"โอ้โห อวิ๋นอวิ๋นของเรามีคนที่ชอบแล้วเหรอเนี่ย?" กู้หยุนหลานพูดหยอกเย้า สวีอวิ๋นอวิ๋นกุมหน้าผากของเธอและพูดอย่างหมดหนทาง "ที่บ้านแนะนำคนคนหนึ่งให้ฉันรู้จัก เขาเป็นคุณชายลูกเศรษฐี ฉันไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับเขาเลย ก็เลยอยากขอคำปรึกษากับเธอยังไงเล่า" "ลูกเศรษฐีงั้นเหรอ" กู้หยุนหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าคุณชายลูกเศรษฐีเป็นพวกที่กู้หยุนหลานไม่ค่อยชอบนัก พวกลูกเศรษฐีทั้งหลายรอบตัวเธอต่างเป็นพวกเสแสร้ง แต่คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงนั้นมีเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ต่างเอาเงินของครอบครัวมาใช้ข้างนอกอย่างไร้ประโยชน์ทั้งนั้น สวีอวิ๋นอวิ๋นรู้ว่ากู้หยุนหลานมักจะมีอคติกับพวกลูกเศรษฐี ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ปฏิเสธการตามจีบของคุณชายเศรษฐีที่ร่ำรวยมากมายแต่กลับมาอยู่กับหลี่โม่หรอก เมื่อมองไปยังหลี่โม่ สวีอวิ๋นอวิ๋นก็รู้สึกว่าหลี่โม่ช่างโชคดีจริง ๆ ที่ได้อยู่ในสายตาของกู้หยุนหลาน ไอ้กระจอกที่ไม่มีอะไรเลยได้แต่งงานกับผู้หญิงขาวรวยสวยแบบนี้ “ใช่ ก่อนหน้านี้ฉันเองก็เคยติดต่อกับพวกลูกเศรษฐีไม่น้อย แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรกับพวกเขาเลย แม้จะบอกว่าฉันเองก็อยากแต่งงานกับคุณชายเศร
"หยุนหลานอย่าลังเลเลย ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบงานเลี้ยงที่พวกลูกเศรษฐีจัดขึ้นมา แต่ฉันเองก็หมดหนทางแล้วเหมือนกัน ความสุขของฉันขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ เธอช่วยฉันตรวจสอบให้หน่อยน้าาา"สวีอวิ๋นอวิ๋นจับแขนของกู้หยุนหลานพร้อมทำท่าทางออดอ้อน กู้หยุนหลานพูดอย่างจนใจ "ก็ได้ ๆ ฉันไปก็ได้ แต่งานเลี้ยงที่โรงกลั่นไวน์องุ่นฟังดูแล้วไม่ได้เป็นทางการนัก ฉันเดาว่าพวกลูกเศรษฐีนั่นจะต้องหาสาว ๆ สวย ๆ ไปร่วมงานไม่น้อยแน่" “มันก็เป็นธรรมเนียมทั่วไปอยู่แล้วนี่ สำหรับพวกคนรวยก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่ หวังแค่ว่าเขาจะไม่ทำให้มันเกินไปเท่านั้น การแต่งเข้าตระกูลร่ำรวยก็ต้องแบกรับภาระนี้อยู่แล้ว” สวีอวิ๋นอวิ๋นเอ่ยอย่างขุ่นเคืองใจ บริกรเดินมาพร้อมกับกาแฟหอมกรุ่นสามถ้วย ความไม่พอใจบนใบหน้าของสวีอวิ๋นอวิ๋นพลันถูกลบออกไปในพริบตา "มาเถอะ หยุนหลานเธอลองชิมดริปคอฟฟี่ของร้านเขาดูสิ มันยอดจริง ๆ นะ" บริกรรูปหล่อชำเลืองมองสวีอวิ๋นอวิ๋นและกู้หยุนหลานเล็กน้อย เมื่อเห็นความงามของทั้งสองคน ทันใดนั้นเขาก็นึกอยากจะตีสนิทด้วยขึ้นมา การเริ่มทักทายสาวสวยที่มาดื่มกาแฟ กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับบริกรสุดหล่อคนนี้ไปแล้ว ด้วยรูปร่
“คุณ คุณพูดเหลวไหล!” บริกรรูปหล่อลนลานเล็กน้อย “ผมยังพูดไม่จบ เมื่อครู่คุณบอกว่าให้ใช้เมล็ดกาแฟคั่วสดใหม่ในการชง นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง เมล็ดกาแฟคั่วใหม่จะต้องรอ Degas ก่อน ระยะเวลาห้าถึงสิบวันตามระดับการคั่ว กาแฟที่ชงด้วยเมล็ดกาแฟคั่วใหม่ ๆ มันไม่อร่อยหรอกครับ" “ส่วนที่คุณบรรยายถึงกลิ่นของกาแฟบลูเมาท์เทนเมื่อครู่นั้นผิดไปไกลเลยล่ะ เรื่องรายละเอียดผมไม่ขอแก้นะ ผมแค่อยากจะบอกว่า ถึงคุณอยากจะแกล้งอวดรู้ต่อหน้าสาว อย่างน้อยก็ต้องเรียนรู้ไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นถ้าถูกคนแหย่เข้าหน่อยจะหน้าแตกเอาได้ง่าย ๆ นะครับ” บริกรรูปหล่อหน้าแดงก่ำ ก่อนหันหลังจากไปด้วยความโกรธ ส่วนสวีอวิ๋นอวิ๋นนั้นยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งกว่า เพียงแค่เห็นท่าทีโมโหเพราะความอับอายของบริกรรูปหล่อ สวีอวิ๋นอวิ๋นก็สามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งที่หลี่โม่พูดนั้นเป็นความจริง แต่เมื่อนึกถึงการแสดงออกของตนเองเมื่อครู่นี้ สวีอวิ๋นอวิ๋นรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา "หยุนหลาน เอาเป็นว่าตกลงกันแล้วนะ วันมะรืนต้องไปงานเลี้ยงที่โรงกลั่นไวน์องุ่นด้วยกันนะ ฉันขอตัวก่อนล่ะ" สวีอวิ๋นอวิ๋นกำชับด้วยรอยยิ้มแห้ง หลังจากลุกเดินจากไปสีหน้าก็กลายเป็
สาวสวยที่จะส่งมอบให้กับคุณชายสามหลินต้องไม่ใช่พวกสาวสวยธรรมดา ๆ จะต้องเป็นดุจเทพธิดาลงมาเท่านั้น มาตรฐานที่สูงเช่นนี้ ทำให้สาวสวย80-90เปอร์เซ็นต์ต่างก็ไม่เข้าตาพี่หลงเลย “พี่หลง ครั้งนี้เชื่อถือได้หรือเปล่า จริง ๆ แล้วสาวสวยที่เจอสองครั้งที่แล้วก็ไม่เลวทั้งนั้น ทำไมพี่ถึงรู้สึกว่ายังไม่ได้ล่ะครับ?” ลูกน้องถามแกมบ่น เพื่อตามหาสาวสวยที่เหมาะสม พวกลูกน้องของพี่หลงเหล่านี้จึงต้องยุ่งไม่น้อย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายไม่เป็นที่น่าพอใจ พี่หลงพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง "แกยังอยากมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ อีกไหม ถ้ายังอยากอยู่ก็ตั้งใจทำงานว่าง่าย ๆ ไปซะ ถ้าไม่อยากอยู่แล้วฉันจะส่งแกไปโลกหน้าเดี๋ยวนี้เลย" ลูกน้องพลันตัวสั่นสะท้านและพลันตื่นตระหนกขึ้นมา "พี่หลงใจเย็น ๆ ผมแค่พูดไร้สาระไปเท่านั้นจริง ๆ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้วครับ” “เฮอะ! ทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว ข้างกายผู้หญิงคนนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ถ้าเขาขัดขวางก็ฆ่าได้ทันทีเลย” พี่หลงพูดอย่างเหี้ยมโหด ลูกน้องสองคนชักปืนออกมา หลังจากบรรจุกระสุนก็ปลดเซฟตี้ออกพร้อมยิงได้ทุกเมื่อ ...... หลี่โม่กับกู้หยุนหลานลงลิฟต์มาถึงลานจอดรถชั้นใต้ดิน ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออ
พี่หลงพาพวกลูกน้องสองคนสาวเท้าก้าวเดินไปอย่างแข็งแกร่งองอาจ ทุกครั้งที่เดินเช่นนี้ พี่หลงจะรู้สึกฮึกเหิมเป็นพิเศษ ราวกับว่าตนเองได้กลายเป็นเสี่ยวหม่าเกอในภาพยนตร์ ขณะที่พี่หลงกำลังเดินไปด้วยความรู้สึกฮึกเหิมนั้น เขาก็เห็นร่างสามร่างลอยละลิ่วผ่านหน้าไป เอ๊ะ ทั้งสามร่างนั้นดูคุ้น ๆ นะ ดูจากขนาดและเสื้อผ้าของทั้งสามคนแล้ว เหมือนว่าจะเป็นลูกน้องของตนนี่! ดวงตาของพี่หลงเบิกกว้างในทันที เขามองชายร่างกำยำสามคนที่กระแทกเข้ากับผนังและร่วงลงกับพื้นอย่างละเอียด ไม่ผิด เป็นลูกน้องของตนจริง ๆ ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันวะ ลูกน้องสามคนนี้เป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม กล้าสู้ได้แม้แต่คนหนึ่งต่อสิบ แล้วทำไมถึงได้ลอยมาด้วยกันแบบนี้ ยอดฝีมือ ต้องมียอดฝีมือแน่ ๆ ! พี่หลงตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว คนที่สามารถซัดลูกน้องที่แข็งแกร่งของตนลอยไปได้ จะต้องเป็นยอดฝีมือเท่านั้น พี่หลงดึงปืนพกออกจากหลังเอวอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยและคำรามเสียงต่ำ "ชักปืนออกมา กระจายกำลังเป็นรูปแบบสามเหลี่ยม!" ลูกน้องทั้งสองเองก็นับว่าได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เมื่อพี่หลงเตือนสติ ทั้งสองก็ชักปืนออกมาแล้วและรีบ
หลี่โม่ยกปืนพกที่แย่งมา แล้วเหนี่ยวไกไปที่พี่หลงปัง ปัง ปังเสียงปืนดังสามนัด ลูกกระสุนเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้างและขาขวาของพี่หลง แขนข้างที่ถือปืนอยู่ห้อยลง น้ำหนักของปืนดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นหนักพันปอนด์ ถือไว้ไม่ได้อีกเลยตุ้บปืนพกร่วงหล่นลงพื้น พี่หลงเองก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นเช่นกัน ขาข้างที่ถูกยิงไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ จึงทำได้เพียงคุกเข่าลงแล้วถึงได้รู้สึกทนได้สักหน่อย“ยิงสิ ยิงสิโว้ย”พี่หลงตะคอกลูกน้องที่เหลืออยู่อย่างอ่อนแรงลูกน้องที่เหลือตกใจจนนิ่งอึ้งไปและมองหลี่โม่ราวกับเห็นผี“ทิ้งปืนซะ แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก” หลี่โม่พูดเรียบ ๆลูกน้องลังเลเล็กน้อยแล้วทิ้งปืนลงพื้น จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างประคองไว้ตรงหัวพร้อมกับหมอบลงพื้น“พวกแกมันโง่ ฉันมีลูกน้องอย่างพวกแกได้ยังไงกัน แกจะทำให้ฉันตาย!” พี่หลงตะคอกออกมาด้วยความโกรธหลี่โม่โยนลูกน้องที่พี่หลงเอามาเป็นโล่ลงที่พื้น เดินไปตรงหน้าลูกน้องที่ยกมือทั้งสองข้างประคองไว้ตรงหัวพร้อมกับหมอบลงพื้น แล้วพูดอย่างยิ้ม ๆ “บอกที่มาของพวกแกมา สี่คนนั้นก็เป็นคนของพวกแกสินะ จุดประสงค์ของพวกแกคืออะไร?”“พวกเรามาจากพระราชวัง คนคนนั้น
“พะ-พี่หลง!”พนักงานคนหล่อเอามือกุมที่แก้ม เมื่อสัมผัสได้ว่าแก้มของตัวเองยุบลงไป ก็รู้สึกแย่ขึ้นมาทันที ใบหน้าอันหล่อเหลาที่เขาภาคภูมิใจถูกทำลายไปแล้ว!“หน้าฉัน แกทำลายใบหน้าฉัน!”หลี่โม่ส่งเสียงหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดไปอีกครั้งเข้าที่ใบหน้าอีกข้างของพนักงานคนหล่อกร๊อบ!เสียงกระดูกแตกดังขึ้น โหนกแก้มอีกข้างของพนักงานคนหล่อก็ถูกทำลายไปเช่นกัน ใบหน้าทั้งสองข้างยุบลงไปดูไม่หล่ออีกต่อไปแล้ว ทั้งยังดูประหลาดมาก ๆ อย่างชัดเจนด้วยหลี่โม่ชกที่กรามของพนักงานคนหล่อด้วยหมัดอัปเปอร์คัทอีก พนักงานคนหล่อถูกชกจนลอยกระเด็นไป จากนั้นก็ตกลงที่พื้นอย่างแรงพนักงานสุดหล่อกระดูกโหนกแก้มและกระดูกกรามหัก เขานอนอยู่บนพื้นอย่างน่าสังเวช น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด ขณะเอามือทั้งสองข้างแตะแก้มที่เสียโฉมเบา ๆ พลางร้องไห้อย่างเศร้ามากขึ้นเรื่อย ๆหนังศีรษะของหัวหน้าจางรู้สึกชาขึ้นมา เขาตกใจกับด้านที่โหดเหี้ยมของหลี่โม่ แต่มาคิด ๆ ดูเรื่องที่พนักงานสุดหล่อทำลงไป หัวหน้าจางก็ปล่อยวางเรื่องนี้ไปถ้ามีคนกล้าทำแบบนี้กับตัวเอง หัวหน้าจางก็คงจะจัดการเขาจนตายไปแน่นอนผู้จัดการร้านกาแฟรีบวิ่งออกมาด้วยขาที
หลี่โม่ไม่พูดอะไรต่อ แล้วหันหลังเดินออกจากร้านกาแฟไปหัวหน้าจางเกาหัวพลางยิ้มขมขื่นอย่างจนใจ เฉินฟู่ถูกทำจนเป็นแบบนี้ จะคุมตัวไว้สอบสวนก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ตามหลักมนุษยธรรมแล้วก็ต้องส่งตัวเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้วล่ะเขาหยิบวิทยุสื่อสารแล้วเรียกตำรวจสองนายกลับมา หัวหน้าจางสั่งให้ลูกน้องส่งเฉินฟู่ไปรักษาที่โรงพยาบาล รอกระทั่งอาการบาดเจ็บทรงตัวค่อยพากลับไปสอบสวนหลี่โม่หยิบมือถือออกมาโทรหากู้หยุนหลาน ไม่นานกู้หยุนหลานก็ลงลิฟต์มา เห็นหลี่โม่ไม่เป็นอะไร เธอก็เข้าไปกอดหลี่โม่แน่น ๆหลี่โม่โอบหลังของกู้หยุนหลานเบา ๆ แล้วพูดยิ้ม ๆ “เป็นห่วงผมตลอดเลยใช่ไหม จัดการได้หมดแล้วนะ ผมเรียกหัวหน้าจางมาจัดการแล้วด้วย ไม่ต้องลงมืออะไรทั้งนั้นเลย” กู้หยุนหลานรู้ว่าหลี่โม่พูดแบบนี้เพื่อให้ตัวเองสบายใจ จึงไม่ขัดคำโกหกของหลี่โม่ เพียงแต่เกิดความอบอุ่นขึ้นมาในใจ อดไม่ได้ที่จะเขย่งเท้าแล้วจูบที่ริบฝีปากของหลี่โม่ในตอนที่หลี่โม่กำลังจะตอบกลับอย่างดุเดือด กู้หยุนหลานก็เงยหน้าแล้วพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “ไม่เป็นอะไรแล้วเราก็กลับกันเถอะค่ะ”“อื้ม”หลี่โม่จับมือกู้หยุนหลาน จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปที่ลิฟต์ด้
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา