จางเต๋ออู่เบิกตากว้าง จ้องมองชูจงเทียนที่กำลังก้มหัวแล้วตะโกนขึ้น “พูดอะไรของคุณ? หลี่โม่เข้ารอบไปโดยอัตโนมัติแล้วงั้นเหรอ? พวกเราเดินทางมาตั้งไกลถึงที่นี่ก็เพื่อดูการแข่งของหลี่โม่ แต่คุณกลับบอกเราว่า เขาเข้ารอบไปด้วยโดยอัตโนมัติแล้ว! พวกคุณกล้าทำตัวไม่เป็นอาชีพขนาดนี้ได้ยังไง!” “ขออภัยด้วยจริง ๆ ครับ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ พวกเราเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้” ชูจงเทียนโค้งคำนับขอโทษไม่หยุด เมื่อเผชิญหน้ากับคนใหญ่คนโตที่เขาไม่รู้แม้แต่สถานะตัวตน ชูจงเทียนก็ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย และยอมถ่อมตัวต่ำเตี้ยราวกับเป็นเพียงฝุ่นผงอย่างไรอย่างนั้น เดิมทีจางเต๋ออู่นึกอยากจะดูหลี่โม่ถูกอัดน่วมอยู่บนสังเวียน แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นข่าวที่ว่าหลี่โม่เข้ารอบไปโดยอัตโนมัติแล้ว นี่ทำให้จางเต๋ออู่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “พวกแก ไอ้พวกระยำ คงจะไม่ได้เล่นสกปรกกับการแข่งขันหรอกนะ! ถ้าฉันรู้ว่าพวกแกเล่นสกปรกกับการแข่งขัน ฉันไม่ปล่อยพวกแกไว้แน่!” “ไม่กล้าหรอกครับ ไม่กล้า ต่อให้ผมอยากจะเล่นสกปรก คณะกรรมการผู้จัดการแข่งขันก็ไม่มีทางยอมหรอกครับ เป็นเพราะว่าเมื่อวานเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริง ๆ
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ความคิดมากมายได้ปรากฏขึ้นในใจของท่านปา “ผมไม่กล้าหวังตำแหน่งจ้าวมังกรใหญ่หรอกครับ แค่ได้นั่งบนตำแหน่งจ้าวมังกรลำดับแปด ก็เป็นวาสนาของผมแล้ว ผมจะพยายามตามหากุญแจลับอย่างเต็มที่เพื่อเอามามอบให้ท่านครับ” ท่านปาโค้งตัวพลางเอ่ย ราชินีมังกรแย้มยิ้มบาง แล้วพูดอย่างราบเรียบ “ไม่เลว ฉันนึกว่านายจะลำพองตัวซะอีก มนุษย์น่ะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักรู้ตัว รู้จักวางตัวให้ดีถึงจะสามารถมีชีวิตยืนยาว ฉันกลับคาดหวังในตัวนายเสียอีก รู้สึกว่านายจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกยืนยาวเชียวล่ะ” ท่านปารู้สึกตื่นตัว เขารู้ว่าราชินีมังกรกำลังลองเชิงตนเองอยู่ เธอคงจะยังไม่ได้ไว้ใจตนมากนัก “ท่านวางใจได้ ผมเป็นคนที่มีความเคารพยำเกรงเป็นที่สุด และท่านเป็นคนที่ผมเคารพยำเกรงสุดหัวใจ ผมจะอยู่ให้ถูกที่และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดีของท่านอย่างแน่นอนครับ” “ฮ่าฮ่าฮ่า” ราชินีมังกรหัวเราะขึ้นมาอย่างพึงพอใจ ท่านปาถอนหายใจ รู้สึกว่าคราวนี้ตนรอดพ้นไปได้แล้ว ทุกครั้งที่เจอกับราชินีมังกร เขาจะต้องต่อสู้ด้วยไหวพริบและความกล้า หากตอบคำถามได้ไม่ดีจนทำให้ราชินีไม่พอใจขึ้นมา น่ากลัวว่าเขาอาจจะกลายเป็น
ท่านปาพยายามทำความเข้าใจความหมายของราชินีมังกร แล้วเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ผมคิดว่าหลี่โม่เองก็พอมีทักษะอยู่บ้าง นู่หล่างเป็นนักมวยที่ไม่ได้มีแบบแผนอะไร ล้วนแต่พึ่งพาเพียงศักยภาพร่างกายที่ดีเท่านั้น ขอเพียงเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ ต่างก็สามารถชนะนู่หล่างได้ทั้งนั้นครับ” “เหล่าปา นายคิดอย่างนั้นจริง ๆ งั้นเหรอ?” ราชินีมังกรถามเสียงเย็น ท่านปาตัวสั่นเล็กน้อย แล้วรีบก้มหน้าอย่างตื่นตระหนก เอ่ยเสียงอู้อี้ “ผมแค่คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ที่พูดไปอาจไม่ถูกต้องครับ” “เฮอะ ถึงฉันจะไม่ได้เข้าใจเรื่องลึกซึ้งแบบนั้นนัก แต่ก็ยังเข้าใจหลักการพื้นฐาน แม้ว่านู่หล่างจะไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุด แต่ก็เป็นได้ถึงระดับปรมาจารย์ชั้นหนึ่ง” “ในหมู่ผู้พิทักษ์แดนมังกรคนที่แข็งแกร่งกว่านู่หล่างก็มีไม่น้อย แต่หากจะบอกว่ามีใครที่สามารถเหยียบย่ำนู่หล่างได้อย่างง่ายดายเหมือนกับหลี่โม่นั้น น่ากลัวว่าจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้ หลายปีมานี้ หลี่โม่คงเก็บกลั้นและพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาโดยตลอด ช่างทะเยอทะยานโฉดชั่วราวกับหมาป่าจริง ๆ !” จางเต๋ออู่รีบพูดเสริม “ท่านพูดถูกต้องแล้ว หลี่โม่ทะ
หลังจากท่านปาพูดอย่างประจบประแจงจบ ก็รู้สึกว่าตนเองช่างน่ารังเกียจจริง ๆ ทำไมถึงได้พูดคำพูดที่ไร้ยางอายขนาดนี้ออกมาได้ หลี่โม่ทำสีหน้าแปลกประหลาด เป็นเพราะรู้สึกขยะแขยงกับคำพูดของท่านปาเช่นกัน “จริงจังหน่อย ผมวางล่ะ” เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณดังออกมาจากโทรศัพท์ ท่านปาก็ถอนหายใจยาว รู้สึกว่าชีวิตนั้นช่างยากลำบากจริง ๆ “กลับไปที่วิลล่า ช่วงนี้จัดเตรียมคนมาจับตาดูการเคลื่อนไหวของหลินเจิ้งหนานหน่อย ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็มารายงานฉันก่อนทั้งหมด” ท่านปาออกคำสั่งกับผู้ช่วย “รับทราบครับ” ผู้ช่วยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเริ่มพิมพ์อย่างรวดเร็ว แล้วส่งคำสั่งออกไปเป็นชุด ...... หลินเจิ้งหนานกำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องสวีท ลูกน้องที่มีความสามารถยืนตรงเรียงเป็นสองแถวอยู่เบื้องหน้าหลินเจิ้งหนาน “หลี่โม่ฆ่าลูกชายของฉัน นี่เป็นความแค้นบัญชีเลือด จะต้องล้างแค้นมันให้ได้!” หลินเจิ้งหนานพูดอย่างโกรธแค้น “นายท่าน ขอแค่ท่านสั่งมาเท่านั้น พวกเราจะบุกน้ำลุยไฟไปโดยไม่ลังเล” “หน่วยมัดสั้นเตรียมพร้อมแล้วครับ พวกเขาต่างเป็นนักสู้ที่เก่งที่สุดในตระกูลของเรา ทั้งหมดล้วนเคยมีดเปื้อนเลือด ผ่านสนามรบมาแล้วทั้
หลังจากที่หลี่โม่ เฉินเสี่ยวถงและคังเหวินซินออกจากโรงพยาบาล พวกเขาก็ขับรถกลับไปที่บริษัท เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของกู้หยุนหลาน เห็นกู้หยุนหลานที่กำลังทำงานอยู่ หลี่โม่ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่รัก ยุ่งอยู่เหรอ?” กู้หยุนหลานเงยหน้าขึ้นมองไปทางหลี่โม่ ก่อนจะเหลือบมองเฉินเสี่ยวถงกับคังเหวินซินที่อยู่ข้างหลังหลี่โม่ ในใจก็พลันรู้สึกระแวงสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อครู่หลี่โม่ออกไปก่อนแล้ว แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงอยู่ด้วยกันกับเฉินเสี่ยวถงได้ แล้วยังมีคังเหวินซินนั่นอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้น? คังเหวินซินช่วยทอดสะพานให้เฉินเสี่ยวถงแอบสานสัมพันธ์กับหลี่โม่ ให้ทั้งสองนัดพบกันอย่างลับ ๆ โดยที่ปิดบังไม่ให้เธอรู้หรือเปล่า? “พวกคุณ ไปทำอะไรกันมาเหรอ?” กู้หยุนหลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแหบแห้ง “ผมจัดการธุระเสร็จแล้วก็บังเอิญเจอเฉินเสี่ยวถงกับคังเหวินซินเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ เลยพาพวกเขาไปเยี่ยมซีซีที่โรงพยาบาล ช่วงนี้ซีซีไปเรียนรู้เรื่องยุ่ง ๆ มาจากคนไข้ห้องข้าง ๆ น่ะ เดี๋ยวหลังจากเสร็จสิ้นการรักษาต้องรีบรับซีซีกลับมาแล้ว” “จริงสิ ผมคิดว่า พวกเราน่าจะดูบ้านไว้สักหน่อย ช่วงนี้ผมช่วยเฉียนฝูด
คังเหวินซินพูดด้วยความกระตืนรือร้นอย่างยิ่ง ท่าทางกระตือรือร้นยิ่งกว่าพนักงานขายเสียอีก เหมือนกับอยากจะยัดบ้านใส่มือหลี่โม่ให้ซะเดี๋ยวนั้นเลย หลี่โม่ดูแผนที่อย่างละเอียด มีการสืบค้นข้อมูลอสังหาริมทรัพย์และบทวิจารณ์บนอินเทอร์เน็ต หลังจากนั้นจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ กู้หยุนหลานดูอย่างค่อนข้างตกตะลึง แล้วเอ่ยด้วยความตกใจจนแทบพูดไม่ออก “จิ๊ ๆ สวนหนานชุ่ยเป็นชุมชนที่หรูหราที่สุดในเมืองฮั่นแล้ว ได้ยินมาว่าวิลล่าบนยอดเขานั่นมีบารมีฮวงจุ้ยชีพจรมังกรเชียวนะ” “พี่สะใภ้พูดถูกต้องไม่มีผิดเลยแม้แต่น้อย วิลล่าบนยอดเขาเองก็เป็นหนึ่งในวิลล่าที่บ้านผมยังไม่ได้ขาย ฮวงจุ้ยชั้นยอดเลยจริง ๆ มีชีพจรมังกรอยู่จริง ๆ ด้วยครับ อย่าว่าแต่อยู่ที่ไหนเลย แค่อยู่ที่นั่นเพียงไม่นาน ก็จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นและพลังอันเต็มเปี่ยมเลยล่ะครับ” กู้หยุนหลานได้ยินดังนั้นก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงราคาของสวนหนานชุ่ยแล้ว ความหวั่นไหวก็กู้หยุนหลานก็มลายหายไปทันที “ที่นั่นจะว่าดีก็ดีอยู่หรอก แต่มันแพงเกินไป ถึงจะเป็นราคาทุนก็คงไม่ได้ถูกนัก” หลี่โม่ดีดนิ้วทีหนึ่งแล้ว แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แพงไม่แพงค่อยว่ากัน พรุ
“สำเนียงต่างถิ่น?” หลี่โม่พึมพำอย่างสงสัยเล็กน้อย หรือจะมีคนต่างถิ่นมาแย่งชิงเขตอิทธิพลที่เมืองฮั่นกัน? มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เรื่องที่คนต่างถิ่นรวมกลุ่มกันมาแย่งเขตอิทธิพลที่เมืองอื่นก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น เพียงแต่ตอนนี้มันค่อย ๆ มีให้เห็นค่อนข้างน้อยแล้วเท่านั้น “ใช่แล้ว แล้วคนพวกนั้นก็ป่าเถื่อนมาก พี่จงฉวนหาคนในท้องที่ไปช่วยพูด แต่สุดท้ายก็ถูกทำร้ายกลับมา เมื่อกี้นี้ฉันไปติดต่อตำรวจมา พอคนพวกนั้นเห็นตำรวจมาก็แยกย้ายสลายตัวไป ไม่นึกว่าพอตำรวจไปแล้ว พวกเขาจะไปก่อกวนอีก” กู้หยุนหลานนวดคลึงหน้าผาก เธอรู้สึกปวดหัวมาก เจอกับกลุ่มอันธพาลป่าเถื่อนที่เอากำลังไม่ฟังเหตุผลแบบนี้ มันไม่มีวิธีแก้ปัญหาดี ๆ เลยจริง ๆ “ที่รักไม่ต้องกังวลไปหรอก เดี๋ยวผมจะไปถามหัวหน้าจางเอง” เรื่องคราวก่อนทำให้สร้างความสัมพันธ์กับหัวหน้าจาง หลี่โม่จึงเรียกใช้หัวหน้าจางอย่างไม่เกรงใจ หลังจากโทรไป หลี่โม่ก็อธิบายสถานการณ์อย่างละเอียด หลังจากได้ยินตำแหน่งไซต์ก่อสร้างที่หลี่โม่แจ้ง หัวหน้าจางก็เข้าใจทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น “คุณหลี่ ผมรู้จักเจ้าพวกนั้น พวกมันมาจากหนานซาน เป็นพวกอันธพาลหนังเหนี
“อืม คนที่ฉันเชิญมาจะมาถึงในอีกไม่นาน รอสักครู่ก็แล้วกัน” “ผมจะไปต้อนรับพวกเขาที่หน้าประตู เชิญคุณนั่งตามสบาย” หลินเจิ้งหนานพาลูกน้องไปยืนต้อนรับข้างนอกห้อง เพื่อรอต้อนรับเหล่ายอดฝีมือที่กำลังจะมาถึง ไม่นานนักพรตเต๋าวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยันต์แปดทิศคนหนึ่งก็เดินเข้ามา หลินเจิ้งหนานเข้าไปต้อนรับเขา และเชิญนักพรตเข้าไปในห้องอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็มีชายร่างกำยำอีกสองสามคนเดินเข้ามาอีกติด ๆ กัน หลินเจิ้งนานก็ต้อนรับทักทายพวกเขาเช่นเดิมราวกับคัดลอกวาง คนที่แต่งตัวแตกต่างกันกว่าสิบคนเดินเข้าไปในห้องไม่ขาดสาย ทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นเหล่าผู้มากความสามารถ โดยรวมแล้วแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างมาก หลังจากวุ่นอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดหลินเจิ้งหนานก็ทักทายต้อนรับทุกคนเสร็จ แล้วกลับไปนั่งในห้องเพรสซิเดนท์เชี่ยลสวีทเป็นคนสุดท้าย “กุ่ยเหล่าเอ้อ ที่บอกว่าสามารถต่อกรกับหลี่โม่ได้นั้นเรื่องจริงหรือเปล่า?” นักพรตถามอย่างทนรอไม่ไหว “หลงหานกวง นายร้อนใจอยากจะแก้แค้นให้สุนัขรับใช้ของพวกนายขนาดนั้นเลยเหรอ?” กุ่ยเอ้อพูดพลางมองไปยังนักพรต “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าคุ้มครองลูกน้องยังไม่ได้ ต่อไปจะเป็