่า ฮ่า" จินเยว่กลั้นหัวเราะไม่ไหวจนหัวเราะออกมาเสียงดัง เพราะท่าทางที่มิกล้าโดนตัวนางของเขานั้นช่างน่าขันยิ่งนัก อยากจะจับ อยากจะกอดแต่ก็ไม่รู้จะเอามือไว้ตรงไหนจินเยว่จึงแกะผ้าพันแผลที่แขนของนางออกให้เขาดู"ท่านดู ข้ามิได้เป็นอันใดมาก แผลก็สมานดีแล้ว ที่ยังต้องพันผ้าไว้เช่นนี้เพราะท่านแม่ของข้ากับของท่านต่างมิยินยอม พวกนางจับข้าพันเช่นนี้ทุกว
ทางด้านเสวี่ยป๋อเหวินที่รอข่าวของเมืองเจียงชางอย่างร้อนใจก็ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อตัดสินโทษของอันอ๋องด้วยฮ่องเต้ มิอาจตัดใจประหารน้องชายร่วมอุทธรณ์ได้ เขาเพียงส่งอันอ๋องไปเฝ้าสุสานหลวงโดยมีทหารห้าร้อยนายควบคุมตัวอยู่กว่าจะจบเรื่องของอันอ๋อง เสวี่ยป๋อเหวินก็รีบจัดเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปเมืองเจียงชาง เมื่อเสวี่ยป๋อเหวินถึงเมืองเจียงชางก็ถอนหายใจ ยังดีที่จ้าวตงหยางยังรู้ความมินำพาตัวบุตรสาวกับหลานชายทั้งสองของเขาไปโยวเป่ยโดยมิได้บอกจ้าวตงหยางกับฮูหยินจ้าวเดินทางกลับโยวเป่ยก่อนที่ เสวี่ยป๋อเหวินจะมาถึงได้ห้าวันแล้ว เพราะจินเยว่ยืนกรานที่จะรอบิดาที่เมืองเจียงชางเสียก่อน เขาจึงจำต้องกลับไปเตรียมงานมงคลและจัดเตรียมเรือนพักให้นาง ก่อนจะออกเดินทางจ้าวตงหยางก็อาลัยอาวรณ์จินเยว่เกินกว่าจะเร่งรีบเดินทาง "เยว่เออร์ ไปพร้อมข้ามิดีกว่าหรือ" จ้าวตงหยางยังคงหว่านล้อมจินเยว่มิหยุด"ท่านพี่ออกเดินทางได้แล้ว เมื่อท่านพ่อมาถึงเจียงชางข้าก็เดินทางตามท่านไปโยวเป่ยแล้วเจ้าค่ะ" นางกับเขาคุยกับแล้วว่าหากบิดาของนางถึงเจียงชางเมื่อใด นางจะรีบเดินทางตามเขาไปทันที เหตุที่จ้าวตงหยางรั้งรอไม่ได้แล้วเพราะเขาม
เมื่อจบราชโองการ เจียงเฉิงกุ้ยก็ล้มสลบไปกับพื้นทันที ขุนนางในเมืองต่างถอยหลังหนีมิอยากเข้าใกล้เพราะกลัวว่าตนจะโดนโทษไปด้วย เมื่อปลดเจ้าเมืองแล้วก็แต่งตั้งเจ้าเมืองขึ้นมาใหม่โดยเร็วเสวี่ยป๋อเหวินที่จบเรื่องแล้วก็พาคนทั้งหมดไปที่เรือนเก่าที่ตนเคยพักอยู่ โดยมีจ้าวตงหยางติดตามตลอดราวกับเดินทางมาพร้อมกับเขาด้วยนายอำเภอเว่ยที่ได้ข่าวปลดท่านเจ้าเมืองแบบฟ้าผ่า ก็หวังจะใช้ความสัมพันธ์ของตนกับจวนท่านแม่ทัพให้ช่วยขอตำแหน่งนี้กับเสวี่ยป๋อเหวินให้ตน จึงได้เข้าไปพบฮูหยินจ้าวพี่สาวของตน"พี่หญิงท่านให้หยางเออร์ช่วยพูดเรื่องดีดีของข้ากับท่านเสนาบดีเสวี่ยหน่อยได้หรือไม่" "เจ้าช่างลืมไวเสียจริง เรื่องที่อิงเออร์โบยบุตรสาวเสนาบดีเสวี่ยเจ้าก็หลงลืมเสียแล้ว"ฮูหยินจ้าวมองน้องชายของตนอย่างเหนื่อยใจ เสวี่ยป๋อเหรินไม่เอาเรื่องน้องชายกับหลานสาวตนก็นับว่าเมตตามากแล้ว น้องชายที่โง่เขลายังกล้ามาขอตำแหน่งท่านเจ้าเมืองเสียอีก"เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้ามิได้ แม้แต่หยางเออร์ก็คงไม่เห็นด้วย" ฮูหยินจ้าวเอ่ยปฏิเสธ"พี่หญิงท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร หรือท่านสุขสบายเสียเคยชินจนหลงลืมว่าตนก็แซ่เว่ยเช่นกัน" ฮูหยินจ้าวโกรธจนหน้
"หึหึ ญาติผู้น้องเจ้าจ้างคนลักพาตัวบุตรชายของข้า เจ้าคิดว่ามิผิดหรือ" สายตาของเขาทำให้เว่ยซืออิงสั่นสะท้าน นางถอยหลังอย่างหวาดกลัว"ท่าน ท่านจะทำอันใดข้า" เสียงของนางสั่นจนแทบจะเปร่งออกมาไม่ได้"ข้าจะทำอันใดเจ้างั้นรึ เจ้าขวัญกล้าเสียครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าเตือนเจ้าไปแล้วแต่เจ้ากลับไม่สนใจ รอให้งานของข้าผ่านไป โทษของเจ้าข้าจะตัดสินเอง" เว่ยซืออิงล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง นางจะทนอยู่ในคุกได้อย่างไรจ้าวตงหยางสั่งให้คนของเขาทรมานคนร้ายทั้งสิบห้าคนวนกันไปทุกวัน จนเว่ยซืออิงที่ต้องทนฟังเสียงทรมานแทบจะเสียสติ นางปิดหูก็แล้วยังไม่อาจปิดบังเสียงร้องโหยหวนของนักโทษคนอื่นได้เลยหากนางย้อนกลับไปได้นางจะไม่ทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้แน่ บิดานางรู้ข่าวก็ไม่เคยมาดูนางเลยสักครั้ง ถึงอาหารการกินจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแต่นางจะกินลงได้อย่างไร ในเมื่อเสียงร้องที่น่ากลัวหลอกหลอนนางอยู่ตลอดเช่นนี้จ้าวตงหยางเมื่อเห็นว่าบุตรชายทั้งสองมิได้รับบาดเจ็บที่ใด ก็วางใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จินเยว่ฟัง เมื่อนางฟังจบก็แทบจะอยากไปสังหารเว่ยซืออิงที่ตามจองเวรนางไม่เลิกทิ้งเสีย จนจ้าวตงหยางต้องเอ่ยเล่าเรื่องที่เขาลงโทษนา
เสียงฆ้องดังไปทั่วเมืองโยวเป่ย ขบวนรับเจ้าสาวที่เป็นกองทัพพยัคฆ์ดำสวมชุดแดงกันหลายร้อยนาย สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ชาวบ้านจนต้องออกมาดูกันมากมายนานเพียงใดแล้วที่พวกเขามิได้เห็นกองทัพพยัคฆ์ดำของตระกูลจ้าวที่แข็งแกร่ง ยิ่งสวมชุดแดง ใบหน้าดุดัน แบกเกี้ยวแดงหลังใหญ่ ด้านหลังยังมีหีบสินสมรสมากมายจนพาให้คนอิจฉา กองทัพนับร้อยที่ร่วมเดินในขบวนพร้อมเสียงฮึกเหิมราวกับพากันไปออกรบจ้าวตงหยางอยู่ในชุดสีแดงของเจ้าบ่าวนั่งบนหลังม้าศึกคู่ใจสีดำเดินนำหน้าอย่างสง่า พาให้สตรีข้างทางที่มาร่วมชมเขินอายจนอยากจะเป็นเจ้าสาวที่โชคดีเสียเองเมื่อถึงหน้าเรือนตระกูลเสวี่ย ทหารทั้งหมดต่างพากันตะโกนโห่ร้องเรียกให้คนด้านในส่งตัวเจ้าสาวออกมา เสวี่ยป๋อเหวินถึงกับมุมปากกระตุก เจ้าบุตรเขยตัวดีทำเช่นนี้ราวกับโจรป่ามาบุกชิงตัวคนต่อให้เสวี่ยป๋อเหวินส่งคนมากั้นประตูมากเพียงใด หลิวเหล่ยกับจ้าวตงหยางก็ต่อบทกลอนปะทะกับบัณฑิตเหล่านั้นได้ทุกคน เมื่อเห็นจะเกินฤกษ์รับตัวแล้ว ด้านสุดท้ายที่เป็นเสวี่ยป๋อเหวินเองจึงเดินออกมาตรงหน้าจ้าวตงหยางแต่ก่อนที่จะเอ่ยบทกลอนขึ้น จ้าวตงหยางก็คุกเข่าลง พร้อมทั้งเอ่ยวาจาเสียงดัง"ข้าจ้าวตงหยาง
จ้าวตงหยางยังอยากจะเก็บหลิงอวี้ไว้ออกเรือนตอนอายุยี่สิบกว่าด้วยซ้ำ หากยินเยว่ไม่เอ่ยท้วงเสียก่อน"ท่านแม่ทัพ มีราชโองการมาขอรับ" พ่อบ้านจ้าววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตาม ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลและแต่งตั้งจางหมิ่นกับจางหย่งเรียบร้อยแล้ว ยังจะมีราชโองการใดได้อีกทั้งคู่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากเรือนก็พบว่าทุกคนยืนรออยู่หน้าจวนอย่างพร้อมเพรียงแล้ว"ฮ่องแต่มีพระราชโองการ มอบสมรสพระราชทานให้คุณหนูจ้าวหลิงอวี้กับองค์ชายสามฉีเฟยหลาง..." ขันทีประกาศเช่นใดจ้าวตงหยางมิได้ยินอีกแล้ว หูของเขาแทบจะดับไปทันที หากมิใช่มีจินเยว่ประคองไว้เขาคงล้มไปนั่งกองกับพื้นแล้วเมื่อส่งขันทีข้างกายฮ่องเต้กลับไปแล้ว จินเยว่ก็หัวเราะกับท่าทีเหม่อลอยของจ้าวตงหยางขึ้นมา "ท่านมิได้รู้อยู่แล้วหรือ ท่านพี่"จ้าวตงหยางหันไปถลึงตาใส่เมียรักอย่างเห็นได้น้อย รู้อยู่แล้วแต่ทำใจไม่ได้ไงตระกูลจ้าวในเวลานี้บ่าวไพร่แม้แต่นายของจวนต่างก็วุ่นวายจัดเตรียมข้าวของ เสวี่ยป๋อเหวินกับเกาซื่อก็มาอยู่ช่วยดูแลงาน ยังขนเงินทองของมีค่ามาหลายหีบเพื่อเติมสินเดิมให้เจ้าสาว"ท่านพ่อ สินเดิมของอวี้เออร์ไม่เยอ
แม่ทัพแคว้นเหยี่ยนส่งคณะทูตมาเจรจากับจ้าวตงหยางถึงค่ายทหาร โดยการยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของแคว้นเหยี่ยนต้องยอมเสียเมืองที่คิดกับแคว้นฉีถึงสามเมือง และจะส่งเครื่องบรรณาการเพิ่มจากเดิมอีกสองส่วนเมื่อทุกฝ่ายหารือร่วมกันเห็นพร่องว่ายินยอมที่จะรับข้อเสนอเช่นนี้ได้ ก็ตกลงทำสัญญาพร้อมถอนทัพกลับทันที ฉีเฟยหลางยังต้องรั้งรอคนที่ราชสำนักส่งมาจัดการหัวเมืองที่ยึดมาได้ก่อน จ้าวตงหยางที่นำทัพกลับเมืองหลวงจึงให้ จางหมิ่นและจางหย่งอยู่ช่วยดูแลอีกแรง การรบกับแคว้นเหยี่ยนครั้งนี้พวกเขาใช้เวลาเดินทางมากกว่าการรบเสียอีก เสียเวลาเดินทางมาสามเดือน เตรียมการรบจนชนะเพียงสองเดือนเท่านั้นตอนนี้จ้าวตงหยางแทบอยากจะมีปีกรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็วเพราะกำหนดคลอดของจินเยว่ใกล้เข้ามาแล้ว หากเข้าเร่งรีบนำทัพกลับคงใช้เวลาอย่างน้อยก็สองเดือนเป็นช่วงคลอดของจินเยว่พอดีฉีเฟยหลางยังคงส่งจดหมายหาหลิงอวี้ทุกครั้งที่เขามีเวลา(ก็เขียนทุกวันก่อนนอน) แม้นางจะเขียนตอบมาน้อยครั้งนัก แต่ทุกครั้งก็จะบอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้บาดเจ็บ เสื้อคลุมที่สวมอยู่ก็เป็นนางที่ส่งมาให้เมื่อคิดจะฝากจดหมายไปและของที่ซื้อไว้ให้นางไปกับว่าท
กองทัพแคว้นฉีถึงโยวเป่ยสามเดือนให้หลัง ตอนนี้ทั้งหมดอยู่ห่างจากเมืองเป่ยซานเพียงสองร้อยลี้ จ้าวตงหยางจึงจำต้องอพยพชาวเมืองโยวเป่ยและเมืองใกล้เคียงให้ห่างออกไปจากแนวการรบอย่างน้อยห้าร้อยลี้ จินเยว่ยังมีส่วนช่วยเรื่องเสบียงของชาวบ้านที่อพยพมา เพราะคนของนางที่โยวเป่ยจำต้องอพยพไปพร้อมกับชาวบ้าน เสบียงที่พวกเขาขนไปด้วยจึงนับว่าช่วยชีวิตคนได้มาก ชาวบ้านจึงมิต้องอดอยากหรือป่วยไข้ตายลงค่ายผู้อพยพก็เป็นจางหย่งที่ได้รับมอบหมายจากบิดาให้เร่งสร้างและจัดหาสิ่งของที่ขาดแคลนให้ชาวบ้านได้ใช้ไปก่อน ถึงคลังหลวงจะมีเงินมากก็มิอาจจะยกทั้งหมดมาใช้กับสงครามได้ เป็นเพราะจินเยว่ที่ได้สามีเป็นแม่ทัพนางจึงนำที่ดิน ที่ฮ่องเต้พระราชทานเป็นรางวัลทั้งหมดมิยอมปล่อยเช่าเช่นขุนนางคนอื่น แต่นางจ้างให้ชาวบ้านปลูกข้าว มันสำปะหลัง พืชผักที่เก็บไว้ได้นาน เลี้ยงดูทหารของตระกูลจ้าว ขึงทำให้มีเสบียงมากพอที่ใช้ในการสู้รบครั้งนี้แม้แต่อาหารพื้นบ้านธรรมดาอย่างเช่นรากบัวก็นำมาปรุงอาหารได้ ถั่วเขียวแช่น้ำ แล้ววางลงในไหหรือตะกร้า เอาผ้าคลุมที่ละชั้นเก็บไว้ในที่มืดคอยรดน้ำสามวันก็เป็นผัก นำมาผัดน้ำมันก็ทานได้แล้ว สิ่งที่นางรู้น
"อวี้เออร์ โกรธข้าหรือ" เขาจ้องหน้าของนางก่อนจะอดใจไม่ไหวก้มลงจุมพิตนางทันที "ท่าน อื้ออออ" หลิงอวี้ที่อ้าปากจะร้องห้ามก็เป็นการเปิดทางให้ฉีเฟยหลางแทรกเรียวลิ้นของเขาเข้ามาได้ กว่าเขาจะยอมถอนริมฝีปากออกจากปากนางก็เมื่อคนขับรถม้าเอ่ยว่าถึงจวนท่านแม่ทัพแล้วฉีเฟยหลางลูบริมฝีปากของหลิงอวี้อย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะช่วยนางจัดเสื้อผ้าแล้วพานางไปส่งด้านในจวน เมื่อส่งหลิงอวี้ถึงมือมารดาของนางแล้วเขาก็กลับเข้าวังหลวงพร้อมจางหย่งอีกครั้งจินเยว่ที่เห็นดวงตาของบุตรสาวปูดบวมและมีองค์ชายสามมาส่งก็ตกใจ เมื่อสอบถามจนได้ความนางก็แทบจะเป็นลมหมดสติ มิคิดว่าให้บุตรสาวไปร่วมงานเลี้ยงจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นถึงเพียงนี้"ไม่เป็นไรลูกรัก ทุกปัญหามีท่านตากับท่านพ่อของเจ้าคอยค้ำไว้ให้" จินเยว่กอดปลอบบุตรสาวที่สะอื้นจนตัวโยนในอ้อมกอดของนาง ลี่หลินก็หลั่งน้ำตาสงสารน้องน้อยของตนเช่นกันที่เขาเรียกว่าความงามทำให้เกิดหายนะก็เพิ่งพบเห็นจากเรื่องของจ้าวหลิงอวี้นี่เอง เรื่องภายในวังถูกร่ำลือออกไปภายนอก ย่อมมีคนเห็นด้วยและเห็นต่าง แต่ส่วนมากจะโกรธแค้นแคว้นเหยี่ยนที่หาเหตุผลมาทำสงครามมิได้ต้องดึงแม่นางน้อยคนหนึ่งมาทำร้าย
ขุนนางทั้งหลายที่ล่วงรู้ก็นึกถึงเรื่องของหนเก่าครั้งของแม่ทัพจ้าว แคว้นเหยี่ยนมิเคยจดจำเสียเลยจ้าวตงหยางเพียงยกสุราขึ้นร่วมชมความสนุกเท่านั้น เพราะครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับตน (เกี่ยวเต็มๆ พ่อรอดู)จางหมิ่นกับจางหย่งก็เหลือบมองหน้าน้องสาวของตนก่อนจะถอนหายใจ เพราะน้องสาวของตนก็สนใจเพียงดื่มกินอาหารตรงหน้าเท่านั้น คงมีเพียงมือที่สั่นอย่างระงับไว้ไม่อยู่"องค์หญิงแคว้นเหยี่ยนเสียมารยาทแล้ว ท่านมีสิทธิ์อันใดมาสอบถามชื่อของนาง" องค์ชายสามกล่าวตำหนิอย่างไม่ไหวหน้า"เช่นนั้นเปิ่นหวางองค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนก็สามารถขอพระราชทานสมรสครั้งนี้แทนได้ใช่หรือไม่" องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนลุกขึ้นพูด"องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยน เจ้าหมายตาบุตรสาวขุนนางของเจิ้นคนใดหรือ หากบิดามารดาของนางยินยอมเจิ้นก็มิขัดข้อง" ฮ่องเต้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียด"จ้าวหลิงอวี้ บุตรสาวแม่ทัพใหญ่จ้าว เปิ่นหวางอยากจะแต่งนางเป็นพระชายา มิรู้ว่าท่านแม่ทัพจะยินยอมหรือไม่" ขุนนางทั้งหลายต่างสูดหายใจเข้าอย่างลืมตัว จ้าวตงหยางที่ยกจอกสุราจรดริมฝีปากเพื่อดื่มก็เผลอบีบแก้วจนแตกคามือ องค์ชายสามก็เช่นกัน สองบุรุษต่างวัยต่างมีสีหน้าดำคล
หลิงอวี้เห็นเช่นนั้นก็สั่งให้คนของนางขับรถกลับจวน ชายชุดดำที่เพิ่งลงไปตอนนี้แอบมองรถม้าของนางอยู่ด้านนอก"องค์ชายจับตัวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฉีเฟยหลางหันไปมององครักษ์ที่เข้ามารายงานก็พยักหน้าแล้วขึ้นม้าควบตามไปเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นรถม้าของหลิงอวี้ เพียงอยากเห็นหน้านางเท่านั้นไม่คิดว่าจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด สามเดือนมานี้เขาฝึกฝนตนเองอย่างหนัก ทั้งรับงานจากเสด็จพ่อมาทำหวังจะทำให้ลืมนางได้ แต่ไม่เลยเขายังคิดถึงเพียงแต่นางวันนี้ฉีเฟยหลางพบสายลับต่างแคว้นที่ลักลอบปะปนเข้ามากับคณะทูตจึงออกมาจับกุมตัว จนได้พบกับรถม้าของตระกูลจ้าว เมื่อเห็นว่าเพิ่งออกมาจากตรอกจวนตระกูลเสวี่ยเขาจึงแน่ใจว่าเป็นนาง จึงรีบจัดการให้คนของตนจับคนร้ายแล้วเขาก็ขึ้นมาในรถม้าของนางแต่ฉีเฟยหลางคิดไม่ถึงว่าหลิงอวี้จะถือมีดสั้นเตรียมต่อสู้กับตนอยู่ แล้วกลัวจะทำให้นางบาดเจ็บจึงได้แย่งมีดไว้ แต่สุดท้ายนางก็ได้รับบาดเจ็บจากเขาอยู่ดีหลิงอวี้กลับถึงจวนก็รีบเข้าเรือนตัวเองทันที แล้วให้สาวใช้หายามาทาให้นาง เรื่องที่เกิดขึ้นก็ให้เก็บเงียบไว้อย่าเพิ่งบอกท่านพ่อท่านแม่แต่หลิงอวี้ยังมิได้ออกไปให้จ้าวตงหยางกับจินเยว่ไ
ฉีเฟยหลางนั่งรอคำตอบของหมอหลวงแทบไม่ติด เขาอยากจะไปดูอาการของนางให้เห็นกับตาแต่ก็ติดที่จางหมิ่นนั่งเฝ้าเป็นพระพุทธรูปอยู่ "องค์ชายสาม คุณหนูจ้าวมีไข้สูง ตัวร้อนดั่งไฟ แต่..." หมอหลวงยังพูดไม่จบ ฉีเฟยหลางก็ลุกขึ้นพุ่งตัวออกไปที่เรือนของหลิงอวี้แล้วจางหมิ่นก็รั้งตัวเขาไว้ไม่ทัน จางหย่งที่เพิ่งเดินสวนออกมาก็ต้องรีบตามกลับไปที่เรือนของน้องสาวตนทันที"อวี้เออร์ เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง" เสียงขององค์ชายสามมาก่อนที่ตัวจะมาถึง หลิงอวี้ที่กำลังหยิบขนมขึ้นมากินก็แทบจะกลืนทันทีฉีเฟยหลางมองดูสภาพคนตรงหน้าที่บอกว่าป่วยหนักแต่ลุกขึ้นมานั่งกินขนมอยู่ก็ใจกระตุก"อวี้เออร์ เจ้าทำเช่นนี้เพราะไม่อยากแต่งกับเปิ่นหวางใช่หรือไม่" เขารู้ว่านางแกล้งป่วยเพราะหลิงอวี้เช็ดปากแล้วแป้งที่มารดานางทาไว้หลุดออก จากปากที่ขาวซีดก็เผยให้เห็นปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อขึ้นแววตาที่เจ็บปวดของเขาจ้องมองมาที่ใบหน้างามของนาง นางรู้ดีว่าเขาคิดเช่นใด ก่อนหน้างานเลี้ยงฉีเฟยหลางก็บอกประสงค์ของตนที่จะเลือกนางเป็นพระชายาไว้แล้ว พอนางทำเช่นนี้จะไม่ให้เขาปวดใจได้อย่างไร"องค์ชายสาม หม่อมฉันขอพูดตามตรง หม่อมฉันมิอาจแต่งเข้าราชวงศ์ฉีได้ เพรา
"ประเดี๋ยว เปิ่นหวางกำลังจะกลับเช่นกัน เช่นนั้นไปพร้อมพวกเจ้าแล้วกัน" องค์ชายสามไม่ได้รอให้จางหย่งรับปากก็เดินนำหน้าไปที่ม้าของตนแล้ว"คุณหนูจ้าว เปิ่นหวางยังมิเคยขอโทษเจ้าเลยสักครั้ง" องค์ชายสามหาเรื่องคุยกับหลิงอวี้"หามิได้เพคะ หลิงอวี้จะกล้ารับคำขอโทษจากองค์ชายได้อย่างไร" นางก้มศีรษะลงแล้วก้าวเท้าขึ้นรถม้าไปองค์ชายสามมองหลิงอวี้ขึ้นรถม้าเสร็จก็กระโดดขึ้นหลังม้าขี่ประกบรถม้าคนละข้างกับจางหย่ง เสียงพูดคุยหัวเราะของดรุณีทั้งสองในรถม้า พาให้คนด้านนอกฟังจนเคลิบเคลิ้ม มารู้ตัวอีกทีก็ถึงจวนแม่ทัพเสียแล้ว"เปิ่นหวางขอตัวก่อน" องค์ชายสามกล่าวกับทั้งสามคนก่อนจะควบม้าไปทางวังหลวงนับตั้งแต่ครั้งนั้นเมื่อหลิงอวี้ไปค่ายทหารทุกครั้งจะบังเอิญพบองค์ชายสามไปเสียทุกครั้ง จ้าวตงหยางก็สังเกตเห็นเช่นกัน แต่องค์ชายสามมิได้แสดงท่าทีเกินเลยกับบุตรสาวจึงมิอาจว่ากล่าวสิ่งใดได้แต่จะให้หลิงอวี้เรียนกับอาจารย์อยู่แต่ภายในจวนเท่านั้นเขาก็สงสารนางเพราะงานเลี้ยงน้ำชาก็แทบจะไม่ได้ไป จะกักขังมากไปก็ดูจะไม่ดี จึงมิได้พูดสิ่งใดที่ไม่ได้พูดเพราะพูดไปแล้วจินเยว่ก็อดที่จะตำหนิเขาไม่ได้ บุตรสาววัยเพียงสิบเอ็ดหนาวก็แท
องค์ชายสามมิคิดว่าเพียงกลั่นแกล้งหลิงอวี้เล็กน้อยเท่านั้นตนกับสหายถึงพบกับเรื่องเช่นนี้ในเมื่อฮ่องเต้ยังส่งองค์ชายสามไปให้จ้าวตงหยางสั่งสอนด้วยตนเอง พวกเขาจะมิยินยอมส่งตัวบุตรหลานไปได้หรือ เหตุการณ์วุ่นวายจึงจบลงเพียงเท่านั้นพอถึงจวนของตนต่างก็จัดเตรียมของกำนัลมากมายส่งไปจวนแม่ทัพเพื่อให้จ้าวตงหยางคลายโทสะ หวังให้สั่งสอนบุตรหลานของตนเบาลงจางหมิ่นกับจางหย่งจากที่วางแผนจะจัดการองค์ชายสามกับสหายก็เปลี่ยนความคิด พรุ่งนี้พวกเขาจะติดตามบิดาไปค่ายนอกเมืองเพื่อร่วมชมความครึกครื้นด้วย"ท่านพ่อ ท่านทำเกินไปหรือไม่เจ้าคะ" หลิงอวี้เมื่อขึ้นนั่งรถม้ากับบิดามารดาก็เอ่ยปากขึ้นครั้งแรก"อวี้เออร์ เจ้าเป็นเสมือนไข่มุกในฝ่ามือพ่อ เรื่องของเจ้าพ่อย่อมจัดการอย่างเหมาะสม เจ้าอย่าได้คิดมากหรือใจอ่อนกับคนพวกนั้นเด็ดขาด มิฉะนั้นเมื่อมีครั้งแรกย่อมมีครั้งต่อไปที่พวกเขาจะรังแกเจ้า" จ้าวตงหยางลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่เขาถนอมนางมาอย่างดีถึงสิบปี คนพวกนั้นจะรังแกก็รังแกง่ายๆเช่นนี้ หากเขาปล่อยผ่านไปก็นับว่าผิดต่อเวลาสิบปีที่ถนอมนางแล้วจินเยว่ดึงบุตรสาวเข้ามากอด ที่นางมิเอ่ยห้ามสามีเพราะนางรู้ดีว่าหากถูกรังแก