หลี่โม่ถลึงตาจนแทบถลนด้วยความโกรธ มือขวาคว้าคอเสื้อของฉินจี้เย่เอาไว้และยกตัวฉินจี้เย่ขึ้นมา “นายพูดอะไรนะ? นายให้คนไปลักพาตัวซีซี?!” “คุณหลี่ใจเย็นก่อน ใจเย็นก่อนครับ คนของผมไม่ได้ทำอะไรกับซีซีเลยครับ ผมสำนึกผิดแล้ว โปรดยกโทษให้ผมด้วย คุณไปหาซีซีพร้อมกับผมเลยก็ได้ ถ้าหากซีซีผมร่วงไปแม้แต่เส้นเดียว คุณก็ฆ่าผมได้เลย” ฉินจี้เย่ร้องขอความเมตตาด้วยความตื่นตระหนก หวังเพียงว่าหลี่โม่จะไม่ลงมือฆ่าตน อย่างน้อยก็ให้โอกาสตนสักครั้ง "ได้ ถ้าซีซีผมร่วงไปแม้แต่เส้นเดียว ฉันจะทำลายล้างตระกูลฉินของนายซะ" หลี่โม่เอ่ยด้วยสีหน้าดุร้าย ฉินจี้เย่แอบอธิษฐานในใจ หวังว่าลูกน้องของเขาจะไม่ทำอะไรเกินขอบเขตไป ไม่อย่างนั้นหลี่โม่คงจะล้างบางตระกูลฉินจริง ๆ แน่ เย่จงเทียนพาคนเดินเข้ามา เมื่อเห็นหลี่โม่มองฉินจี้เย่ด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร เย่จงเทียนก็รู้สึกใจหวิวไปเล็กน้อย "คุณหลี่ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? มีอะไรก็พูดคุยกันดี ๆ เถอะครับ” เย่จงเทียนกับตระกูลฉินมีมิตรภาพอันดีต่อกัน เมื่อได้เห็นสภาพของฉินจี้เย่ในตอนนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะช่วยพูดไกล่เกลี่ยให้ “เขาส่งคนไปจับตัวลูกสาวผม” หลี่โม่พูดพลางปล่อ
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับซีซี หลี่โม่จึงตัดสินใจปล่อยฉินจี้เย่ไปสักครั้ง หากลงมือจัดการฉินจี้เย่ต่อหน้าเด็ก หลี่โม่เองก็กังวลว่ามันจะทิ้งบาดแผลทางใจไว้กับซีซี ฉินจี้เย่โค้งตัวคำนับให้หลี่โม่สามครั้ง จากนั้นจึงรีบพาคนของตัวเองจากไปอย่างรวดเร็ว เย่จงเทียนทำสัญญาณมือให้กับหลี่โม่ สื่อว่าตนจะรอหลี่โม่อยู่ข้างนอก จากนั้นจึงพาทหารรับจ้างออกไปนอกโรงพยาบาลเช่นกัน หลี่โม่อุ้มซีซีนั่งลงข้างเตียง หยิบตุ๊กตาขึ้นมาแล้วเล่นกับซีซี หลังจากเล่นไปสักพัก ซีซีก็เอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหลี่โม่ เธอกะพริบตากลมโตแล้วพูดว่า "คุณพ่อคะ เมื่อไหร่หนูถึงจะหายดีเหรอคะ? หนูอยากกลับบ้านไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่จังเลยค่ะ" “ใกล้จะหายแล้วล่ะ คุณหมอบอกว่าเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน การรักษาสุดท้ายของซีซีก็จะสิ้นสุดลงแล้ว ซีซีเป็นเด็กดีที่เข้มแข็ง พวกเรามาอดทนกันอีกหนึ่งเดือนนะ” “ค่ะคุณพ่อ ซีซีจะอดทนไว้” ซีซีชูกำปั้นเล็ก ๆ ของเธอ แล้วชนหมัดกับหลี่โม่เบา ๆ หลี่โม่อยู่เป็นเพื่อนซีซีตลอดทั้งบ่าย ซีซีเล่นจนเหนื่อยแล้วผล็อยหลับไปบนเตียง หลังจากห่มผ้าให้ซีซีเรียบร้อยแล้ว หลี่โม่ก็ปิดประตูห้องผู้ป่วยแล้วเดินออกไป
กู้เจี้ยนกั๋วสะอึกกับคำพูดของหลี่โม่จนแทบหายใจไม่ทัน หากตรวจสอบเรื่องนี้กันจริง ๆ กู้ซิ่งเหว่ยต่างหากที่เป็นคนแกว่งเท้าหาเสี้ยน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับหลี่โม่เลยแม้แต่น้อย "แกทำเป็นได้ใจไปเถอะ หลังจากนี้แกจะได้เห็นดีกันแน่ กู้หยุนหลาน แกดูแลสามีขยะของแกให้ดี ๆ จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นมันต้องสร้างปัญหาใหญ่ให้แกในอนาคตแน่!" กู้เจี้ยนกั๋วด่าทอต่อว่าสองสามประโยค แล้วจึงก้มหน้าเดินจากไปอย่างหัวเสีย ในสมองคิดแต่เรื่องว่าจะแก้แค้นให้กับลูกชายอย่างไรดี เมื่อกลับมาที่ห้องทำงานแล้ว ในขณะที่กู้เจี้ยนกั๋วกำลังอับจนหนทางอยู่นั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเห็นหมายเลขโทรศัพท์ห้าหลักของผู้โทรที่แสดงอยู่บนหน้าจอ กู้เจี้ยนกั๋วก็คิดว่าเป็นพวกหลอกลวง ดังนั้นเขาจึงกดปุ่มวางสายอย่างไม่ลังเล หลังจากวางสายได้ไม่กี่วินาที เบอร์นั้นก็โทรมาอีกครั้ง กู้เจี้ยนกั๋วยังคงวางสายอีกครั้ง แต่หมายเลขนั้นก็ยังคงโทรอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าตราบใดที่กู้เจี้ยนกั๋วไม่รับสาย ก็จะโทรมาเรื่อย ๆ ไม่หยุด กู้เจี้ยนกั๋วนวดขมับแล้วรับโทรศัพท์อย่า
ท่านปาเคยได้ยินตำนานของโอสถคร่าวิญญาณมาไม่น้อย มันเป็นสิ่งที่ทำให้แค่พูดถึงก็ทำให้พรั่นพรึงได้ของแดนมังกร เพียงแต่ท่านปาไม่แม้แต่จะคิดฝันเลยว่า ตนเองจะได้สัมผัสกับสิ่งที่น่ากลัวเช่นนี้อย่างใกล้ชิด ถ้าไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็นก็คงไม่ล้มไม่เป็นท่าแบบนี้ ท่านปารู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก เขามองไปยังผู้คุ้มกันที่อยู่ข้าง ๆ อย่างซึมกะทือ "ทางเหลียงอวี้เป็นยังไงบ้าง?" “กำลังทำการผ่าตัดอยู่ครับ อาการบาดเจ็บภายในค่อนข้างสาหัส ม้ามกับตับแตก มีอาการช็อกจากการเสียเลือดมาก ตอนนี้กำลังการผ่าตัดม้ามอยู่ ถ่ายเลือดไปกว่า 3,000 มิลลิลิตรแล้วครับ” ทั้งม้ามและตับล้วนเป็นอวัยวะภายในที่เกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือด เมื่อได้รับความเสียหายจะมีเลือดออกภายในจำนวนมาก ถ้าหากทั้งม้ามและตับแตกหมด อาการเลือดออกภายในก็จะยิ่งทวีความร้ายแรงมากขึ้น เมื่อนึกถึงยอดฝีมือที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีอย่างเหลียงอวี้ยังถูกหลี่โม่ทำให้อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนักด้วยการเตะครั้งเดียว ท่านปาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโชคดีที่ตนไม่โดนหลี่โม่จัดการ ถ้าหลี่โม่เตะตนสักครั้ง ท่านปาเดาว่าตนคงไม่สามารถมีชีวิตรอดมาถึงโรงพยาบาลเพื่อรับการ
ณ ห้องไพรเวทหมายเลขหนึ่งของคลับจินไห่ จางเต๋ออู่ผู้ซึ่งมีผิวขาวผ่องและรูปงามราวสตรี สวมเสื้อคอจีนสั่งตัดพิเศษ นั่งอยู่บนโซฟาและโยกแก้วทรงทิวลิปในมือไปมาเบา ๆ ในแก้วทรงทิวลิปนั้นมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีทองที่กำลังหมุนวนเบา ๆ จางเต๋ออู่ก้มลงมองสุราราวกับกำลังซาบซึ้งความล้ำลึกของมัน กู้เจี้ยนกั๋วรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเข็ม ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัวโดยเฉพาะเมื่อมองไปยังชายชุดดำสี่คนที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง ชายชุดดำทั้งสองคนล้วนสวมหน้ากากสีเงิน ยืนตัวตรงนิ่งไม่ไหวติงราวกับเป็นรูปปั้นสี่ตัวอย่างไรอย่างนั้น “ขออนุญาตถามว่าน้องชายเป็นใครงั้นเหรอ มีอะไรที่ผมสามารถช่วยเหลือได้เรื่องการจัดการกับหลี่โม่ไหมครับ?” กู้เจี้ยนกั๋วเริ่มทำลายบรรยากาศหนักอึ้งนี้ด้วยตัวเอง หากความเงียบยังคงดำเนินต่อไปกู้เจี้ยนกั๋วรู้สึกว่าตัวคงสติแตกแน่ ๆ “คุณรู้ตัวตนของหลี่โม่หรือเปล่า?” น้ำเสียงของจางเต๋ออู่เต็มไปด้วยพลังดึงดูดและฟังดูไพเราะมาก กู้เจี้ยนกั๋วมองไปที่จางเต๋ออู่อย่างสงสัย ใบหน้าเผยรอยยิ้มดูแคลนออกมา "ถ้าเขาไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แล้วจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะครับ
กู้เจี้ยนกั๋วถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ “สำหรับคุณแล้วมันก็ง่ายแค่นี้แหละ แต่คุณจะต้องไม่ทำให้หลี่โม่รู้สึกเคลือบแคลงอะไร ถ้าเขาสงสัยขึ้นมา วิธีการมากมายก็จะไร้ประโยชน์” จางเต๋ออู่หรี่ตาลงพลางเอ่ย กู้เจี้ยนกั๋วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าหากตนออกหน้าบอกให้หลี่โม่เข้าร่วมงานเลี้ยงเอง น่ากลัวว่าไม่ว่าอย่างไรหลี่โม่ก็ต้องเกิดระแวดระวังขึ้นมาแน่ “ผมจะกลับไปคิดหาวิธีและจะพยายามหาวิธีที่ทำให้หลี่โม่เชื่อใจอย่างเต็มที่” กู้เจี้ยนกั๋วเกาหัวพลางเอ่ยขึ้น “ถ้าคุณคิดไว้ตั้งแต่ตอนนี้จะดีที่สุด ทางผมจะได้เตรียมให้ความร่วมมือ” "ผมได้ยินมาว่าเพื่อนร่วมรุ่นของกู้หยุนหลานกำลังจะหมั้น ถ้างานเลี้ยงที่คุณเตรียมไว้สามารถกลบเกลื่อนว่าเป็นงานหมั้นของเพื่อนร่วมชั้นกู้หยุนหลานได้ ผมคาดว่าหลี่โม่คงจะไม่ระแวดระวังหรอก” กู้เจี้ยนกั๋วครุ่นคิดอย่างหนักเป็นเวลานานและนึกถึงเนื้อหาในตอนที่กู้หยุนหลานรับโทรศัพท์เมื่อวานนี้ขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงเล่าสถานการณ์ทั้งหมดออกมา จางเต๋ออู่พยักหน้า “เอาชื่อสกุลและข้อมูลติดต่อของเพื่อนร่วมรุ่นของเขาให้ผม แล้วผมจะให้คนไปจัดการเอง” "ผมรู้แค่ว่าเพื่อนร่วมรุ่นกู้หย
เฉาเสวี่ยเฟยวางสาย มองพ่อแม่สามีในอนาคตที่นั่งตรงข้ามอย่างตึงเครียด “หนูติดต่อไปแล้วค่ะ พรุ่งนี้หยุนหลานจะมางานเลี้ยงแน่นอน นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมจู่ ๆ ถึงเลื่อนงานหมั้นของพวกเราเข้ามาล่ะ” จ้าวเจียหมิงใช้เท้าสะกิดเฉาเสวี่ยเฟยเบา ๆ “เสวี่ยเฟย อย่าถามมากเลย นี่เป็นวันที่คนในบ้านเชิญซินแสมากำหนดฤกษ์ให้นะ" แววตาของเฉาเสวี่ยเฟยวาบประกายความสงสัย แต่เพราะคู่หมั้นของเธอพูดเช่นนั้น เฉาเสวี่ยเฟยจึงไม่อาจสืบถามต่อไปได้ "เสวี่ยเฟย คุณโทรเชิญคนรู้จักต่อเถอะ เชิญคนรู้จักในกรุงโซลมาให้หมด พอเปลี่ยนเป็นวันพรุ่งนี้ก็คงจะเร่งรีบไปหน่อย แต่เรายังต้องเชิญผู้คนให้เยอะ ๆ จะได้ครื้นเครงกัน” เฉาเสวี่ยเฟยพยักหน้าและหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรต่อ พ่อแม่ของจ้าวเจียหมิงลุกยืนขึ้นแล้วออกจากห้องไปด้วยกัน หลังจากทั้งสองกระซิบกระซาบกันไม่กี่คำ พ่อของจ้าวเจียหมิงก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความ ข้อความถูกส่งผ่านเป็นทอด ๆ สุดท้ายก็มาถึงโทรศัพท์มือถือของจางเต๋ออู่ หลังจากอ่านข้อความจบจางเต๋อหวู่ก็ผิวปาก คิ้วยกสูง "ให้คนเตรียมตัวได้ วางแผนเพิ่มอีกสองสามแผน จะต้องสังหารหลี่โม่ให้ได้!" "ครับ" ลูกน้อ
ความสนใจของจ้าวเจียหมิงไปอยู่ที่ตัวกู้หยุนหลานทั้งหมด ถูกทุก ๆ รอยยิ้มของกู้หยุนหลานดึงดูดไว้หลี่โม่ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งเพื่อกั้นสายตาของจ้าวเจียหมิงเอาไว้จ้าวเจียหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยพอใจกับการกระทำของหลี่โม่ เพียงแต่ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะเกิดความขัดแย้งกับหลี่โม่ดังนั้นจ้าวเจียหมิงจึงทำได้เพียงเก็บความโกรธไว้ในใจสายตาของจ้าวเจียหมิงเคลื่อนไปมองทางคนสองคนที่อยู่ไม่ไกล ตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีคนที่จ้าวเจียหมิงมองก็คือลูกน้องจางเต๋ออู่ที่ส่งมาสร้างเรื่อง แม้ว่าจ้าวเจียหมิงกับสองคนนั้นจะเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว แต่ก็รู้ว่าเป้าหมายของสองคนนั้นก็คือเพื่อสร้างความขัดแย้งกับหลี่โม่“พอดีเจอคนคุ้นเคยสองคนน่ะ ผมจะไปทักทายหน่อยนะ”จ้าวเจียหมิงพูดจบก็รีบเดินไปหาสองคนนั้นเลยหลี่โม่ชำเลืองมองสองคนนั้นและไม่ได้สนใจอะไรพวกเขา เขาเอามือไพล่หลังฟังกู้หยุนหลานกับเฉาเสวี่ยเฟยคุยเล่นกันจ้าวเจียหมิงเดินไปถึงข้าง ๆ ของสองคนนั้นแล้วกระซิบพูด “พี่หวัง พี่ฮวา เด็กนั่นคือหลี่โม่ อวดดีมาก ๆ ”“อืม รู้แล้ว พาพวกเราไปหาหน่อย”จ้าวเจียหมิงพาพี่หวังกับพี่ฮวาเดินกลับไป เขาพูดอย่างยิ้ม ๆ “เสวี่ยเฟ