"หวังจิ้งนี่ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว"เสียงเเหบๆแห้งๆเอ่ยถามเด็กชาย นั่นทำให้เขายิ่งตัวสั่นระริกเข้าไปให้ เด็กน้อยกลัวทุกๆอย่างที่จะเกิดขึ้น ในตอนนี้เขาเพียงขออย่าให้ท่านแม่ได้หลับไปอีกเป็นพอ"เมื่อครั้งข้ายังสามขวบท่านแม่หลับไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยจนตอนนี้ข้าสิบเอ็ดขวบแล้วขอรับ"เสียงเด็กชายทุ้มและสั่นระริกมือเรียวๆได้แต่ลูบหลังปลอบใจเบาๆ โชคดีที่ยังไม่ตาย หลับไปเเปดปีเธอคงโชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่โดนเจ้าชายจุมพิตแล้วตื่นขึ้นมาเหมือนเจ้าหญิงออโรร่าน่ะตามหารักแท้ความคิดของจางหมิ่นถึงจะงงมึนๆมาไม่ครบแต่เธอก็ยังมีความติดตลกในความคิดของตนเอง"หวังจิ้งเจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดได้หรือไม่?"เสียงแหบที่ดีขึ้นมาบ้างของหลินเฟิงยังคงเอ่ยถามเบาๆ อาการสั่นของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนว่าจะผ่อนคลายลงบ้างแล้ว ไม่ได้สั่นแบบเจ้าเข้าเหมือนเมื่อครู่"ท่านแม่ท่านหลับไปปีแรกท่านพ่อทำงานหนักมากหาเก็บเห็ดเยื่อไผ่จากบนเขาไปขายมาเป็นค่ารักษาท่านในทุกๆ สัปดาห์ท่านพ่อต้องหอบทั้งฟืนตะกร้าเห็ดอีกทั้งยังกระสอบเม็ดบัวไปขายในตัวอำเภอหลิวหยางเพียงคนเดียวนานๆ ครั้งอาหรงเหยาจะตามไปช่วยบ้างเวลาที่กลับบ้านขอรับ""อ่าวแล้วหรง
มือของเด็กหนุ่มที่เริ่มหยาบกร้านขึ้นเต็มทีก็เก็บผีเสื้อใบไม้กลับไปที่ชายอกเสื้อดังเดิม หลินเฟิงมองสำรวจไปรอบๆบริเวณแต่ก็ไม่เห็นผู้อาวุโสเจียเจิงเลย"หวังจิ้งผู้อาวุโสล่ะ?"เสียงแหบที่ใสขึ้นมาสักหน่อยจากครั้งแรกเอ่ยถามพร้อมกวาดสายตาไปโดยรอบแต่ไม่พบเป้าหมายที่ตนอยากจะเจอ"ท่านปู่ขึ้นเขาตั้งแต่ยามเหม่าแล้วขอรับ""ยามเหม่าเหรอเช้าขนาดนั้นเลย?"ดวงตาคู่สวยพลันลุกโตด้วยความตะลึง คนแก่ขึ้นเขาตั้งแต่ตีห้าเขาไม่กลัวหรือไงกันนะ ในป่านั้นทั้งแห้งแล้งกันดารซ้ำร้ายยังมีโจรป่าอีกด้วย คนแก่ขึ้นคนเดียวเกิดเป็นลมหรือโดนปล้นจะทำเช่นไรแต่เด็กหนุ่มถึงจะมีสีหน้าสงสัยใคร่รู้แต่ก็ไม่พูดอะไรเพียงเเต่มองมาที่เธอแล้วก็พยักหน้าตอบเบาๆเท่านั้น"ขึ้นไปคนเดียวเหรอแล้วเจ้าทำไมไม่ได้ขึ้นไปด้วยล่ะ?"เธอถามมีสีหน้ากังวลชัดเจนถ้าหลับไปแปดปีจริงๆผู้อาวุโสเจียเจิงตอนนี้ก็คงจะเจ็ดสิบแล้ว แต่นับว่าร่างกายแข็งแรงที่ยังบุงบันขึ้นเขาได้"ขอรับ ท่านปู่บอกว่าให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านแล้วก็พี่หญิงจื่อรุ่ย"หลินเฟิงได้แต่พยักหน้าตามเบาๆ ในบทสนทนาต่อไปหญิงสาวไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไรดีเรื่องนี้ถึงจะลงตัวได้ไม่นานก็มีเสียงคนเดินเข้ามา
แววตาสีเทาหุ้มแทบจะขาวลงอยู่รอมร่อของชายชรามองลูกชายคนโตอย่างสิ้นหวังอายุตนก็ล่วงเลยมีปูนนี้แล้วจะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน"ให้คำสัญญากับพ่อได้มั้ยลูก พ่อมีเวลาอีกไม่มากแล้วลูกพอจะอยู่กับพ่อแก่คนนี้อีกสักไม่กี่ปีได้หรือไม่"แววตาว่างเปล่าพลันสะกดให้หลงลืมทุกสิ่งและจนไปในห้วงสมุทรลึกคู่นั้นก็มองพ่อของตนอย่างลำบากใจที่พ่อพูดเช่นนี้ตัวเจี้ยนหยีอยากจะให้สัญญาบัดเดี๋ยวนั้นแต่โลกใบนี้ทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอนพรุ่งนี้หรืออีกหนึ่งเค่อข้างหน้าตัวเขาอาจจะต้องออกไปอีกก็ได้เจียเจิงที่เหมือนจะสังเกตเห็นสีหน้าไม่สบายใจเขาก็รู้ดีว่าคำตอบคืออะไร ก็เขาเป็นปราชญ์แถมยังเคยทำการค้ามาในหลายๆปีนี่นาเจอคนมามากมายแต่หากใจของลูกชายตัวเองยังอ่านไม่ออกเขาก็ไม่ควรเป็นพ่อจริงๆ"เจ้าให้คำสัญญากับข้าไม่ต้องปฏิบัติตามก็ได้เพียงแต่ให้ข้าได้สบายใจเพียงสักนิดเถอะ"เจี้ยนหยีพยักหน้าให้ชายชราเบาๆด้วยใบหน้าว่างเฉยแต่เพียงเท่านั้นรอยยิ้มเล็กๆก็กลับมาบนริมฝีปากบางแห้งแตกได้อีกครั้ง"แล้วเจ้ากลับมาได้อย่างไร"คำถามสั้นๆเบาๆที่ออกมาจากหัวใจคนเป็นพ่อเจี้ยนหยีจึงเผลอแสดงอารมณ์ออกมาเพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆก่อนจะกลับเข้าสู่โหมดหน้าตายซ้
หลินเฟิงเกิดอาการสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสีหน้าและวาวตาของคนผู้นั้นกำลังจับจ้องเธอเหมือนพยายามจะสิงเข้ามาในร่างของเธอแต่ไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากถามหรือพูดอะไรมากความก็มีชายผู้หนึ่งในอาภรณ์สีครามสะอาดตา เปียกโชกไปด้วยน้ำฝนเขาวิ่งเข้ามาในซุ้มฟืนแห่งนี้"ขออภัยด้วยหมู่บ้านข้าอยู่อีกไกลนักขอหลบฝนด้วยนะขอรับ"ชายหนุ่มในชุดสีครามพูดอย่างสุภาพ หากสังเกตดีๆจะพบกระบี่ในมือของเขา เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปด้วยความสูงเกือบสองเมตรใบหน้ามีกรอบชัดเจนได้รูปคิ้วดาบ ตาคมเป็นประกาย ดูสง่างามแม้จะเปียกเยี่ยงลูกนกตกน้ำก็ตาม"ผู่เยว่.."เสียงของหลินเฟิงเปล่งออกมาเบาๆเมื่อพินิจเห็นหน้าชายปริศนาผู้นั้นชัดเจน แต่พอเขาได้ยินก็มองมาที่เธอ"แม่นางข้าชื่อไป๋ฉี ไม่ใช่ผู่เยว่ หากแต่นั่นจะเป็นน้องชายฝาแฝดของข้า"เมื่อชายผู้นั้นพูดจบจางหมิ่นก็พยายามนึกว่าเขาเป็นใครแต่เธอยังอ่านนิยายเล่มนั้นยังไม่ถึงตอนนี้เลย แต่อะไรนะผู้ชายคนนี้มีน้องชายฝาแฝดเหรอ..?"ฉันจา.. อ่อข้าหลินเฟิงยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะท่านจอมยุทธ"ใจของหลินเฟิงเต้นไม่เป็นจังหวะที่เมื่อครู่เกือบจะเผลอเอ่ยชื่อตนเองออกไปเสียแล้ว เมื
มือหนาหยาบกร้านของเจี้ยนหยียังจับเธอไว้ไม่ปล่อยเขามองเธอด้วยสายตาที่พร้อมจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งร่างภายในเสี้ยววินาทีเดียวหากเธอละสายตาจากเขาไป"ท่านพ่อปล่อยท่านแม่เถอะขอรับ"เสียงเด็กหนุ่มแตกทุ้มเข้ามาจับแขนเจี้ยนหยีไว้เบาๆอย่างอ้อนวอนให้ปล่อยแม่บุญธรรมของตน สายตาของเจี้ยนหยีไม่ได้ละไปจากหลินเฟิงเลย แต่กลับพูดออกมาโดยที่ไม่ได้หันไปมองคนที่จับแขนตนอยู่แม้แต่น้อย"หวังจิ้งไสหัวออกไป"แม้ว่าเจี้ยนหยีจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มๆและเงียบเชียบแต่ก็บอกได้ชัดเจนว่าเขากำลังโกรธอยู่ มือที่จับอยู่ก็พลันจะบีบแน่นยิ่งขึ้นไปอีก หลินเฟิงที่กำลังจะร้องไห้เมื่อได้ยินว่าชายผู้นี้พูดอะไรกับลูกของเธอ ความโกรธก็เข้ามาแทนที่ความเจ็บราวกับว่าความเจ็บนั้นไม่เคยรู้สึกมาก่อน"คุณนั่นแหละไสหัวออกไป!"หลินเฟิงพูดเสียงดังคนในครอบครัวตอนนี้ก็ออกมาข้างนอกแล้วเหลือเพียงหรงเหยาที่ยังอยู่ข้างใน เพราะเข่อซิงน้อยหลับอยู่ อีกทั้งยังมีละอองฝน"พี่หญิงใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ"ลี่อินพูดปลอบประโลมหลินเฟิงเพราะนางกลัวว่าอารมณ์ที่ถูกกักเก็บมาหลายปีอาจจะแตกออกมาได้"นั่นสิพี่ใหญ่ใจเย็นๆก่อนนะเจ้าคะ"คราวนี้เป็นจื่อรุ่ยที่จับแขนของเจี้ยน
เวลายังคงดำเนินต่อไป คืนนี้เจี้ยนหยีไม่ได้เข้ามานอนด้วย หวังจิ้งจึงอาสานอนเป็นเพื่นเธอ ถึงหลินเฟิงจะรู้สึกแปลกๆแต่ก็ยอมตกลงโดยไม่ได้พูดอะไรในรุ่งเช้าที่วนมาถึงอีกครั้ง ท้องฟ้าด้านนอกมีเมฆอึมครึมเหมือนฝนพร้อมจะตกลงมาตลอดเวลา ไร้แสงแดดหรือเสียงนกร้อง อย่างที่หลินเฟิงเคยได้ยินมาทุกวันพลางมองไปรอบๆห้องก็ไม่เห็นเด็กหนุ่มเสียแล้วหากแต่จะให้เดาเด็กหนุ่มคนนั้นคงจะออกไปข้างนอกแล้วเป็นแน่เช้าขนาดนี้ จะตื่นเช้าไปไหนนะ"อื้อออ~ "เสียงหลินเฟิงลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก อากาศมืดครึ้มทำให้ไม่ร้อนแต่พอเหลียวมองลงไปดูพื้นดินก็ไม่ได้แห้งแตกเหมือนแต่ก่อนเหตุเพราะพื้นดินตอนนี้กลายเป็นโคลนชื้นแฉะหากไม่มีหินขาวหยาบๆมาวางเป็นทางให้เดินก็ไม่รู้ว่าจะข้ามไปอย่างไรให้ถึงอีกฝั่งโดยไม่ถลาล้มหัวคว่ำไปเสียก่อนหลินเฟิงค่อยๆก้าวย่างไปตามหินขาวแม้นจะบอกว่าเป็นหินหยาบแต่การเดินก็ยังคงทุลักทุเลอยู่ดีกว่าจะก้าวขาได้แต่ละก้าวก็ใช้ความพยายามสูงอยู่พอตัวตอนนี้ลมเริ่มพัดมากระทบร่างของหญิงสาวแรงพอควรชายผ้าขาดรุ่ยของลี่อินกระพือเป็นจังหวะพัดหวิวตามสายลมที่โชยมา ผ้าคลุมที่ผูกไว้ไม่แน่นก
อาภรณ์สีเขียวสะอาดตาไร้ร่องรอยตำหนิค่อยๆ ถูกบรรจงวางลงข้างๆ หลินเฟิงอย่างระมัดระวัง 'ถ้านี่คือชุดเก่าที่หลินเฟิงมีทำไมไม่เอามาใส่นะจะใส่เสื้อผ้าขาดรุ่ยทำไมในระยะเกือบสามเดือนที่ก่อนเธอจะเข้ามาอยู่ในนี้ถ้วยน้ำเย็นๆด้านในมีผ้าจุ่มอยู่ในนั้น ถูกวางลงที่บริเวณข้อเท้าของเธอ ทุกอย่างดูเพียบพร้อมแต่จะให้เธอลุกขึ้นไปประคบเองยังไงล่ะเหยียดขาสะยาวขนาดนั้นหลินเฟิงเหงื่อตกเป็นเม็ดเมื่อ เห็นดังนั้นแต่ไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากถามอะไร หวังจิ้ง ก็หยิบผ้ามาบิดแล้วนั่งประคบให้เธอเงียบๆ"เสื้อผ้าเหล่านี้เป็นของข้าจริงๆหรือ?"หลินเฟิงเอ่ยถามเพื่อเช็คความแน่ใจ ว่าเสื้อผ้านี้ไม่ใช่ว่าไปขโมยใครเขามา"ขอรับท่านพ่อเป็นคนเก็บไว้""แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่านี่เป็นของๆข้าจริงๆไม่ใช่เสื้อผ้าของแม่นางในดวงใจของพ่อเจ้า"หลินเฟิงพึมพำเบาๆ พลางหยิบชุดนั้นขึ้นมาดูชุดนี้ดูงดงามมาก"ท่านพ่อไม่ได้พกอะไรของแม่นางซูหรานติดตัวมาขอรับท่านแม่ ท่านวางใจได้"หวังจิ้งพยายามเกลี้ยกล่อมให้หลินเฟิงสบายใจขึ้นมาบ้างสักหน่อย ก่อนจะชุบผ้ามาบิดหมาดๆแล้วประคบข้อเท้าให้"ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับวันนี้ข้ามีงานขอรับ"หลินเฟิงพยักหน
หลินเฟิงเดินเข้ามาในหมูบ้านพร้อมกับหวังจิ้งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังเก่าเล็กท้ายหมูบ้านได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของหญิงชรา“ท่านยายท่านเป็นอะไร” หลินเฟิงเดินเข้าไปใกล้เห็นยายเฒ่ากำลังนั่งกอดร่างของเด็กชายคนหนึ่งไว้“หลานของข้าป่วยกำลังจะสิ้นใจ ช่วยหลานข้าด้วย” ยายเฒ่าร้องไห้ออกมาอีกรอบ“ท่านยาย” หลินเฟิงจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ และจับมือเพื่อดูชีพจรของเด็กชายผู้นั้น ในเมื่อนางเป็นหมอต้องรักษาชีวิตคนได้จะมาทำตัวไร้ค่าแบบนี้ได้อย่างไร“ข้ามีกันแค่สองคน ท่านโปรดเมตตา” ยายเฒ่าอ้อนวอนขอให้หลินเฟิงช่วย“หลานของท่านยายอาการเป็นอย่างไร” หลินเฟิงไม่รอช้าที่จะถามไถ่อาการ หากพูดตามภาษาบ้านเกิดก็คงป่วยเป็นไข่ป่าสมัยนั้นเครื่องมือแพทย์ทันสมัยแต่ในยุคนี้หลินเฟิงเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะรักษาได้หรือไม่“หลานของข้าป่วยมาหลายวันแล้วอาการไม่สู้ดีเลย”“อาจึ้ง เตรียมขิง ไผ่หยก ชะเอมเทศ เปลือกรากโบตั๋น” หลินเฟิงให้หวังจึ้งเตรียมสมุนไพรที่ต้องการให้พร้อม“เราไม่มีอะไรติดตัวมาเลขอรับ”“บ้านข้ามี”หลินเฟิงไม่รอช้าที่จะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมนางหยิบจับทุกอย่างจนดูคล่องแคล่วไปหมดแม่แต่หวังจึ้งยังสงสัยว่าหลินเฟ
สี่ผ่านไปตอนนี้หลินเฟิงมีลูกสาวสมใจลูกชายฝาแฝดอายุหกขวบส่วนลูกสาวอยู่ในวัยกำลังอายุสองขวบซึ่งกำลังดื้อจนนางเองก็ปวดหัวไม่น้อย “ท่านแม่” เด็กน้อยซูฮวาวิ่งมาหาท่านแม่ด้วยใบหน้าที่มอมแมมคงจะโดนพี่ชายทั้งสามแกล้งมาอีกจึงรีบวิ่งมาฟ้องนางแบบนี้ “เด็กน้อยของแม่เจ้าไปเล่นซนที่ไหนมา” หลินเฟิงอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตักและเช็ดใบหน้าให้ลูกสาวพร้อมกับหอมแก้มไปหนึ่งที “ท่านพี่แกล้ง” ได้ทีจึงรีบฟ้องท่านแม่แต่เด็กน้อยก็ไม่ร้องไห้งอแงตั้งคลอดจนถึงตอนนี้ซูฮวาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกัน “น้องหญิงพี่กลับมาแล้ว” เจี้ยนหยีเดินเข้ามาในจวนเห็นนางกำลังเช็ดตัวให้ลูกสาวที่เจี้ยนหยีหวงยิ่งกว่าอะไร “ท่านพี่กลับมาเร็วจังเจ้าค่ะ” หลินเฟิงให้เจี้ยนหยีออกไปซื้อสมุนไพรเพื่อเตรียมไว้สำหรับคนไข้ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้เพราะยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม “พี่คิดถึงน้องกับลูกๆ ใช่ไหมเด็กน้อย” “ท่านพ่อ อุ้มๆ” เด็กน้อยชูแขนให้เจี้ยนหยีอุ้มเขาไม่รอช้าที่จะอุ้มลูกสาวขึ้นมาแนบอกและหอมแก้มซ้ายขวาจนซูฮวาหัวเราะอย่างชอบใจ “คิก คิก คิก”
หกเดือนหลังจากนั้นหลินเฟิงก็ได้ให้กำเนิดลูกชายฝาแฝดเจี้ยนหยีดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ตอนนี้ได้แต่นั่งมองลูกชายทั้งสองที่เพิ่งกินนมแล้วหลับไป “เจ้าจะให้ชื่อว่าอะไร” หานเจียเจิงถามลูกชายที่ดูเหมือนจะไม่ได้คิดชื่อนี้ไว้ “ข้ายังไม่ได้คิดเลยท่านพ่อ” เพราะมัวแต่เป็นห่วงหลินเฟิงไปหน่อยจึงไม่ได้คิดชื่อไว้ให้ลูกชายทั้งสอง “นั้นข้าจะให้ชื่อ พี่คนโตชื่อ จางซิงอี ส่วนคนเล็กชื่อ จางซีห่าวเจ้าว่าดีหรือไม่” หานเจียเจิงหันไปถามลูกชายที่พยักหน้ารับหน้าช่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก “ซิงอี แปลว่า คนดีและมีความสุข ส่วน ซีห่าว คือเหมือนฮีโร่ โตขึ้นมาให้เจ้าทั้งสองดูแลพ่อและแม่” “ขอบใจท่านพ่อมาก” “พี่สะใภ้ฟื้นแล้ว” จื่อรุ่ยรีบวิ่งมารายงานพี่ชายและท่านพ่อที่รออยู่หลังจากคลอดลูกหลินเฟิงก็สลบไปเพราะเสียเลือดมาก เจี้ยนหยีเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงรีบวิ่งไปหานาง “น้องหญิง น้องฟื้นแล้ว” เจี้ยนเข้ามานั่งข้างกายของนางตอนนี้สีหน้าของนางเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อยหมอให้ต้มยากินจนกว่าจะแข็งแรง “น้องอยากเห็นหน้าลูกเหลือเกิน” ถึงแม้จะยังเจ็บปวดอยู่แต่ก็อย
“ข้าแค่มาเยี่ยมน้องสาวของข้า” ซูหรานมองไปที่หลินเฟิงที่ตอนนี้สวยยิ่งกว่าอะไร ในความคิดหลินเฟิงคงตากแดดจนตัวดำและดูผิวนางสิ ขาวเนียนไม่มีที่ติ “พี่หญิงมาหาข้ามีเรื่องอันใด” “เจ้าได้ดีแล้วไม่หันไปดูแลพ่อที่แก่ชราบ้างเลยหรือตอนนี้ทางบ้านมีหนี้สินไปหมด” ตอนนี้ซูหรานกำลังลำบากเพราะที่บ้านมีหนี้สินรัดตัวจากที่เคยมั่งมีตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว “แล้วตอนที่ไล่ข้าออกมาละพวกท่านคิดอะไรกัน เพราะตระกูลหานยากจนท่านจึงให้ข้าแต่งงานแทนและห้ามให้ข้ากลับไปเหยียบที่นั่น” ไม่รู้ว่าทำไมหลินเฟิงถึงมีความทรงจำนั้นภาพต่างๆ ฉายชัดเข้ามาจนหลินเฟิงเองก็แปลกใจ “เจ้ามันเนรคุณ” “หุบปากซะ! แล้วไสหัวออกไป” เจี้ยนหยีมองใบหน้าที่ซูบผอมของซูหรานครอบครัวเขารู้ดีว่านางนั้นร้ายกาจแค่ไหนและยังเคยมาทำร้ายท่านพ่อของเขาอีก “เจ้าคนชั้นต่ำ! กล้าไล่ข้าหรือ” “เจ้าด่าตัวเองหรือเปล่าดูสภาพเจ้าตอนนี้สิดูไม่ได้เลยคุณผู้สูงศักดิ์ทำไมถึงกลายมาเป็นสภาพนี้” หลินเฟิงไม่รู้เรื่องราวอะไรมากกว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แต่งงานออกเรือนมาก็ไม่เคยกลับไปพบหน้าท่านพ่อและพี่สาวอีกเลยแ
ยามเช้าในฤดูวสันต์ตอนนี้ใบไม้ต้นหญ้ากับดูแห้งแล้งเพราะใบไม้ได้ร่วงหล่นลงมากองอยู่เต็มพื้นไปหมดมองไปที่ภูเขาไกลๆ ก็ไม่น่าดูสักเท่าไร อ้วก! “น้องหญิงเป็นอะไร” เจี้ยนหยีได้ยินเสียงเหมือนคนอาเจียนจึงรีบลุกออกจากเตียงและรีบไปหาหลินเฟิงด้วยความห่วงใยไม่รู้ว่านางลุกออกไปจากเตียงตั้งแต่ช่วงเวลาใด “น้องหญิงเกิดอะไรขึ้น!” เจี้ยนหยีเห็นสภาพของนางแล้วจึงรีบเข้ามาดูอาการเพราะใบหน้าที่ซีดไม่มีเลือดฝาดยิ่งทำให้เขาร้อนรนไปหมด “น้องแค่อยากอาเจียน หาเปลือกส้มมาให้น้องหน่อย” ตอนนี้สิ่งที่อยากทำที่สุดคือได้ดมกลิ่นเปลือกส้มช่วงนี้นางมักจะเกลียดกลิ่นอาหารอยู่บ่อยครั้ง “มานั่งรอพี่” เจี้ยนหยีรีบไปหาเปลือกส้มมาให้นางทันทีเพราะกลัวว่านางจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ “หรือว่าที่เราฝันจะเป็นความจริง” หลินเฟิงนึกคิดถึงเรื่องราวที่ฝันเมื่อคืนหรือว่าที่เด็กน้อยทั้งสองมาขออยู่ด้วยนางจะได้ลูกแฝดกัน “น้องหญิงพี่มาแล้ว” “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ” หลินเฟิงหยิบเปลือกส้มขึ้นมาดมกลิ่นทำให้อาการอยากอาเจียนเวียนหัวเริ่มดีขึ้นมา และใช้มือลูบไปที่หน้าท้อ
“ท่านพี่อย่านะเจ้าคะ” หลินเฟิงร้องออกมาเมื่อเจี้ยนหยีเริ่มจะไม่นอนอยู่เฉยเฉยๆ มือไม้เลื้อยเหมือนกับเถาวัลย์ไม่มีผิด “พี่คิดถึงน้องหญิงมากขอให้พี่ได้ชื่นใจสักนิดเถอะพี่ทรมานเหลือเกิน” เจี้ยนหยีซุกใบหน้าเข้าไปที่ต้นคอของหลินเฟิงและเริ่มซุกไซร้ไปมาจนนางต้องหดคอหนีเพราะเริ่มจั๊กจี้ ข้างนอกอากาศช่างเย็นนักแต่ทำไมตอนนี้ร่างกายเริ่มร้อนร่มขึ้นมา “อื้อออ ท่านพี่ข้าต้องการท่าน” หลินเฟิงครางออกมาราวกับคนกำลังละเมอใบหน้าที่งดงามจ้องมองตากับเจี้ยนหยีอย่างลึกซึ้งมือบางโอบลำคอของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเจี้ยนหยีจะหายไป “พี่ก็ต้องการน้องหญิง” เจี้ยนหยีสลัดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดสิ้นและจูบปากหลินเฟิงอย่างหิวกระหายมือหนาพยายามที่จะดึงกระชากเสื้อของนางออกจากตัว “อื้อออ อืม ดีเหลือเกินท่านพี่” หลินเฟิงครางออกมาเมื่อเจี้ยนหยีใช้มือกอบกุมกับหน้าอกของนางไว้ส่วนลิ้นหนาก็เลียเข้ากับยอดถันอย่างไม่เกรงกลัวเจ้าของ เจี้ยนหยีก้มตัวลงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ของสงวนของหลินเฟิงเขาใช้มือแหวกจนเห็นกับกลีบกุหลาบงามที่มีน้ำไหลเยิ้มออกมาอย่างน่าลิ้มลอง และก็ทำอย่างท
เจี้ยนหยีลืมตาขึ้นมาในยามเฉิน (07.00-08.59 น.) สายตาทอดมองไปที่หลินเฟิงที่ยังคงหลับใหลอยู่ข้างกายบนร่างกายมีรอยแดงจ้ำโผล่พ้นผ้าห่มออกมา ชายหนุ่มนึกคิดเรื่องที่ผ่านมาทำให้เขามั่นใจว่านางไม่ใช่หลินเฟิงคนเดิมนิสัยใจคอนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลินเฟิงผู้นี้ทำให้เจี้ยนหยีตกหลุมรักยิ่งนักแค่เห็นนางยืนคุยกับชายอื่นเขาก็ทนไม่ได้แล้ว “อื้อ!” หลินเฟิงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่เมื่อยล้าเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาก็พานจะร้องไห้ ไหนเจี้ยนหยีบอกว่ารังเกียจนางทำไมถึงทำเช่นนี้ “ตื่นแล้วเหรอน้องหญิง” หลินเฟิงหันไปมองที่ด้านหลังของนางพบว่าเจี้ยนหยีกำลังส่งยิ้มให้ทำให้หลินเฟิงรู้สึกขนลุกขึ้นมา เจี้ยนหยีเมาจนสมองไม่ปกติไปแล้ว “ภรรยาของข้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ” “เจ้ากินย่าลืมเขย่าขวดหรือไง” “น้องว่าอะไรพี่ฟังไม่เข้าใจ” เจี้ยนหยีทำหน้าสงสัยแต่นางก็ไม่ยอมตอบรับลุกออกจากเตียงจนเจี้ยนหยีถามออกมา “เรื่องเมื่อคืน...” “ท่านกับข้าก็ลืมมันไปเสียเถิด” หลินเฟิงไม่รอให้เจี้ยนหยีพูดนางจึงรีบตัดบทหลินเฟิงไม่ใช่นางเอกที่เสียความบริสุทธิ์แล้วต้องม
ร่างของเขาถึงแม้จะเสร็จไปแล้วแต่ยังกระแทกต่อได้อีกหลายครั้ง นางพยายามที่จะดันเขาแต่ก็ไร้ผลเพราะมันแทบจะไม่มีแรงเลยด้วยซ้ำ ความแข็งแกร่งของเข้ายังวิ่งเข้าออกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นฤทธิ์ และแล้วเสียงครางจากปากเขาและพลิกตัวขึ้นนอนหงายโอบกอดนางเอาไว้ นางนอนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง นางจ้องมองมาที่เจี้ยนหยีอย่างนิ่งๆก่อนจะเอ่ยปากถาม"เจ้าเมาแล้ว""ข้าเมาหรือ ข้ามีสติเจ้ากับข้าคือสามีภรรยา ร่วมหลับนอนกันคือเรื่องปกติ""เจ้าอยากนอนกับข้าหรือ""ข้า..""มิใช่ว่าข้านั้นทำให้เจ้าหึงหวงข้างหรอกนะ เจ้าถึงมีท่าทีเช่นนี้""เรียกข้าว่าท่านพี่""ข้าไม่อยากเรียกเช่นนั้น""ทำไมกัน""ข้าไม่อยากเรียกเช่นนั้น ข้าเคยเรียกเจ้าว่าเจ้าจะให้เรียกท่านพี่ได้อย่างไรกัน""เจ้าคือภรรยาของข้า เรียกท่านพี่ถึงจะถูก""คนยุคนี้แปลกเสียจริง""เจ้าว่าอันใดนะ ข้าฟังไม่ถนัด""ไม่มีอันใดข้าแค่จะบอกว่าเจ้า...""ท่านพี่""อ่า ท่านพี่ก็ได้""ข้าเหมือนบังคับเจ้า""ใช่ ท่านบังคับข้าให้เรียกท่านเช่นนั้น ข้าไม่อยากเรียกด้วยซ้ำไป" หลินเฟิงจับจ้องไปยังผู้เป็นสามีที่เอาแต่ใจตนเอง เวลาปกติเขาไม่เคยที่จะพูดมากเช่นนี้เลยสักครั้ง แต่ในเวลานี
ร่างสูงใหญ่ของเจี้ยนหยีเดินซวนเซไปตามแนวทางจับจ้องไปยังประตูบ้านของตน ร่างกายของเขาขยับตามความเคยชินที่ต้องกลับบ้านในทางนี้ ร่างกายของเขาเซไปมาแต่ก็สามารถพยุงตนเองให้ถึงประตูบ้านได้สำเร็จ เมื่อมาถึงเขาผลักประตูบ้านเข้าไป สายตาจับจ้องไปยังภรรยาของเขา แม้ว่านางจะเงียบขรึมไปบ้าง แต่นางก็หาใช่คนที่สงบเสงี่ยมเช่นสตรีทั่วไป ชอบเถียงเขาอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งนางใกล้ชิดกับคนอื่นเขายิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก ความหึงหวงก่อเกิดขึ้นมาภายในใจ ภรรยาผู้งดงามของเขานั้นกำลังนั่งพับผ้าโดยเพียงปรายตามองมาที่เขาเพียงนิดและไม่สนใจเขาอีก เขาพุ่งตรงไปหานางอย่างรวดเร็วก่อนที่จะดึงนางเขาห้องในทันที"เจ้าจะทำอันใด เจ้าเมามากแล้วอย่าทำเช่นนี้เลย""เจ้าจะดื้อกับข้าทำไมกันกับคนอื่นเจ้าไม่เห็นจะเป็นเช่นนี้เลยสักนิด""เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้ากับใครเจ้าพูดมาให้ดี ข้าไหนเลยจะไปทำเช่นนี้กับคนอื่น เจ้ากล้าใส่ความข้าหรือ!'"เจ้ากับคนผู้นั้นสนิทกันถึงขั้นใกล้ชิดกันเพียงนั้นเลยหรือ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือสามี!""แล้วเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือภรรยาเจ้า!! อื้อออ!!!"เขาอดทนไม่ไหวปากเล็กๆ นั้นเอาแต่เถียงเขาอยู่อย่างนั้นจนเขาหม
หลินเฟิงเดินเข้ามาในหมูบ้านพร้อมกับหวังจิ้งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังเก่าเล็กท้ายหมูบ้านได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของหญิงชรา“ท่านยายท่านเป็นอะไร” หลินเฟิงเดินเข้าไปใกล้เห็นยายเฒ่ากำลังนั่งกอดร่างของเด็กชายคนหนึ่งไว้“หลานของข้าป่วยกำลังจะสิ้นใจ ช่วยหลานข้าด้วย” ยายเฒ่าร้องไห้ออกมาอีกรอบ“ท่านยาย” หลินเฟิงจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ และจับมือเพื่อดูชีพจรของเด็กชายผู้นั้น ในเมื่อนางเป็นหมอต้องรักษาชีวิตคนได้จะมาทำตัวไร้ค่าแบบนี้ได้อย่างไร“ข้ามีกันแค่สองคน ท่านโปรดเมตตา” ยายเฒ่าอ้อนวอนขอให้หลินเฟิงช่วย“หลานของท่านยายอาการเป็นอย่างไร” หลินเฟิงไม่รอช้าที่จะถามไถ่อาการ หากพูดตามภาษาบ้านเกิดก็คงป่วยเป็นไข่ป่าสมัยนั้นเครื่องมือแพทย์ทันสมัยแต่ในยุคนี้หลินเฟิงเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะรักษาได้หรือไม่“หลานของข้าป่วยมาหลายวันแล้วอาการไม่สู้ดีเลย”“อาจึ้ง เตรียมขิง ไผ่หยก ชะเอมเทศ เปลือกรากโบตั๋น” หลินเฟิงให้หวังจึ้งเตรียมสมุนไพรที่ต้องการให้พร้อม“เราไม่มีอะไรติดตัวมาเลขอรับ”“บ้านข้ามี”หลินเฟิงไม่รอช้าที่จะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมนางหยิบจับทุกอย่างจนดูคล่องแคล่วไปหมดแม่แต่หวังจึ้งยังสงสัยว่าหลินเฟ