เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับซีซี หลี่โม่จึงตัดสินใจปล่อยฉินจี้เย่ไปสักครั้ง หากลงมือจัดการฉินจี้เย่ต่อหน้าเด็ก หลี่โม่เองก็กังวลว่ามันจะทิ้งบาดแผลทางใจไว้กับซีซี ฉินจี้เย่โค้งตัวคำนับให้หลี่โม่สามครั้ง จากนั้นจึงรีบพาคนของตัวเองจากไปอย่างรวดเร็ว เย่จงเทียนทำสัญญาณมือให้กับหลี่โม่ สื่อว่าตนจะรอหลี่โม่อยู่ข้างนอก จากนั้นจึงพาทหารรับจ้างออกไปนอกโรงพยาบาลเช่นกัน หลี่โม่อุ้มซีซีนั่งลงข้างเตียง หยิบตุ๊กตาขึ้นมาแล้วเล่นกับซีซี หลังจากเล่นไปสักพัก ซีซีก็เอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหลี่โม่ เธอกะพริบตากลมโตแล้วพูดว่า "คุณพ่อคะ เมื่อไหร่หนูถึงจะหายดีเหรอคะ? หนูอยากกลับบ้านไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่จังเลยค่ะ" “ใกล้จะหายแล้วล่ะ คุณหมอบอกว่าเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน การรักษาสุดท้ายของซีซีก็จะสิ้นสุดลงแล้ว ซีซีเป็นเด็กดีที่เข้มแข็ง พวกเรามาอดทนกันอีกหนึ่งเดือนนะ” “ค่ะคุณพ่อ ซีซีจะอดทนไว้” ซีซีชูกำปั้นเล็ก ๆ ของเธอ แล้วชนหมัดกับหลี่โม่เบา ๆ หลี่โม่อยู่เป็นเพื่อนซีซีตลอดทั้งบ่าย ซีซีเล่นจนเหนื่อยแล้วผล็อยหลับไปบนเตียง หลังจากห่มผ้าให้ซีซีเรียบร้อยแล้ว หลี่โม่ก็ปิดประตูห้องผู้ป่วยแล้วเดินออกไป
กู้เจี้ยนกั๋วสะอึกกับคำพูดของหลี่โม่จนแทบหายใจไม่ทัน หากตรวจสอบเรื่องนี้กันจริง ๆ กู้ซิ่งเหว่ยต่างหากที่เป็นคนแกว่งเท้าหาเสี้ยน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับหลี่โม่เลยแม้แต่น้อย "แกทำเป็นได้ใจไปเถอะ หลังจากนี้แกจะได้เห็นดีกันแน่ กู้หยุนหลาน แกดูแลสามีขยะของแกให้ดี ๆ จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นมันต้องสร้างปัญหาใหญ่ให้แกในอนาคตแน่!" กู้เจี้ยนกั๋วด่าทอต่อว่าสองสามประโยค แล้วจึงก้มหน้าเดินจากไปอย่างหัวเสีย ในสมองคิดแต่เรื่องว่าจะแก้แค้นให้กับลูกชายอย่างไรดี เมื่อกลับมาที่ห้องทำงานแล้ว ในขณะที่กู้เจี้ยนกั๋วกำลังอับจนหนทางอยู่นั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเห็นหมายเลขโทรศัพท์ห้าหลักของผู้โทรที่แสดงอยู่บนหน้าจอ กู้เจี้ยนกั๋วก็คิดว่าเป็นพวกหลอกลวง ดังนั้นเขาจึงกดปุ่มวางสายอย่างไม่ลังเล หลังจากวางสายได้ไม่กี่วินาที เบอร์นั้นก็โทรมาอีกครั้ง กู้เจี้ยนกั๋วยังคงวางสายอีกครั้ง แต่หมายเลขนั้นก็ยังคงโทรอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าตราบใดที่กู้เจี้ยนกั๋วไม่รับสาย ก็จะโทรมาเรื่อย ๆ ไม่หยุด กู้เจี้ยนกั๋วนวดขมับแล้วรับโทรศัพท์อย่า
ท่านปาเคยได้ยินตำนานของโอสถคร่าวิญญาณมาไม่น้อย มันเป็นสิ่งที่ทำให้แค่พูดถึงก็ทำให้พรั่นพรึงได้ของแดนมังกร เพียงแต่ท่านปาไม่แม้แต่จะคิดฝันเลยว่า ตนเองจะได้สัมผัสกับสิ่งที่น่ากลัวเช่นนี้อย่างใกล้ชิด ถ้าไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็นก็คงไม่ล้มไม่เป็นท่าแบบนี้ ท่านปารู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก เขามองไปยังผู้คุ้มกันที่อยู่ข้าง ๆ อย่างซึมกะทือ "ทางเหลียงอวี้เป็นยังไงบ้าง?" “กำลังทำการผ่าตัดอยู่ครับ อาการบาดเจ็บภายในค่อนข้างสาหัส ม้ามกับตับแตก มีอาการช็อกจากการเสียเลือดมาก ตอนนี้กำลังการผ่าตัดม้ามอยู่ ถ่ายเลือดไปกว่า 3,000 มิลลิลิตรแล้วครับ” ทั้งม้ามและตับล้วนเป็นอวัยวะภายในที่เกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือด เมื่อได้รับความเสียหายจะมีเลือดออกภายในจำนวนมาก ถ้าหากทั้งม้ามและตับแตกหมด อาการเลือดออกภายในก็จะยิ่งทวีความร้ายแรงมากขึ้น เมื่อนึกถึงยอดฝีมือที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีอย่างเหลียงอวี้ยังถูกหลี่โม่ทำให้อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนักด้วยการเตะครั้งเดียว ท่านปาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโชคดีที่ตนไม่โดนหลี่โม่จัดการ ถ้าหลี่โม่เตะตนสักครั้ง ท่านปาเดาว่าตนคงไม่สามารถมีชีวิตรอดมาถึงโรงพยาบาลเพื่อรับการ
ณ ห้องไพรเวทหมายเลขหนึ่งของคลับจินไห่ จางเต๋ออู่ผู้ซึ่งมีผิวขาวผ่องและรูปงามราวสตรี สวมเสื้อคอจีนสั่งตัดพิเศษ นั่งอยู่บนโซฟาและโยกแก้วทรงทิวลิปในมือไปมาเบา ๆ ในแก้วทรงทิวลิปนั้นมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีทองที่กำลังหมุนวนเบา ๆ จางเต๋ออู่ก้มลงมองสุราราวกับกำลังซาบซึ้งความล้ำลึกของมัน กู้เจี้ยนกั๋วรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเข็ม ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัวโดยเฉพาะเมื่อมองไปยังชายชุดดำสี่คนที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง ชายชุดดำทั้งสองคนล้วนสวมหน้ากากสีเงิน ยืนตัวตรงนิ่งไม่ไหวติงราวกับเป็นรูปปั้นสี่ตัวอย่างไรอย่างนั้น “ขออนุญาตถามว่าน้องชายเป็นใครงั้นเหรอ มีอะไรที่ผมสามารถช่วยเหลือได้เรื่องการจัดการกับหลี่โม่ไหมครับ?” กู้เจี้ยนกั๋วเริ่มทำลายบรรยากาศหนักอึ้งนี้ด้วยตัวเอง หากความเงียบยังคงดำเนินต่อไปกู้เจี้ยนกั๋วรู้สึกว่าตัวคงสติแตกแน่ ๆ “คุณรู้ตัวตนของหลี่โม่หรือเปล่า?” น้ำเสียงของจางเต๋ออู่เต็มไปด้วยพลังดึงดูดและฟังดูไพเราะมาก กู้เจี้ยนกั๋วมองไปที่จางเต๋ออู่อย่างสงสัย ใบหน้าเผยรอยยิ้มดูแคลนออกมา "ถ้าเขาไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แล้วจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะครับ
กู้เจี้ยนกั๋วถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ “สำหรับคุณแล้วมันก็ง่ายแค่นี้แหละ แต่คุณจะต้องไม่ทำให้หลี่โม่รู้สึกเคลือบแคลงอะไร ถ้าเขาสงสัยขึ้นมา วิธีการมากมายก็จะไร้ประโยชน์” จางเต๋ออู่หรี่ตาลงพลางเอ่ย กู้เจี้ยนกั๋วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าหากตนออกหน้าบอกให้หลี่โม่เข้าร่วมงานเลี้ยงเอง น่ากลัวว่าไม่ว่าอย่างไรหลี่โม่ก็ต้องเกิดระแวดระวังขึ้นมาแน่ “ผมจะกลับไปคิดหาวิธีและจะพยายามหาวิธีที่ทำให้หลี่โม่เชื่อใจอย่างเต็มที่” กู้เจี้ยนกั๋วเกาหัวพลางเอ่ยขึ้น “ถ้าคุณคิดไว้ตั้งแต่ตอนนี้จะดีที่สุด ทางผมจะได้เตรียมให้ความร่วมมือ” "ผมได้ยินมาว่าเพื่อนร่วมรุ่นของกู้หยุนหลานกำลังจะหมั้น ถ้างานเลี้ยงที่คุณเตรียมไว้สามารถกลบเกลื่อนว่าเป็นงานหมั้นของเพื่อนร่วมชั้นกู้หยุนหลานได้ ผมคาดว่าหลี่โม่คงจะไม่ระแวดระวังหรอก” กู้เจี้ยนกั๋วครุ่นคิดอย่างหนักเป็นเวลานานและนึกถึงเนื้อหาในตอนที่กู้หยุนหลานรับโทรศัพท์เมื่อวานนี้ขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงเล่าสถานการณ์ทั้งหมดออกมา จางเต๋ออู่พยักหน้า “เอาชื่อสกุลและข้อมูลติดต่อของเพื่อนร่วมรุ่นของเขาให้ผม แล้วผมจะให้คนไปจัดการเอง” "ผมรู้แค่ว่าเพื่อนร่วมรุ่นกู้หย
เฉาเสวี่ยเฟยวางสาย มองพ่อแม่สามีในอนาคตที่นั่งตรงข้ามอย่างตึงเครียด “หนูติดต่อไปแล้วค่ะ พรุ่งนี้หยุนหลานจะมางานเลี้ยงแน่นอน นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมจู่ ๆ ถึงเลื่อนงานหมั้นของพวกเราเข้ามาล่ะ” จ้าวเจียหมิงใช้เท้าสะกิดเฉาเสวี่ยเฟยเบา ๆ “เสวี่ยเฟย อย่าถามมากเลย นี่เป็นวันที่คนในบ้านเชิญซินแสมากำหนดฤกษ์ให้นะ" แววตาของเฉาเสวี่ยเฟยวาบประกายความสงสัย แต่เพราะคู่หมั้นของเธอพูดเช่นนั้น เฉาเสวี่ยเฟยจึงไม่อาจสืบถามต่อไปได้ "เสวี่ยเฟย คุณโทรเชิญคนรู้จักต่อเถอะ เชิญคนรู้จักในกรุงโซลมาให้หมด พอเปลี่ยนเป็นวันพรุ่งนี้ก็คงจะเร่งรีบไปหน่อย แต่เรายังต้องเชิญผู้คนให้เยอะ ๆ จะได้ครื้นเครงกัน” เฉาเสวี่ยเฟยพยักหน้าและหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรต่อ พ่อแม่ของจ้าวเจียหมิงลุกยืนขึ้นแล้วออกจากห้องไปด้วยกัน หลังจากทั้งสองกระซิบกระซาบกันไม่กี่คำ พ่อของจ้าวเจียหมิงก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความ ข้อความถูกส่งผ่านเป็นทอด ๆ สุดท้ายก็มาถึงโทรศัพท์มือถือของจางเต๋ออู่ หลังจากอ่านข้อความจบจางเต๋อหวู่ก็ผิวปาก คิ้วยกสูง "ให้คนเตรียมตัวได้ วางแผนเพิ่มอีกสองสามแผน จะต้องสังหารหลี่โม่ให้ได้!" "ครับ" ลูกน้อ
ความสนใจของจ้าวเจียหมิงไปอยู่ที่ตัวกู้หยุนหลานทั้งหมด ถูกทุก ๆ รอยยิ้มของกู้หยุนหลานดึงดูดไว้หลี่โม่ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งเพื่อกั้นสายตาของจ้าวเจียหมิงเอาไว้จ้าวเจียหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยพอใจกับการกระทำของหลี่โม่ เพียงแต่ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะเกิดความขัดแย้งกับหลี่โม่ดังนั้นจ้าวเจียหมิงจึงทำได้เพียงเก็บความโกรธไว้ในใจสายตาของจ้าวเจียหมิงเคลื่อนไปมองทางคนสองคนที่อยู่ไม่ไกล ตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีคนที่จ้าวเจียหมิงมองก็คือลูกน้องจางเต๋ออู่ที่ส่งมาสร้างเรื่อง แม้ว่าจ้าวเจียหมิงกับสองคนนั้นจะเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว แต่ก็รู้ว่าเป้าหมายของสองคนนั้นก็คือเพื่อสร้างความขัดแย้งกับหลี่โม่“พอดีเจอคนคุ้นเคยสองคนน่ะ ผมจะไปทักทายหน่อยนะ”จ้าวเจียหมิงพูดจบก็รีบเดินไปหาสองคนนั้นเลยหลี่โม่ชำเลืองมองสองคนนั้นและไม่ได้สนใจอะไรพวกเขา เขาเอามือไพล่หลังฟังกู้หยุนหลานกับเฉาเสวี่ยเฟยคุยเล่นกันจ้าวเจียหมิงเดินไปถึงข้าง ๆ ของสองคนนั้นแล้วกระซิบพูด “พี่หวัง พี่ฮวา เด็กนั่นคือหลี่โม่ อวดดีมาก ๆ ”“อืม รู้แล้ว พาพวกเราไปหาหน่อย”จ้าวเจียหมิงพาพี่หวังกับพี่ฮวาเดินกลับไป เขาพูดอย่างยิ้ม ๆ “เสวี่ยเฟ
“วันที่เป็นงานหมั้นของเพื่อนหยุนหลาน ฉันไม่อยากจะลงมือกับใคร พวกแกอย่ามาหาเรื่องเจ็บตัวจะดีกว่า” หลี่โม่พูดเสียงเย็นชาพี่หวังหัวเราะอย่างดูถูก มองหลี่โม่อย่างเหยียดหยามแล้วพูด “พูดเหมือนแกต่อยตีเก่งเลยนะ ถ้าแกเก่งนักก็มาดวลเหล้ากับพวกเราสิ เรามาวัดความแตกต่างกันบนโต๊ะเหล้ากันดีกว่า”“ได้”หลี่โม่รับคำท้า ด้วยท่าทางที่จะทำให้ดีที่สุด“งั้นก็เข้าไปนั่งโต๊ะด้วยกันเลย ให้พวกเราดูความสามารถในการดื่มของแกหน่อย ถ้าแกดื่มแพ้พวกเรา พวกเราจะจับแกแก้ผ้าไปทิ้งไว้บนถนน ให้ทุกคนได้เห็นสภาพของแกเลยเป็นไง”พี่ฮวาพูดอย่างภูมิใจ ไม่ได้เห็นหลี่โม่อยู่ในสายตาเลยทั้งสี่คนเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ หาโต๊ะว่างแล้วเดินไปนั่ง พี่หวังกับพี่ฮวานั่งอยู่ฝั่งขวามือของหลี่โม่ กู้หยุนหลานนั่งอยู่ซ้ายมือของหลี่โม่พี่ฮวาเปิดเหล้าขาวขวดหนึ่งบนโต๊ะ จากนั้นก็ตะโกนเรียกพนักงาน “เอาเหล้าขาวมาที่นี่หนึ่ง แล้วเอาเครื่องแบ่งเหล้ามาสองอันนะ”“พวกเราดื่มเหล้าใช้เครื่องแบ่งเหล้าดื่มตลอด ดื่มหนึ่งครั้งก็จะใช้เครื่องแบ่งเหล้าหนึ่งแก้ว ไม่รู้ว่าแกจะโอเคไหม”พี่หวังหยิบเครื่องแบ่งเหล้าไปวางตรงหน้าหลี่โม่เครื่องแบ่งเหล้าหนึ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา