หลี่โม่เอ่ยกำชับ ในตอนที่ชูจงเทียนเดินมาถึงหน้าประตูห้องส่วนตัว ประตูห้องก็ถูกคนถีบเข้ามาจากข้างนอก ชายฉกรรจ์สามสี่คนในชุดคอจีนกำลังยืนตระหง่านอยู่นอกประตู “พวกแกจะทำอะไร!” ชูจงเทียนตวาดอย่างกราดเกรี้ยว “อย่ามาขวางทางโว้ย พวกข้ามาหาคน!” ชายฉกรรจ์ที่นำอยู่ด้านหน้ากวาดตามองหลี่โม่ ก่อนจะส่งสัญญาณด้วยมือซ้ายที่ไพล่อยู่ข้างหลัง จากนั้นแววตาของชายฉกรรจ์ทั้งหมดก็วาบประกายขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาพลันสูดหายใจลึกแล้วตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ “ทั้งกรุงโซลคือถิ่นของฉัน มาวางก้ามโอหังในถิ่นของฉัน พวกแกอยากรนหาที่ตายนักใช่ไหม” ชูจงเทียนวางมาดแสดงบารมี เตรียมจะใช้อำนาจสยบชายฉกรรจ์เหล่านี้ “รีบไสหัวไปซะไอ้แก่ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าแกซะ” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าผลักชูจงเทียนออก รูม่านตาของชูจงเทียนหดเล็ก รู้สึกว่าแรงผลักของอีกฝ่ายนั้นไม่ธรรมดา ทั้งยังใช้กำลังภายในอีกด้วย ชูจงเทียนจึงก้าวถอยหลังแล้วบิดเอวเบี่ยงหลบการผลักนี้ของอีกฝ่าย “โอ้โหเฮ้ย แกก็มีวิชาอยู่บ้างนี่หว่า รู้จักหลบก็ไปให้พ้นซะ ถ้าไม่พอใจก็เข้ามาประมือกับข้าได้เลย ข้าเป็นนักสู้ผู้แข็งแกร่งแห่งไชน่าทาวน์เซียงซาน กังฟูหงฉว
เฉินเจียตั๋วพินิจหลี่โม่เล็กน้อย หลังจากยืนยันแล้วว่าหลี่โม่คือเป้าหมายที่ตนกำลังตามหาบนใบหน้าก็พลันเผยรอยยิ้มตื่นเต้นออกมา “มาเลย ถ้าจะลงมือก็รีบ ๆ เข้า ฉันจะซัดแกให้ฟันร่วงหมดปาก” เฉินเจียตั๋วพูดจบก็กระดิกนิ้วเรียกหลี่โม่ หลี่โม่ยิ้มเย็นชาพลางมองไปที่พวกชายฉกรรจ์ข้างหลังเฉินเจียตั๋ว “พวกแกเองก็เข้ามาพร้อมกันเลย จะได้ไม่ต้องจัดการทีละคน แบบนั้นมันน่ารำคาญ” “ไอ้เวร แกใจกล้านักนะ หัวหน้า ไอ้หมอนี่มันจองหองเกินไปแล้ว ให้พวกเราสั่งสอนมันให้รู้สำนึกเถอะครับ!” “จัดการทีละคนมันน่ารำคาญงั้นเหรอ ไอ้กระจอกอย่างแกมีแต่ถูกพวกเรากระทืบเท่านั้นแหละ เดี๋ยวจะอัดให้พ่อแม่แกจำไม่ได้เลย” เฉินเจียตั๋วยืนเอามือไพล่หลังเย่อหยิ่งวางมาดเป็นคนมีฝีมือ “หึหึ ในเมื่อแกไม่รู้อะไรเป็นอะไรขนาดนี้ งั้นก็ให้พวกลูกน้องของฉันช่วยสั่งสอนแกให้หนักสักหน่อยแล้วกัน พวกนายรุมมันเข้าไป สนองความต้องการของมันหน่อย” ชายฉกรรจ์เหล่านั้นต่างหัวเราะอย่างชอบใจ แล้วเข้าไปล้อมกรอบหลี่โม่เอาไว้ทันที “ตายซะเถอะ! อวดดีนัก!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเหวี่ยงหมัดใส่หน้าหลี่โม่ก่อน จากนั้นคนอื่น ๆ ก็พากันพุ่งเข้าไปโจมตีหลี่โม่จากรอบด
ชูจงเทียนพูดอย่างกังวลใจ “ไอ้สกุลเฉิน แกเล่นขี้โกงนี่หว่า พอสู้ด้วยวิชาไม่ได้ก็ชักปืนออกมา ไม่เคยเห็นใครที่น่าอับอายขนาดนี้เท่าแกมาก่อนเลย” “ฮ่าฮ่า อายไม่อายแกไม่ใช่คนตัดสิน คนชนะต่างหากถึงจะพูดได้ ฉันมีปืนอยู่ในมือ พวกแกทุกคนก็ต้องเชื่อฟัง” เฉินเจียตั๋วพูดอย่างไร้ยางอาย ในขณะเดียวกันสายตาก็มองไปทางชูจงเทียน จึงเสียสมาธิเล็กน้อย ร่างของหลี่โม่โยกไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นก็พลันเคลื่อนไหวเป็นเส้นโค้งและปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ตัวเฉินเจียตั๋วในชั่วพริบตา ในตอนที่เฉินเจียตั๋วรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว ขณะที่เขากำลังจะยกปืนขึ้นเล็งไปที่หลี่โม่นั้น มือของหลี่โม่ก็คว้าข้อมือของเฉินเจียตั๋วเอาไว้ได้แล้ว เมื่อเขาออกแรงบีบ เสียงกระดูกหักก็ดังขึ้นกร๊อบ ๆ จากนั้นเฉินเจียตั๋วก็รู้สึกว่ามือไร้เรี่ยวแรงและถูกหลี่โม่แย่งปืนในมือไปแล้ว หลี่โม่ถือปืนจ่อที่ด้านหลังหัวของเฉินเจียตั๋ว แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “บอกมาว่าใครเป็นคนบงการ หาเรื่องฉันทำไม” “ไม่ ไม่มีใครบงการ ฉันไม่ได้มาหาเรื่องนายสักหน่อย ก็แค่อยากหาคนมาประลองวิชากันสักหน่อยเท่านั้น” เฉินเจียตั๋วพยายามกดกลั้นความหวาดกลัวในใจพลางเอ่ยขึ้น “หึ
เหล่าลูกน้องของชูจงเทียนมาถึงด้วยความรวดเร็ว คนทั้งกลุ่มเดินเข้ามาในโรงน้ำชาจนเต็มแน่นขนัดไปทั่วห้องโถงใหญ่ของโรงน้ำชา ก่อนจะโค้งคำนับให้กับหลี่โม่ด้วยความเคารพอย่างพร้อมเพรียง “สวัสดีครับคุณหลี่ สวัสดีครับคุณเทียน” เจ้าของโรงน้ำชาไปจนถึงผู้จัดการและพนักงานต่างหลบตัวสั่นอยู่ในห้องชงชา เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงตะโกนอันพร้อมเพรียง แต่ละคนก็ตกใจกลัวจนใบหน้าซีดขาวกันหมด ชูจงเทียนเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “คนที่ยังไม่ตายพากลับไปให้หมด ใครตายแล้วก็ส่งเข้าโรงเผาศพไปเลย จัดการเรื่องปืนด้วย จัดการให้ละเอียดรอบคอบหน่อยล่ะ” “ครับ!” เหล่าลูกน้องต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่นานศพของเฉินเจียตั๋วก็ถูกยกออกไป ส่วนพวกลูกน้องของเฉินเจียตั๋วก็ล้วนหมดความโอหังอย่างก่อนหน้านี้และถูกคุมตัวออกไปในสภาพสั่นกลัว ทั้งหมดออกจากโรงน้ำชาไปขึ้นรถและมาถึงลานว่างแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไป พวกลูกน้องของเฉินเจียตั๋วต่างถูกลากลงมาจากรถและพาตัวเข้าไปในอาคาร หลี่โม่กับชูจงเทียนนั่งอยู่บนโซฟามองดูพวกลูกน้องของเฉินเจียตั๋วถูกพาตัวเข้ามา “ถ้าไม่อยากตายก็บอกความจริงมา ถ้าไม่ยอมพูด พวกแกก็จะได้เป็นเหมือนเฉินเจียตั๋ว” หลี่โม
“การแข่งมวยใต้ดินมันอันตรายมากจริง ๆ นะครับ คุณหลี่คุณไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเลย!” ชูจงเทียนอดไม่ได้ที่จะพูดโน้มน้าว “ไม่เป็นไรหรอก ยังมีคนรอผมไปกินข้าวเที่ยงอยู่ ขอไม่คุยต่อล่ะ คุณเองก็รีบกลับไปซะ พวกมันจะได้ไม่สงสัย” ชูจงเทียนมองดูหลี่โม่จากไปและทำได้เพียงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ หลังสั่งให้ลูกน้องปล่อยตัวลูกน้องของเฉินเจียตั๋วไปแล้ว ชูจงเทียนก็กลับไปที่สนามต่อสู้เพียงลำพัง ...... คลินิกเถื่อนแห่งหนึ่งที่อยู่ในเขตชานเมืองของกรุงโซล คุณชายเล็กหลินนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าถมึงทึงและมองกลุ่มลูกน้องที่นั่งยองอยู่เบื้องหน้า พวกลูกน้องที่แขนหักนั้น แขนเข้าเฝือกทั้งสองข้าง แต่ละคนต่างอยู่ในท่าทางแขนเหยียดตรง ดูไปแล้วช่างน่าขันเต็มประดา ในมุมห้อง ลุงเป้านอนราบอยู่บนเตียง ต้นขาเปลือยเปล่าถูกพันด้วยผ้าก๊อซหลายก้อน “คุณชายเล็ก พวกเราอยู่แต่ที่นี่ตลอดเลย มันน่าเบื่อมากจริง ๆ แขนก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว แม้แต่มือถือก็เล่นไม่ได้” “อย่างน้อยก็ให้น้อง ๆ สาว ๆ มาเล่นเป็นเพื่อนพวกเราเถอะครับ วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยแบบนี้จะไปอยู่ได้ยังไง” “หรือไม่ก็ให้พวกเรากลับไปก่อน กลับบ้านไ
สำหรับคุณชายเล็กหลินเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เพียงแต่หากสามารถใช้เงินแก้ไขปัญหาได้ มันก็คงไม่ใช่ปัญหาหรอก หากมีใครสามารถฆ่าหลี่โม่กู้หน้าคืนมาให้คุณชายเล็กหลินได้ คุณชายเล็กหลินก็อาจถึงขั้นยอมให้เช็คเปล่าไปเลยก็ได้ “ลุงเป้า เงินไม่ใช่ปัญหาหรอก ลุงบอกมาเลยเถอะว่าจะจัดการหลี่โม่ยังไง จะห้าล้าน ห้าสิบล้านก็ไม่มีปัญหา ถ้ายังไม่พอ ฉันให้เลยร้อยล้านเอาชีวิตมันมาให้ได้!” คุณชายเล็กหลินพูดอย่างโกรธแค้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการสืบทอดตำแหน่งในตระกูลหลิน คุณชายเล็กหลินพร้อมที่จะทุ่มเต็มที่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกู้หน้ากลับคืนมาและต้องยึดครองกรุงโซลกับชูโจวให้ได้! ลุงเป้าหรี่ตาลง เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ผมมีรุ่นน้องอยู่คนหนึ่งที่เป็นพวกเห็นเงินแล้วตาโต พวกเราต่างเรียกเขาว่าจอมละโมบ รุ่นน้องคนนี้ฝีมือต่อสู้เก่งกาจกว่าผมมากทีเดียว เพื่อเงินแล้วเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง ตัวเขาเองก็สร้างอำนาจอิทธิพลอยู่ข้างนอก ทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง” “ลุงไม่ต้องพูดให้มากความ เข้าเรื่องมาเลย รุ่นน้องของลุงสามารถฆ่าไอ้หลี่โม่ได้ไหม! ขอแค่เขาฆ่าหลี่โม่ตายได้ก็เรียกเขามาได้เลย ราคาเท่าไหร่ฉันก็ยอมจ่ายได
“เขาออกเดินทางแล้วครับ คงจะมาถึงเช้ามืดนี้ พรุ่งนี้เช้าก็สามารถไปจัดการไอ้หลี่โม่ได้เลยครับ” “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ดี ฉันจะพักผ่อนให้เต็มที่สักคืนก่อน แล้วพรุ่งนี้จะได้ไปดูไอ้หลี่โม่ถูกซ้อมจนตายให้สดชื่น ถึงตอนนั้นฉันจะเหยียบย่ำศพของมันให้หนำใจ!” คุณชายเล็กหลินกลับมาที่ห้องด้วยความสะใจ เฝ้ารอให้วันรุ่งขึ้นมาถึง ...... หลี่โม่มาถึงร้านกาแฟตรงข้ามโรงพยาบาล เพียงเพิ่งจะเดินผ่านประตูร้านเข้ามาก็ได้ยินเสียงดุด่าต่อว่าดังขึ้น หนึ่งในนั้นมีเสียงที่เขารู้สึกคุ้นเคยอยู่ด้วย ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเสียงของหวังจงฉวน หลี่โม่เดินไปหาต้นเสียงจึงพบกับหวังจงฉวนกำลังยืนอยู่ที่ประตูห้องรับรองส่วนตัวและเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์หน้าตาดุร้ายสองสามคน “แกนี่มันหน้าหนาหน้าทนนักนะ พี่เทาของพวกเราถูกใจสาวน้อยสองคนนี้ ให้พวกหล่อนไปนั่งเป็นเพื่อน แล้วแกจะมายืนขวางยึก ๆ ยัก ๆ อะไรอยู่ตรงนี้ ถ้ายังกล้ามาขวาง ฉันจะอัดแกให้เละเป็นอาหารหมาซะเลย” “จะไปพูดไร้สาระกับพวกมันทำไม แค่ซ้อมไอ้หมาขวางทางนี้ให้สลบเหมือดไปเลย แล้วพาสาวน้อยสองคนนี้ไปก็ได้แล้ว อย่าทำให้พี่เทารอจนหงุดหงิด เดี๋ยวพวกเราจะโดนดีกันหมด” เห็นได้ชัดว่าช
“ใครมันมาเอะอะโวยวายวะ กล้าทำให้พวกเราเสียใจที่เกิดมาบนโลกนี้งั้นเหรอ? ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเสียใจโว้ย! ใครกล้ามาทำให้ฉันนึกเสียใจ ฉันจะทำให้มันนึกเสียใจที่พูดออกมาก่อนเอง” “หัวจื่อ มีคนอยากจะทำตัวเป็นฮีโร่ช่วยสาวงามว่ะ พวกเรามาทำให้มันรู้ซึ้งสักหน่อย ว่าการช่วยสาวงามน่ะเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายสุด ๆ ไปเลย” พวกหัวจื่อนวดข้อมือ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเหยียดหยามดูแคลนแล้วหมุนตัวมองไปทางหลี่โม่ที่อยู่ตรงประตูพร้อมกัน หลี่โม่กระดิกนิ้วเรียกพวกหัวจื่อแล้วเอ่ยอย่างดูถูก “เข้ามาพร้อมกันเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลา” “คิดว่าตัวเองเก่งนักรึไงวะ ถึงได้ให้พวกข้าเข้าไปพร้อมกัน แค่ข้าคนเดียวก็สามารถอัดแกให้ร้องหาพ่อได้แล้ว เอาหมัดฉันไปกินซะ ไอ้เด็กเวร!” หัวจื่อตะโกนดังลั่นพร้อมเหวี่ยงกำปั้นอันใหญ่อันโตนั้นใส่หลี่โม่ หัวจื่อที่เคยคว้าแชมป์คิกบ็อกซิ่งระดับจังหวัดมาได้มีความมั่นใจในหมัดของตนอย่างเต็มเปี่ยม อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่คนที่ฝึกฝนมาแล้วก็ยังไม่สามารถรับมือกับหมัดของหัวจื่อได้เลย หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้ติดตามพี่เทาแล้วอยู่สุขสบาย หัวจื่อก็คงคิดอยากเป็นคนดังบนอินเทอร์เน็ตแล้วไปท้าประลอ