"เยว่เออร์ลูกรักตื่นเถิด" เสียงสะอื้นของบุรุษวัยกลางคน
"เยว่เออร์ สวรรค์ไยถึงได้โหดร้ายเช่นนี้ ตระกูลเสวี่ยของพวกข้าทำผิดอันใด ฮืออออ" เสียงสตรีร้องไห้จนจินเยว่รู้สึกเศร้าไปกับนางด้วย
ก่อนหน้านี้เธอกำลังเข้าจับกุมพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของประเทศอยู่ เธอที่รอกองกำลังที่กำลังเดินทางมาช่วยเหลือ เพียงแต่ลูกน้องของเธอที่เห็นโอกาสตรงหน้าแล้วไม่อยากจะรออีก จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหน่วยงานของตนจะมีหนอนบ่อนไส้
ภารกิจครั้งนี้คือการวางแผนตลบหลังหน่วยงานสืบของพวกเธอ จินเยว่ที่เข้าช่วยเหลือลูกน้องให้ฝ่าวงล้อมเพื่อหนีออกไป แต่จำนวนคนที่ต่างกันทำให้เธอพลาดโดนกระสุนปืนหลายนัด ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะดับลง กองกำลังเสริมก็เข้ามาควบคุมพื้นที่ได้พอดี
อย่างน้อยการตายของเธอก็ไม่เสียเปล่า เพราะทางฝั่งพ่อค้ายาก็ยอมสู้จนตัวตายเช่นกัน เสียงโวยวาย เสียงร้องเรียกเธอดังขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงของบุรุษและสตรีที่เอาแต่กอดเธอร้องไห้อยู่
คำเรียกที่แปลกไป หากจะบอกว่าเป็นคุณพ่อคุณแม่ของเธอก็คงไม่ใช่ เพราะพวกท่านเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อสามปีที่แล้ว ตอนนี้เธอจึงอาศัยอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีพี่น้องหรือญาติที่ใดอีก
เธออยากจะลืมตาเพื่อมองคนตรงหน้า เพราะเธอมั่นใจว่าน้ำเสียงของคนทั้งคู่คือคุณพ่อคุณแม่ของเธออย่างแน่นอน แต่เปลือกตาที่หนักเกินกว่าจะลืมได้ อย่าว่าแต่จะลืมตาเลยแม้แต่แขนขาของเธอก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับเช่นกัน
ลมหายใจที่อ่อนจนแทบหมดไปแล้วของสตรีตรงหน้า แต่ตอนนี้กับหายใจอย่างสม่ำเสมอขึ้นอีกครั้ง สองสามีภรรยาคุกเข่าคำนับขอบคุณฟ้าดิน หากบุตรสาวของตนไม่หายใจแล้ว พวกเขาคงไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ การเดินทางไกลที่ยากลำบากครั้งนี้ทำให้บุตรสาวของตนที่เป็นเพียงสตรีในห้องหอล้มป่วยลง พวกเขาได้แต่ทนมองดูโดยมิอาจช่วยเหลือสิ่งใดได้
การโดนเนรเทศครั้งนี้ของตระกูลเสวี่ย เป็นเพราะถูกใส่ร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเสวี่ยป๋อเหวิน เสนาบดีกรมคลังเป็นคนขององค์รัชทายาท อีกอย่างเสวี่ยจินเยว่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทต้องเป็นของนาง เมื่อองค์รัชทายาทถูกกักบริเวณเพราะเรื่องเงินที่ส่งไปสร้างเขื่อนที่เมืองเจียงไห่โดนยักยอก เรื่องนี้จึงเกี่ยวพันโดยตรงกับเสนาบดีเสวี่ย
ยังมิทันได้หาหลักฐานเพื่อมายืนยันความบริสุทธิ์พระราชโองการปลดเสนาบดีเสวี่ยและให้เนรเทศไปยังชายแดนเหนือก็ถูกนำมาประกาศถึงหน้าจวน เหมือนฟ้าผ่านายบ่าวที่ต่างยังไม่การเตรียมตัวเตรียมใจก็ถูกทางการจับใส่กรงขังนำตัวออกเดินทางทันที
บ่าวในเรือนถูกนำไปขายเป็นทาสหลวงต่อ มีเพียงนายสามคนของตระกูลเสวี่ยที่ต้องออกเดินทางโดยมีทหารควบคุมตัว แต่อย่างน้อยก็ยังมีขุนนางที่สนิทกันคอยช่วยเหลือเรื่องเงินทองและยังให้ทหารดูแลอย่างดีจนถึงชายแดน ถึงอย่างไรความผิดก็ยังมิได้ตัดสินออกมา ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนที่ทำให้ฮ่องเต้ออกพระราชโองการที่สร้างความสั่นสะเทือนนี้ออกมาได้
ทหารที่นำตัวไปส่งก็มิกล้าละเลยหากวันใดที่องค์รัชทายาทหาหลักฐานแก้ต่างได้ เสวี่ยป๋อเหวินย่อมต้องกลับคืนตำแหน่งเดิม แต่ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเพียงใด สภาพอากาศและการเดินทางที่ยากลำบากจะทำให้ตระกูลเสวี่ยรอดพ้นต่อด้านเคราะห์ครั้งนี้ได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้
คนที่ยุให้ฮ่องเต้ปลดเสวี่ยป๋อเหวินและสั่งเนรเทศทันทีก็คงมีความคิดเช่นนี้อยู่เหมือนกัน แต่เพียงคงไม่กล้าที่จะปลิดชีพทั้งสามระหว่างทาง ขบวนเดินทางจึงใกล้เข้าเขตชายแดนเหนือแล้ว หากไม่เป็นเพราะบุตรสาวล้มป่วยลงอย่างหนักอยู่กลางป่า พวกเขาคงได้ก้าวเท้าเข้าเขตชายแดนเหนือแล้ว
เสวี่ยจินเยว่ล้มป่วยได้สามวันแล้ว ขบวนเดินทางจึงไม่อาจเร่งการเดินทางได้ หากวันนี้นางยังคงไม่ฟื้นพวกทหารคงได้หมดความอดทนเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะสวรรค์ที่ยังคงเหลือทางรอดให้ตระกูลเสวี่ยอยู่บ้าง เสวี่ยจินเยว่ตื่นขึ้นมาในตอนเย็นของวันนั้น แม้บุตรสาวจะมีอาการมึนงงอยู่บ้าง สองสามีภรรยาก็ยังคงดีใจอย่างยิ่ง
จินเยว่มองไปรอบๆทันทีที่นางตื่นขึ้นมา นางอยู่ในกระโจมเก่าๆ อากาศรอบด้านช่างหนาวเย็นอย่างโหดร้าย สตรีวัยสามสิบห้านั่งอยู่ข้างกายนางพร้อมกับบุรุษที่อายุแก่กว่าเพียงไม่กี่ปี ทั้งคู่เมื่อเห็นนางลืมตาก็พุ่งตัวเข้ามาสอบถามอาการอย่างเป็นห่วง
ภายในกระโจมมีเพียงแสงจากเทียนหนึ่งเล่มที่ถูกจุดไว้เท่านั้น เมื่อหน้าของทั้งคู่ใกล้เข้ามาจนนางเห็นได้อย่างชัดเจน น้ำตาของนางก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เป็นคุณพ่อคุณแม่ของนางจริงๆ เพียงแต่พวกเขาใส่ชุดโบราณ คำพูดที่ใช้ก็เป็นภาษาสำเนียงโบราณทั้งหมด เมื่อพยุงตัวขึ้นนั่งได้ก็สำรวจตนเอง นางก็ใส่ชุดโบราณเช่นกัน
หากประมวลภาพตรงหน้าชุดที่นางใส่คงจะเป็นชุดนักโทษ เพียงแต่ความทรงจำในนางเดิมตอนนี้ช่างเลือนรางนัก ที่รู้มีเพียงนางเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเสวี่ยป๋อเหวิน และเกาซูฮวา ตอนนี้ตระกูลของนางกำลังโดนเนรเทศเพราะคดียักยอกเงินสร้างเขื่อน นางออกมาจากเมืองหลวงไกลเพียงนี้คงไม่ง่ายหากนางจะสืบหาข้อมูล
แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางทำไม่ได้ คงต้องรอให้ถึงชายแดนเหนือเสียก่อนค่อยหาลู่ทางอีกครั้ง พระราชโองการมิได้บอกว่าให้ครอบครัวนางมาใช้แรงงานเพียงส่งมาควบคุมตัวไว้ที่นี่เท่านั้น ถึงตอนนั้นนางคงมีทางรอดแต่อย่างไรได้ เงินที่บิดาได้มาจากสหายก็ไม่มากพอที่จะทำการค้าได้ และนางไม่รู้ว่าการโดนควบคุมตัวนางสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง
การเดินทางที่ยาวนานนับสามเดือนนี้แทบจะสูบวิญญาณของนางและครอบครัวออกไปจนหมด เกาซื่อนำข้าวต้มมาให้บุตรสาวที่ตั้งแต่ตื่นมาก็นั่งเหม่ออยู่บนเตียงเท่านั้น"เยว่เออร์กินข้าวเสียหน่อยลูก เสบียงที่มีมาใกล้หมดแล้วแต่อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางถึงเมืองโยวเป่ยที่พวกเราต้องไปอยู่แล้ว เจ้าก็อดทนอีกหน่อยนะลูก" เกาซื่อส่งชามให้จินเยว่พร้อมทั้งลูบหัวนาง"ท่านแม่ ข้า ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน" จินเยว่เอ่ยด้วยเสียงสะอื้น เป็นเพราะนางคิดถึงคุณแม่ของนางมากจริงๆ แล้วมารดาของร่างนี้ก็เหมือนแม่ของนางราวกับคนเดียวกัน ความโหยหาตลอดสามปีที่ผ่านมามันกลั่นออกมาเป็นคำพูดมิได้ มีเพียงกอดที่นางส่งไปให้เกาซื่อเท่านั้นที่บอกความรู้สึกของนางออกมาทั้งหมดแทน"เจ้าลูกคนนี้ เพียงหลับไปสามวันเท่านั้น จะมาคิดถึงแม่ได้อย่างไร" นางแสร้งดุแต่มือข้างที่ไม่ได้กอดบุตรสาวก็ยกขึ้นปาดน้ำตาทิ้งตลอด สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่านางกลัวสูญเสียบุตรสาวมากเพียงใดเสวี่ยป๋อเหวินที่เข้ามาเห็นสองแม่ลูกกอดกันร้องไห้ก็รีบเดินเข้ามาสอบถามทั้งคู่ว่าเป็นอันใด เมื่อรู้เรื่องก็ดึงทั้งคู่มากอดพร้อมทั้งพร่ำบอกว่าเป็นตนเองที่อ่อนแอจนถูกคนใส่ร้ายจินเยว่ลอบสาบานใ
เมื่อเดินทางถึงเมืองโยวเป่ย คนที่รอรับต่างคิดว่าจะเห็นสภาพที่ย่ำแย่ของทุกคนแต่ผิดคาด ทหารทุกนายล้วนน้ำหนักขึ้นแม้แต่จินเยว่ที่ผายผอมลงในตอนแรกตอนนี้ก็มีน้ำมีนวลขึ้น เสวี่ยป๋อเหวินกับเกาซูฮวาก็ดูแข็งแรงขึ้นกว่าตอนที่ออกจากเมืองหลวงเพราะได้รับสารอาหารที่ครบ ในขบวนไม่มีใครล้มป่วยลงอีกเลย เพราะน้ำดื่มจินเยว่ยังสั่งให้ต้มก่อนที่จะกิน คนที่มารอรับพวกเขาในครั้งนี้มีขุนนางหลายคนทั้งที่สนิทกับบิดาและคนฝ่ายตรงข้าม สายตาที่มองมามีทั้งเห็นใจและสะใจกับความโคร้ายที่ตระกูลเสวี่ยได้รับ คงมีเพียงเสวี่ยป๋อเหวินกับเสวี่ยจินเยว่ที่ไม่สนสายตาเหล่านั้น แต่มารดาของตนอับอายเกินกว่าจะเงยหน้ามามองใครได้นอกจากสายตาที่เห็นใจและสะใจแล้วขุนนางบางคนยังมองจินเยว่อย่างประเมินนางเหมือนนางเป็นสิ่งของที่รอให้คนมาเลือกซื้อกลับไป ตอนที่จินเยว่อยู่เมืองหลวงนางก็ได้ชื่อมาหนึ่งในสาวงามของเมืองหลวง ยิ่งเมืองทางชายแดนไม่ต้องพูดถึงสาวงามเช่นนางจะหลุดออกมาได้นับว่ามีน้อยยิ่งนักใครจะไม่ชื่นชอบสาวงาม หากได้นางมาอุ่นเตียงคงจะทำให้ชีวิตของพวกเขามีสีสันยิ่งนัก แต่ตอนนี้มีทั้งคนใจกล้าและคนที่ยังลังเลอยู่ ด้วยเรื่องของเสวี่ยป๋อเหวิน
นางเริ่มเก็บดอกหอมหมื่นลี้ที่อยู่บนต้นเมื่อเห็นว่าได้เยอะแล้วก็นั่งแยกให้เหลือเพียงดอกที่สมบูรณ์เท่านั้น จากนั้นนำไปล้างอยู่หลายน้ำเพื่อให้มั่นใจว่าสะอาดแน่นอน นางต้มน้ำตาลกับน้ำเปล่าจนละลายเข้ากันดีแล้วใส่ดอกหอมหมื่นลี้ลงไปคนจนเข้ากัน นางนำน้ำผึ้งที่เหลือเมื่อครั้งที่ลู่ซานซื้อมาให้นางหมักหมูป่าใส่ลงไปด้วยเพื่อให้น้ำเชื่อมของนางข้นขึ้น เมื่อเย็นแล้วก็เทใส่ไหเก็บไว้ จะได้น้ำตาลเชื่อมจากดอกหอมหมื่นลี้ นางจะนำไว้ชงน้ำชาให้บิดามารดาดื่ม นางตักน้ำเชื่อมหนึ่งช้อนเล็กมาชงใส่กาน้ำชานำไปให้ทหารที่มาเฝ้าที่เรือนของนางได้ลองดื่ม นางต้องซื้อใจคนพวกนี้ไว้ด้วยหากจะออกไปข้างนอกก็ต้องหวังพึ่งพาพวกเขาความหอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้เมื่อพวกเขาได้ลิ้มลองเพียงจอกเดียวย่อมไม่พอแต่น้ำชาที่แม่นางเสวี่ยนำมามีเพียงแค่กาเดียว พวกเขาจำต้องแบ่งกันดื่มทหารที่ไปหาแม่ทัพจ้าววิ่งมาถึงค่ายยังไม่ทันหายเหนื่อยก็รีบเข้าไปรายงานก่อนแล้ว เขาอยากรีบนำของกลับไปส่งให้แม่นางเสวี่ย หากได้เห็นรอยยิ้มของสาวงามเหนื่อยตายก็คงไม่เป็นอันใด"ท่านแม่ทัพขอรับ นี่คือของที่ยึดมาจากแม่นางเสวี่ยขอรับ""อย่าบอกว่าของแค่นี้เจ้าก็ยังยึดมาจาก
บิดาถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องระหว่างสองตระกูลที่เกิดขึ้นมาเกือบสิบปีแล้วให้ฟัง บิดาของจ้าวตงหยางเป็นอดีตท่านแม่ทัพใหญ่ที่ดูแลชายแดนเหนือ สิบปีที่แล้วเกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้น เสวี่ยป๋อเหวินตอนนั้นเพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังก็ถูกราชโองการให้จัดงบประมาณลงมาช่วยเหลือเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพเรื่องเหมือนจะไม่มีอันใด แต่เสนาบดีคนเก่ายักยอกเงินในคลังไปเสียเกือบครึ่งถึงจะยึดทรัพย์ของเขามาเติมแล้วแต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับเงินที่จะจัดซื้อเสบียง ทำให้เสบียงที่ถูกส่งไปเลี้ยงกองทัพไม่เพียงพอ อดีตท่านแม่ทัพใหญ่จ้าวจึงต้องเร่งเข้าโจมตีแคว้นเซี่ยก่อนที่เสบียงจะหมด ถึงแคว้นฉีจะได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนั้นแต่ก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตของอดีตท่านแม่ทัพใหญ่จ้าวถึงแม้จะไม่ใช่ความผิดของเสวี่ยป๋อเหวิน แต่มิใช่สำหรับจ้าวตงหยาง เขาคิดว่าเสวี่ยตงหยางจงใจตัดงบเสบียงกองทัพจึงเป็นเหตุให้บิดาเขาต้องเสียชีวิตลง หลังจากนั้นตัวเขาก็เข้าสู่สนามรบในวัยเพียงสิบสี่ปี ความโกรธแค้นในครั้งนั้นเขานำไปลงกับทหารของแคว้นเซี่ยจนสามารถนำชัยชนะกลับมาได้ ไม่ใช่คนตระกูลจ้าวทุกคนที่คิดเช่นจ้าวตงหยาง แม้แต่มารดาของเขาจะบอกความจ
เสี่ยวหงให้จินเยว่ยืนรอจ้าวตงหยางที่หน้าเรือนของเขา เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน อากาศที่หนาวเหน็บของทางเหนือ เสื้อผ้าของบ่าวที่นางสวมอยู่ในตอนนี้มิช่วยให้เกิดความอบอุ่นขึ้นเลย เหมือนจงใจกลั่นแกล้งนางตั้งแต่แรกที่เดินเข้ามาในจวนแล้วจินเยว่ยืนรอให้จ้าวตงหยางเรียกเกือบหนึ่งชั่วยาม เขาถึงให้นางเข้าไปพบ จินเยว่เดินตัวแข็งทื่อเข้าไปเพราะนางหนาวจนขาแข็งไปหมดแล้ว "บังอาจ เหตุใดถึงไม่คารวะท่านแม่ทัพ" ก็กำลังจะทำอยู่นี่ไง นางลอบกลอกตาอย่างไม่พอใจ"จินเยว่ คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ" นางก้มหน้าลงเพราะไม่อยากทนมองสายตาเหยียดหยามที่เขาใช้มองนาง"หึ วันนี้เจ้าติดตามคอยรับใช้ญาติผู้น้องของข้า" เขาแค่นเสียงใส่นาง ก่อนที่จะเอ่ยบอกหน้าที่ของนางนางเงยหน้าขึ้นมองเขาอยากไม่อยากเชื่อว่า เขาจะให้นางคอยรับใช้ญาติผู้น้องของเขา แม้แต่บ่าวในเรือนก็สะดุ้งตกใจ นางได้แต่สงสัยว่าญาติผู้น้องของเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ หากเป็นคนดีเรื่องนี้คงไม่ต้องถึงนาง"มีอันใด หรือเจ้ามิยินยอม" "ข้าเพียงแค่สงสัย ท่านให้ข้ามาช่วยงาน เหตุใดถึงต้องคอยรีบใช้ญาติผู้น้องของท่านด้วย""หึ แค่บุตรสาวขุนนางต้องโทษเจ้ามีสิทธิ์เลือกหรือ"
จินเยว่ที่เจ็บข้อมืออยู่ก็คุกเข่าลงทันที พร้อมกับร้องในใจ ฉิบหายแล้ว นางเจ็บข้ามือจนเหงื่อไหลซึมออกมา ตนในงานคิดว่านางหวาดกลัวเรื่องที่นางทำ คงมีเพียงจ้าวตงหยางที่รู้เรื่องดี เขายกสุราขึ้นดื่มอย่างนึกสนุกหลิวเหล่ยถลึงตามองจ้าวตงหยาง เขาเดินลุกไปที่จินเยว่นั่งคุกเข่าอยู่"แม่นางเสวี่ย เจ้าเป็นอันใดหรือไม่" จินเยว่เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับกัดฟันแน่น นางส่ายหน้าให้เขาว่านางมิได้เป็นอันใด แต่ก่อนที่หลิวเหล่ยจะขอดูข้อมือนาง ฝ่ามือของเว่ยซืออิงก็ตบลงบนใบหน้านางเสียก่อน หลิวเหล่ยมิทันได้เข้าช่วยใบหน้าของจินเยว่ก็บวมแดงขึ้นรอยมือเสียแล้ว เว่ยซืออิงเหมือนยังไม่พอใจ นางหยิบกาน้ำชาสาดใส่จินเยว่จนเสื้อผ้าของนางเปียกไปหมด หลิวเหล่ยรีบเข้ามาขวางมิให้เว่ยซืออิงลงมือได้อีก ก่อนที่สาวใช้ของเว่ยซืออิงจะดึงนางออกไปจากงานเลี้ยงจ้าวตงหยางตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่คิดว่าเว่ยซืออิงจะกล้าลงมือต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ หลิวเหล่ยถอดเสื้อคลุมให้จินเยว่แล้วพานางออกจากงานเลี้ยงไป"ขอบคุณเจ้าค่ะ" จินเยว่ก้มหน้าขอบคุณหลิวเหล่ย"แม่นางเสวี่ยมิต้องขอบคุณข้า ข้าแซ่หลิว นามเหล่ย" นางยิ้มขอบคุณให้เขา เสี่ยวหงที
จ้าวตงหยางตื่นขึ้นก่อนที่ฟ้าจะสว่างเขาค่อยๆดึงมือที่จินเยว่หนุนออก จินเยว่ที่ความอบอุ่นหายไปนางก็ซุกตัวเข้าไปที่อกของจ้าวตงหยางชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวที่ซุกเข้าหาความอบอุ่นตรงหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนที่จะสลัดความคิดเช่นนั้นออกไป เขายกศีรษะนางขึ้นไว้บนหมอนและกระโดดออกทางหน้าต่างไปเกาซื่อที่เห็นฟ้าสว่างแล้วแต่จินเยว่ที่ปกติจะลุกขึ้นมาทำอาหาร วันนี้ยังไม่เห็นบุตรสาวลุกขึ้นมาก็เดินเข้ามาดูนางในห้อง เมื่อเห็นบุตรสาวตอนหลับสนิทพร้อมกับตัวที่ยังอุ่นๆอยู่ นางก็นึกปวดใจที่บุตรสาวมีไข้แต่ปิดบังนางวันนี้เกาซื่อจึงต้องลงมือทำอาหารบ่ายๆด้วยตนเอง แม้จะไม่เคยเข้าครัวเลยแต่หากให้นางต้มข้าวต้ม หรือน้ำแกง ก็ยังพอจะทำได้ "เยว่เออร์ลุกมากินข้าวก่อนลูก จะได้ดื่มยา" จินเยว่สะลึมสะลือลุกขึ้นนั่งมองมารดา "ท่านแม่ เหตุใดไม่เรียกข้าเล่าเจ้าคะ" "เจ้ามีไข้ใยถึงไม่ยอมบอกแม่" เกาซื่อลูบหัวบุตรสาว"ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ มื้อกลางวันข้าจะเป็นคนทำเองนะเจ้าค่ะ" เกาซื่ออดส่ายหัวกับความดื้อรั้นของบุตรสาวที่เพิ่มมากขึ้นไม่ได้ และรสมือของนางไม่ดีจึงไม่ได้ออกปากห้ามบุตรสาวจ้าวตงหยางที่ออกจากเรือนจินเยว่ก็ไปที่ค่ายท
จินเยว่เห็นว่ามารดายังมิได้ออกมาทานอาหารจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดาฟัง เสวี่ยป๋อเหวินที่ฟังจบก็ตบโต๊ะด้วยความโมโห หากเขารู้เรื่องตั้งแต่เมื่อวานตอนที่บุตรสาวกลับมา วันนี้เขาไม่ทางเปิดเรือนรับทั้งคู่ให้เข้ามาแน่"ท่านพ่อได้โปรดคลายโทสะก่อน ลูกมิอยากให้ท่านกับท่านแม่เป็นกังวล ตอนนี้ลูกก็มิได้เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ"เสวี่ยป๋อเหวินเห็นภรรยาเดินเข้ามาสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ จนจินเยว่ลอบยกนิ้วให้ในใจกับการเปลี่ยนสีหน้าของบิดาไม่ได้ทั้งจ้าวตงหยางกับหลิวเหล่ยมิได้รู้เลยว่า เสวี่ยป๋อเหวินจะไม่เปิดเรือนต้อนรับตนเสียแล้ว หากหลิวเหล่ยรู้ว่าเป็นเพราะเขามากับจ้าวตงหยางคงได้โมโหจนอยากจะทุบตีสหายแน่ (แต่สู้ไปก็เท่านั้นเพราะสู้ไม่ได้)จินเยว่ยังคงทำมื้อเย็นให้บิดากับมารดาเช่นเดิม แต่พอตกเย็นนางก็เริ่มกับมามีไข้อีกครั้ง คงเป็นเพราะนางยังไม่หายดีแต่กลับลุกขึ้นมาทำงานบ้านเช่นปกติไข้ที่เพิ่งหายจึงกลับมาเป็นอีกครั้ง หากมิใช่ว่าฝีมือการทำอาหารของมารดาย่ำแย่นางคงไม่แบกสังขารลุกขึ้นมาทำแน่เกาซื่อต้มยาให้บุตรสาวเสร็จก็ห่มผ้าให้นาง "เยว่เออร์พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องลุกขึ้นมาแล้ว พ่อกับแม่กินข้าวต้มกับผักดองสักสองสา
แม้จะเจ็บปวดจนแทบจะลุกไม่ขึ้น แต่นางไม่อยากจะอยู่ในจวนแม่ทัพอีกต่อไปแล้ว จินเยว่จึงกัดฟันแน่นพยุงตัวลุกขึ้น จ้าวตงหยางเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปประคองทันที แต่นางก็เบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วจนแผลที่หมอทำไว้ปริออกอีกครั้ง"อ๊าาาา" นางร้องออกมาเบาๆ บุรุษทั้งสองที่ได้ยินถึงกับหน้าแดงทันที เสียงร้องของนางมันช่าง"แม่นางเสวี่ยระวังเสียหน่อย แผลของเจ้าปริออกจนเลือดซึมอีกแล้ว" หลิวเหล่ยพูดขึ้น แต่เขายังไม่กล้าจะเข้าใกล้นาง เพราะใบหูของตนยังไม่หายแดงเสี่ยวหงที่ส่งท่านหมอกลับไปแล้วก็เข้ามาทันได้ช่วยเหลือจินเยว่พอดี จึงลดความกระอักกระอ้วนของบุรุษทั้งสองลงได้ จ้าวตงหยางสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะสั่งให้คนของตนเตรียมรถม้าไปส่งจินเยว่ "เจ้าพาสาวใช้อีกสองคนตามนางกลับไปด้วย" จ้าวตงหยางหันไปสั่งกับเสี่ยวหง เพราะเรือนของนางมิมีบ่าวคอยรับใช้ ทั้งหมดเป็นจินเยว่ที่ทำ ตอนนี้นางทำอันใดมิได้ หากต้องให้มารดาขอนางงนางทำงานแทน นางคงต้องฝืนทำอีกเช่นครั้งที่แล้วแน่"มิต้องเจ้าค่ะ เรือนของข้าเล็กนัก มิรบกวนคนของท่านแม่ทัพ" จินเยว่อยากจะไปให้พ้นจากเขาโดยเร็ว นางมิต้องการให้เขามาเกี่ยวข้องกับนางอีก"แม่นางเสวี่ยข้าส่งคนไปช
จินเยว่เงยหน้าจ้องเว่ยซืออิงอย่างเย็นชา ยิ่งเห็นสายตาของจินเยว่ เว่ยซืออิงก็ยิ่งบันดาลโทสะ นางนำแส้ออกมาฟาดไปที่ตัวของจินเยว่ ความจริงนางจะฟาดลงไปที่หน้าแต่จินเยว่เบี่ยงตัวหลบทัน แส้จึงฟาดลงที่แขนของนางแทนเหมือนนางจะยิ่งโมโหเพราะแส้ที่นางฟาดเพื่อให้โดนใบหน้ากับไม่โดน"เจ้าพวกโง่ จับตัวนางไว้ให้ข้า วันนี้ข้าจะตีนางให้ตายเสีย กล้าดีเช่นใดทำให้ข้าอับอายต่อหน้าคนมากมาย" เหมือนเว่ยซืออิงจะเสียสติไปเสียแล้ว สาวรับใช้ตัวสั่นไปด้วยความกลัว แต่นางก็ต้องทำตามคำสั่งของนาย"คุณหนูเว่ยโปรดหยุดมือ" นางตีจินเยว่ไปที่หลังได้เพียงสามครั้งเท่านั้น หลิวเหล่ยที่เดินทางเข้าเมืองมาก็ถูกเสี่ยวหงเรียกตัวไว้ก่อนจะมาพบกับเหตุการณ์ตรงหน้าเขา"ท่านกุนซือหลิว เรื่องนี้ท่านอย่าได้เข้ามายุ่ง" นางหลุดกิริยาที่มักจะเรียบร้อยอ่อนหวานต่อหน้าคนอื่นตลอด แต่วันนี้ความโกรธเข้าบังตาทำให้สติของนางหลุดความเป็นตัวตนที่แท้จริงออกมา"ไม่ยุ่งคงมิได้ แม่นางเสวี่ยมิได้เป็นบ่าวในจวนท่านแม่ทัพหรือบ่าวตระกูลเว่ย ที่จะให้ท่านโบยตีได้ตามอำเภอใจ" หลิวเหล่ยกล่าวด้วยเสียงดุดัน อย่างที่ทุกคนพบเห็นได้น้อย สาวใช้ที่จับตัวของจินเยว่ไว้ปล่อยต
จ้าวตงหยางลากหลิวเหล่ยไปด้วยกัน เมื่อมาถึงหน้าเรือนก็พบว่า ประตูเรือนตระกูลเสวี่ยไม่เปิดต้อนรับพวกตน กงจือที่ทำหน้าที่เฝ้าคนตระกูลเสวี่ยจึงได้รายงานให้แม่ทัพของเขาฟัง "ท่านแม่ทัพขอรับ นายท่านเสวี่ยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนท่านแล้ว จึงไม่ยอมให้พวกท่านเข้าไปในเรือนอีกขอรับ" จ้าวตงหยางกับหลิวเหล่ยตกตะลึง แต่จะโทษใครได้เป็นตนเองที่ทำให้บุตรสาวของเขาอับอาย หากบิดาของนางจะทำเช่นนี้ก็เห็นสมควรแล้ว ตอนนี้ภายในเรือนตระกูลเสวี่ย สองพ่อลูกกำลังนั่งพูดคุยกันเรื่องธนาคารในอีกพันปีข้างหน้า จินเยว่เล่าระบบการทำงานของธนาคารให้บิดาฟัง เสวี่ยป๋อเหวินก็ร่างระเบียบแผนการเก็บไว้มอบให้องค์รัชทายาท หากแคว้นฉีมีธนาคารเช่นที่จินเยว่พูดเงินในคลังหลวงก็จะเพิ่มขึ้นจากการเก็บดอกเบี้ย หรือปล่อยเงินให้ชาวบ้านได้กู้ จะเก็บดอกเบี้ยเป็นเงินหรือเสบียงที่มีราคาเท่าดอกเบี้ยก็นับว่าดีทั้งสิ้น สองพ่อลูกมิรู้เลยว่าท่านแม่ทัพกับกุนซือยืนอึ้งอยู่หน้าเรือนของตน จ้าวตงหยางจะใช้อำนาจของเขาเข้ามาในเรือนก็ย่อมได้ แต่หากเขาทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้เสวี่ยป๋อเหวินไม่พอใจตัวเขามากขึ้น จ้าวตงหยางสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อคุมโทสะของตนไม่ใ
จินเยว่เห็นว่ามารดายังมิได้ออกมาทานอาหารจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดาฟัง เสวี่ยป๋อเหวินที่ฟังจบก็ตบโต๊ะด้วยความโมโห หากเขารู้เรื่องตั้งแต่เมื่อวานตอนที่บุตรสาวกลับมา วันนี้เขาไม่ทางเปิดเรือนรับทั้งคู่ให้เข้ามาแน่"ท่านพ่อได้โปรดคลายโทสะก่อน ลูกมิอยากให้ท่านกับท่านแม่เป็นกังวล ตอนนี้ลูกก็มิได้เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ"เสวี่ยป๋อเหวินเห็นภรรยาเดินเข้ามาสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ จนจินเยว่ลอบยกนิ้วให้ในใจกับการเปลี่ยนสีหน้าของบิดาไม่ได้ทั้งจ้าวตงหยางกับหลิวเหล่ยมิได้รู้เลยว่า เสวี่ยป๋อเหวินจะไม่เปิดเรือนต้อนรับตนเสียแล้ว หากหลิวเหล่ยรู้ว่าเป็นเพราะเขามากับจ้าวตงหยางคงได้โมโหจนอยากจะทุบตีสหายแน่ (แต่สู้ไปก็เท่านั้นเพราะสู้ไม่ได้)จินเยว่ยังคงทำมื้อเย็นให้บิดากับมารดาเช่นเดิม แต่พอตกเย็นนางก็เริ่มกับมามีไข้อีกครั้ง คงเป็นเพราะนางยังไม่หายดีแต่กลับลุกขึ้นมาทำงานบ้านเช่นปกติไข้ที่เพิ่งหายจึงกลับมาเป็นอีกครั้ง หากมิใช่ว่าฝีมือการทำอาหารของมารดาย่ำแย่นางคงไม่แบกสังขารลุกขึ้นมาทำแน่เกาซื่อต้มยาให้บุตรสาวเสร็จก็ห่มผ้าให้นาง "เยว่เออร์พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องลุกขึ้นมาแล้ว พ่อกับแม่กินข้าวต้มกับผักดองสักสองสา
จ้าวตงหยางตื่นขึ้นก่อนที่ฟ้าจะสว่างเขาค่อยๆดึงมือที่จินเยว่หนุนออก จินเยว่ที่ความอบอุ่นหายไปนางก็ซุกตัวเข้าไปที่อกของจ้าวตงหยางชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวที่ซุกเข้าหาความอบอุ่นตรงหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนที่จะสลัดความคิดเช่นนั้นออกไป เขายกศีรษะนางขึ้นไว้บนหมอนและกระโดดออกทางหน้าต่างไปเกาซื่อที่เห็นฟ้าสว่างแล้วแต่จินเยว่ที่ปกติจะลุกขึ้นมาทำอาหาร วันนี้ยังไม่เห็นบุตรสาวลุกขึ้นมาก็เดินเข้ามาดูนางในห้อง เมื่อเห็นบุตรสาวตอนหลับสนิทพร้อมกับตัวที่ยังอุ่นๆอยู่ นางก็นึกปวดใจที่บุตรสาวมีไข้แต่ปิดบังนางวันนี้เกาซื่อจึงต้องลงมือทำอาหารบ่ายๆด้วยตนเอง แม้จะไม่เคยเข้าครัวเลยแต่หากให้นางต้มข้าวต้ม หรือน้ำแกง ก็ยังพอจะทำได้ "เยว่เออร์ลุกมากินข้าวก่อนลูก จะได้ดื่มยา" จินเยว่สะลึมสะลือลุกขึ้นนั่งมองมารดา "ท่านแม่ เหตุใดไม่เรียกข้าเล่าเจ้าคะ" "เจ้ามีไข้ใยถึงไม่ยอมบอกแม่" เกาซื่อลูบหัวบุตรสาว"ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ มื้อกลางวันข้าจะเป็นคนทำเองนะเจ้าค่ะ" เกาซื่ออดส่ายหัวกับความดื้อรั้นของบุตรสาวที่เพิ่มมากขึ้นไม่ได้ และรสมือของนางไม่ดีจึงไม่ได้ออกปากห้ามบุตรสาวจ้าวตงหยางที่ออกจากเรือนจินเยว่ก็ไปที่ค่ายท
จินเยว่ที่เจ็บข้อมืออยู่ก็คุกเข่าลงทันที พร้อมกับร้องในใจ ฉิบหายแล้ว นางเจ็บข้ามือจนเหงื่อไหลซึมออกมา ตนในงานคิดว่านางหวาดกลัวเรื่องที่นางทำ คงมีเพียงจ้าวตงหยางที่รู้เรื่องดี เขายกสุราขึ้นดื่มอย่างนึกสนุกหลิวเหล่ยถลึงตามองจ้าวตงหยาง เขาเดินลุกไปที่จินเยว่นั่งคุกเข่าอยู่"แม่นางเสวี่ย เจ้าเป็นอันใดหรือไม่" จินเยว่เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับกัดฟันแน่น นางส่ายหน้าให้เขาว่านางมิได้เป็นอันใด แต่ก่อนที่หลิวเหล่ยจะขอดูข้อมือนาง ฝ่ามือของเว่ยซืออิงก็ตบลงบนใบหน้านางเสียก่อน หลิวเหล่ยมิทันได้เข้าช่วยใบหน้าของจินเยว่ก็บวมแดงขึ้นรอยมือเสียแล้ว เว่ยซืออิงเหมือนยังไม่พอใจ นางหยิบกาน้ำชาสาดใส่จินเยว่จนเสื้อผ้าของนางเปียกไปหมด หลิวเหล่ยรีบเข้ามาขวางมิให้เว่ยซืออิงลงมือได้อีก ก่อนที่สาวใช้ของเว่ยซืออิงจะดึงนางออกไปจากงานเลี้ยงจ้าวตงหยางตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่คิดว่าเว่ยซืออิงจะกล้าลงมือต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ หลิวเหล่ยถอดเสื้อคลุมให้จินเยว่แล้วพานางออกจากงานเลี้ยงไป"ขอบคุณเจ้าค่ะ" จินเยว่ก้มหน้าขอบคุณหลิวเหล่ย"แม่นางเสวี่ยมิต้องขอบคุณข้า ข้าแซ่หลิว นามเหล่ย" นางยิ้มขอบคุณให้เขา เสี่ยวหงที
เสี่ยวหงให้จินเยว่ยืนรอจ้าวตงหยางที่หน้าเรือนของเขา เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน อากาศที่หนาวเหน็บของทางเหนือ เสื้อผ้าของบ่าวที่นางสวมอยู่ในตอนนี้มิช่วยให้เกิดความอบอุ่นขึ้นเลย เหมือนจงใจกลั่นแกล้งนางตั้งแต่แรกที่เดินเข้ามาในจวนแล้วจินเยว่ยืนรอให้จ้าวตงหยางเรียกเกือบหนึ่งชั่วยาม เขาถึงให้นางเข้าไปพบ จินเยว่เดินตัวแข็งทื่อเข้าไปเพราะนางหนาวจนขาแข็งไปหมดแล้ว "บังอาจ เหตุใดถึงไม่คารวะท่านแม่ทัพ" ก็กำลังจะทำอยู่นี่ไง นางลอบกลอกตาอย่างไม่พอใจ"จินเยว่ คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ" นางก้มหน้าลงเพราะไม่อยากทนมองสายตาเหยียดหยามที่เขาใช้มองนาง"หึ วันนี้เจ้าติดตามคอยรับใช้ญาติผู้น้องของข้า" เขาแค่นเสียงใส่นาง ก่อนที่จะเอ่ยบอกหน้าที่ของนางนางเงยหน้าขึ้นมองเขาอยากไม่อยากเชื่อว่า เขาจะให้นางคอยรับใช้ญาติผู้น้องของเขา แม้แต่บ่าวในเรือนก็สะดุ้งตกใจ นางได้แต่สงสัยว่าญาติผู้น้องของเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ หากเป็นคนดีเรื่องนี้คงไม่ต้องถึงนาง"มีอันใด หรือเจ้ามิยินยอม" "ข้าเพียงแค่สงสัย ท่านให้ข้ามาช่วยงาน เหตุใดถึงต้องคอยรีบใช้ญาติผู้น้องของท่านด้วย""หึ แค่บุตรสาวขุนนางต้องโทษเจ้ามีสิทธิ์เลือกหรือ"
บิดาถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องระหว่างสองตระกูลที่เกิดขึ้นมาเกือบสิบปีแล้วให้ฟัง บิดาของจ้าวตงหยางเป็นอดีตท่านแม่ทัพใหญ่ที่ดูแลชายแดนเหนือ สิบปีที่แล้วเกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้น เสวี่ยป๋อเหวินตอนนั้นเพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังก็ถูกราชโองการให้จัดงบประมาณลงมาช่วยเหลือเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพเรื่องเหมือนจะไม่มีอันใด แต่เสนาบดีคนเก่ายักยอกเงินในคลังไปเสียเกือบครึ่งถึงจะยึดทรัพย์ของเขามาเติมแล้วแต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับเงินที่จะจัดซื้อเสบียง ทำให้เสบียงที่ถูกส่งไปเลี้ยงกองทัพไม่เพียงพอ อดีตท่านแม่ทัพใหญ่จ้าวจึงต้องเร่งเข้าโจมตีแคว้นเซี่ยก่อนที่เสบียงจะหมด ถึงแคว้นฉีจะได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนั้นแต่ก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตของอดีตท่านแม่ทัพใหญ่จ้าวถึงแม้จะไม่ใช่ความผิดของเสวี่ยป๋อเหวิน แต่มิใช่สำหรับจ้าวตงหยาง เขาคิดว่าเสวี่ยตงหยางจงใจตัดงบเสบียงกองทัพจึงเป็นเหตุให้บิดาเขาต้องเสียชีวิตลง หลังจากนั้นตัวเขาก็เข้าสู่สนามรบในวัยเพียงสิบสี่ปี ความโกรธแค้นในครั้งนั้นเขานำไปลงกับทหารของแคว้นเซี่ยจนสามารถนำชัยชนะกลับมาได้ ไม่ใช่คนตระกูลจ้าวทุกคนที่คิดเช่นจ้าวตงหยาง แม้แต่มารดาของเขาจะบอกความจ
นางเริ่มเก็บดอกหอมหมื่นลี้ที่อยู่บนต้นเมื่อเห็นว่าได้เยอะแล้วก็นั่งแยกให้เหลือเพียงดอกที่สมบูรณ์เท่านั้น จากนั้นนำไปล้างอยู่หลายน้ำเพื่อให้มั่นใจว่าสะอาดแน่นอน นางต้มน้ำตาลกับน้ำเปล่าจนละลายเข้ากันดีแล้วใส่ดอกหอมหมื่นลี้ลงไปคนจนเข้ากัน นางนำน้ำผึ้งที่เหลือเมื่อครั้งที่ลู่ซานซื้อมาให้นางหมักหมูป่าใส่ลงไปด้วยเพื่อให้น้ำเชื่อมของนางข้นขึ้น เมื่อเย็นแล้วก็เทใส่ไหเก็บไว้ จะได้น้ำตาลเชื่อมจากดอกหอมหมื่นลี้ นางจะนำไว้ชงน้ำชาให้บิดามารดาดื่ม นางตักน้ำเชื่อมหนึ่งช้อนเล็กมาชงใส่กาน้ำชานำไปให้ทหารที่มาเฝ้าที่เรือนของนางได้ลองดื่ม นางต้องซื้อใจคนพวกนี้ไว้ด้วยหากจะออกไปข้างนอกก็ต้องหวังพึ่งพาพวกเขาความหอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้เมื่อพวกเขาได้ลิ้มลองเพียงจอกเดียวย่อมไม่พอแต่น้ำชาที่แม่นางเสวี่ยนำมามีเพียงแค่กาเดียว พวกเขาจำต้องแบ่งกันดื่มทหารที่ไปหาแม่ทัพจ้าววิ่งมาถึงค่ายยังไม่ทันหายเหนื่อยก็รีบเข้าไปรายงานก่อนแล้ว เขาอยากรีบนำของกลับไปส่งให้แม่นางเสวี่ย หากได้เห็นรอยยิ้มของสาวงามเหนื่อยตายก็คงไม่เป็นอันใด"ท่านแม่ทัพขอรับ นี่คือของที่ยึดมาจากแม่นางเสวี่ยขอรับ""อย่าบอกว่าของแค่นี้เจ้าก็ยังยึดมาจาก