จางเต๋ออู่เบิกตากว้าง จ้องมองชูจงเทียนที่กำลังก้มหัวแล้วตะโกนขึ้น “พูดอะไรของคุณ? หลี่โม่เข้ารอบไปโดยอัตโนมัติแล้วงั้นเหรอ? พวกเราเดินทางมาตั้งไกลถึงที่นี่ก็เพื่อดูการแข่งของหลี่โม่ แต่คุณกลับบอกเราว่า เขาเข้ารอบไปด้วยโดยอัตโนมัติแล้ว! พวกคุณกล้าทำตัวไม่เป็นอาชีพขนาดนี้ได้ยังไง!” “ขออภัยด้วยจริง ๆ ครับ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ พวกเราเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้” ชูจงเทียนโค้งคำนับขอโทษไม่หยุด เมื่อเผชิญหน้ากับคนใหญ่คนโตที่เขาไม่รู้แม้แต่สถานะตัวตน ชูจงเทียนก็ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย และยอมถ่อมตัวต่ำเตี้ยราวกับเป็นเพียงฝุ่นผงอย่างไรอย่างนั้น เดิมทีจางเต๋ออู่นึกอยากจะดูหลี่โม่ถูกอัดน่วมอยู่บนสังเวียน แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นข่าวที่ว่าหลี่โม่เข้ารอบไปโดยอัตโนมัติแล้ว นี่ทำให้จางเต๋ออู่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “พวกแก ไอ้พวกระยำ คงจะไม่ได้เล่นสกปรกกับการแข่งขันหรอกนะ! ถ้าฉันรู้ว่าพวกแกเล่นสกปรกกับการแข่งขัน ฉันไม่ปล่อยพวกแกไว้แน่!” “ไม่กล้าหรอกครับ ไม่กล้า ต่อให้ผมอยากจะเล่นสกปรก คณะกรรมการผู้จัดการแข่งขันก็ไม่มีทางยอมหรอกครับ เป็นเพราะว่าเมื่อวานเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริง ๆ
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ความคิดมากมายได้ปรากฏขึ้นในใจของท่านปา “ผมไม่กล้าหวังตำแหน่งจ้าวมังกรใหญ่หรอกครับ แค่ได้นั่งบนตำแหน่งจ้าวมังกรลำดับแปด ก็เป็นวาสนาของผมแล้ว ผมจะพยายามตามหากุญแจลับอย่างเต็มที่เพื่อเอามามอบให้ท่านครับ” ท่านปาโค้งตัวพลางเอ่ย ราชินีมังกรแย้มยิ้มบาง แล้วพูดอย่างราบเรียบ “ไม่เลว ฉันนึกว่านายจะลำพองตัวซะอีก มนุษย์น่ะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักรู้ตัว รู้จักวางตัวให้ดีถึงจะสามารถมีชีวิตยืนยาว ฉันกลับคาดหวังในตัวนายเสียอีก รู้สึกว่านายจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกยืนยาวเชียวล่ะ” ท่านปารู้สึกตื่นตัว เขารู้ว่าราชินีมังกรกำลังลองเชิงตนเองอยู่ เธอคงจะยังไม่ได้ไว้ใจตนมากนัก “ท่านวางใจได้ ผมเป็นคนที่มีความเคารพยำเกรงเป็นที่สุด และท่านเป็นคนที่ผมเคารพยำเกรงสุดหัวใจ ผมจะอยู่ให้ถูกที่และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดีของท่านอย่างแน่นอนครับ” “ฮ่าฮ่าฮ่า” ราชินีมังกรหัวเราะขึ้นมาอย่างพึงพอใจ ท่านปาถอนหายใจ รู้สึกว่าคราวนี้ตนรอดพ้นไปได้แล้ว ทุกครั้งที่เจอกับราชินีมังกร เขาจะต้องต่อสู้ด้วยไหวพริบและความกล้า หากตอบคำถามได้ไม่ดีจนทำให้ราชินีไม่พอใจขึ้นมา น่ากลัวว่าเขาอาจจะกลายเป็น
ท่านปาพยายามทำความเข้าใจความหมายของราชินีมังกร แล้วเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ผมคิดว่าหลี่โม่เองก็พอมีทักษะอยู่บ้าง นู่หล่างเป็นนักมวยที่ไม่ได้มีแบบแผนอะไร ล้วนแต่พึ่งพาเพียงศักยภาพร่างกายที่ดีเท่านั้น ขอเพียงเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ ต่างก็สามารถชนะนู่หล่างได้ทั้งนั้นครับ” “เหล่าปา นายคิดอย่างนั้นจริง ๆ งั้นเหรอ?” ราชินีมังกรถามเสียงเย็น ท่านปาตัวสั่นเล็กน้อย แล้วรีบก้มหน้าอย่างตื่นตระหนก เอ่ยเสียงอู้อี้ “ผมแค่คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ที่พูดไปอาจไม่ถูกต้องครับ” “เฮอะ ถึงฉันจะไม่ได้เข้าใจเรื่องลึกซึ้งแบบนั้นนัก แต่ก็ยังเข้าใจหลักการพื้นฐาน แม้ว่านู่หล่างจะไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุด แต่ก็เป็นได้ถึงระดับปรมาจารย์ชั้นหนึ่ง” “ในหมู่ผู้พิทักษ์แดนมังกรคนที่แข็งแกร่งกว่านู่หล่างก็มีไม่น้อย แต่หากจะบอกว่ามีใครที่สามารถเหยียบย่ำนู่หล่างได้อย่างง่ายดายเหมือนกับหลี่โม่นั้น น่ากลัวว่าจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้ หลายปีมานี้ หลี่โม่คงเก็บกลั้นและพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาโดยตลอด ช่างทะเยอทะยานโฉดชั่วราวกับหมาป่าจริง ๆ !” จางเต๋ออู่รีบพูดเสริม “ท่านพูดถูกต้องแล้ว หลี่โม่ทะ
หลังจากท่านปาพูดอย่างประจบประแจงจบ ก็รู้สึกว่าตนเองช่างน่ารังเกียจจริง ๆ ทำไมถึงได้พูดคำพูดที่ไร้ยางอายขนาดนี้ออกมาได้ หลี่โม่ทำสีหน้าแปลกประหลาด เป็นเพราะรู้สึกขยะแขยงกับคำพูดของท่านปาเช่นกัน “จริงจังหน่อย ผมวางล่ะ” เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณดังออกมาจากโทรศัพท์ ท่านปาก็ถอนหายใจยาว รู้สึกว่าชีวิตนั้นช่างยากลำบากจริง ๆ “กลับไปที่วิลล่า ช่วงนี้จัดเตรียมคนมาจับตาดูการเคลื่อนไหวของหลินเจิ้งหนานหน่อย ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็มารายงานฉันก่อนทั้งหมด” ท่านปาออกคำสั่งกับผู้ช่วย “รับทราบครับ” ผู้ช่วยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเริ่มพิมพ์อย่างรวดเร็ว แล้วส่งคำสั่งออกไปเป็นชุด ...... หลินเจิ้งหนานกำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องสวีท ลูกน้องที่มีความสามารถยืนตรงเรียงเป็นสองแถวอยู่เบื้องหน้าหลินเจิ้งหนาน “หลี่โม่ฆ่าลูกชายของฉัน นี่เป็นความแค้นบัญชีเลือด จะต้องล้างแค้นมันให้ได้!” หลินเจิ้งหนานพูดอย่างโกรธแค้น “นายท่าน ขอแค่ท่านสั่งมาเท่านั้น พวกเราจะบุกน้ำลุยไฟไปโดยไม่ลังเล” “หน่วยมัดสั้นเตรียมพร้อมแล้วครับ พวกเขาต่างเป็นนักสู้ที่เก่งที่สุดในตระกูลของเรา ทั้งหมดล้วนเคยมีดเปื้อนเลือด ผ่านสนามรบมาแล้วทั้
หลังจากที่หลี่โม่ เฉินเสี่ยวถงและคังเหวินซินออกจากโรงพยาบาล พวกเขาก็ขับรถกลับไปที่บริษัท เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของกู้หยุนหลาน เห็นกู้หยุนหลานที่กำลังทำงานอยู่ หลี่โม่ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่รัก ยุ่งอยู่เหรอ?” กู้หยุนหลานเงยหน้าขึ้นมองไปทางหลี่โม่ ก่อนจะเหลือบมองเฉินเสี่ยวถงกับคังเหวินซินที่อยู่ข้างหลังหลี่โม่ ในใจก็พลันรู้สึกระแวงสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อครู่หลี่โม่ออกไปก่อนแล้ว แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงอยู่ด้วยกันกับเฉินเสี่ยวถงได้ แล้วยังมีคังเหวินซินนั่นอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้น? คังเหวินซินช่วยทอดสะพานให้เฉินเสี่ยวถงแอบสานสัมพันธ์กับหลี่โม่ ให้ทั้งสองนัดพบกันอย่างลับ ๆ โดยที่ปิดบังไม่ให้เธอรู้หรือเปล่า? “พวกคุณ ไปทำอะไรกันมาเหรอ?” กู้หยุนหลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแหบแห้ง “ผมจัดการธุระเสร็จแล้วก็บังเอิญเจอเฉินเสี่ยวถงกับคังเหวินซินเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ เลยพาพวกเขาไปเยี่ยมซีซีที่โรงพยาบาล ช่วงนี้ซีซีไปเรียนรู้เรื่องยุ่ง ๆ มาจากคนไข้ห้องข้าง ๆ น่ะ เดี๋ยวหลังจากเสร็จสิ้นการรักษาต้องรีบรับซีซีกลับมาแล้ว” “จริงสิ ผมคิดว่า พวกเราน่าจะดูบ้านไว้สักหน่อย ช่วงนี้ผมช่วยเฉียนฝูด
คังเหวินซินพูดด้วยความกระตืนรือร้นอย่างยิ่ง ท่าทางกระตือรือร้นยิ่งกว่าพนักงานขายเสียอีก เหมือนกับอยากจะยัดบ้านใส่มือหลี่โม่ให้ซะเดี๋ยวนั้นเลย หลี่โม่ดูแผนที่อย่างละเอียด มีการสืบค้นข้อมูลอสังหาริมทรัพย์และบทวิจารณ์บนอินเทอร์เน็ต หลังจากนั้นจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ กู้หยุนหลานดูอย่างค่อนข้างตกตะลึง แล้วเอ่ยด้วยความตกใจจนแทบพูดไม่ออก “จิ๊ ๆ สวนหนานชุ่ยเป็นชุมชนที่หรูหราที่สุดในเมืองฮั่นแล้ว ได้ยินมาว่าวิลล่าบนยอดเขานั่นมีบารมีฮวงจุ้ยชีพจรมังกรเชียวนะ” “พี่สะใภ้พูดถูกต้องไม่มีผิดเลยแม้แต่น้อย วิลล่าบนยอดเขาเองก็เป็นหนึ่งในวิลล่าที่บ้านผมยังไม่ได้ขาย ฮวงจุ้ยชั้นยอดเลยจริง ๆ มีชีพจรมังกรอยู่จริง ๆ ด้วยครับ อย่าว่าแต่อยู่ที่ไหนเลย แค่อยู่ที่นั่นเพียงไม่นาน ก็จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นและพลังอันเต็มเปี่ยมเลยล่ะครับ” กู้หยุนหลานได้ยินดังนั้นก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงราคาของสวนหนานชุ่ยแล้ว ความหวั่นไหวก็กู้หยุนหลานก็มลายหายไปทันที “ที่นั่นจะว่าดีก็ดีอยู่หรอก แต่มันแพงเกินไป ถึงจะเป็นราคาทุนก็คงไม่ได้ถูกนัก” หลี่โม่ดีดนิ้วทีหนึ่งแล้ว แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แพงไม่แพงค่อยว่ากัน พรุ
“สำเนียงต่างถิ่น?” หลี่โม่พึมพำอย่างสงสัยเล็กน้อย หรือจะมีคนต่างถิ่นมาแย่งชิงเขตอิทธิพลที่เมืองฮั่นกัน? มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เรื่องที่คนต่างถิ่นรวมกลุ่มกันมาแย่งเขตอิทธิพลที่เมืองอื่นก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น เพียงแต่ตอนนี้มันค่อย ๆ มีให้เห็นค่อนข้างน้อยแล้วเท่านั้น “ใช่แล้ว แล้วคนพวกนั้นก็ป่าเถื่อนมาก พี่จงฉวนหาคนในท้องที่ไปช่วยพูด แต่สุดท้ายก็ถูกทำร้ายกลับมา เมื่อกี้นี้ฉันไปติดต่อตำรวจมา พอคนพวกนั้นเห็นตำรวจมาก็แยกย้ายสลายตัวไป ไม่นึกว่าพอตำรวจไปแล้ว พวกเขาจะไปก่อกวนอีก” กู้หยุนหลานนวดคลึงหน้าผาก เธอรู้สึกปวดหัวมาก เจอกับกลุ่มอันธพาลป่าเถื่อนที่เอากำลังไม่ฟังเหตุผลแบบนี้ มันไม่มีวิธีแก้ปัญหาดี ๆ เลยจริง ๆ “ที่รักไม่ต้องกังวลไปหรอก เดี๋ยวผมจะไปถามหัวหน้าจางเอง” เรื่องคราวก่อนทำให้สร้างความสัมพันธ์กับหัวหน้าจาง หลี่โม่จึงเรียกใช้หัวหน้าจางอย่างไม่เกรงใจ หลังจากโทรไป หลี่โม่ก็อธิบายสถานการณ์อย่างละเอียด หลังจากได้ยินตำแหน่งไซต์ก่อสร้างที่หลี่โม่แจ้ง หัวหน้าจางก็เข้าใจทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น “คุณหลี่ ผมรู้จักเจ้าพวกนั้น พวกมันมาจากหนานซาน เป็นพวกอันธพาลหนังเหนี
“อืม คนที่ฉันเชิญมาจะมาถึงในอีกไม่นาน รอสักครู่ก็แล้วกัน” “ผมจะไปต้อนรับพวกเขาที่หน้าประตู เชิญคุณนั่งตามสบาย” หลินเจิ้งหนานพาลูกน้องไปยืนต้อนรับข้างนอกห้อง เพื่อรอต้อนรับเหล่ายอดฝีมือที่กำลังจะมาถึง ไม่นานนักพรตเต๋าวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยันต์แปดทิศคนหนึ่งก็เดินเข้ามา หลินเจิ้งหนานเข้าไปต้อนรับเขา และเชิญนักพรตเข้าไปในห้องอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็มีชายร่างกำยำอีกสองสามคนเดินเข้ามาอีกติด ๆ กัน หลินเจิ้งนานก็ต้อนรับทักทายพวกเขาเช่นเดิมราวกับคัดลอกวาง คนที่แต่งตัวแตกต่างกันกว่าสิบคนเดินเข้าไปในห้องไม่ขาดสาย ทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นเหล่าผู้มากความสามารถ โดยรวมแล้วแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างมาก หลังจากวุ่นอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดหลินเจิ้งหนานก็ทักทายต้อนรับทุกคนเสร็จ แล้วกลับไปนั่งในห้องเพรสซิเดนท์เชี่ยลสวีทเป็นคนสุดท้าย “กุ่ยเหล่าเอ้อ ที่บอกว่าสามารถต่อกรกับหลี่โม่ได้นั้นเรื่องจริงหรือเปล่า?” นักพรตถามอย่างทนรอไม่ไหว “หลงหานกวง นายร้อนใจอยากจะแก้แค้นให้สุนัขรับใช้ของพวกนายขนาดนั้นเลยเหรอ?” กุ่ยเอ้อพูดพลางมองไปยังนักพรต “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าคุ้มครองลูกน้องยังไม่ได้ ต่อไปจะเป็
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา