หลังจากที่รถตู้เบนซ์ตกลงกับพื้น กระจกหน้าต่างรถก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยแรงสะเทือน ฝั่งที่นั่งข้างคนขับกระแทกกับพื้น พวกคุณชายเล็กหลินต่างก็ถูกกระแทกจนเลือดโชก มีเสียงวิ๊งวิ๊งดังอยู่ในหัว ทั้งหมดต่างตกอยู่ในอาการสมองกระทบกระเทือน ก็มีเพียงอาการของจอมละโมบที่ดีกว่าสักหน่อย เขาสะบัดหัวอย่างแรง จอมละโมบตะเกียกตะกายปีนออกไปจากทางกระจกรถที่แตกละเอียด “เป็นเพื่อนร่วมทีมที่ไร้ประโยชน์ชะมัด เกือบขุดหลุมฝังฉันแล้วไหมล่ะ” จอมละโมบบ่นพลางปีนออกจากรถตู้เบนซ์ เขาเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากหน้าผากที่ถูกกระจกบาด นึกอยากจะนั่งสูบบุหรี่ที่ข้างทางเงียบ ๆ สักมวนจริง ๆ ทว่าจอมละโมบก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น หลี่โม่ที่ย่างสามขุมเข้ามาทำให้จอมละโมบหมดอารมณ์ทันใด เขารีบกระโดดลงจากรถแล้ววิ่งหนีไปบนถนนอย่างบ้าคลั่ง หลี่โม่แค่นหัวเราะเย็นชา เขาสะบัดข้อมือเล็กน้อยก่อนหินกรวดก้อนหนึ่งจะทะยานออกไปกระแทกเข้ากับข้อพับเข่าของจอมละโมบอย่างแรง จอมละโมบที่กำลังหนีเตลิดพลันรู้สึกเจ็บปวดที่หัวเข่าและล้มคว่ำลงไปจูจุ๊บกับพื้นทันที “ขาฉัน! เข่าฉัน!” จอมละโมบร้องโหยหวนพลางกุมเข่าเอาไว้ เมื่อเห็นรูขนาดใหญ่ที่มีเลื
หลี่โม่ยิ้มเย็นแล้วโยนคุณชายเล็กหลินไปตรงหน้าลุงเป้า ก่อนเอ่ยอย่างเรียบเฉย “นายก็ทำเรื่องชั่ว ๆ กับเขาไว้ไม่น้อยนี่ งั้นก็ใช้เลือดของเขาล้างความชั่วของนายสิ” “หา?” ลุงเป้าตะลึงไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจความหมายของหลี่โม่ หลังจากขบคิดดูแล้ว ลุงเป้าถึงเพิ่งเข้าใจว่าหลี่โม่ต้องการให้ตนฆ่าคุณชายเล็กหลิน “แค่กแค่ก เฮือก เฮือก” คุณชายเล็กหลินหายใจสูดอากาศเฮือกใหญ่ ความรู้สึกที่สามารถหายใจได้นั้นช่างดีจริง ๆ ลุงเป้าก้มหน้าลงมองคุณชายเล็กหลินที่หอบหายใจขณะหลับตาแน่น แล้วกัดฟันเอ่ย “ถ้าฉันล้างความชั่วของตัวเองแล้ว นายจะปล่อยฉันไปใช่ไหม!” “แน่นอน” “ได้!” ลุงเป้ายื่นแขนออกไปอย่างกะทันหัน สองมือบีบคอของคุณชายเล็กหลิน “ขอโทษด้วยครับคุณชายสาม ที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อเอาชีวิตรอดเหมือนกัน ผมไม่มีทางเลือก!” นิ้วทั้งสิบของลุงเป้าราวกับตะขอ จิกทึ้งผิวหนังของคุณชายเล็กหลิน นิ้วมือของเขาทิ่มทะลุเข้าไปในคอของคุณชายเล็กหลิน ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้คุณชายเล็กหลินรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความตาย “แกไอ้สารเลว! ไอ้คนทรยศ!” คุณชายเล็กหลินที่ปรารถนาจะมีชีวิตรอดอย่างแรงกล้าได้เอื้อมมือขวาไปที่เอว ห
รถสปอร์ตค่อย ๆ หยุดลง พี่คังกับหลงเทาลงมาจากรถ เมื่อเห็นฉากอันน่าสังเวชบนถนนและยังมีศพของคุณชายสามหลินกับลุงเป้าอยู่อีก พี่คังก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้ง ส่วนหลงเทานั้นดีกว่าหน่อย ถึงอย่างไรเขาเองก็เห็นฉากคนฆ่ากันตายมามากแล้ว “คุณหลี่ คุณไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม ให้ไปส่งที่โรงพยาบาลไหมครับ?” หลงเทาเอ่ยถามอย่างกระวนกระวาย หลี่โม่ส่ายหน้า “ไม่เป็นไร คุณชายสามหลินตายแล้ว นายเองก็รีบกลับไปหลบภัยที่ถิ่นของนายเถอะ ถ้าตระกูลหลินมาหานาย เป็นตายยังไงก็ห้ามบอกว่าเกี่ยวข้องกับฉันล่ะ” หลงเทาประหวั่นพรั่นพรึง ในใจรู้สึกหวาดหวั่นอย่างรุนแรง นึกอยากจะคุกเข่าลงแล้วกอดขาของหลี่โม่เอาไว้ “คุณหลี่ ผม ผมจะหลบภัยยังไงได้ ตระกูลหลินต้องไม่ยอมวางมือแน่ ถ้าหากสาวมาถึงผมจริง ๆ ผมก็คงหลบไม่พ้นหรอกครับ” หลงเทาที่เต็มไปด้วยสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมเกือบจะร้องไห้ออกมา น้ำตาเอ่อมาคลอเบ้าเรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะร้องออกมาได้ทุกเมื่อ “ที่ไม่ได้เอาชีวิจนายก็เป็นเมตตาของฉันมากแล้ว อย่ามาลองดีกับขีดความอดทนของฉัน รีบไสหัวไปซะ” หลี่โม่ไม่เสวนากับหลงเทาอีกต่อไป ด้วยการกระทำก่อนหน้านี้ของหลง
หลี่โม่เหลือบมองคังเหวินซินอย่างแปลกใจเล็กน้อย คังเหวินซินพูดอย่างหน้าหนาหน้าทน “ใช่ครับ ผมมันคนโง่คนนั้นเอง” “บูกัตติมาให้นายขับแบบนั้นมันเสียของจริง ๆ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่นักขับมืออาชีพเองก็อาจจะขับได้ไม่ดีมากนักเลย อันที่จริง การขับรถมันก็เรื่องแค่นั้นเอง หากเป็นหนึ่งเดียวกับรถได้ ถึงจะสามารถเข้าใจอะไรหลายอย่าง” หลี่โม่เข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับ คังเหวินซินขบคิดคำพูดของหลี่โม่อย่างเหม่อลอย เป็นหนึ่งเดียวกับรถ นั่นมันขั้นสุดยอดของการขับรถเลยนี่นา มิน่าความห่างชั้นของตนกับหลี่โม่ถึงได้ใหญ่ขนาดนี้ แค่ระดับก็ต่างกันเป็นโยชน์แล้ว หากเทียบกับระดับขั้นในนิยายแนวบำเพ็ญเซียนแล้ว ระดับในการขับรถของหลี่โม่ก็เทียบเท่ากับขั้นจินตันแล้ว ส่วนตนนั้นแม้แต่ขั้นสร้างรากฐานก็ยังไม่ถึงเลย ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยจริง ๆ “จะขึ้นรถไหม? ถ้านายไม่ขึ้นฉันจะขับรถไปแล้วนะ” หลี่โม่เอ่ยตะโกนอยู่ในรถ คราวนี้คังเหวินซินได้สติกลับมา ตะลีตะลานเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับทันที หลี่โม่เหยียบคันเร่ง พร้อมกับเข้าเกียร์สองและออกตัวไปทันที รถสปอร์ตพุ่งทะยานออกไปราวกับลูกธนู ก่อนที่ความเร็วจะทะลุร้อยใ
“ถ้านายรู้ก็รีบบอกมาสิ เร็ว ๆ เข้า” คังเหวินซินเร่งเร้าอย่างร้อนใจ “ผมได้ยินมาว่าหลี่โม่เป็นไอ้ขยะชื่อดังของกรุงโซล เป็นเขยแต่งเข้าของตระกูลกู้ที่เป็นตระกูลอันดับสามของกรุงโซล แต่ว่าช่วงนี้ดูเหมือนจะว่ากันว่าหลี่โม่ได้ผงาดขึ้นมาแล้ว ก็งานเลี้ยงที่โรงกลั่นไวน์ที่พวกเราไม่ได้ไปนั่นไงครับ ลือว่าในงานเลี้ยงหลี่โม่ตบหน้าคุณชายสามหลินด้วย” “คุณชายสามหลิน?” คังเหวินซินตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกย้อนไปถึงฉากที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้ เหมือนว่าศพที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุรถชนนั่น จะมีศพที่เหมือนกับคุณชายเล็กหลินอยู่ด้วย หลี่โม่ฆ่าคุณชายเล็กหลินอย่างนั้นเหรอ? โอ้โหแม่เจ้า! คังเหวินซินรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ รู้สึกราวกับว่าตนเข้าไปมีส่วนร่วมในวังวนขนาดใหญ่เสียแล้ว เรื่องแบบนี้ขอเพียงล่วงรู้เข้าแล้ว ก็คงจะไม่ได้เจอจุดจบดี ๆ แน่ “พระเจ้าช่วย เหมือนว่าเมื่อกี้เทพแห่งรถหลี่จะฆ่าคุณชายสามหลินไปแล้ว ฉันเห็นศพที่ดูน่าจะเป็นคุณชายสามหลิน เรื่องนี้ควรจะทำยังไงดี” คังเหวินซินตื่นตระหนกจนอกสั่นขวัญหาย “พี่คัง พี่ไม่ได้มองผิดไปหรอกเหรอ ข้างกายคุณชายสามหลินมีแต่ยอดฝีมือทั้งนั้น ต่อให้อยากจะฆ่าก็ทำไม่ได
ลุงอู่ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด จู่ ๆ คุณชายเล็กหลินก็ตาย ความคิดแรกของลุงอู่คือคงจะถูกอริลอบทำร้าย ถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ในช่วงเวลาสำคัญในการคัดเลือกผู้นำตระกูลในอนาคต การลอบทำร้ายคู่แข่งต่างถือเป็นธรรมเนียมทั่วไป “พวกเรา พวกเรามีคนตั้งเยอะแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย คุณชายเล็กหลินไปล่วงเกินคนที่ร้ายกาจ แม้แต่ลุงเป้าเองก็ยังไม่ใช่คู่มือของมัน สุดท้ายลุงเป้าก็จ้างจอมละโมบที่เป็นรุ่นน้องของเขามาแต่ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี” “ไอ้เวรเอ๊ย! ไปเจอใครมา ใครเป็นคนฆ่าคุณชายเล็กหลิน!” ลุงอู่ถามด้วยเสียงเฉียบขาด “ดูจากสภาพที่เกิดเหตุแล้วคุณชายเล็กหลินกับลุงเป้าคงจะฆ่ากันเองครับ ตอนที่ผมกำลังแกล้งตายเพื่อซ่อนตัวอยู่ ดูเหมือนว่าลุงเป้าจะร้องขอชีวิต หลี่โม่บอกว่าถ้าลุงเป้าฆ่าคุณชายสามแล้วจะปล่อยลุงเป้าไป ลุงเป้าก็เลยต่อสู้กับคุณชายสามและท้ายที่สุดทั้งสองคนสู้กันจนตายไปด้วยกัน” ลุงอู่ฟังจนสับสนงุนงงไปหมด เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าสถานการณ์นั้นมันเป็นอย่างไร นายน้อยผู้สง่างามแห่งตระกูลหลิน ถึงกับถูกบอดี้การ์ดข้างกายตัวเองสังหารเลยอย่างนั้นเหรอ “ถ่ายรูปที่เกิดเหตุส่งมาให้ฉัน หลังจากนั้นก็เขียนอธิบายมาเ
หลี่โม่ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ แล้วยุ่งอยู่กับการทำอาหารเช้าในห้องครัว หวังฟางดึงเฉินเสี่ยวถงมานั่งที่โซฟา ถามไถ่เรื่องราวที่เธอกับหวังจงฉวนพบเจอเมื่อวาน เฉินเสี่ยวถงรู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ เล็กน้อยไม่รู้ว่าจะควรจะพูดอย่างไร จึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางก็หยุนหลาน “แม่คะ อย่าพูดถึงเรื่องที่จบไปแล้วเลย เดิมทีพี่เขาก็ไม่เหมาะกับเสี่ยวถงอยู่แล้ว แม่เองก็หยุดจับคู่พวกเขาได้แล้วนะคะ” กู้หยุนหลานเอ่ยอย่างค่อนข้างระอา “แม่ทำผิดยังไงกัน ช่วงนี้สถานการณ์ลูกพี่ลูกน้องของลูกก็กำลังดีเลย ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันจะไปออกทีวีด้วยนะ” หวังฟางรู้สึกว่าหลายชายของตนก็ไม่เลวเลยจริง ๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าลูกเขยไร้ประโยชน์ตรงหน้าคนนี้เป็นไหน ๆ “เสี่ยวถงเอ๋ย หนูต้องฟังน้านะ จงฉวนน่ะหนูต้องพิจารณาเด็กคนนี้ให้ดี คนหนุ่มสาวไปมาหาสู่กันให้มาก ๆ เดี๋ยวก็ปิ๊งกันเองนั่นแหละจ้ะ” เฉินเสี่ยวถงยิ้มอย่างอึดอัดใจแล้วเอ่ยว่า “อื้ม ๆ ค่ะคุณน้า งั้นฉันจะพยายาม ฉันจะไปดูว่าพี่หลี่โม่มีอะไรให้ช่วยมั้ย คุณน้าคุยกับพี่หยุนหลานก่อนเถอะค่ะ” เมื่อหาข้ออ้างให้หนีไปได้แล้ว เฉินเสี่ยวถงก็รีบพุ่งเข้าไปในห้องครัว หลี่โม่ที่กำลัง
“อ๋อ เมื่อกี้นี้พวกเธอคุยอะไรกันอยู่เหรอ?” กู้หยุนหลานแสร้งถามอย่างไม่คิดอะไร ถึงอย่างไรเฉินเสี่ยวถงก็เป็นสาวงามคนหนึ่งเหมือนกัน พร้อมกับที่กู้หยุนหลานก็พอจะรู้สึกได้ว่าเฉินเสี่ยวถงเหมือนจะคิดไม่ซื่อกับหลี่โม่อยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างระแวดระวังในตอนที่เฉินเสี่ยวถงอยู่กับหลี่โม่ตามลำพัง “ก็ไม่ได้คุยอะไรกันนะคะ ฉันพูดอะไรพี่หลี่โม่ก็ชอบเมินอยู่เรื่อย ทำฉันโมโหแทบตายเลยจริง ๆ” เฉินเสี่ยวถงพูดอย่างโมโห ซึ่งในใจก็โกรธอยู่จริง ๆ เช่นกัน “หลี่โม่ก็เป็นแบบนั้นแหละ เขามีอีคิวต่ำไปสักหน่อย อย่าไปคิดหยุมหยิมกับเขาเลย เธอนั่งกินไปก่อนเถอะ ฉันจะเข้าไปดูหน่อย” กู้หยุนหลานกดเฉินเสี่ยวถงให้นั่งลง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องครัว หลี่โม่เห็นกู้หยุนหลานเดินเข้ามา ก็พลันโบกมือให้กู้หยุนหลานด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้วคีบแฮมที่เพิ่งทอดเสร็จขึ้นมาหนึ่งชิ้นพลางเอ่ย “ที่รัก มาชิมสิ เพิ่งทอดเสร็จใหม่ ๆ รสชาติดีไม่เลวเลยนะ” “ทำไมฉันถึงเห็นเหมือนว่าคุณกำลังร้อนตัวอยู่หน่อย ๆ เลยล่ะ เมื่อกี้นี้คงไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีมาใช่ไหม” กู้หยุนหลานเอ่ยด้วยสีหน้าขึงตึง “ไม่ยุติธรรมเลยนะที่รัก ผมจะไปทำเรื่องไม่ดีได้ย
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา