หลีม่านฟังแล้วนิ่งไป นี่เป็นเหตุผลที่เขายกขึ้นมา แม้ว่าสตรีจะเข้าร่วมในการเจรจาไม่ได้แต่ท่านอ๋องก็จัดที่นั่งให้นางฟังอยู่ที่ฉากกั้นด้านหลัง นางจะเห็นผู้เข้าเจรจาทั้งหมดและมีเขาที่นั่งอยู่ด้วยโดยที่โต๊ะเจรจาจะมีขุนนางและฟางอี้หลงเป็นตัวแทนของเขาในการเจรจาสัญญาสงบศึกครั้งนี้“เจ้านั่งอยู่กับข้าที่นี่ หากว่ามีสิ่งใดที่อยากจะเพิ่มเติมก็บอก ข้าจะสั่งให้คนไปแจ้งกับอี้หลงเข้าใจหรือไม่”“พวกเขาจะยอมแน่หรือเพคะ พระองค์ไม่กลัวว่าหากเจรจาไปแล้วพวกเขาไม่ทำตามเงื่อนไข...”“ที่จริงข้าไม่เคยกลัวแคว้นซีเป่ยนี่เลย แม้ว่าจะยกทัพมาข้าก็สามารถสู้กับพวกเขาได้ตลอด แต่ว่านั่นไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับคนที่อาศัยอยู่ชายแดนข้าก็แค่หาหนทางแก้ไขในระยะยาว ดีกว่าตั้งทัพยาวนานและสู้กับสงครามที่ไม่จบสิ้นนี้”“พระองค์เป็นผู้ที่นึกถึงราษฎรจริง ๆ หม่อมฉันเชื่อว่าการเจรจาครั้งนี้จะนำพาความสงบมาสู่ลู่โจวเสียที”ท่านอ๋องเอื้อมมือมาจับนางเอาไว้แน่น หลีม่านไม่ได้ดึงมือหนีแต่ก็ยังไม่กล้าจะหันไปสบตาของท่านอ๋อง“ที่ข้าพาเจ้ามาก็เพื่อจะได้รู้ว่าพวกเขาคิดเช่นไร แต่เจ้าไม่ต้องห่วง อี้หลงพี่ใหญ่ของเจ้ามีฝีปากเป็นเลิศในการต่อรอง เขาไม
เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงเรื่องสัญญากันได้แล้ว เจ้าเมืองลู่โจวจึงได้ร่างสัญญาฉบับหนึ่งขึ้นมา เป็นสัญญาลับระยะสั้นที่เกี่ยวกับเรื่องที่ทั้งสองแคว้นจะตกลงถอยทัพกลับเมืองของตัวเองเพื่อแลกกับยาระงับพิษและยาถอนพิษที่จะมอบให้ในอีกสิบห้าวันที่จะส่งมอบอีกครั้งในที่ประชุมและจะมีตัวแทนอีกสองแคว้นเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ด้วย“เรากลับกันได้แล้วล่ะ”“พระองค์ทรงมั่นพระทัยแล้วหรือเพคะว่าพวกเข้าจะยอมถอยทัพจริง ๆ”“หากเป็นเจ้า จะยอมถอยหรือดึงดันสู้ต่อล่ะ ข้าคิดว่าข้าอ่านใจคนอย่างองค์ชายสามออก เขารักตัวกลัวตายมากกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก”“อย่างไรหรือเพคะ”“หากว่าเขาไม่รับยารักษาสู้ตายอย่างวีรบุรุษไปเลยก็จะจบ และศึกกับลู่โจวก็ปล่อยให้องค์ชายคนอื่นสานต่อ ถึงแม้จะเลือกสู้ต่อ พวกเขาก็รู้ว่าไม่มีทางเอาชนะได้ ดังนั้นจึงกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นผู้ต้องหาในการแพ้สงครามเสียเอง ดังนั้นเลือกชีวิตเอาไว้จะดีกว่าเพราะอย่างน้อยสัญญาสงบศึกก็สามารถแน่ใจได้ว่าซีเป่ยจะไม่ถูกเรารุกรานไปอีกนาน”“เป็นเช่นนี้นี่เอง เขาก็แค่กำลังหาทางจบศึกนี้โดยใช้อาการบาดเจ็บเป็นข้ออ้างเลิกทำศึกเพื่อมิให้ตัวเองเสียเปรียบอีกฝ่ายโดยต้องจ่ายค
“พระองค์ไม่รีบไปคุยกับพี่ใหญ่หรือเพคะ”“ไม่รีบ ข้าจะไปส่งเจ้าที่ห้องยาเพราะพวกเขาต้องเก็บของก่อนอยู่แล้ว”“ตะ แต่ว่าพระองค์ยืนขวางเช่นนี้….”“อ้อ เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ ไปดูว่ามีสิ่งใดขาดเหลืออีกหรือไม่ เชิญ”บทจะหยุดพูดก็เล่นเอาหลีม่านทำตัวไม่ถูกเช่นกัน นางไม่รู้เลยว่าท่านอ๋องคิดสิ่งใดอยู่แต่สีหน้าและแววตาเมื่อเห็นหยวนเสี่ยวผิงนั้นมีความไม่พอใจอยู่จนเห็นได้ชัดว่าทรงไม่พอพระทัยที่พบเขาอยู่ที่นี่ ห้องยาหลีม่านเดินเข้าไปในห้องที่เก็บสมุนไพรของสกุลตง แต่ด้านในนั้นเต็มไปด้วยยาชนิดต่าง ๆ ก่อนเข้าไปนางจึงต้องใช้ผ้าผูกหน้าปิดจมูกเข้าไป แต่เมื่อหันมามองท่านอ๋องที่ยืนจามด้านหลัง แต่ผ้าผูกหน้ามีเพียงผืนเดียวนางจึงต้องหันไปแจ้งเขา“ข้างในนี้ฉุนนัก พระองค์รอข้างนอกเถิดเพคะหม่อมฉันเข้าไปเอง”“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าใช้สิ่งใดบ้างเผื่อวันหน้าจะช่วยเจ้าหาได้”“แต่ว่าข้าในนี้ฉุนยาสมุนไพร พระองค์อาจจะทนไม่ไหว”เขาหันไปมองข้างกายนางและค่อย ๆ ดึงผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บเอาไว้ที่เอวของหลีม่านออกมาอย่างเบามือ หลีม่านวาบหวามใจไม่น้อยราวกับว่าสิ่งที่เขาหยิบคือสายคาดเอวของนาง และต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเขายื่นผ้าเช็ดหน้ามาต
หลีม่านค่อย ๆ เงยหน้าขมวดคิ้วมองพักตร์ท่านอ๋องที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า “ข้าต้องออกไปก่อน เจ้าก็จัดการเรื่องของเจ้าให้เรียบร้อยหากว่ามีสิ่งใดที่ต้องการเพิ่มเติมก็รีบบอก จะได้ให้คนช่วยจัดหาก่อนที่เราจะออกเดินทางขึ้นเขาหาสมุนไพรที่เหลือ”“เพคะ”ท่านอ๋องเดินออกไปจากห้องยาแล้ว เขาไม่ลืมที่จะเก็บผ้าเช็ดหน้าของนางเข้าไปที่ปกเสื้อของตนเองโดยที่ไม่คืนให้หลีม่าน และทิ้งให้นางยืนอยู่ในห้อง“ให้ตายสิ ในห้องนี้ร้อนชะมัดเลย”ด้านนอก “เจ้าบอกว่า ในคืนนั้นคนของเราถูกล่อให้ออกไปจากจวนสกุลตง ก่อนที่ท่านหมอตงผู้เฒ่าจะถูกฆ่างั้นหรือ แล้วมันเป็นพวกเดียวกันหรือไม่”“จากรายงานที่ได้รับมาเห็นบอกว่าพวกมันแบ่งออกเป็นสองกลุ่มพ่ะย่ะค่ะ แยกกันลงมือ”“แต่ทหารที่เฝ้าอยู่สกุลตงเป็นทหารฝีมือทำไมจึงหลงกลได้ง่าย ๆ เช่นนั้น”“ทหารที่รอดมาได้คืนนั้นเล่าว่าเพราะพวกมันจับท่านหมอตงเป็นตัวประกันและพาออกจากจวนไป พวกเขาจึงต้องแบ่งกำลังตามไปพ่ะย่ะค่ะ”“นั่นแสดงว่าท่านตาถูกคนร้ายลักพาตัวไปก่อน แล้วให้คนร้ายที่เหลือฆ่าและรื้อค้นยาในจวนสกุลตง พอไม่เจอพวกมันจึงได้สังหารท่านตา และนำศพมาไว้ที่เดิมเพื่อให้คนที่มาเห็นคิดว่าท่านตาถูกฆ่าต
ฟางหลีม่านทำอะไรไม่ได้เพราะนางเองก็ขี่ม้าไม่คล่องอย่างที่เขาเข้าใจจริง ๆ นั่นแหละ อีกอย่างม้าอีกตัวก็ไปพร้อมสัมภาระที่หนักอยู่แล้วหากนางยังไปนั่งคงเพิ่มภาระให้กับมันจึงยอมนั่งม้าตัวเดียวกับท่านอ๋องและเดินทางขึ้นเขาทันที ท่านอ๋องค่อย ๆ ลดความเร็วม้าลงเมื่อถึงช่วงตีนเขาอินซางและเลือกที่จะเดินขึ้นเขาแทน เขาอินซาง“ตรงนี้แหละเพคะ นี่คือทางเข้าป่าเหมันต์”“เหตุใดจึงมีป้ายบอกทางว่าเป็นหุบเขาผีเล่า”“นั่นเพราะเสียงเล่าขานและเรื่องเล่าที่ชาวบ้านเล่าต่อ ๆ กันมาเรื่องที่พบในหุบเขานี้ จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปด้านในเพคะ”“งั้นหรือ ผีมีจริงที่ไหนกัน”“หม่อมฉันเคยถามท่านตาครั้งหนึ่ง ท่านตาก็เอาแต่ขำเพราะในตอนนั้นหม่อมฉันยังเด็กมากก็เลยกลัว”“หากว่าข้าเข้าใจไม่ผิดผู้ที่เขียนป้ายนี่ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นท่านหมอตงเองนั่นแหละ”“อะไรนะเพคะ”นางถามระหว่างที่พวกเขาเดินเข้ามาในหุบเขาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ห่าวหรานก็ต้องยอมรับว่าด้านในป่านี้ทั้งมืดและเย็นกว่าด้านนอกจริง ๆ ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะกลัว“ก็ในป่าที่ดิบชื้นและอากาศเย็นเช่นนี้เป็นที่ที่มีสมุนไพรหายากมากมายน่ะสิ ดังนั้นเพื่อมิให้ป่าถูกค้นพบหรือถูกทำลายก็ต้องปล
“อะไรนะเพคะ แต่ว่าที่นี่มีกองไฟแล้วไม่น่าจะหนาวแล้ว”“เจ้าดูถูกป่าลึกในยามดึกมากเกินไปแล้ว อีกไม่นานฟืนหมดไฟก็จะดับ อีกอย่างข้ามิได้อยู่เฝ้าเจ้าทั้งคืนเพราะต้องเดินทาง เช่นนั้นผ้าคลุมของพวกเราจะต้องนำมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด”“เช่นนั้น…”“มานี่เถอะอย่ากลัวมากเกินไป ข้าเองก็ทำใจลำบากเจ้าไม่รู้หรือว่าการที่ต้องนอนกอดเจ้าอยู่เฉย ๆ ทั้งคืนมันจะทรมานเพียงใด”ฟางหลีม่านมิได้กลัวว่าเขาจะหักห้ามใจมิได้ แต่นางกลัวใจของตัวเองมากกว่าเพราะถึงอย่างไรหยางห่าวหรานก็ได้ชื่อว่าเป็นรักเดียวในใจของนาง ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือในตอนนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางค่อย ๆ ขยับนอนบนที่นอนฟางข้าง ๆ เขาโดยมีชุดคลุมขนสัตว์ของท่านอ๋องเป็นผ้าห่ม“ตัวเจ้าหอมยิ่งนัก”“คือว่า…”“เสียงเจ้าสั่น หนาวสินะ”เพียงแค่ท่านอ๋องที่กระชับอ้อมกอดเข้ามาจากด้านหลังก็ทำให้นางแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงอากาศที่เย็นจัดในป่านี้เลย ตอนนี้แม้แต่ไฟตรงหน้าก็ดูจะร้อนน้อยกว่าไฟปรารถนาในหัวใจของนางเสียอีก ซึ่งหากถามอีกฝ่ายเองก็คงจะพอ ๆ กันเพราะเสียงหัวใจของท่านอ๋องเต้นแรงพอ ๆ กับนาง“หนาว… อือ…”“เหยาเหยา เจ้าไหวหรือไม่"“หนาวเหลือเกินเพคะ ท
สิ้นคำกล่าวนั้นท่านอ๋องก็เริ่มจูบนางอีกครั้งทันทีเพื่อมิให้นางได้เอ่ยสิ่งใดขึ้นมาอีก เขาพยายามจะอ่อนโยนกับนางให้มากที่สุดเนื่องจากเป็นครั้งแรกของทั้งคู่ อีกอย่างแม้ว่าบรรยากาศจะเป็นใจมากเท่าใดแต่เขาก็มิได้อยากให้ครั้งแรกของนางเจ็บปวดและทรมานจนไม่เป็นที่น่าจดจำ“อื้อ…. อื้อ”เสียงร้องในลำคอทำเอาเขาแอบตกใจเล็กน้อยเมื่อเล็บของนางเริ่มจิกมาที่ต้นคอของเขา มังกรยักษ์ค่อย ๆ สอดเข้าไปได้เพียงครึ่งทาง“อาา…แน่นมาก เหยาเหยาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“อื้อ ไม่เป็นไรเพคะ อ๊าา!!”เมื่อนางบอกว่าไม่เป็นไรเขาจึงตัดสินใจดันกายเข้าไปจนสุดเพราะนางเริ่มปรับตัวกับเขาได้แล้ว ไม่นานมังกรยักษ์ก็เข้าไปด้านในจนสุด ซึ่งเขากลับรู้สึกทรมานมากกว่าเดิม เพราะมันทั้งคับแน่น ร้อนและตอดรัดรุนแรงจนแทบทนต่อไปไม่ไหว เสียงครางต่ำราวกับจะขาดใจของเขาทำเอาหลีม่านไม่กล้าขยับกาย แม้จะยังเจ็บอยู่แต่ก็ค่อย ๆ ทุเลาลงมากแล้ว“ห่าวหราน อ๊าา”“เหยาเหยา ข้าจะเริ่มขยับแล้วนะคนดี อาา…”หลังจากนั้นพวกเขาก็แทบจะมิได้พูดอะไรอีก นอกจากเสียงครวญครางและสลับกับจุมพิตดูดดื่มที่ผลัดมอบให้กัน บัดนี้หลีม่านค่อย ๆ ปรับตัวได้และเริ่มเป็นฝ่ายรุกคืนบ้างแล้ว
“หยางห่าวหรานท่านมันเป็นคนเช่นไรกันนะ!”“อะไรเล่าข้าก็แค่เป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะหิวจนหมดแรง…ก็ได้ ๆ ไม่พูดแล้ว”ท่านอ๋องเห็นสายตาที่หันมาค้อนเขาจึงได้รีบหยุด ใช่ว่าเขาจะอยากทะเลาะกับนางเสียเมื่อไหร่ เขารู้ว่านางพกเสบียงมามากพอที่จะเดินทางไปกลับ หากว่าโง่ทะเลาะกันตอนนี้มีหวังว่าเขาคงอดข้าวเช้าเป็นแน่“นี่เพคะ”“เจ้ากินเพียงแค่นี้จะอิ่มหรือ เจ้า… ก็ได้ ๆ ไม่พูดแล้ว”เขาก็แค่เป็นห่วงเพราะเกรงว่าเพียงแค่แป้งทอดกับเซาปิ่งไส้ถั่วแดงเพียงอันเดียวนางจะไม่อยู่ท้อง แต่เมื่อเห็นนางหยิบเพียงเซาปิ่งเพียงอันเดียวก็ดื่มน้ำและเดินไปที่เสี่ยวเซินเขาก็รู้ว่านางเป็นคนกินน้อยจริง ๆ “เจ้าน่าจะกินมาก ๆ กว่านี้หน่อยตัวเจ้าแทบจะถูกลมพัดปลิวได้อยู่แล้ว เมื่อคืนใช้แค่มือเดียว…”“หยางห่าวหรานหากท่านยังไม่หยุดพูดข้าจะ…”เขาไม่รอให้นางด่าอยู่ฝ่ายเดียวหรอก ทางที่ดีต้องรีบปิดปากนางเสียก่อน ห่าวหรานโน้มตัวลงไปจูบนางโดยมิได้ให้โอกาสนางได้ต่อว่าเขาอีก มือที่กำลังชี้หน้าท่านอ๋องอยู่เริ่มอ่อนลงจนเผลอคว้าต้นคอของเขาเอาไว้ เนิ่นนานกว่าที่ท่านอ๋องจะยอมปล่อยนาง“เอาล่ะพระชายาที่รักพวกเรายังต้องรีบทำภารกิจอีก ข้าคิดว่าหลังจาก