กู้เจี้ยนกั๋วหยิบที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะขึ้นมา ขว้างใส่ใต้เท้าของหลี่โม่ด้วยความโมโห เพล้ง! ที่เขี่ยบุหรี่แก้วแตกกระจายเต็มพื้น “แกคิดว่าแกเป็นใคร! เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ แกต้องอธิบายกับเราให้รู้เรื่องว่าพวกแกไปหาเรื่องใครมากันแน่! ถ้าให้แกไปจัดการ ไอ้ขยะไม่ได้เรื่องอย่างแกอย่างมากก็แค่ต่อสู้เป็นเท่านั้น แกจะไปจัดการอะไรได้!” กู้เจี้ยนกั๋วเอ่ยคำราม ระบายความโกรธเกรี้ยวในใจทั้งหมดออกมา หลี่โม่หัวเราะเบา ๆ “ถึงพูดไปพวกคุณก็จัดการไม่ได้หรอกครับ แถมยังต้องมาวิตกกังวลด้วย ผมทำแบบนี้ก็เพื่อพวกคุณเอง” กู้ซิ่งเหว่ยมองดูท่าทีของหลี่โม่ ก็สะกดกลั้นโทสะในใจไว้ไม่อยู่ เขาแผดเสียงเอ่ย “เจ้าขยะนี่ยังจะเสแสร้งอีก! ก่อปัญหาใหญ่โตขนาดนี้ขึ้นมาแล้วยังจะมีหน้ามาเสแสร้ง ฉันอยากจะฆ่าแกให้ตายเลยจริง ๆ” “กู้หยุนหลาน! แกสั่งสอนสามีไม่ได้เรื่องของแกให้ดี ๆ เสียบ้างนะ รีบให้เขาบอกมาซะดี ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของพวกแกเอง แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชีวิตคนในตระกูล!” ในใจกู้ซิ่งเหว่ยนึกกลัวขึ้นมาภายหลัง เรื่องแบบนี้หากเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาคงต้องเป็นโรคประสาทแน่ ๆ ต้องรู้แน่ชัดให้ได้ว่าม
กู้หยุนหลานมองพวกกู้เจี้ยนกั๋วเดินจากไป แล้วจับมือของหลี่โม่เอาไว้ แววตาจ้องมองหลี่โม่ด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง “คุณแก้ไขมันได้จริง ๆ เหรอ?” “ต้องได้สิ” หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่านั้นคุณก็ต้องระวังตัวด้วยนะ บริษัทกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว พวกคุณลุงไปกันหมดแล้ว ฉันต้องรับผิดชอบจัดการปัญหาที่ตามมา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องทำให้บริษัทฟื้นกลับมาเป็นปกติ” กู้หยุนหลานยังคงกังวลเกี่ยวกับกิจการของบริษัท ในตอนนี้หากกู้หยุนหลานเองก็ล้มเลิกไม่แยแสไปด้วยล่ะก็ อย่างนั้นทั้งบริษัทก็คงต้องปิดตัวลง ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อธุรกิจของบริษัท เพื่อทำให้บริษัทที่ใกล้จะล้มละลายมาได้ถึงตอนนี้ กู้หยุนหลานทุ่มเทลงแรงไปไม่น้อย ย่อมไม่หวังให้แรงที่ทุ่มเทไปนั้นเปล่าประโยชน์อยู่แล้ว หลี่โม่พยักหน้าเบาๆ “งั้นผมไปก่อนนะ เรื่องบริษัทคุณค่อย ๆ จัดการไปไม่ต้องรีบร้อน” “ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะรอคุณกลับมานะคะ” กู้หยุนหลานดันหลี่โม่เบา ๆ เล็กน้อย หลี่โม่หมุนตัวเดินออกไปข้างนอก เมื่อมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของหลี่โม่ กู้หยุนหลานก็ประนมสองมือขึ้นมาพลางในใจอธิษฐานต่อเทพเจ้าและพระพุทธองค์บนสวรรค์อย่างเงียบงัน
”หูหนวกเหรอ หรือว่าสมองมีปัญหา ถึงได้ฟังคำพูดของฉันไม่รู้เรื่องน่ะ!” รปภ.คนนั้นที่เดินไปหาหลี่โม่เผยรอยยิ้มเหยียดหยาม ก่อนหวดกระบองยางในมือเพื่อจะไล่หลี่โม่ออกไป หลี่โม่หัวเราะเย็นชา เขายื่นมือออกไปคว้ามือที่กำกระบองยางของรปภ.เอาไว้ ก่อนจะออกแรงบิดที่มืออย่างแรงและหักข้อมือของรปภ.ในทันที “อ๊าก!” รปภ.ร้องโหยหวนเหมือนหมูโดนเชือด หลังจากที่หลี่โม่ปล่อยมือ เขาก็ถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว รปภ.ที่เหลือเห็นสถานการณ์ผิดปกติก็พากันเข้ามาล้อมกรอบหลี่โม่เอาไว้ “อะไรกัน! กล้ามาหาเรื่องถึงหลงถิง แกคงจะอยากตายมากสินะ! ไม่แหกตาดูซะบ้างว่าที่นี่ใครคุม!” “เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังพวกเราคือตระกูลซู! แกกล้ามากำแหงอวดดีในถิ่นของตระกูลซู คงอยากจะตายยกครัวล่ะสิ!” “รีบเอามือกุมหัวแล้วคุกเข่าลงซะ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เกรงใจแกอีก!” รปภ.สิบกว่าคนส่งเสียงเอ่ยคำราม กระบองยางในมือต่างชี้มายังหลี่โม่ เตรียมที่จะทุบตีหลี่โม่ทันทีหากเขาขัดขืน สายตาเหยียดหยามของหลี่โม่กวาดมองไปยังรปภ.ที่อยู่ล้อมรอบตนเอง “ถ้าไม่อยากตาย ก็ถอยไป” “ไอ้เวรนี่! ยังกล้าอวดดีอีก! ไป จัดการมันซะ!” พวกรปภ.ลงมือพร้อมกัน หลี่
หลังจากที่ซูเหวินปินออกคำสั่ง ทั้งสี่ห้องส่วนตัวข้างห้องของซูเหวินปินก็มีบอดี้การ์ดจำนวนมากกรูกันออกมา เพราะซูเหวินปินนั้นมีความระแวดระวังต่อเหล่าไป่อยู่บ้าง ดังนั้นจึงได้เตรียมบอดี้การ์ดไว้มากมายขนาดนี้เพื่อเตรียมรับมือกับเหล่าไป่ ทว่าเหล่าไป่ยังไม่ได้มา หลี่โม่ก็มาหาถึงที่เสียก่อนแล้ว ประจวบเหมาะพอดีที่จะให้บอดี้การ์ดใต้บังคับบัญชาพวกนี้จัดการหลี่โม่ เมื่อมองดูบอดี้การ์ดเป็นขโยงกรูกันออกมาจากห้องส่วนตัวบนภาพของกล้องวงจรปิด มุมปากของซูเหวินปินก็ยกแย้มรอยยิ้มเย็นยะเยือก “วันนี้ใครมาก็ต้องคุกเข่า เป็นเสือก็ต้องหมอบ เป็นมังกรก็ต้องขด เพียงแต่ไม่รู้ว่าทางเหล่าไป่ไปทำยังไงกันแน่ ถึงสามารถทำให้หลี่โม่วิ่งโร่มาถึงเมืองหลวงได้” ซูเหวินปินบ่นพึมพำ รู้สึกว่าต้องถามไถ่สถานการณ์ทางนั้นของเหล่าไป่ดูสักหน่อย หลังจากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหารายชื่อติดต่อ ซูเหวินปินก็ต่อสายหาหมายเลขโทรศัพท์ของเหล่าไป่ “ฮัลโหล ต้องการพูดกับใครครับ” เสียงอันไม่คุ้นเคยดังออกมาจากโทรศัพท์ ซูเหวินปินคิ้วกระตุกเล็กน้อย ในใจเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างลับ ๆ “ขอสายเหล่าไป๋หน่อย คุณเป็นใคร?” “ผมเป็นคนจากแผนก
"เฮ้ย! ยังจะเดินอีก แกจะเดินไปถึงไหนกัน ฉันให้แกคุกเข่าลง แกไม่ได้ยินใช่ไหม?!""ไอ้เด็กนี้มันคงไม่ได้โง่ใช่ไหม? ดูสายตาของมันไม่ค่อยปกติ ฉันล่ะชอบทำความสะอาดพวกงี่เง่าแบบนี้ที่สุด เดี๋ยวอีกหน่อยฉันจะลากมันไปเป็นชักโครกในห้องน้ำ! "บอดี้การ์ดหลายคนพูดติดตลกและหยิบมีดออกมาจากเอว"ถอยไป"หลี่โม่มองไปที่บอดี้การ์ดที่มีมีดอยู่ข้างหน้าเขา และพูดอย่างใจเย็นว่า "สุนัขที่ดีจะไม่เข้ามาขวางทาง""โอ้โห! กล้าเรียกพวกเราว่าหมา วอนหาที่ตาย พวกเราจัดการมัน เอามันให้ตายเหมือนหมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน !"บอดี้การ์ดที่โกรธเกรี้ยวขยับเข้าหากัน กวัดแกว่งมีดสั้นและแทงไปที่หลี่โม่หลี่โม่ยิ้มอย่างเย้ยหยัน เดินเข้าไปท่ามกลางบอดี้การ์ด ยกมือขึ้นและตบที่ต้นคอบอดี้การ์ดด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของมือทั้งสองข้างของหลี่โม่ บอดี้การ์ดถูกตีเข้าที่ต้นคอทีละคนและสลบไปคราวนี้หลี่โม่ก็ไม่ยั้งมือ บอดี้การ์ดทุกคนที่โดนหลี่โม่บิดเข้าที่คอจะมีอาการกระดูกสันหลังส่วนคอบิดเบี้ยว และคอของพวกเขาจะแตกต่างจากคนทั่วไปสิ่งที่หลี่โม่ทำเป็นการเตือนสติของพวกเขา ให้พวกเขาจำไว้ว่าสุนัขที่ดีจะไม่มาขวางทางซูเหวินปินและหัวหน
ตงผิงเย่เป็นคนชอบนอนในที่เงียบ แม้จะอยู่ในสภาวะหลับลึก แต่หากมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย นั่นก็สามารถปลุกเขาให้ตื่นได้ทันทีนี่คือกังฟูที่ฝึกฝนเมื่อถูกตามล่า มิฉะนั้น ตงผิงเย่คงตายตั้งแต่ถูกตามล่าแล้วเมื่อตื่นขึ้นจากการสนทนาระหว่างซูเหวินปินและหัวหน้าผู้คุ้มกันในยามหลับ ตงผิงเย่ก็ลืมตาขึ้นและเห็นการแสดงผลบนหน้าจอทีวีของกล้องวงจรปิดหลังจากมองดูสองครั้งอย่างไม่ตั้งใจ รอยยิ้มเหยียดหยามก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตงผิงเย่"เจ้านาย การแก้แค้นของท่านมาถึงแล้วเหรอ? ลูกน้องที่ท่านเลี้ยงไว้ช่างไม่เอาไหนจริง ๆ ท่านควรจะเอาเงินที่ท่านจ้างพวกมันทั้งหมดมาให้ผมดีกว่า ผมจะบริการท่านอย่างดีเลย"ซูเหวินปินยิ้มขึ้นมา เขาโยนซิการ์ไปที่ตงผิงเย่อย่างตั้งใจ"เงินไม่ใช่ปัญหา ขอแค่นายแสดงความสามารถให้ฉันได้เห็น ไอ้สารเลวนี่คือบททดสอบของฉันสำหรับนาย"ตงผิงเย่พยักหน้าเบา ๆ พูดพร้อมกับยิ้ม "บททดสอบนี้ช่างง่ายดาย เจ้านายคอยดูผมจะเตะหัวของมันออกมาได้เลย"ตงผงเย่รู้สึกมั่นใจในตัวเองมาก และเต็มไปด้วยการดูถูกหลี่โม่แม้ว่าภาพจากกล้องวงจรปิดจะแสดงพละกำลังมหาศาลของหลี่โม่ แต่ในมุมมองของตงผิงเย่นั้น ระดับของหลี่โม
หลี่โม่พูดอย่างเฉยเมย แถมไม่เห็นตงผิงเย่อยู่ในสายตาเลยปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นนั้นไม่มีอะไรเลย หากส่งใครก็ได้ในผู้คุมประตูมังกรถูกส่งออกไป ก็สามารถทำลายศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดในญี่ปุ่นได้ ปรมาจารย์ในญี่ปุ่นเป็นเพียงมดในสายตาของหลี่โม่เท่านั้นแหละความโกรธในใจของตงผิงเย่แผดเผาในทันที เขาจ้องมองไปที่หลี่โม่และพูดอย่างชั่วร้าย "ไอ้โง่!"“แกกล้าดียังไงมาดูถูกคนอย่างตงผิงเย่ ฉันจะทำให้แกลิ้มรสกับความเจ็บปวดทั้งหมด! ดูความโหดร้ายในตัวฉันให้ดี ๆ ล่ะ!"ตงผิงเย่จ้องไปที่หลี่โม่ที่โบกมืออยู่ รอคำสั่งของซูเหวินปิน และรีบออกไปจัดการหลี่โม่อย่างบ้าคลั่งหลี่โม่ส่ายหัวและพูดอย่างเหยียดหยาม "หมารับใช้ยังไงก็เป็นหมารับใช้อยู่วันยังค่ำ ก็แค่หมารับใช้อย่างแก ฉันดูก็รู้ว่ากังฟูของแกก็ไม่ได้สูงส่งอะไรมากนักหรอก""หึ!"ซู่เหวินปินแค่นเสียงอย่างเย็นชา รู้สึกว่าหลี่โม่หยิ่งผยองเกินไป ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับคนที่จองหองอย่างนี้ แค่ทุบตีและทำให้อับอายขายหน้าก็พอแล้ว"ตงผิงเย่ ให้บทเรียนกับมันดี ๆ ล่ะ อย่าลืมว่าเมื่อกี้มันพูดว่าอะไร"ซูเหวินปินพูดด้วยสีหน้าเย็นชา"ไม่ลืมแน่ ผมจะเตะตัดหัวมันให้ไ
ซิการ์ในมือของซูเหวินปินตกลงสู่พื้น และเขาจ้องมองไปที่ตงผิงเย่ที่ถูกหลี่โม่เหยียบย่ำอย่างตกตะลึงความโกรธสะท้านของตงผิงเย่ในเมื่อครู่นี้โดนหลี่โม่ทลายไปเสียแล้ว จากนั้นเขาก็ถูกหลี่โม่เหยียบย่ำเหมือนสุนัขเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน?ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้!ซูเหวินปินไม่เห็นแม้แต่การเคลื่อนไหวของหลี่โม่แม้แต่นิด เห็นแต่ตงผิงเย่วิ่งเข้าใส่อย่างอุกอาจ และในพริบตาเดียวตงผิงเย่ก็ล้มลงกับพื้น และถูกหลี่โม่เหยียบลงที่ใบหน้าหัวหน้าบอดี้การ์ดกลืนน้ำลายอย่างเมามัน เขาคิดว่าตัวเองเคยเห็นคนที่โหดเหี้ยมมานักต่อนักแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนที่โหดเหี้ยมมากแบบนี้ขาของเขาสั่นเบา ๆ และมือที่ถือปืนก็สั่นอย่างรุนแรง หัวหน้าบอดี้การ์ดรู้สึกว่าปืนในมือของเขาเหมือนชิ้นเหล็กทองแดงที่ร้อนผ่าวอย่างนั้นเลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลี่โม่ที่ว่องไวจนมองแทบไม่เห็น แล้วแบบนี้จะสามารถยิงเขาด้วยปืนนี้ได้จริงเหรอ?หัวหน้าบอดี้การ์ดรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่จะยิงถูกนั้นต่ำเกินไป เว้นแต่เขาจะโชคดีมากพอแบบนี้จะสู้ได้อย่างไรกัน!ในสมองของหัวหน้าบอดี้การ์ดมีความคิดที่จะยอมจำนน“คุณชายซู สถานการณ์ดูไม่ปกติ ผมว
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา