เมื่อเดินทางถึงเมืองโยวเป่ย คนที่รอรับต่างคิดว่าจะเห็นสภาพที่ย่ำแย่ของทุกคนแต่ผิดคาด ทหารทุกนายล้วนน้ำหนักขึ้นแม้แต่จินเยว่ที่ผายผอมลงในตอนแรกตอนนี้ก็มีน้ำมีนวลขึ้น เสวี่ยป๋อเหวินกับเกาซูฮวาก็ดูแข็งแรงขึ้นกว่าตอนที่ออกจากเมืองหลวงเพราะได้รับสารอาหารที่ครบ ในขบวนไม่มีใครล้มป่วยลงอีกเลย เพราะน้ำดื่มจินเยว่ยังสั่งให้ต้มก่อนที่จะกิน
คนที่มารอรับพวกเขาในครั้งนี้มีขุนนางหลายคนทั้งที่สนิทกับบิดาและคนฝ่ายตรงข้าม สายตาที่มองมามีทั้งเห็นใจและสะใจกับความโคร้ายที่ตระกูลเสวี่ยได้รับ คงมีเพียงเสวี่ยป๋อเหวินกับเสวี่ยจินเยว่ที่ไม่สนสายตาเหล่านั้น แต่มารดาของตนอับอายเกินกว่าจะเงยหน้ามามองใครได้
นอกจากสายตาที่เห็นใจและสะใจแล้วขุนนางบางคนยังมองจินเยว่อย่างประเมินนางเหมือนนางเป็นสิ่งของที่รอให้คนมาเลือกซื้อกลับไป ตอนที่จินเยว่อยู่เมืองหลวงนางก็ได้ชื่อมาหนึ่งในสาวงามของเมืองหลวง ยิ่งเมืองทางชายแดนไม่ต้องพูดถึงสาวงามเช่นนางจะหลุดออกมาได้นับว่ามีน้อยยิ่งนัก
ใครจะไม่ชื่นชอบสาวงาม หากได้นางมาอุ่นเตียงคงจะทำให้ชีวิตของพวกเขามีสีสันยิ่งนัก แต่ตอนนี้มีทั้งคนใจกล้าและคนที่ยังลังเลอยู่ ด้วยเรื่องของเสวี่ยป๋อเหวินยังไม่ถูกตัดสินบางคนจึงยังไม่กล้าที่จะลงมือ
แต่ที่สร้างความแปลกใจเพราะครั้งนี้มีท่านแม่ทัพจ้าวร่วมอยู่ด้วย
"ก็แค่ครอบครัวนักโทษที่โดนเนรเทศ จำเป็นให้ขุนนางทั้งเมืองมารอรับด้วยหรือ" จินเยว่หันไปมองตามเสียงที่พูดขึ้น
บุรุษผิวสีน้ำผึ้งใบหน้าคมเข้ม รูปร่างสูงใหญ่สมกับที่เป็นทหาร สีหน้าที่มองมาที่ครอบครัวนางมีแต่ความเหยียดหยาม เหมือนสะใจที่ครอบครัวของนางตกต่ำเช่นนี้ บิดาของนางก็มีใบหน้าที่เคร่งเครียดขึ้น มารดาของนางที่ก้มหน้าลงต่ำก็ยิ่งก้มต่ำลงไปอีก นางเชิดหน้าขึ้นมองอย่างท้าทาย ปากดีเช่นนี้สมควรได้รับการสั่งสอน แต่นางในตอนนี้อำนาจที่ตกต่ำของบิดาจะสั่งสอนให้ได้
นางได้แต่จดบัญชีแค้นนี้ไว้ในใจ หากมีวันใดที่นางเอาคืนได้ ความอับอายในครั้งนี้นางจะคืนให้เขาได้อับอายกว่าครอบครัวของนางอย่างแน่นอน
"ขออภัยที่ทำให้ทุกท่านต้องลำบาก ขุนนางต้องโทษเสวี่ยและครอบครัวขอตัวก่อน" เสวี่ยป๋อเหวินหันไปก้มหัวอย่างขออภัยให้แม่ทัพจ้าว และขุนนางที่มารอรับและรอดูความสนุก
ก่อนที่ขบวนของขุนนางต้องโทษจะเดินผ่านไป จินเยว่เดินผ่านหน้าจ้าวตงหยางแล้วพูดโดยไร้เสียงว่า "ไอ้เวรเอ๋ย" จ้าวตงหยางไม่รู้ว่าที่นางพูดหมายความว่าอย่างไรแต่คงไม่ใช่คนชมเป็นแน่
ลู่ซานนำครอบครัวเสวี่ยไปส่งถึงที่พักในหมู่บ้านหวงลี่ เป็นบ้านสามห้องนอน หนึ่งห้องโถง หนึ่งห้องครัว พื้นที่ในบ้านมีไม่มาก แต่ก็พอให้จินเยว่ปลูกผักปแปลงเล็กๆไว้กินเอง หรือเลี้ยงไก่ไว้กินไข่ได้สักสิบตัว ก่อนที่ลู่ซานจะจากไปเขาส่งตั๋วเงินให้เสวี่ยป๋อเหวินไว้พันตำลึง เป็นเงินที่องค์รัชทายาทฝากมาให้ หากให้มากกว่านี้จะเป็นที่สงสัยเอาได้
เพียงบ้านหลังนี้กับเงินพันตำลึงก็เพียงพอให้สามคนพ่อแม่ลูกใช้ชีวิตอย่างไม่ยากลำบากแล้ว นอกจากในหมู่บ้านแล้วพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกพื้นที่อีก ตอนแรกลู่ซานก็จะได้อยู่คุ้มครองพวกเขาต่อ แต่เป็นแม่ทัพจ้าวที่เปลี่ยนทหารทั้งหมดใหม่ นางจึงได้ขอร้องให้ลู่ซานหาพ่อไก่แม่ไก่ และเมล็ดผักมาให้นางจำนวนหนึ่งก่อนที่จะไป
แต่ของเหล่านั้นก็โดนยึดไว้เสียก่อนที่จะถึงมือนาง จินเยว่ข่มความโกรธจนตาแดง นางเดินเข้าไปหาทหารหน้าประตูที่ยึดของนางไว้ตามคำสั่งท่านแม่ทัพ
"หากจวนแม่ทัพของเจ้าอดยากเพียงนั้นข้าก็ขอมอบของทั้งหมดให้แม่ทัพของพวกเจ้าก็แล้วกัน" ดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความโกรธ นางปรับเสียงให้อ่อนลง เพียงเท่านี้ทหารที่เห็นก็ล้วนใจอ่อนยวบ ใครจะทนให้สาวงามหลั่งน้ำตาได้
"คุณหนู เอ่อ แม่นางเสวี่ย เจ้ารอให้ข้าไปขออนุญาตจากแม่ทัพก่อนหากไม่มีสิ่งใดที่ผิดแม่ทัพย่อมไม่ห้ามให้เจ้านำของกลับไป" ทหารนายนั้นรีบหันหลังวิ่งออกไปที่ค่ายทหารซึ่งอยู่ไม่ไกลทันที หากยังอยู่เขากลัวว่าแม่นางเสวี่ยน้ำตาไหลออกมาเขาคงได้คืนของไปโดยที่ยังไม่ได้ไปขออนุญาตจากท่านแม่ทัพ
จินเยว่หันหลังกลับเข้าเรือนอย่างหัวเสีย หากเป็นไปได้นางก็อยากจะฝากคำด่าไปให้จ้าวตงหยางด้วย แต่ด้วยหน้าตาของนางหากบีบน้ำตาเล็กน้อยย่อมทำให้คนใจอ่อนอย่างง่าย นางใช้วิธีเช่นนี้ดีกว่า นอกจากจะได้คนเห็นใจแล้ว ยังทำให้คนของจ้าวตงหยางคิดว่าเขาเป็นบุรุษใจแคบรังแกผู้หญิงตัวน้อยๆได้อีกด้วย คิดได้เช่นนี้จินเยว่ก็คลายโทสะลง แล้วเดินไปช่วยมารดาเก็บกวาดเรือน
"ท่านแม่ท่านหยุดพักก่อนเถิด ส่วนที่เหลือลูกจัดการเองเจ้าค่ะ" นางแย่งผ้าในมือมารดามาถือไว้ แล้วเดินไปส่งบิดามารดาให้เข้าไปพักในห้อง
จินเยว่จัดการเรือนทั้งหลังไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ห้องครัว ห้องโถงนางลงมือจัดการอย่างรวดเร็ว ทหารที่คอยจับตาดูครอบครัวนางได้แต่มองตามอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เพราะคุณหนูคนหนึ่งทำงานได้ราวกับเป็นคนใช้และยังรวดเร็วเสียด้วย
ยังดีที่รอบตัวเรือนนางไม่ต้องมานั่งถอนหญ้าด้วยเพราะลู่ซานให้ทหารที่มาส่งช่วยทำให้แล้ว ในเรือนยังมีต้นหอมหมื่นลี้อยู่ด้วย ตอนนี้กำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมไปทั่วเรือน นางเดินเข้าไปหยิบผ้าสะอาดมาผืนพร้อมกระจาดที่มีอยู่ในครัว
นางเริ่มเก็บดอกหอมหมื่นลี้ที่อยู่บนต้นเมื่อเห็นว่าได้เยอะแล้วก็นั่งแยกให้เหลือเพียงดอกที่สมบูรณ์เท่านั้น จากนั้นนำไปล้างอยู่หลายน้ำเพื่อให้มั่นใจว่าสะอาดแน่นอน นางต้มน้ำตาลกับน้ำเปล่าจนละลายเข้ากันดีแล้วใส่ดอกหอมหมื่นลี้ลงไปคนจนเข้ากัน นางนำน้ำผึ้งที่เหลือเมื่อครั้งที่ลู่ซานซื้อมาให้นางหมักหมูป่าใส่ลงไปด้วยเพื่อให้น้ำเชื่อมของนางข้นขึ้น เมื่อเย็นแล้วก็เทใส่ไหเก็บไว้ จะได้น้ำตาลเชื่อมจากดอกหอมหมื่นลี้ นางจะนำไว้ชงน้ำชาให้บิดามารดาดื่ม นางตักน้ำเชื่อมหนึ่งช้อนเล็กมาชงใส่กาน้ำชานำไปให้ทหารที่มาเฝ้าที่เรือนของนางได้ลองดื่ม นางต้องซื้อใจคนพวกนี้ไว้ด้วยหากจะออกไปข้างนอกก็ต้องหวังพึ่งพาพวกเขาความหอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้เมื่อพวกเขาได้ลิ้มลองเพียงจอกเดียวย่อมไม่พอแต่น้ำชาที่แม่นางเสวี่ยนำมามีเพียงแค่กาเดียว พวกเขาจำต้องแบ่งกันดื่มทหารที่ไปหาแม่ทัพจ้าววิ่งมาถึงค่ายยังไม่ทันหายเหนื่อยก็รีบเข้าไปรายงานก่อนแล้ว เขาอยากรีบนำของกลับไปส่งให้แม่นางเสวี่ย หากได้เห็นรอยยิ้มของสาวงามเหนื่อยตายก็คงไม่เป็นอันใด"ท่านแม่ทัพขอรับ นี่คือของที่ยึดมาจากแม่นางเสวี่ยขอรับ""อย่าบอกว่าของแค่นี้เจ้าก็ยังยึดมาจาก
บิดาถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องระหว่างสองตระกูลที่เกิดขึ้นมาเกือบสิบปีแล้วให้ฟัง บิดาของจ้าวตงหยางเป็นอดีตท่านแม่ทัพใหญ่ที่ดูแลชายแดนเหนือ สิบปีที่แล้วเกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้น เสวี่ยป๋อเหวินตอนนั้นเพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังก็ถูกราชโองการให้จัดงบประมาณลงมาช่วยเหลือเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพเรื่องเหมือนจะไม่มีอันใด แต่เสนาบดีคนเก่ายักยอกเงินในคลังไปเสียเกือบครึ่งถึงจะยึดทรัพย์ของเขามาเติมแล้วแต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับเงินที่จะจัดซื้อเสบียง ทำให้เสบียงที่ถูกส่งไปเลี้ยงกองทัพไม่เพียงพอ อดีตท่านแม่ทัพใหญ่จ้าวจึงต้องเร่งเข้าโจมตีแคว้นเซี่ยก่อนที่เสบียงจะหมด ถึงแคว้นฉีจะได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนั้นแต่ก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตของอดีตท่านแม่ทัพใหญ่จ้าวถึงแม้จะไม่ใช่ความผิดของเสวี่ยป๋อเหวิน แต่มิใช่สำหรับจ้าวตงหยาง เขาคิดว่าเสวี่ยตงหยางจงใจตัดงบเสบียงกองทัพจึงเป็นเหตุให้บิดาเขาต้องเสียชีวิตลง หลังจากนั้นตัวเขาก็เข้าสู่สนามรบในวัยเพียงสิบสี่ปี ความโกรธแค้นในครั้งนั้นเขานำไปลงกับทหารของแคว้นเซี่ยจนสามารถนำชัยชนะกลับมาได้ ไม่ใช่คนตระกูลจ้าวทุกคนที่คิดเช่นจ้าวตงหยาง แม้แต่มารดาของเขาจะบอกความจ
เสี่ยวหงให้จินเยว่ยืนรอจ้าวตงหยางที่หน้าเรือนของเขา เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน อากาศที่หนาวเหน็บของทางเหนือ เสื้อผ้าของบ่าวที่นางสวมอยู่ในตอนนี้มิช่วยให้เกิดความอบอุ่นขึ้นเลย เหมือนจงใจกลั่นแกล้งนางตั้งแต่แรกที่เดินเข้ามาในจวนแล้วจินเยว่ยืนรอให้จ้าวตงหยางเรียกเกือบหนึ่งชั่วยาม เขาถึงให้นางเข้าไปพบ จินเยว่เดินตัวแข็งทื่อเข้าไปเพราะนางหนาวจนขาแข็งไปหมดแล้ว "บังอาจ เหตุใดถึงไม่คารวะท่านแม่ทัพ" ก็กำลังจะทำอยู่นี่ไง นางลอบกลอกตาอย่างไม่พอใจ"จินเยว่ คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ" นางก้มหน้าลงเพราะไม่อยากทนมองสายตาเหยียดหยามที่เขาใช้มองนาง"หึ วันนี้เจ้าติดตามคอยรับใช้ญาติผู้น้องของข้า" เขาแค่นเสียงใส่นาง ก่อนที่จะเอ่ยบอกหน้าที่ของนางนางเงยหน้าขึ้นมองเขาอยากไม่อยากเชื่อว่า เขาจะให้นางคอยรับใช้ญาติผู้น้องของเขา แม้แต่บ่าวในเรือนก็สะดุ้งตกใจ นางได้แต่สงสัยว่าญาติผู้น้องของเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ หากเป็นคนดีเรื่องนี้คงไม่ต้องถึงนาง"มีอันใด หรือเจ้ามิยินยอม" "ข้าเพียงแค่สงสัย ท่านให้ข้ามาช่วยงาน เหตุใดถึงต้องคอยรีบใช้ญาติผู้น้องของท่านด้วย""หึ แค่บุตรสาวขุนนางต้องโทษเจ้ามีสิทธิ์เลือกหรือ"
จินเยว่ที่เจ็บข้อมืออยู่ก็คุกเข่าลงทันที พร้อมกับร้องในใจ ฉิบหายแล้ว นางเจ็บข้ามือจนเหงื่อไหลซึมออกมา ตนในงานคิดว่านางหวาดกลัวเรื่องที่นางทำ คงมีเพียงจ้าวตงหยางที่รู้เรื่องดี เขายกสุราขึ้นดื่มอย่างนึกสนุกหลิวเหล่ยถลึงตามองจ้าวตงหยาง เขาเดินลุกไปที่จินเยว่นั่งคุกเข่าอยู่"แม่นางเสวี่ย เจ้าเป็นอันใดหรือไม่" จินเยว่เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับกัดฟันแน่น นางส่ายหน้าให้เขาว่านางมิได้เป็นอันใด แต่ก่อนที่หลิวเหล่ยจะขอดูข้อมือนาง ฝ่ามือของเว่ยซืออิงก็ตบลงบนใบหน้านางเสียก่อน หลิวเหล่ยมิทันได้เข้าช่วยใบหน้าของจินเยว่ก็บวมแดงขึ้นรอยมือเสียแล้ว เว่ยซืออิงเหมือนยังไม่พอใจ นางหยิบกาน้ำชาสาดใส่จินเยว่จนเสื้อผ้าของนางเปียกไปหมด หลิวเหล่ยรีบเข้ามาขวางมิให้เว่ยซืออิงลงมือได้อีก ก่อนที่สาวใช้ของเว่ยซืออิงจะดึงนางออกไปจากงานเลี้ยงจ้าวตงหยางตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่คิดว่าเว่ยซืออิงจะกล้าลงมือต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ หลิวเหล่ยถอดเสื้อคลุมให้จินเยว่แล้วพานางออกจากงานเลี้ยงไป"ขอบคุณเจ้าค่ะ" จินเยว่ก้มหน้าขอบคุณหลิวเหล่ย"แม่นางเสวี่ยมิต้องขอบคุณข้า ข้าแซ่หลิว นามเหล่ย" นางยิ้มขอบคุณให้เขา เสี่ยวหงที
จ้าวตงหยางตื่นขึ้นก่อนที่ฟ้าจะสว่างเขาค่อยๆดึงมือที่จินเยว่หนุนออก จินเยว่ที่ความอบอุ่นหายไปนางก็ซุกตัวเข้าไปที่อกของจ้าวตงหยางชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวที่ซุกเข้าหาความอบอุ่นตรงหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนที่จะสลัดความคิดเช่นนั้นออกไป เขายกศีรษะนางขึ้นไว้บนหมอนและกระโดดออกทางหน้าต่างไปเกาซื่อที่เห็นฟ้าสว่างแล้วแต่จินเยว่ที่ปกติจะลุกขึ้นมาทำอาหาร วันนี้ยังไม่เห็นบุตรสาวลุกขึ้นมาก็เดินเข้ามาดูนางในห้อง เมื่อเห็นบุตรสาวตอนหลับสนิทพร้อมกับตัวที่ยังอุ่นๆอยู่ นางก็นึกปวดใจที่บุตรสาวมีไข้แต่ปิดบังนางวันนี้เกาซื่อจึงต้องลงมือทำอาหารบ่ายๆด้วยตนเอง แม้จะไม่เคยเข้าครัวเลยแต่หากให้นางต้มข้าวต้ม หรือน้ำแกง ก็ยังพอจะทำได้ "เยว่เออร์ลุกมากินข้าวก่อนลูก จะได้ดื่มยา" จินเยว่สะลึมสะลือลุกขึ้นนั่งมองมารดา "ท่านแม่ เหตุใดไม่เรียกข้าเล่าเจ้าคะ" "เจ้ามีไข้ใยถึงไม่ยอมบอกแม่" เกาซื่อลูบหัวบุตรสาว"ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ มื้อกลางวันข้าจะเป็นคนทำเองนะเจ้าค่ะ" เกาซื่ออดส่ายหัวกับความดื้อรั้นของบุตรสาวที่เพิ่มมากขึ้นไม่ได้ และรสมือของนางไม่ดีจึงไม่ได้ออกปากห้ามบุตรสาวจ้าวตงหยางที่ออกจากเรือนจินเยว่ก็ไปที่ค่ายท
จินเยว่เห็นว่ามารดายังมิได้ออกมาทานอาหารจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดาฟัง เสวี่ยป๋อเหวินที่ฟังจบก็ตบโต๊ะด้วยความโมโห หากเขารู้เรื่องตั้งแต่เมื่อวานตอนที่บุตรสาวกลับมา วันนี้เขาไม่ทางเปิดเรือนรับทั้งคู่ให้เข้ามาแน่"ท่านพ่อได้โปรดคลายโทสะก่อน ลูกมิอยากให้ท่านกับท่านแม่เป็นกังวล ตอนนี้ลูกก็มิได้เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ"เสวี่ยป๋อเหวินเห็นภรรยาเดินเข้ามาสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ จนจินเยว่ลอบยกนิ้วให้ในใจกับการเปลี่ยนสีหน้าของบิดาไม่ได้ทั้งจ้าวตงหยางกับหลิวเหล่ยมิได้รู้เลยว่า เสวี่ยป๋อเหวินจะไม่เปิดเรือนต้อนรับตนเสียแล้ว หากหลิวเหล่ยรู้ว่าเป็นเพราะเขามากับจ้าวตงหยางคงได้โมโหจนอยากจะทุบตีสหายแน่ (แต่สู้ไปก็เท่านั้นเพราะสู้ไม่ได้)จินเยว่ยังคงทำมื้อเย็นให้บิดากับมารดาเช่นเดิม แต่พอตกเย็นนางก็เริ่มกับมามีไข้อีกครั้ง คงเป็นเพราะนางยังไม่หายดีแต่กลับลุกขึ้นมาทำงานบ้านเช่นปกติไข้ที่เพิ่งหายจึงกลับมาเป็นอีกครั้ง หากมิใช่ว่าฝีมือการทำอาหารของมารดาย่ำแย่นางคงไม่แบกสังขารลุกขึ้นมาทำแน่เกาซื่อต้มยาให้บุตรสาวเสร็จก็ห่มผ้าให้นาง "เยว่เออร์พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องลุกขึ้นมาแล้ว พ่อกับแม่กินข้าวต้มกับผักดองสักสองสา
จ้าวตงหยางลากหลิวเหล่ยไปด้วยกัน เมื่อมาถึงหน้าเรือนก็พบว่า ประตูเรือนตระกูลเสวี่ยไม่เปิดต้อนรับพวกตน กงจือที่ทำหน้าที่เฝ้าคนตระกูลเสวี่ยจึงได้รายงานให้แม่ทัพของเขาฟัง "ท่านแม่ทัพขอรับ นายท่านเสวี่ยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนท่านแล้ว จึงไม่ยอมให้พวกท่านเข้าไปในเรือนอีกขอรับ" จ้าวตงหยางกับหลิวเหล่ยตกตะลึง แต่จะโทษใครได้เป็นตนเองที่ทำให้บุตรสาวของเขาอับอาย หากบิดาของนางจะทำเช่นนี้ก็เห็นสมควรแล้ว ตอนนี้ภายในเรือนตระกูลเสวี่ย สองพ่อลูกกำลังนั่งพูดคุยกันเรื่องธนาคารในอีกพันปีข้างหน้า จินเยว่เล่าระบบการทำงานของธนาคารให้บิดาฟัง เสวี่ยป๋อเหวินก็ร่างระเบียบแผนการเก็บไว้มอบให้องค์รัชทายาท หากแคว้นฉีมีธนาคารเช่นที่จินเยว่พูดเงินในคลังหลวงก็จะเพิ่มขึ้นจากการเก็บดอกเบี้ย หรือปล่อยเงินให้ชาวบ้านได้กู้ จะเก็บดอกเบี้ยเป็นเงินหรือเสบียงที่มีราคาเท่าดอกเบี้ยก็นับว่าดีทั้งสิ้น สองพ่อลูกมิรู้เลยว่าท่านแม่ทัพกับกุนซือยืนอึ้งอยู่หน้าเรือนของตน จ้าวตงหยางจะใช้อำนาจของเขาเข้ามาในเรือนก็ย่อมได้ แต่หากเขาทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้เสวี่ยป๋อเหวินไม่พอใจตัวเขามากขึ้น จ้าวตงหยางสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อคุมโทสะของตนไม่ใ
จินเยว่เงยหน้าจ้องเว่ยซืออิงอย่างเย็นชา ยิ่งเห็นสายตาของจินเยว่ เว่ยซืออิงก็ยิ่งบันดาลโทสะ นางนำแส้ออกมาฟาดไปที่ตัวของจินเยว่ ความจริงนางจะฟาดลงไปที่หน้าแต่จินเยว่เบี่ยงตัวหลบทัน แส้จึงฟาดลงที่แขนของนางแทนเหมือนนางจะยิ่งโมโหเพราะแส้ที่นางฟาดเพื่อให้โดนใบหน้ากับไม่โดน"เจ้าพวกโง่ จับตัวนางไว้ให้ข้า วันนี้ข้าจะตีนางให้ตายเสีย กล้าดีเช่นใดทำให้ข้าอับอายต่อหน้าคนมากมาย" เหมือนเว่ยซืออิงจะเสียสติไปเสียแล้ว สาวรับใช้ตัวสั่นไปด้วยความกลัว แต่นางก็ต้องทำตามคำสั่งของนาย"คุณหนูเว่ยโปรดหยุดมือ" นางตีจินเยว่ไปที่หลังได้เพียงสามครั้งเท่านั้น หลิวเหล่ยที่เดินทางเข้าเมืองมาก็ถูกเสี่ยวหงเรียกตัวไว้ก่อนจะมาพบกับเหตุการณ์ตรงหน้าเขา"ท่านกุนซือหลิว เรื่องนี้ท่านอย่าได้เข้ามายุ่ง" นางหลุดกิริยาที่มักจะเรียบร้อยอ่อนหวานต่อหน้าคนอื่นตลอด แต่วันนี้ความโกรธเข้าบังตาทำให้สติของนางหลุดความเป็นตัวตนที่แท้จริงออกมา"ไม่ยุ่งคงมิได้ แม่นางเสวี่ยมิได้เป็นบ่าวในจวนท่านแม่ทัพหรือบ่าวตระกูลเว่ย ที่จะให้ท่านโบยตีได้ตามอำเภอใจ" หลิวเหล่ยกล่าวด้วยเสียงดุดัน อย่างที่ทุกคนพบเห็นได้น้อย สาวใช้ที่จับตัวของจินเยว่ไว้ปล่อยต
จ้าวตงหยางยังอยากจะเก็บหลิงอวี้ไว้ออกเรือนตอนอายุยี่สิบกว่าด้วยซ้ำ หากยินเยว่ไม่เอ่ยท้วงเสียก่อน"ท่านแม่ทัพ มีราชโองการมาขอรับ" พ่อบ้านจ้าววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตาม ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลและแต่งตั้งจางหมิ่นกับจางหย่งเรียบร้อยแล้ว ยังจะมีราชโองการใดได้อีกทั้งคู่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากเรือนก็พบว่าทุกคนยืนรออยู่หน้าจวนอย่างพร้อมเพรียงแล้ว"ฮ่องแต่มีพระราชโองการ มอบสมรสพระราชทานให้คุณหนูจ้าวหลิงอวี้กับองค์ชายสามฉีเฟยหลาง..." ขันทีประกาศเช่นใดจ้าวตงหยางมิได้ยินอีกแล้ว หูของเขาแทบจะดับไปทันที หากมิใช่มีจินเยว่ประคองไว้เขาคงล้มไปนั่งกองกับพื้นแล้วเมื่อส่งขันทีข้างกายฮ่องเต้กลับไปแล้ว จินเยว่ก็หัวเราะกับท่าทีเหม่อลอยของจ้าวตงหยางขึ้นมา "ท่านมิได้รู้อยู่แล้วหรือ ท่านพี่"จ้าวตงหยางหันไปถลึงตาใส่เมียรักอย่างเห็นได้น้อย รู้อยู่แล้วแต่ทำใจไม่ได้ไงตระกูลจ้าวในเวลานี้บ่าวไพร่แม้แต่นายของจวนต่างก็วุ่นวายจัดเตรียมข้าวของ เสวี่ยป๋อเหวินกับเกาซื่อก็มาอยู่ช่วยดูแลงาน ยังขนเงินทองของมีค่ามาหลายหีบเพื่อเติมสินเดิมให้เจ้าสาว"ท่านพ่อ สินเดิมของอวี้เออร์ไม่เยอ
แม่ทัพแคว้นเหยี่ยนส่งคณะทูตมาเจรจากับจ้าวตงหยางถึงค่ายทหาร โดยการยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของแคว้นเหยี่ยนต้องยอมเสียเมืองที่คิดกับแคว้นฉีถึงสามเมือง และจะส่งเครื่องบรรณาการเพิ่มจากเดิมอีกสองส่วนเมื่อทุกฝ่ายหารือร่วมกันเห็นพร่องว่ายินยอมที่จะรับข้อเสนอเช่นนี้ได้ ก็ตกลงทำสัญญาพร้อมถอนทัพกลับทันที ฉีเฟยหลางยังต้องรั้งรอคนที่ราชสำนักส่งมาจัดการหัวเมืองที่ยึดมาได้ก่อน จ้าวตงหยางที่นำทัพกลับเมืองหลวงจึงให้ จางหมิ่นและจางหย่งอยู่ช่วยดูแลอีกแรง การรบกับแคว้นเหยี่ยนครั้งนี้พวกเขาใช้เวลาเดินทางมากกว่าการรบเสียอีก เสียเวลาเดินทางมาสามเดือน เตรียมการรบจนชนะเพียงสองเดือนเท่านั้นตอนนี้จ้าวตงหยางแทบอยากจะมีปีกรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็วเพราะกำหนดคลอดของจินเยว่ใกล้เข้ามาแล้ว หากเข้าเร่งรีบนำทัพกลับคงใช้เวลาอย่างน้อยก็สองเดือนเป็นช่วงคลอดของจินเยว่พอดีฉีเฟยหลางยังคงส่งจดหมายหาหลิงอวี้ทุกครั้งที่เขามีเวลา(ก็เขียนทุกวันก่อนนอน) แม้นางจะเขียนตอบมาน้อยครั้งนัก แต่ทุกครั้งก็จะบอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้บาดเจ็บ เสื้อคลุมที่สวมอยู่ก็เป็นนางที่ส่งมาให้เมื่อคิดจะฝากจดหมายไปและของที่ซื้อไว้ให้นางไปกับว่าท
กองทัพแคว้นฉีถึงโยวเป่ยสามเดือนให้หลัง ตอนนี้ทั้งหมดอยู่ห่างจากเมืองเป่ยซานเพียงสองร้อยลี้ จ้าวตงหยางจึงจำต้องอพยพชาวเมืองโยวเป่ยและเมืองใกล้เคียงให้ห่างออกไปจากแนวการรบอย่างน้อยห้าร้อยลี้ จินเยว่ยังมีส่วนช่วยเรื่องเสบียงของชาวบ้านที่อพยพมา เพราะคนของนางที่โยวเป่ยจำต้องอพยพไปพร้อมกับชาวบ้าน เสบียงที่พวกเขาขนไปด้วยจึงนับว่าช่วยชีวิตคนได้มาก ชาวบ้านจึงมิต้องอดอยากหรือป่วยไข้ตายลงค่ายผู้อพยพก็เป็นจางหย่งที่ได้รับมอบหมายจากบิดาให้เร่งสร้างและจัดหาสิ่งของที่ขาดแคลนให้ชาวบ้านได้ใช้ไปก่อน ถึงคลังหลวงจะมีเงินมากก็มิอาจจะยกทั้งหมดมาใช้กับสงครามได้ เป็นเพราะจินเยว่ที่ได้สามีเป็นแม่ทัพนางจึงนำที่ดิน ที่ฮ่องเต้พระราชทานเป็นรางวัลทั้งหมดมิยอมปล่อยเช่าเช่นขุนนางคนอื่น แต่นางจ้างให้ชาวบ้านปลูกข้าว มันสำปะหลัง พืชผักที่เก็บไว้ได้นาน เลี้ยงดูทหารของตระกูลจ้าว ขึงทำให้มีเสบียงมากพอที่ใช้ในการสู้รบครั้งนี้แม้แต่อาหารพื้นบ้านธรรมดาอย่างเช่นรากบัวก็นำมาปรุงอาหารได้ ถั่วเขียวแช่น้ำ แล้ววางลงในไหหรือตะกร้า เอาผ้าคลุมที่ละชั้นเก็บไว้ในที่มืดคอยรดน้ำสามวันก็เป็นผัก นำมาผัดน้ำมันก็ทานได้แล้ว สิ่งที่นางรู้น
"อวี้เออร์ โกรธข้าหรือ" เขาจ้องหน้าของนางก่อนจะอดใจไม่ไหวก้มลงจุมพิตนางทันที "ท่าน อื้ออออ" หลิงอวี้ที่อ้าปากจะร้องห้ามก็เป็นการเปิดทางให้ฉีเฟยหลางแทรกเรียวลิ้นของเขาเข้ามาได้ กว่าเขาจะยอมถอนริมฝีปากออกจากปากนางก็เมื่อคนขับรถม้าเอ่ยว่าถึงจวนท่านแม่ทัพแล้วฉีเฟยหลางลูบริมฝีปากของหลิงอวี้อย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะช่วยนางจัดเสื้อผ้าแล้วพานางไปส่งด้านในจวน เมื่อส่งหลิงอวี้ถึงมือมารดาของนางแล้วเขาก็กลับเข้าวังหลวงพร้อมจางหย่งอีกครั้งจินเยว่ที่เห็นดวงตาของบุตรสาวปูดบวมและมีองค์ชายสามมาส่งก็ตกใจ เมื่อสอบถามจนได้ความนางก็แทบจะเป็นลมหมดสติ มิคิดว่าให้บุตรสาวไปร่วมงานเลี้ยงจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นถึงเพียงนี้"ไม่เป็นไรลูกรัก ทุกปัญหามีท่านตากับท่านพ่อของเจ้าคอยค้ำไว้ให้" จินเยว่กอดปลอบบุตรสาวที่สะอื้นจนตัวโยนในอ้อมกอดของนาง ลี่หลินก็หลั่งน้ำตาสงสารน้องน้อยของตนเช่นกันที่เขาเรียกว่าความงามทำให้เกิดหายนะก็เพิ่งพบเห็นจากเรื่องของจ้าวหลิงอวี้นี่เอง เรื่องภายในวังถูกร่ำลือออกไปภายนอก ย่อมมีคนเห็นด้วยและเห็นต่าง แต่ส่วนมากจะโกรธแค้นแคว้นเหยี่ยนที่หาเหตุผลมาทำสงครามมิได้ต้องดึงแม่นางน้อยคนหนึ่งมาทำร้าย
ขุนนางทั้งหลายที่ล่วงรู้ก็นึกถึงเรื่องของหนเก่าครั้งของแม่ทัพจ้าว แคว้นเหยี่ยนมิเคยจดจำเสียเลยจ้าวตงหยางเพียงยกสุราขึ้นร่วมชมความสนุกเท่านั้น เพราะครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับตน (เกี่ยวเต็มๆ พ่อรอดู)จางหมิ่นกับจางหย่งก็เหลือบมองหน้าน้องสาวของตนก่อนจะถอนหายใจ เพราะน้องสาวของตนก็สนใจเพียงดื่มกินอาหารตรงหน้าเท่านั้น คงมีเพียงมือที่สั่นอย่างระงับไว้ไม่อยู่"องค์หญิงแคว้นเหยี่ยนเสียมารยาทแล้ว ท่านมีสิทธิ์อันใดมาสอบถามชื่อของนาง" องค์ชายสามกล่าวตำหนิอย่างไม่ไหวหน้า"เช่นนั้นเปิ่นหวางองค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนก็สามารถขอพระราชทานสมรสครั้งนี้แทนได้ใช่หรือไม่" องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนลุกขึ้นพูด"องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยน เจ้าหมายตาบุตรสาวขุนนางของเจิ้นคนใดหรือ หากบิดามารดาของนางยินยอมเจิ้นก็มิขัดข้อง" ฮ่องเต้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียด"จ้าวหลิงอวี้ บุตรสาวแม่ทัพใหญ่จ้าว เปิ่นหวางอยากจะแต่งนางเป็นพระชายา มิรู้ว่าท่านแม่ทัพจะยินยอมหรือไม่" ขุนนางทั้งหลายต่างสูดหายใจเข้าอย่างลืมตัว จ้าวตงหยางที่ยกจอกสุราจรดริมฝีปากเพื่อดื่มก็เผลอบีบแก้วจนแตกคามือ องค์ชายสามก็เช่นกัน สองบุรุษต่างวัยต่างมีสีหน้าดำคล
หลิงอวี้เห็นเช่นนั้นก็สั่งให้คนของนางขับรถกลับจวน ชายชุดดำที่เพิ่งลงไปตอนนี้แอบมองรถม้าของนางอยู่ด้านนอก"องค์ชายจับตัวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฉีเฟยหลางหันไปมององครักษ์ที่เข้ามารายงานก็พยักหน้าแล้วขึ้นม้าควบตามไปเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นรถม้าของหลิงอวี้ เพียงอยากเห็นหน้านางเท่านั้นไม่คิดว่าจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด สามเดือนมานี้เขาฝึกฝนตนเองอย่างหนัก ทั้งรับงานจากเสด็จพ่อมาทำหวังจะทำให้ลืมนางได้ แต่ไม่เลยเขายังคิดถึงเพียงแต่นางวันนี้ฉีเฟยหลางพบสายลับต่างแคว้นที่ลักลอบปะปนเข้ามากับคณะทูตจึงออกมาจับกุมตัว จนได้พบกับรถม้าของตระกูลจ้าว เมื่อเห็นว่าเพิ่งออกมาจากตรอกจวนตระกูลเสวี่ยเขาจึงแน่ใจว่าเป็นนาง จึงรีบจัดการให้คนของตนจับคนร้ายแล้วเขาก็ขึ้นมาในรถม้าของนางแต่ฉีเฟยหลางคิดไม่ถึงว่าหลิงอวี้จะถือมีดสั้นเตรียมต่อสู้กับตนอยู่ แล้วกลัวจะทำให้นางบาดเจ็บจึงได้แย่งมีดไว้ แต่สุดท้ายนางก็ได้รับบาดเจ็บจากเขาอยู่ดีหลิงอวี้กลับถึงจวนก็รีบเข้าเรือนตัวเองทันที แล้วให้สาวใช้หายามาทาให้นาง เรื่องที่เกิดขึ้นก็ให้เก็บเงียบไว้อย่าเพิ่งบอกท่านพ่อท่านแม่แต่หลิงอวี้ยังมิได้ออกไปให้จ้าวตงหยางกับจินเยว่ไ
ฉีเฟยหลางนั่งรอคำตอบของหมอหลวงแทบไม่ติด เขาอยากจะไปดูอาการของนางให้เห็นกับตาแต่ก็ติดที่จางหมิ่นนั่งเฝ้าเป็นพระพุทธรูปอยู่ "องค์ชายสาม คุณหนูจ้าวมีไข้สูง ตัวร้อนดั่งไฟ แต่..." หมอหลวงยังพูดไม่จบ ฉีเฟยหลางก็ลุกขึ้นพุ่งตัวออกไปที่เรือนของหลิงอวี้แล้วจางหมิ่นก็รั้งตัวเขาไว้ไม่ทัน จางหย่งที่เพิ่งเดินสวนออกมาก็ต้องรีบตามกลับไปที่เรือนของน้องสาวตนทันที"อวี้เออร์ เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง" เสียงขององค์ชายสามมาก่อนที่ตัวจะมาถึง หลิงอวี้ที่กำลังหยิบขนมขึ้นมากินก็แทบจะกลืนทันทีฉีเฟยหลางมองดูสภาพคนตรงหน้าที่บอกว่าป่วยหนักแต่ลุกขึ้นมานั่งกินขนมอยู่ก็ใจกระตุก"อวี้เออร์ เจ้าทำเช่นนี้เพราะไม่อยากแต่งกับเปิ่นหวางใช่หรือไม่" เขารู้ว่านางแกล้งป่วยเพราะหลิงอวี้เช็ดปากแล้วแป้งที่มารดานางทาไว้หลุดออก จากปากที่ขาวซีดก็เผยให้เห็นปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อขึ้นแววตาที่เจ็บปวดของเขาจ้องมองมาที่ใบหน้างามของนาง นางรู้ดีว่าเขาคิดเช่นใด ก่อนหน้างานเลี้ยงฉีเฟยหลางก็บอกประสงค์ของตนที่จะเลือกนางเป็นพระชายาไว้แล้ว พอนางทำเช่นนี้จะไม่ให้เขาปวดใจได้อย่างไร"องค์ชายสาม หม่อมฉันขอพูดตามตรง หม่อมฉันมิอาจแต่งเข้าราชวงศ์ฉีได้ เพรา
"ประเดี๋ยว เปิ่นหวางกำลังจะกลับเช่นกัน เช่นนั้นไปพร้อมพวกเจ้าแล้วกัน" องค์ชายสามไม่ได้รอให้จางหย่งรับปากก็เดินนำหน้าไปที่ม้าของตนแล้ว"คุณหนูจ้าว เปิ่นหวางยังมิเคยขอโทษเจ้าเลยสักครั้ง" องค์ชายสามหาเรื่องคุยกับหลิงอวี้"หามิได้เพคะ หลิงอวี้จะกล้ารับคำขอโทษจากองค์ชายได้อย่างไร" นางก้มศีรษะลงแล้วก้าวเท้าขึ้นรถม้าไปองค์ชายสามมองหลิงอวี้ขึ้นรถม้าเสร็จก็กระโดดขึ้นหลังม้าขี่ประกบรถม้าคนละข้างกับจางหย่ง เสียงพูดคุยหัวเราะของดรุณีทั้งสองในรถม้า พาให้คนด้านนอกฟังจนเคลิบเคลิ้ม มารู้ตัวอีกทีก็ถึงจวนแม่ทัพเสียแล้ว"เปิ่นหวางขอตัวก่อน" องค์ชายสามกล่าวกับทั้งสามคนก่อนจะควบม้าไปทางวังหลวงนับตั้งแต่ครั้งนั้นเมื่อหลิงอวี้ไปค่ายทหารทุกครั้งจะบังเอิญพบองค์ชายสามไปเสียทุกครั้ง จ้าวตงหยางก็สังเกตเห็นเช่นกัน แต่องค์ชายสามมิได้แสดงท่าทีเกินเลยกับบุตรสาวจึงมิอาจว่ากล่าวสิ่งใดได้แต่จะให้หลิงอวี้เรียนกับอาจารย์อยู่แต่ภายในจวนเท่านั้นเขาก็สงสารนางเพราะงานเลี้ยงน้ำชาก็แทบจะไม่ได้ไป จะกักขังมากไปก็ดูจะไม่ดี จึงมิได้พูดสิ่งใดที่ไม่ได้พูดเพราะพูดไปแล้วจินเยว่ก็อดที่จะตำหนิเขาไม่ได้ บุตรสาววัยเพียงสิบเอ็ดหนาวก็แท
องค์ชายสามมิคิดว่าเพียงกลั่นแกล้งหลิงอวี้เล็กน้อยเท่านั้นตนกับสหายถึงพบกับเรื่องเช่นนี้ในเมื่อฮ่องเต้ยังส่งองค์ชายสามไปให้จ้าวตงหยางสั่งสอนด้วยตนเอง พวกเขาจะมิยินยอมส่งตัวบุตรหลานไปได้หรือ เหตุการณ์วุ่นวายจึงจบลงเพียงเท่านั้นพอถึงจวนของตนต่างก็จัดเตรียมของกำนัลมากมายส่งไปจวนแม่ทัพเพื่อให้จ้าวตงหยางคลายโทสะ หวังให้สั่งสอนบุตรหลานของตนเบาลงจางหมิ่นกับจางหย่งจากที่วางแผนจะจัดการองค์ชายสามกับสหายก็เปลี่ยนความคิด พรุ่งนี้พวกเขาจะติดตามบิดาไปค่ายนอกเมืองเพื่อร่วมชมความครึกครื้นด้วย"ท่านพ่อ ท่านทำเกินไปหรือไม่เจ้าคะ" หลิงอวี้เมื่อขึ้นนั่งรถม้ากับบิดามารดาก็เอ่ยปากขึ้นครั้งแรก"อวี้เออร์ เจ้าเป็นเสมือนไข่มุกในฝ่ามือพ่อ เรื่องของเจ้าพ่อย่อมจัดการอย่างเหมาะสม เจ้าอย่าได้คิดมากหรือใจอ่อนกับคนพวกนั้นเด็ดขาด มิฉะนั้นเมื่อมีครั้งแรกย่อมมีครั้งต่อไปที่พวกเขาจะรังแกเจ้า" จ้าวตงหยางลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่เขาถนอมนางมาอย่างดีถึงสิบปี คนพวกนั้นจะรังแกก็รังแกง่ายๆเช่นนี้ หากเขาปล่อยผ่านไปก็นับว่าผิดต่อเวลาสิบปีที่ถนอมนางแล้วจินเยว่ดึงบุตรสาวเข้ามากอด ที่นางมิเอ่ยห้ามสามีเพราะนางรู้ดีว่าหากถูกรังแก