“แม่คะ ทำไมแม่ต้องเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นด้วยคะ ถ้ามีคนซื้อเครื่องบินเจ็ตและเรือยอชต์ส่วนตัวให้ลูกสะใภ้ด้วย จะเทียบยังไง แม่จะไม่โกรธพวกเขาด้วยหรือไงคะ” กู้หยุนหลานพูดอย่างหมดหนทาง หวังฟางโกรธมากจนพูดไม่ออก เธอยื่นมือออกไปและพยักหน้าสองครั้งไปที่หลี่โม่และกู้หยุนหลานและพูดอย่างขมขื่น "พวกแกรีบเก็บของเถอะ! ขึ้นรถของป้ารองไปที่งานเลี้ยงวันเกิด ถ้าถึงในงานเลี้ยง หลี่โม่ แกไปหานั่งหลบมุมซะ อย่าให้ใครเห็นดีที่สุด และอย่าทำให้ฉันเสียหน้าอีก!" กู้หยุนหลานดูหวังฟางเดินออกไปและถอนหายใจเบา ๆ เธอจับมือหลี่โม่แล้วเดินออกจากห้องไปด้วยกัน กู้เจี้ยนหมินยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยใบหน้าที่มืดมน จับตามองหลี่โม่อย่างแข็งกร้าว และพูดด้วยเสียงดุดันว่า "ไปกันเถอะ อย่าเสียเวลาเลย" หวังเหม่ยเดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มและพาครอบครัวของกู้หยุนหลานออกไป เธอเดินไปที่ข้างถนนแล้วชี้ไปที่รถ BMW 2 คันของเธอแล้วพูดว่า "ดูสิครอบครัวของเราเป็นรถ BMW นำเข้าทั้งสองคันเลย BMW ที่ผลิตในประเทศไม่มีคันไหนเทียบได้เลยแหละ" หานจือเต๋อยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เขาเงยหน้าขึ้นและพูดว่า "เทคโนโลยีการประกอบรถของ BMW ในประเทศไม่ได้
"หึหึ ฉันว่าตอนนี้เธอคงลำบากมากสินะ กับสามีที่น่าผิดหวังแบบนี้ ช่างไม่คู่ควรกับเธอเลย ถ้าเธอบอกว่าเธอแค่ชี้นิ้ว ไม่ว่าคนรวยและคนหนุ่ม ๆ ก็ยอมแต่งงานด้วย แล้วทำไมเธอถึงแต่งงานกับขยะแบบนี้นะ" โจวชุ่ยฮวาไม่ปิดบังมันอีกต่อไป ความอิจฉาริษยาที่เธอมีต่อกู้หยุนหลานก็ถูกปลดปล่อยออกมาทันที สีหน้าของกู้หยุนหลานเปลี่ยนไป และเมื่อเธอกำลังจะปกป้องหลี่โม่ หลี่โม่ก็ดึงข้อมือของกู้หยุนหลานไว้ กู้หยุนหลานไม่พูดอะไร โจวชุ่ยฮวามองไปที่กระจกมองหลังและหัวเราะอย่างมีความสุข "โอ้ นี่ฉันเผลอพูดความจริงไป เธอก็รู้ว่าฉันเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอ อย่าถือสาฉันเลยนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอไม่พูด ก็ไม่มีใครในครอบครัวรู้ว่าเธอแต่งงานกับไอ้คนไร้ค่านี่" “เธอบอกว่าเมื่อก่อนคนรวยและคนหนุ่ม ๆ มีแต่จะไล่ตามจีบเธอ แล้วพวกเขาจะมีสีหน้าแบบไหนกันนะ ถ้ารู้ว่าเธอแต่งงานกับคนจน ฉันคิดว่าพวกเขาคงตกใจมากแน่ ๆ เลยล่ะ” โจวชุ่ยฮวาพูดไปเรื่อย ๆ ทุกประโยคเหมือนมีดคม ๆ ที่แทงเข้าไปในหัวใจของกู้หยุนหลาน โจวชุ่ยฮวาที่พูดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ากู้หยุนหลานและหลี่โม่ไม่ตอบสนองอะไรเลย ไม่แม้แต่จะตะโกนด้
เมื่อเห็นว่ากู้หยุนหลานและหลี่โม่เงียบไป โจวชุ่ยฮวาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มเยาะเย้ย “ของขวัญวันเกิดที่พวกเธอเตรียมให้คุณปู่คืออะไรบอกฉันหน่อยสิ ฉันขอดูหน่อย” ใบหน้าของกู้หยุนหลานรู้สึกอายมาก ไม่มีของขวัญเตรียมไว้เลย เธอควรจะพูดอะไรดีในเวลานี้? หลี่โม่เก็บโทรศัพท์มือถือของเขาและพูดด้วยรอยยิ้ม "เราแอบเตรียมของขวัญไว้แล้ว ถ้าพูดออกไปคงไม่เปฺ็นการเซอไพรซ์" "หึหึ" โจวชุ่ยฮวายิ้มอย่างเฉยเมยโดยคิดว่าหลี่โม่แค่แกล้งทำ เพราะเขาคงไม่กล้าหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ออกมาเพื่อสร้างความอับอายให้ตัวเองหรอก “กลัวขายหน้าเหรอ ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนในครอบครัวรู้ว่านายมันคนขี้ขลาด ต่อให้นายเอาขนห่านไปให้ก็ไม่เป็นปัญหาหรอก ตราบเท่าที่นายยังให้ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า" กู้หยุนหลานรู้สึกหดหู่ใจ เธอก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย หลี่โม่จับมือกู้หยุนหลานพลางบีบเบา ๆ และพูดด้วยเสียงต่ำ "ไม่ต้องกังวลนะ ผมก็เตรียมไว้แล้ว ผมจะไม่ปล่อยให้คุณเสียหน้า” กู้หยุนหลานยิ้มอย่างขมขื่น คิดเพียงว่าหลี่โม่กำลังปลอบโยนตัวเอง และไม่คิดว่าสิ่งที่หลี่โม่พูดจะเป็นความจริง ใช้เวลาไม่นานรถก็แล่นเข้าสู่พื้นที่ชนบทแห่งใหม่ในชานเมือง อาคาร
"อ้าว นี่ใครน่ะ ไม่ราชาข้าวนุ่มอันดับ 1 ในตำนานของโซลเหรอ นายมันคนไร้ค่าที่มาที่บ้านตระกูลหวังของเราเพื่อกินและดื่มใช่ไหม? วันนี้กินให้พอเลยนะ หลังจากกินเสร็จ นายก็เก็บของที่เหลือได้ ไม่มีปัญหา" “ฉันกลัวว่าคุณปู่จะโกรธเมื่อเห็นไอ้ขยะนี่น่ะสิ ถ้าไม่อย่างนั้นนายก็แอบรออยู่ข้างนอกประตู แล้วฉันจะเอาอาหารที่คนอื่นไม่หมดใส่ถังมาให้ แอบกินในมุม และกินได้ไม่อั้น กินจนตายก็ไม่เป็นไร” คำพูดของหวังจงเหิงและหวังจงเฉิงรุนแรงมาก พวกเขามองหลี่โม่อย่างเป็นขอทานชัด ๆ โจวชุ่ยฮวาอดไม่ได้ที่จะปิดปากและยิ้ม "ฮ่าฮ่าฮ่า จริง ฉันเห็นด้วย ถ้าไอ้คนไร้ค่านี่มานั่งโต๊ะร่วมงานเลี้ยงกับพวกเรา แล้วปล่อยให้คนอื่นรู้ว่านี่คือไอ้ขยะ มันคงเป็นเรื่องน่าอายสำหรับคุณปู่หวัง ใช่ไหมจือเต๋อ?” หานจือเต๋อพยักหน้าอย่างแรง "ใช่เลย หยุนหลานเป็นคนแบบไหนกัน? ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอแต่งงานกับคนแบบนี้ ทุกคนคงถกกันเรื่องนี้ มันจะทำให้หยุนหลานอับอายเปล่า ๆ นะ" กู้หยุนหลานก้มหน้าลงเล็กน้อย หลี่โม่มองไปที่หวังจงเหิงและคนอื่น ๆ อย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่ากู้หยุนหลานและหลี่โม่จะยอมรับชะตากรรมของพวกเขา และไม่สำคัญว่าพวกเขา
หลี่โม่และกู้หยุนหลานตามหวังจงเหิงและคนอื่น ๆ ไปในงาน และไม่นานก็เดินเข้าไปในห้องของคุณปู่หวัง คุณปู่หวังสวมชุดคลุมวันเกิดสีแดงสดนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ชือ หวังจินซานพี่ใหญ่แห่งของตระกูลหวัง และหวังจินไห่นั่งอยู่ทางซ้ายและขวาของคุณปู่หวัง หวังเหม่ยถือถ้วยชาและส่งให้คุณปู่หวังด้วยรอยยิ้ม คุณปู่หวังจิบชาพลางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า "เสี่ยวเหม่ยไม่เลวเลย แกมีความสามารถในการจัดการกิจการภายในของตระกูลโจวมาก ฉันได้ยินคุณโจวชมแกหลายครั้งแล้ว" “ทั้งหมดเป็นเพราะคุณพ่อสอน ไม่อย่างนั้นหนูคงไม่รู้อะไรเลย” หวังเหม่ยกล่าวอย่างมีความสุข "ดี เราจะทำงานหนักกันต่อไปในอนาคต" หวังเหม่ยก้าวออกไปและมองไปที่หวังฟางด้วยรอยยิ้ม หัวใจของหวังฟางเต้นแรง เธอหยิบถ้วยชาอย่างกล้าหาญและเดินไปหาคุณปู่หวังเพื่อยื่นถ้วยชาให้ หลังจากที่คุณปู่หวังรับถ้วยชาแล้ว เขาก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะโดยไม่ได้จิบเลย "เสี่ยวฟาง แกต้องเรียนรู้จากพี่สาวของแกและดูว่าพี่สาวของแกทำเช่นไร หยุนหลาน... เฮ้อ ช่างมันเถอะ ฉันอารมณ์เสียเมื่อฉันพูดถึงขยะในครอบครัวของแก" เป็นเพราะหลี่โม่ สถานะของหวังฟางในครอบครัวจึงตกต่ำลง เดิมทีเธอเป็
“หลี่โม่ ดูแกสิ แกทำให้คุณปู่โกรธเรา ว่าเราไม่ได้สอนแก แต่เป็นแกต่างหากที่ไม่ยอมทำตาม แกคิดว่าคนอย่างแกมีใครไม่รู้บ้างว่าแกเป็นแค่คนไร้ค่า ทุกคนในโซลรู้กันทั้งหมด ว่าที่นี่มีคนไร้ค่าอย่างแก ตระกูลหวังของเราช่างน่าขายหน้า!” "หยุนหลานทั้งเรียนเก่ง บุคลิกดี หน้าตาดี หลายต่อหลายคนต่างก็ไล่ตามจีบเธอ แต่เธอกลับต้องมาลงเอยด้วยการแต่งงานกับแก เรื่องความต่ำต้อยของแกเราไม่ได้ว่าอะไรตรงนั้น แต่แกพยายามทำงานอย่างหนักหรือยัง แกกลับได้กินข้าวนิ่มๆ หลังจากแต่งงาน แกควรขอโทษหยุนหลาน" “นายจะไปพูดอะไรกับไอ้ไร้ค่านี่ ดูมันสิ ก้มหัวไม่พูดไม่จา ฉันล่ะโกรธจนอยากจะตบมันด้วยส้นรองเท้าจริง ๆ ไอ้คนแบบนั้นมันไม่ใช่ลูกผู้ชายเลย มันขยะยิ่งกว่าขยะเสียอีก" หวังจินไห่และคนอื่น ๆ เปิดฉากด่าว่าหลี่โม่ทีละคน หวังฟางและกู้เจี้ยนหมินกัดฟันจนใบหน้าของพวกเขากระตุก นี่ไม่ใช่แค่ความลำบากใจของหลี่โม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความลำบากใจของหวังฟางและกู้เจี้ยนหมินด้วย ทั้งสองจ้องไปที่หลี่โม่ด้วยความโกรธราวกับว่าพวกเขาต้องการที่จะกลืนกินหลี่โม่ทั้งเป็น กู้หยุนหลานถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ และมองไปที่คุณปู่หวัง ริมฝีปากของเธอขยับ
“หึหึ ฉันรู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอนะ เสี่ยวฟาง พวกเราเป็นพี่เป็นน้องกัน ทุกคนหวังดีอยากจะให้เธอมีชีวิตที่ดี ดีสำหรับตระกูลหยุนหลานของเธอ ไม่ว่ายังไงทุกคนก็เป็นลูกหลานของตระกูลนี้ เธออย่าเข้าใจพวกเราผิดเลย” หวังจินไห่วิพากษ์วิจารณ์ทัศนคติของหวังฟาง รู้สึกว่าคำพูดของหวังฟางเป็นเรื่องเข้าใจผิดหวังเหม่ยยิ้มแล้วพูดว่า “เธอนี่ เธอก็ปฏิบัติต่อลูกเขยไร้ประโยชน์นั้นของเธอไม่เลวนะ ฉันพยายามหาหนุ่มจากตระกูลดีมีชื่อเสียงให้กับหยุนหลานแท้ ๆ แต่หยุนหลานกลับทำสีหน้าเมินเฉยใส่ฉัน ท้ายที่สุดถ้าเสี่ยวฟางกับซีหนี่กลับมา ก็ไม่ได้มีความคิดจะเลิกกันด้วยซ้ำ”หลังจากที่หวังเหม่ยใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างปัญหาสำเร็จ เมื่อหวังเหม่ยพูดจบ เธอก็เหลือบมองหวังฟางผู้ซึ่งกำลังจะคลั่งอย่างมีชัย โดยคิดว่าในที่สุดเธอก็สามารถกู้หน้าของเธอคืนมาได้ หวังฟางค่อย ๆ กำมือแน่น ตัวสั่นอย่างรุนแรง หันกลับมาและจ้องไปที่หลี่โม่และคำรามด้วยความโกรธ“หลี่โม่! ไอ้คนไร้ประโยชน์ ฉันบอกไม่ให้แกมา แกยังรั้นจะมา แกตั้งใจจะทำให้ทุกคนโกรธ แกคิดว่าแกยังมีความเป็นคนอยู่ไหม! ต่อให้เหมือนเลี้ยงหมูแต่ก็ยังฆ่าและได้กินเนื้อของมัน เลี้ยงคนอย
กู้หยุนหลานพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาถูกเยาะเย้ยแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง กู้หยุนหลานจึงเต็มไปด้วยความคับข้องใจ ยิ่งครั้งนี้แม้แต่ห้องโถงกลางก็ไม่อนุญาตให้เข้าไป ซึ่งทำให้กู้หยุนหลานรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากถ้าไม่ใช่เพราะหลี่โม่ ครั้งนี้กู้หยุนหลานคงรู้สึกผิดจนเธออยากจะร้องไห้"ฉันจะหมายความว่าอะไรได้อีกล่ะ คุณปู่โกรธไอ้ขยะนี้มาก ฉันจะไม่ปล่อยให้ไอ้ขยะเข้าไปในห้องโถงให้รกหูรกตาแน่นอน นอกจากนี้ที่นั่งสำหรับพวกเธอไม่ได้อยู่ในห้องโถงส่วนกลาง แต่จัดอยู่ในที่ห้องโถงชั้นล่างโน้น พวกเธอควรไปนั่งในห้องโถงนั้น"งานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่หวังจัดขึ้นที่บ้าน และมีแขกจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา ห้องโถงกลางไม่สามารถรองรับแขกจำนวนมากได้ ดังนั้นงานเลี้ยงวันเกิดจึงแบ่งออกเป็นสองส่วนคุณปู่หวังและสมาชิกของตระกูลหวังรวมถึงแขกคนสำคัญจะนั่งทานอาหารในห้องโถงกลาง ส่วนแขกทั่วไปจะรับประทานอาหารในที่ในห้องโถงชั้นล่างทั้งสองส่วนนี้แบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน ตามสถานะของกู้หยุนหลาน เธอมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะนั่งในห้องโถงกลาง แต่เนื่องจากเธอมีความสัมพันธ์กับหลี่โม่ เธอจึงถูกบังคับให้ออกจากห้องโถงกลางหวังจงเฉิงยิ้มอย่างดูถู
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา