“สำหรับกระหม่อมแล้วคิดว่าม่านเอ๋อร์ยังมีเรื่องท่านตาที่ยังติดค้างอยู่ในใจจึงไม่อยากคิดถึงเรื่องแต่งงาน อีกอย่างกระหม่อมมั่นใจเหลือเกินว่านางมิได้มีความคิดแตกต่างไปจากพระองค์ วันที่จะกลับมาที่ลู่โจวนางร้องไห้และตัดพ้อว่าพระองค์มิได้ชอบนาง วันนั้นกระหม่อมจำได้ว่าม่านเอ๋อร์เสียใจมาก”“ครั้งนั้นเป็นข้าที่เข้าใจนางผิดคิดว่าพวกเจ้าสองคน…เป็นคนรักกัน ใครจะรู้ว่านางจะปลอมตัวเข้ามาในค่ายเช่นนี้กันเล่า”“อย่าทรงโทษตัวเองเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหวังว่าพระองค์และม่านเอ๋อร์จะปรับความเข้าใจกันได้ในเร็ววัน”“ไม่ต้องห่วง ข้ามีวิธีการของข้าอยู่แล้ว”“แต่ว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่พระองค์คงต้องระวังเอาไว้ จะไว้ใจไม่ได้เช่นกัน”“เจ้าหมายถึงอะไร”“หยวนเสี่ยวผิง”“คุณชายหยวนผู้นั้นน่ะหรือ”“เขาติดตามน้องสาวกระหม่อมมาตั้งแต่เมืองซีโจวมาถึงลู่โจว แม้จะอ้างว่ามาดูแลกิจการของสกุลหยวนแต่ใครจะไม่รู้บ้างว่าคุณชายหยวนผู้นี้ตามนางมา ครั้งก่อนยังบอกสาเหตุที่คนร้ายบุกว่าเกี่ยวกับตำแหน่งคู่หมั้นของนางจนทำให้นางเกือบจะเข้าใจพระองค์ผิด จากที่กระหม่อมสืบมาก่อนหน้านี้เขาก็เอาข่าวลือว่าพระองค์สิ้นพระชนม์มาบอกนางจนทำให้นางล้มป่วยอ
ฟางอี้หลงและท่านอ๋องที่เดินตามออกมาถึงกับหันมามองหน้ากันและรีบเดินมาทันที“เขามาทำอะไรที่นี่”“ดูเหมือนว่าจะตามไปที่จวนด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านโหวน้อยผู้นี้สู้ไม่ถอยจริง ๆ แม้ว่าพระชายาจะไม่ได้ให้ความหวัง เขาตามตื๊อเก่งน่าดูเลยนะพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”ต้าเป่าหันมารายงานเพราะวันก่อนที่เขาติดตามหลีม่านไปรับสาวใช้ที่จวนสกุลหยวน ท่านโหวน้อยผู้นี้ก็เอาแต่หว่านล้อมฟางหลีม่านเกี่ยวกับคืนที่ท่านตานางถูกลอบสังหารว่าเกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง“ท่านอ๋อง จะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ไปส่งนางกลับไปสกุลตง ในเมื่อข้าเป็นคนอนุญาตนางเองก็ควรจะไปส่งด้วยตนเอง”“ท่านอ๋องของเจ้าดูท่าจะอาการหนักนะต้าเป่า”“นั่นสิขอรับ นี่พี่อี้หลงท่านว่าท่านอ๋องของข้า…หึงพระชายาใช่หรือไม่”“ไม่”“ไม่ใช่หรือ แต่ข้าว่า…”“ไม่เหลือน่ะสิ หึหึ ไปเถอะข้าจะไปดูหน่อยดูสิว่าวันนี้ไหน้ำส้มจะแตกหน้าจวนอ๋องหรือไม่”“รอข้าด้วยสิขอรับ”หน้าจวน“ท่านโหวน้อย ท่านมาส่งคุณหนูกลับจวนสกุลตงหรือเจ้าคะ”“ฉลาดสมกับเป็นเจียวจู ใช่แล้วข้ามาก็เพื่อ….”“อะแฮ่ม”“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”หยางห่าวหรานเดินมาหน้าจวนพร้อมกับโอบรอบเอวของฟางหลีม่านเอาไว้ นางหันมามองที
หลีม่านฟังแล้วนิ่งไป นี่เป็นเหตุผลที่เขายกขึ้นมา แม้ว่าสตรีจะเข้าร่วมในการเจรจาไม่ได้แต่ท่านอ๋องก็จัดที่นั่งให้นางฟังอยู่ที่ฉากกั้นด้านหลัง นางจะเห็นผู้เข้าเจรจาทั้งหมดและมีเขาที่นั่งอยู่ด้วยโดยที่โต๊ะเจรจาจะมีขุนนางและฟางอี้หลงเป็นตัวแทนของเขาในการเจรจาสัญญาสงบศึกครั้งนี้“เจ้านั่งอยู่กับข้าที่นี่ หากว่ามีสิ่งใดที่อยากจะเพิ่มเติมก็บอก ข้าจะสั่งให้คนไปแจ้งกับอี้หลงเข้าใจหรือไม่”“พวกเขาจะยอมแน่หรือเพคะ พระองค์ไม่กลัวว่าหากเจรจาไปแล้วพวกเขาไม่ทำตามเงื่อนไข...”“ที่จริงข้าไม่เคยกลัวแคว้นซีเป่ยนี่เลย แม้ว่าจะยกทัพมาข้าก็สามารถสู้กับพวกเขาได้ตลอด แต่ว่านั่นไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับคนที่อาศัยอยู่ชายแดนข้าก็แค่หาหนทางแก้ไขในระยะยาว ดีกว่าตั้งทัพยาวนานและสู้กับสงครามที่ไม่จบสิ้นนี้”“พระองค์เป็นผู้ที่นึกถึงราษฎรจริง ๆ หม่อมฉันเชื่อว่าการเจรจาครั้งนี้จะนำพาความสงบมาสู่ลู่โจวเสียที”ท่านอ๋องเอื้อมมือมาจับนางเอาไว้แน่น หลีม่านไม่ได้ดึงมือหนีแต่ก็ยังไม่กล้าจะหันไปสบตาของท่านอ๋อง“ที่ข้าพาเจ้ามาก็เพื่อจะได้รู้ว่าพวกเขาคิดเช่นไร แต่เจ้าไม่ต้องห่วง อี้หลงพี่ใหญ่ของเจ้ามีฝีปากเป็นเลิศในการต่อรอง เขาไม
เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงเรื่องสัญญากันได้แล้ว เจ้าเมืองลู่โจวจึงได้ร่างสัญญาฉบับหนึ่งขึ้นมา เป็นสัญญาลับระยะสั้นที่เกี่ยวกับเรื่องที่ทั้งสองแคว้นจะตกลงถอยทัพกลับเมืองของตัวเองเพื่อแลกกับยาระงับพิษและยาถอนพิษที่จะมอบให้ในอีกสิบห้าวันที่จะส่งมอบอีกครั้งในที่ประชุมและจะมีตัวแทนอีกสองแคว้นเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ด้วย“เรากลับกันได้แล้วล่ะ”“พระองค์ทรงมั่นพระทัยแล้วหรือเพคะว่าพวกเข้าจะยอมถอยทัพจริง ๆ”“หากเป็นเจ้า จะยอมถอยหรือดึงดันสู้ต่อล่ะ ข้าคิดว่าข้าอ่านใจคนอย่างองค์ชายสามออก เขารักตัวกลัวตายมากกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก”“อย่างไรหรือเพคะ”“หากว่าเขาไม่รับยารักษาสู้ตายอย่างวีรบุรุษไปเลยก็จะจบ และศึกกับลู่โจวก็ปล่อยให้องค์ชายคนอื่นสานต่อ ถึงแม้จะเลือกสู้ต่อ พวกเขาก็รู้ว่าไม่มีทางเอาชนะได้ ดังนั้นจึงกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นผู้ต้องหาในการแพ้สงครามเสียเอง ดังนั้นเลือกชีวิตเอาไว้จะดีกว่าเพราะอย่างน้อยสัญญาสงบศึกก็สามารถแน่ใจได้ว่าซีเป่ยจะไม่ถูกเรารุกรานไปอีกนาน”“เป็นเช่นนี้นี่เอง เขาก็แค่กำลังหาทางจบศึกนี้โดยใช้อาการบาดเจ็บเป็นข้ออ้างเลิกทำศึกเพื่อมิให้ตัวเองเสียเปรียบอีกฝ่ายโดยต้องจ่ายค
“พระองค์ไม่รีบไปคุยกับพี่ใหญ่หรือเพคะ”“ไม่รีบ ข้าจะไปส่งเจ้าที่ห้องยาเพราะพวกเขาต้องเก็บของก่อนอยู่แล้ว”“ตะ แต่ว่าพระองค์ยืนขวางเช่นนี้….”“อ้อ เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ ไปดูว่ามีสิ่งใดขาดเหลืออีกหรือไม่ เชิญ”บทจะหยุดพูดก็เล่นเอาหลีม่านทำตัวไม่ถูกเช่นกัน นางไม่รู้เลยว่าท่านอ๋องคิดสิ่งใดอยู่แต่สีหน้าและแววตาเมื่อเห็นหยวนเสี่ยวผิงนั้นมีความไม่พอใจอยู่จนเห็นได้ชัดว่าทรงไม่พอพระทัยที่พบเขาอยู่ที่นี่ ห้องยาหลีม่านเดินเข้าไปในห้องที่เก็บสมุนไพรของสกุลตง แต่ด้านในนั้นเต็มไปด้วยยาชนิดต่าง ๆ ก่อนเข้าไปนางจึงต้องใช้ผ้าผูกหน้าปิดจมูกเข้าไป แต่เมื่อหันมามองท่านอ๋องที่ยืนจามด้านหลัง แต่ผ้าผูกหน้ามีเพียงผืนเดียวนางจึงต้องหันไปแจ้งเขา“ข้างในนี้ฉุนนัก พระองค์รอข้างนอกเถิดเพคะหม่อมฉันเข้าไปเอง”“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าใช้สิ่งใดบ้างเผื่อวันหน้าจะช่วยเจ้าหาได้”“แต่ว่าข้าในนี้ฉุนยาสมุนไพร พระองค์อาจจะทนไม่ไหว”เขาหันไปมองข้างกายนางและค่อย ๆ ดึงผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บเอาไว้ที่เอวของหลีม่านออกมาอย่างเบามือ หลีม่านวาบหวามใจไม่น้อยราวกับว่าสิ่งที่เขาหยิบคือสายคาดเอวของนาง และต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเขายื่นผ้าเช็ดหน้ามาต
หลีม่านค่อย ๆ เงยหน้าขมวดคิ้วมองพักตร์ท่านอ๋องที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า “ข้าต้องออกไปก่อน เจ้าก็จัดการเรื่องของเจ้าให้เรียบร้อยหากว่ามีสิ่งใดที่ต้องการเพิ่มเติมก็รีบบอก จะได้ให้คนช่วยจัดหาก่อนที่เราจะออกเดินทางขึ้นเขาหาสมุนไพรที่เหลือ”“เพคะ”ท่านอ๋องเดินออกไปจากห้องยาแล้ว เขาไม่ลืมที่จะเก็บผ้าเช็ดหน้าของนางเข้าไปที่ปกเสื้อของตนเองโดยที่ไม่คืนให้หลีม่าน และทิ้งให้นางยืนอยู่ในห้อง“ให้ตายสิ ในห้องนี้ร้อนชะมัดเลย”ด้านนอก “เจ้าบอกว่า ในคืนนั้นคนของเราถูกล่อให้ออกไปจากจวนสกุลตง ก่อนที่ท่านหมอตงผู้เฒ่าจะถูกฆ่างั้นหรือ แล้วมันเป็นพวกเดียวกันหรือไม่”“จากรายงานที่ได้รับมาเห็นบอกว่าพวกมันแบ่งออกเป็นสองกลุ่มพ่ะย่ะค่ะ แยกกันลงมือ”“แต่ทหารที่เฝ้าอยู่สกุลตงเป็นทหารฝีมือทำไมจึงหลงกลได้ง่าย ๆ เช่นนั้น”“ทหารที่รอดมาได้คืนนั้นเล่าว่าเพราะพวกมันจับท่านหมอตงเป็นตัวประกันและพาออกจากจวนไป พวกเขาจึงต้องแบ่งกำลังตามไปพ่ะย่ะค่ะ”“นั่นแสดงว่าท่านตาถูกคนร้ายลักพาตัวไปก่อน แล้วให้คนร้ายที่เหลือฆ่าและรื้อค้นยาในจวนสกุลตง พอไม่เจอพวกมันจึงได้สังหารท่านตา และนำศพมาไว้ที่เดิมเพื่อให้คนที่มาเห็นคิดว่าท่านตาถูกฆ่าต
ฟางหลีม่านทำอะไรไม่ได้เพราะนางเองก็ขี่ม้าไม่คล่องอย่างที่เขาเข้าใจจริง ๆ นั่นแหละ อีกอย่างม้าอีกตัวก็ไปพร้อมสัมภาระที่หนักอยู่แล้วหากนางยังไปนั่งคงเพิ่มภาระให้กับมันจึงยอมนั่งม้าตัวเดียวกับท่านอ๋องและเดินทางขึ้นเขาทันที ท่านอ๋องค่อย ๆ ลดความเร็วม้าลงเมื่อถึงช่วงตีนเขาอินซางและเลือกที่จะเดินขึ้นเขาแทน เขาอินซาง“ตรงนี้แหละเพคะ นี่คือทางเข้าป่าเหมันต์”“เหตุใดจึงมีป้ายบอกทางว่าเป็นหุบเขาผีเล่า”“นั่นเพราะเสียงเล่าขานและเรื่องเล่าที่ชาวบ้านเล่าต่อ ๆ กันมาเรื่องที่พบในหุบเขานี้ จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปด้านในเพคะ”“งั้นหรือ ผีมีจริงที่ไหนกัน”“หม่อมฉันเคยถามท่านตาครั้งหนึ่ง ท่านตาก็เอาแต่ขำเพราะในตอนนั้นหม่อมฉันยังเด็กมากก็เลยกลัว”“หากว่าข้าเข้าใจไม่ผิดผู้ที่เขียนป้ายนี่ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นท่านหมอตงเองนั่นแหละ”“อะไรนะเพคะ”นางถามระหว่างที่พวกเขาเดินเข้ามาในหุบเขาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ห่าวหรานก็ต้องยอมรับว่าด้านในป่านี้ทั้งมืดและเย็นกว่าด้านนอกจริง ๆ ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะกลัว“ก็ในป่าที่ดิบชื้นและอากาศเย็นเช่นนี้เป็นที่ที่มีสมุนไพรหายากมากมายน่ะสิ ดังนั้นเพื่อมิให้ป่าถูกค้นพบหรือถูกทำลายก็ต้องปล
“อะไรนะเพคะ แต่ว่าที่นี่มีกองไฟแล้วไม่น่าจะหนาวแล้ว”“เจ้าดูถูกป่าลึกในยามดึกมากเกินไปแล้ว อีกไม่นานฟืนหมดไฟก็จะดับ อีกอย่างข้ามิได้อยู่เฝ้าเจ้าทั้งคืนเพราะต้องเดินทาง เช่นนั้นผ้าคลุมของพวกเราจะต้องนำมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด”“เช่นนั้น…”“มานี่เถอะอย่ากลัวมากเกินไป ข้าเองก็ทำใจลำบากเจ้าไม่รู้หรือว่าการที่ต้องนอนกอดเจ้าอยู่เฉย ๆ ทั้งคืนมันจะทรมานเพียงใด”ฟางหลีม่านมิได้กลัวว่าเขาจะหักห้ามใจมิได้ แต่นางกลัวใจของตัวเองมากกว่าเพราะถึงอย่างไรหยางห่าวหรานก็ได้ชื่อว่าเป็นรักเดียวในใจของนาง ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือในตอนนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางค่อย ๆ ขยับนอนบนที่นอนฟางข้าง ๆ เขาโดยมีชุดคลุมขนสัตว์ของท่านอ๋องเป็นผ้าห่ม“ตัวเจ้าหอมยิ่งนัก”“คือว่า…”“เสียงเจ้าสั่น หนาวสินะ”เพียงแค่ท่านอ๋องที่กระชับอ้อมกอดเข้ามาจากด้านหลังก็ทำให้นางแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงอากาศที่เย็นจัดในป่านี้เลย ตอนนี้แม้แต่ไฟตรงหน้าก็ดูจะร้อนน้อยกว่าไฟปรารถนาในหัวใจของนางเสียอีก ซึ่งหากถามอีกฝ่ายเองก็คงจะพอ ๆ กันเพราะเสียงหัวใจของท่านอ๋องเต้นแรงพอ ๆ กับนาง“หนาว… อือ…”“เหยาเหยา เจ้าไหวหรือไม่"“หนาวเหลือเกินเพคะ ท